## เสด็จลงใต้บาดาล ##

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
:+: seraphim :+:
~@
โพสต์: 7624
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
ที่อยู่: Pattaya Chonburi

อังคาร ก.พ. 21, 2006 1:32 pm

;D ;D พอดีมีคำถามจากน้องที่บอร์ด รวมทั้งน้องสาวพี่ด้วยถามพ่อจั่วว่า....

คำว่า เสด็จลงใต้บาดาลในสัญญลักษณ์อัครสาวก

แหมเข้าใจถามจริงนะพวกเรา เป็นคำถามที่ต้องร่ายยาวเชียวล่ะ ก่อนอื่นพ่อจะพยายามอธิบายความเป็นมาก่อนน่ะ สิ่งที่เราท่องกันในวันอาทิตย์ระหว่างพิธีขอบพระคุณนั้น เขาเรียกว่าในภาษาลาตินว่า symbolum Apostolorum แปลเป็นอังกฤษคือ Creed of the Apostles พอแปลเป็นไทยเราก็แปลตามภาษาลาตินว่า สัญญลักษณ์อัครสาวก


สัญญลักษณ์อัครสาวกคืออะไร? คือข้อความเชื่อที่รวบรวมมาจากชีวิตของพระเยซูเจ้าเพื่อชนรุ่นหลังจะได้เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระเยซูเจ้าจริงๆ ทำไมล่ะ? เพราะเมื่อเวลาผ่านไป ก็มีข้อสงสัยจากคนนั้นบ้างคนนี้บ้างว่า พระเยซูเจ้าเป็นใครกันแน่ พระองค์มีชีวิตจริงหรือ? ชีวิตของพระองค์เป็นชีวิตแบบไหน? หรือเป็นพระเจ้าจำแลงในร่างมนุษย์? หรือพระองค์เป็นมนุษย์ธรรมดาทั่วไปนี่เอง? เวลาพระองค์ตายนั้นตายจริงหรือ? บ้างก็ว่าไม่จริง ส่วนที่ตายเป็นเพียงภาพลวงตา บ้างก็ว่าตายจริง บ้างก็ว่าไม่ตาย และการตรึงกางเขนไม่ได้เกิดขึ้น เป็นเพียงการเล่าต่อๆมาเท่านั้นไม่มีข้อพิสูจน์ ฯลฯ นี่คือปัญหาและคำถามเกี่ยวกับความเป็นมาของพระเยซูเจ้าจนกลายเป็นที่มาของคำว่า สัญญลักษณ์อัครสาวกล่ะ เราอย่าไปเข้าใจคำว่า สัญญลักษณ์ตามความหมายภาษาไทยน่ะ เพราะภาษาไทยแปลว่าสิ่งที่หมายถึง ไม่ใช่เลย... คำว่าสัญญลักษณ์ตัวนี้แปลมาจากคำว่า Symbolum ในภาษาลาตินที่ผู้ใช้คำนี้ครั้งแรกหมายถึง ข้อความที่อัครสาวกอยากให้เราเชื่อ และไม่ต้องสงสัยอะไรอีก ......แต่ก็ไม่วายมีการสงสัยเกิดขึ้นในยุคหลัง (สงสัยเป็นส่วนหนึ่งของการหาความจริงในธรรมชาติมนุษย์)


ส่วนที่สงสัยหนักคือ สงสัยว่า ที่เขียนๆนี่อัครสาวกเขียนจริงหรือเปล่า? อ้าว...ทีนี้ไม่ใช่สงสัยในเนื้อหาแล้วแต่สงสัยในต้นฉบับและที่มาของมันเสียด้วยสิ สงสัยไม่สงสัยเฉยๆ ชักชวนให้คนอื่นเขวด้วย เลยต้องมีการสัมนาในระหว่างพวกปิตาจารย์


นักเทวศาสตร์และนักค้นคว้าคำสอนของปิตาจารย์ก็พยายามพิสูจน์ว่า หลักคำสอนนี้มาจากอัครสาวกของพระเยซูเจ้าช่วยกันรวบรวมเอง แต่ก็พิสูจน์ได้ไม่เต็มปากนัก อย่างไรก็ตามก็เชื่อว่าน่าจะเป็นคำสอนที่เก่าแก่ที่รวบรวมขึ้นหลังพระเยซูเจ้าตาย อาจจะอยู่ในยุคร้อยห้าสิบปีแรกของพระศาสนจักร แต่ที่ว่าอัครสาวกทั้งสิบสองเขียนนั้น นับวันคนจะเชื่อน้อยลง แต่เชื่อว่าน่าจะเป็นคนที่ใกล้ชิดอัครสาวกและเขียนต่อๆกันมา บางคนก็ว่าไม่ได้เก่าแก่ขนาดนั้น เผลอๆเขียนเมื่อราวศตวรรษที่ ห้าหรือหกด้วยซ้ำไป หลังยุคพระคัมภีร์ใหม่ด้วย เรื่องความเก่าแก่นี้ต้องเข้าใจนะครับ ยิ่งเก่ายิ่งดี ยิ่งใกล้พระเยซูเจ้ายิ่งดีเพราะเป็นหลักฐานแน่ชัดว่าเป็นของแท้ไม่มีการต่อเติม


ปัญหาที่ตามมาอีกคือ หลักความเชื่อคล้ายๆกันนี้มีหลายฉบับ แต่เมื่อเช็คทีละคำแล้วก็เห็นว่าแตกต่างกัน ฉบับที่เราใช้ในปัจจุบันนี้ที่สำคัญมี ฉบับที่เรียกว่า สัญญลักษณ์อัครสาวก (The Creed of the Apostles) และฉบับที่ประชุมสังคายนาเมือง นีเชีย (Nicene Creed คศ 325) ซึ่งพยายามแก้ปัญหาความไม่ตรงกันนี้และได้รวบรวมข้อความเชื่อจากแหล่งต่างๆมารวมกันเพื่อให้เป็นความเชื่อที่เหมือนๆกันและนำมาให้เราท่องกันในวันอาทิตย์นั่นแหล่ะ ในหนังสือพิธีเล่มใหญ่ของคุณพ่อจะมีสองภาค คือภาคข้อความเชื่อของสังคายนาเมืองนิเชีย และอีกภาคคือสัญญลักษณ์อัครสาวก ที่ให้เราท่องตัวนี้เพราะมันสั้น ส่วนการประกาศความเชื่อที่ตอบโต้กันระหว่างสัตบุรุษและคุณพ่อนั้นคือความเชื่อของสังคายนาเมืองนิเชียมันยาวเขาเลยให้ช่วยกันตอบโต้จะได้จำง่าย แต่ถ้าสังเกตุดีๆจะเห็นมีส่วนที่ต่างกัน เช่น ของสังคายนานีเชียไม่มีคำว่า เสด็จลงใต้บาดาล ที่เรายกมาถามพ่อเลย


ทีนี้มาสู่เนื้อหาบางอย่างที่เราถามพ่อ คือคำว่า เสด็จลงใต้บาดาลในสัญญลักษณ์อัครสาวกคำนี้หมายถึงอะไร? ถ้าดูในต้นฉบับคำนี้แปลเป็นอังกฤษดังนี้ Descended into hell ( บางแห่งใช้คำกรีกว่า Hades, บางแห่งใช้คำฮีบรูว่า Sheol แทนคำว่า Hell แต่ไม่ว่าจะเอาคำไหน ก็แปลเป็นไทยว่า แดนผู้ตาย หรือ นรก ทั้งสิ้น........บางคนก็จะบอกว่าแดนผู้ตายไม่จำเป็นต้องเป็นนรกก็ได้) อ้าว...ชักแปลกแล้วสิ พระองค์ไปนรกทำไม? พระองค์ทำผิดอะไรต้องไปนรก? จากจุดนี้ขอย้อนไปเรื่องการแปลก่อน คนแปลภาษาไทยเลือกใช้คำว่า บาดาล แทนคำว่านรก ทำไม? พ่อคิดว่าเขา(เป็นใครก็ไม่รู้ไม่ได้สืบถาม) คงไม่อยากให้สัตบุรุษคิดมากในแง่ลบว่าพระเยซูเจ้ารับโทษตกนรกกระมัง ก็ดูจะมีเหตุผล แต่ถ้ามองในแง่ประวัติศาสตร์ที่ต้องพยายามรักษาความเก่าแก่ไว้แล้ว ไปแปลคำนี้ว่า บาดาล ก็ไม่ได้ให้ความกระจ่างอะไร แถมเพิ่มความมึนงงเข้าไปอีกว่า บาดาล มันอยู่ส่วนล่างด้านไหนของโลก อะไรที่คล้ายๆอยู่ลึกๆเหมือนเจาะน้ำบาดาลใต้โลกหรือเปล่า เห็นมั้ยครับเรื่องของภาษานั้นแต่ละยุคก็จะมีความหมายต่างกันออกไป การเลี่ยงคำไม่ได้ช่วยอะไรนักในแง่นี้


แล้วจะแปลอย่างไรดีล่ะ พ่อว่า ต้นฉบับมันมาอย่างไรก็น่าจะเอาคำนั้นแล้วอธิบายกันทีหลังเอง ต้นฉบับนั้นใช้คำอะไรพ่อเองก็ไม่แน่ชัด รู้แต่ว่า ฉบับแปลบางฉบับใช้คำกรีกว่า Hades ที่ใช้ในนิยายปรัมปราของพวกกรีก และคำว่า Sheol ซึ่งใช้ในหมู่ชาวยิว


คำว่า Sheol นี้หมายถึงดินแดนเบื้องล่างที่อยู่ของวิญญาณ บางคนก็จินตนาการไปว่าเป็นที่อยู่ของวิญญาณที่ยังรอการพิพากษา ซึ่งไม่ใช่นรกและไม่ใช่สวรรค์ (แต่ที่แน่ๆภาษาอังกฤษใช้คำว่า Hell ซึ่งแปลว่า นรก) นักพระคัมภีร์ พบว่า เนื้อหาคำสอนเรื่องนี้มีความสัมพันธ์กับสิ่งที่พบในจดหมายนักบุญเปโตรฉบับที่ 1 บทที่ 3 ข้อ 19 ที่กล่าวถึงการกลับคืนชีพและการเสด็จไป นรก(บาดาล)ว่า.....และโดยพระจิตเจ้าพระองค์เสด็จไปเทศนาให้แก่จิตวิญญาณต่างๆที่ถูกจำจอง.... (อันนี้พ่อแปลเองนะครับไม่ได้อ้างพระคัมภีร์ไทยดังนั้นอาจจะต่างกันบ้าง)


นักพระคัมภีร์ในยุคหลังอธิบายการเสด็จลงไปใต้บาดาลต่างกันครับ บ้างก็ว่าพระองค์เสด็จไปเพื่อนำวิญญาณของผู้ชอบธรรมทั้งหลายที่เชื่อมั่นในพระธรรมเดิม เช่น ท่านอับราฮัม ท่านโมเสส ดาวิด อิสยาห์ ฯลฯ ประกาศกอื่นก่อนหน้าพระองค์ (จะเฉพาะพวกนี้หรือมนุษย์คนอื่นๆด้วยหรือเปล่าก็ไม่ยืนยัน แต่พ่อว่าน่าจะมีคนดีมากมายในยุคก่อนหน้าพระเยซูเจ้า ถ้าพวกเขายังอยู่ในดินแดนหรืออยู่ในสภาพการรอเช่นนั้น และพระองค์ก็น่าจะพาพวกเขาเข้าสวรรค์ด้วยคงไม่เลือกเฉพาะคนที่เชื้อสายยิวเท่านั้นกระมัง..เพราะคนดีเชื้อสายอื่นเช่นคานาอัน พวกฮิตไตน์ พวกเปอร์เชีย ฯลฯ ก็เชื่อว่าต้องมีคนดีแน่อนอนแม้เขาจะไม่เชื่ออย่างที่ชาวยิวเชื่อก็ตามเหอะ..)


บางคนก็ตีความว่า อันที่จริงการไปตีความแบบนั้นมันผิดจุดที่คนเขียนหลักความเชื่อต้องการ เพราะพวกเขาเพียงแต่ต้องการย้ำให้คนในยุคนั้นที่เถียงกันว่า พระเยซูเจ้าตายจริงหรือ? นั้นให้เงียบได้แล้ว เพราะพระองค์ตายจริง ตายทั้งกายและวิญญาณเหมือนมนุษย์เราทุกคนนั้นแหล่ะและจากจุดนี้มันไปสัมพันธ์กับความเชื่อว่าพระเยซูเจ้าคือ พระเจ้าแท้และมนุษย์แท้นั่นเอง ดังนั้นเขาเอาคำว่าพระองค์เสด็จไปใต้บาดาล(นรก)นั้นมาเพื่อบอกว่าพระองค์... ตายจริง....แค่นั้นแหล่ะไม่ได้หมายอย่างอื่น


พอมาถึงเมืองไทย คำนี้แปลว่า บาดาล เราก็เข้าใจว่าพระองค์ไปอีกที่หนึ่งที่ไม่ใช่นรก เห็นมั้ยจินตนาการคนเรามันไปตามภาษาที่บ่งความหมาย แต่จะนรกหรือบาดาล(ซึ่งไม่ใช่นรก) มันรวมๆแล้วก็คงจะหมายถึงแดนผู้ตาย จะอย่างไรก็ตามเราต้องไม่ลืมนะว่า ยังมีหลักความเชื่อฉบับอื่นที่ไม่ได้มีคำว่าพระองค์เสด็จลงไปในแดนผู้ตายนี้เลย...


นอกนั้นก็ยังมีคำอื่นที่น่าสนใจด้วยเช่นคำว่า สหพันธ์นักบุญ... คำนี้นักคิดบางท่านบอกว่าไม่ได้หมายถึงผู้ตายไปแล้วอย่างเดียว ผู้เขียนต้นฉบับนั้นหมายถึงคริสตชนทุกคน คือเขาถือว่าทุกคนที่เชื่อในพระเยซูเจ้าก็ใช้คำว่า นักบุญ (saint) ทั้งสิ้น นักบุญในความหมายของผู้เขียนในยุคแรกจึงหมายถึงผู้ที่เชื่อถึงพระคริสตเจ้าทุกคน (รวมทั้งพวกเราคนไทยที่ไปวัดไปวากันทุกวันนี้ด้วย) ก็ว่ากันไปแล้วแต่ใครจะเชื่อ

*heh มาถึงบทสรุป... คำถามคือ พระองค์ไปยังแดนผู้ตายมั้ย? ถ้าตอบตามหลักฐานของสัญญลักษณ์อัครสาวกก็ต้องบอกว่า เขาเขียนอย่างนั้น แต่ถ้ามองที่หลักความเชื่อของสังคายนาเมืองนิเชีย ก็ไม่มีคำนี้ คือมันข้ามไปเลย ทำไม? ปิตาจารย์อาจจะมองว่าไม่สำคัญกับความรอดมั้ง.... อ้าว แล้วเราในยุคนี้ล่ะ ต้องเชื่อหรือเปล่า? อันนี้ให้แต่ละคนต้องตัดสินใจเองครับ....พ่อชี้ทางได้แต่ไม่อาจตัดสินใจแทนได้..



;D ;D คุณพ่อไพบูลย์ อุดมเดช C.Ss.R.
แก้ไขล่าสุดโดย :+: seraphim :+: เมื่อ อังคาร ก.พ. 21, 2006 1:33 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Q
โพสต์: 103
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. พ.ค. 26, 2005 5:45 am

อังคาร ก.พ. 21, 2006 11:59 pm

จำได้ว่า เคยผ่านตาเรื่องพวกนี้มาเหมือนกัน
แต่ว่านานแล้ว เลยจำได้แบบลางๆ
ตอนนั้น ผมเลือกอ่านของทั้งสองฝั่งเลย

ฝั่งโปรแตสแตนท์ น่าจะเป็นงานเขียนของ Alan Lewis
แต่จำชื่อหนังสือไม่ได้ คล้ายๆจะเกี่ยวกับ Resurrection
ฝั่งคาทอลิก ผมเลือกอ่านความคิดของ Hans Urs von Balthasar
กับ Adrienne von Speyr (เธอคนนี้ เปลี่ยนจาก
Protestant มาเป็น Catholic)

ผมสังเกตว่าความคิดของ Balthasar จะค่อนข้างไม่เหมือนกับ
ของ St. Augustine และ St. Thomas Aquinas ซักทีเดียว
จริงๆ พูดได้ว่า ก็แทบไม่เหมือนปิตาจารย์คนไหนในอดีตด้วยซ้ำ
อาจเป็นเพราะว่า ท่านใกล้ชิดกับ Speyr ก็เป็นได้
(เพราะท่านเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านวิญญาณของ Speyr)

ใน Theology on Holy Saturday
ดูเหมือนท่านว่าเป็นสิ่งที่พระเยซูต้องทำอะ
นั่นคือลงไปในนรก และลงไปปลดปล่อยคนพวกนั้น
มันเป็นส่วนหนึ่งในแผนการแห่งความรอดเช่นกัน
พระองค์ไม่ใช่แค่ลงมาเป็นหนึ่งเดียวกับ ผู้เป็น บนโลก
แต่ยังลงมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับ ผู้ตาย ในอดีตอีกด้วย
ดูเหมือนท่านจะใช้คำว่า
แก้ไขล่าสุดโดย Q เมื่อ พุธ ก.พ. 22, 2006 12:08 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พุธ ก.พ. 22, 2006 12:18 am

ลก 16:19-31 อุปมาเรื่องเศรษฐีกับลาซารัส
   
ภาพประจำตัวสมาชิก
Q
โพสต์: 103
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. พ.ค. 26, 2005 5:45 am

พุธ ก.พ. 22, 2006 12:43 am

ผมจำได้ว่าเคยเห็นภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พุธ ก.พ. 22, 2006 12:51 am

นี่หรือเปล่าครับ

รูปภาพ
Nativity
โพสต์: 766
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 15, 2005 3:31 pm
ที่อยู่: Peace in sinner

พุธ ก.พ. 22, 2006 1:48 am

พระเจ้าทรงเป็นคนคุ้มครองผู้เป็นและผู้ตาย
เพราะพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
และทรงกลับคืนชีพดังที่ได้ตรัสไว้เเล้ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
Q
โพสต์: 103
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. พ.ค. 26, 2005 5:45 am

พุธ ก.พ. 22, 2006 2:12 am

Holy เขียน: นี่หรือเปล่าครับ


จริงๆ น่าจะเป็นอีกภาพหนึ่ง
แต่ภาพนี้ก็ใช้ได้ครับ ชัดเจนดี
ขอบคุณมาก ๆ

แต่ภาพที่ผมเคยเห็น ในภาพ แม้บางคน
จะไม่ได้มี รัศมีของความศักดิ์สิทธ์อยู่รอบศีรษะ
แต่ก็มานั่งฟัง คุกเข่าฟังอยู่รอบๆ
น่าจะมีความหมายไปอีกแบบ
ภาพนี้มีแต่ผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้นเลย

แต่ชอบภาพนี้ของคุณ Holy นะ
ปีศาจดูตลกๆดี
Nativity
โพสต์: 766
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 15, 2005 3:31 pm
ที่อยู่: Peace in sinner

พุธ ก.พ. 22, 2006 2:28 am

เท่าที่เคยรู้มานี่พระเจ้าลงไปช่วยวิญญาณของอดัมกับเอวาใช่ปะ
งง ช่วยตอบด้วยครับ :D
พระเจ้าสถิตย์กับเราเสมอ
~@
โพสต์: 2546
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 10:54 pm

พุธ ก.พ. 22, 2006 2:53 am

JERUSALEM เขียน: เท่าที่เคยรู้มานี่พระเจ้าลงไปช่วยวิญญาณของอดัมกับเอวาใช่ปะ
งง ช่วยตอบด้วยครับ :D
คงรวมอยู่ด้วยแหละครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
BARKER BARBER
โพสต์: 226
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มิ.ย. 24, 2005 8:34 pm
ที่อยู่: XAVIER HALL / PRISONMINISTRY

พุธ ก.พ. 22, 2006 6:33 pm

8) เห็นครูสอนคำสอนบอกว่าพระองค์เสด็จไปไถ่บาปให้คนที่เกิดก่อนที่พระองค์.. เช่นนี้ถูกต้องใหม ครับ 8)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พุธ ก.พ. 22, 2006 9:49 pm

groomer เขียน: 8) เห็นครูสอนคำสอนบอกว่าพระองค์เสด็จไปไถ่บาปให้คนที่เกิดก่อนที่พระองค์.. เช่นนี้ถูกต้องใหม ครับ 8)
ถูกครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nihil
~@
โพสต์: 1763
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 4:36 pm
ที่อยู่: Pax
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. ก.พ. 23, 2006 1:48 am

เห็นมีคำใช้เรียกแดนผู้ตายหลายคำทีเดียวนอกจาก Sheol และเนื้อหาหมายถึงดินแดนของผู้ตายที่อยู่ระหว่างนรกกับสวรรค์ ไม่มีการทรมานแต่ก็ไม่มีสันติสุข
ภาพประจำตัวสมาชิก
Andreas
~@
โพสต์: 3131
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 7:47 am
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. ก.พ. 23, 2006 3:46 pm

ผมสงสัยว่า หลังจากพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์แล้ว วิญญาณของคนที่ตายไปโดยไม่มีโอกาสรู้จักพระเยซูเจ้าขณะที่เขามีชีวิตอยู่ เช่นผู้ที่นับถือศาสนาอื่น จะต้องไปอยู่ในแดนมรณาก่อน จนกว่าจะถึงการพิพากษาครั้งสุดท้ายหรือไม่
Divine Mercy

พุธ มี.ค. 15, 2006 11:25 pm

วิญญาณทุกดวงที่ตายแล้วต้องไปอยู่ที่แดนมรณา(ใต้บาดาล)
เพื่อรอวันพิพากษาแยกคนดีคนชั่วออกจากกันและจะถูกส่ง
ไปยังนรกหรือสวรรค์ยกเว้นผู้ที่ได้ปฏิบัติตนจนได้รับการสถาปนาเป็นนักบุญ
ก็จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์โดยไม่ต้องรอถึงวันพิพากษา
Phulasso
โพสต์: 1236
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.พ. 24, 2006 10:18 am
ที่อยู่: Thailand

พฤหัสฯ. มี.ค. 16, 2006 10:23 am

ขอเรียนถาม
แล้วไฟชำระรวมหมายถึง ใต้บาดาลด้วยไหม
วิญญาณจะไปไฟชำระเมื่อใด

คริสเตียนมีไฟชำระไหม
ขอความรู้ด้วย ขอบพระคุณล่วงหน้า
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

พฤหัสฯ. มี.ค. 16, 2006 12:57 pm

Phulasso เขียน: ขอเรียนถาม
แล้วไฟชำระรวมหมายถึง ใต้บาดาลด้วยไหม
วิญญาณจะไปไฟชำระเมื่อใด

คริสเตียนมีไฟชำระไหม
ขอความรู้ด้วย ขอบพระคุณล่วงหน้า
ขอตอบตามความเห็นนะครับ

ไฟชำระก็คือใต้บาดาลด้วยครับ
เป็นที่ชำระเราให้สะอาดบริสุทธิ์ครั้งสุดท้ายก่อนที่เราจะเข้าไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์ครับ

ทางคริสเตียนไม่มีไฟชำระครับ เพราะเชื่อว่ามนษย์ทุกคนได้รับการไถ่บาปแล้วด้วยการสิ้นพระชนม์บนกางเขนครับ
Phulasso
โพสต์: 1236
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.พ. 24, 2006 10:18 am
ที่อยู่: Thailand

อาทิตย์ มี.ค. 19, 2006 7:35 pm

รูปภาพ

ขออนุญาต เผอิญไปเจอภาพของมาซัคโจ ในราวสมัยฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ได้เห็นรูปกระดูกด้านใต้กางเขน เคยได้ยินมาว่าใต้พระมหากางเขนขององค์พระคริสตเจ้า เป็นที่ฝังศพของอาดัม พระโลหิตของพระองค์ที่หลั่งลงจากกางเขนจึงรดลงชโลมกระดูกของอาดัม มีผลต่อการไถ่บาปของท่านเป็นคนแรก เลยโพสภาพมาให้ดูกัน
แก้ไขล่าสุดโดย Phulasso เมื่อ อาทิตย์ มี.ค. 19, 2006 7:55 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Phulasso
โพสต์: 1236
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.พ. 24, 2006 10:18 am
ที่อยู่: Thailand

อาทิตย์ มี.ค. 19, 2006 8:01 pm

พระเจ้าสถิตย์กับเราเสมอ(เจ้ทา) เขียน:
JERUSALEM เขียน: เท่าที่เคยรู้มานี่พระเจ้าลงไปช่วยวิญญาณของอดัมกับเอวาใช่ปะ
งง ช่วยตอบด้วยครับ :D
คงรวมอยู่ด้วยแหละครับ


เรียนคุณเยรูซาเล็มและคุณเจ๊ทา
ขอเสนอแนวความเชื่อของคนในยุคเรอเนอซอง และยังมีตกทอดมาถึงปัจจุบันมาบ้าง ที่ว่าพระโลหิตของพระองค์ไหลลงสู่บาดาลเพื่อไถ่บาปมนุษย์คนแรกคืออาดัม และรวมถึงคนอื่นๆด้วย ที่รูปของคุณโฮลี่ เห็นว่าวิญญาณมีรัศมีล้อมรอบแสดงว่าทุกคนถูกไถ่กู้หมดแล้ว
Phulasso
โพสต์: 1236
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.พ. 24, 2006 10:18 am
ที่อยู่: Thailand

อาทิตย์ มี.ค. 19, 2006 8:03 pm

เชิญท่านๆเรคคอมเมนท์ประกอบเถิด ใครอ่านภาษาลาตินออกช่วยแปลให้ด้วยว่าเหนือโครงกระดูกอาดัมเขียนว่าอะไร แล้วกระดูกของเอวาไปอยู่เสียที่ใด
Michael
โพสต์: 42
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มิ.ย. 10, 2005 1:15 pm

จันทร์ มี.ค. 20, 2006 1:53 pm

การเสด็จกลับมาครั้งที่สอง(เสด็จมาบนท้องฟ้า)
พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาบนท้องฟ้าเพื่อรับบรรดาผู้ที่อยู่ในพระองค์ที่ติดตามพระองค์อย่างสัตย์ซื่อ เพื่อนำพวกเขาไปรับบำเหน็จรางวัล การเสด็จมาบนท้องฟ้าจะเป็นการมาอย่างฉับพลันและผู้ที่ถูกรับนั้นจะหายไปจากแผ่นดินโลกในชั่วพริบตา เรียกว่าการถูกรับขึ้นไป (Rapture) มาจากภาษากรีกคือ harpzo มีความหมายว่า รับขึ้นไป การฉวยไปอย่างฉับพลัน ซึ่งสอดคล้องกับที่กล่าวไว้ในมัทธิว 24 เมื่อพระคริสต์กลับมารับผู้ที่เชื่อในพระองค์นั้นการรับธรรมิกชนนั้นจะเป็นการรับคนหนึ่งและละคนหนึ่งไว้ คนที่ทรงรับเอาไปและคนที่ทรงละไว้นั้นคือคนทั้งหลายที่อยู่ในพระคริสต์และคนเหล่านั้นที่มิได้อยู่ในพระคริสต์อย่างแท้จริง (ลูกา 17.34-36) คนที่เป็นของพระองค์และคนที่มิได้เป็นของพระองค์อย่างแท้จริง (ยอห์น 17.12) เจอร์รี่ ไวนส์กล่าวว่า คนที่พระเยซูมารับขึ้นไปเป็นผู้เชื่อที่บังเกิดใหม่จริงเท่านั้นทั้งคนที่ตายไปแล้วและมีชีวิตอยู่ คนที่ทรงรับไปและคนที่ทรงละไว้นั้นคือคนที่มีชีวิตอยู่ หมายถึงคนตายที่เป็นขึ้นมาเมื่อพระองค์เสด็จมา คนเหล่านั้นที่มิได้อยู่ในพระองค์จะยังไม่เป็นขึ้นมาจากความตาย นอกจากคนเหล่านี้(คนที่มิได้ตายในพระคริสต์)หรือคนอื่นๆที่ตายแล้วไม่ได้กลับมามีชีวิตอีก(คนที่มิได้เป็นขึ้นมาคือคนที่ไม่ได้เชื่อในพระองค์) จนกว่าจะครบหนึ่งพันปี นั่นหมายความว่าคนที่ยังไม่เชื่อในพระคริสต์ที่ตายไปแล้วจะยังไม่เป็นขึ้นมาในการเสด็จกลับมาบนท้องฟ้าเพื่อรับคนของพระองค์ แต่คนเหล่านี้จะเป็นขึ้นมาในวันพิพากษาครั้งสุดท้ายที่หน้าพระที่นั่งสีขาว เจอร์รี่ ไวนส์กล่าวถึงช่วงเวลาที่พระองค์จะมารับคนของพระองค์นั้นว่า ทุกคนยังทำกิจวัตรประจำวันตามปกติวิสัยและไม่ได้เตรียมพร้อม ซึ่งไม่แตกต่างยุคสมัยก่อนน้ำท่วมใหญ่ในยุคของโนอาห์ว่าเป็นอย่างไรในสมัยที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จกลับมานั่นก็ไม่แตกต่างกัน เมื่อถูกรับไปแล้วเขาจะถูกเปลี่ยนกายใหม่ในชั่วพริบตา และการกลับมาครั้งนี้ของพระองค์เป็นความหวังที่ลึกลับและมีความสำคัญมากต่อผู้ที่เชื่อในพระองค์ ดังนั้นการเป็นขึ้นมาของของคนที่อยู่ในพระคริสต์คือการฟื้นจากความตายครั้งแรก (วว.20.5) ยอห์นได้กล่าวว่า ผู้ใดที่ได้มีส่วนในการฟื้นจากความตายครั้งแรกก็เป็นสุขและบริสุทธิ์ เพราะว่าความตายครั้งที่สองไม่มีอำนาจเหนือคนเหล่านั้น แต่เขาจะเป็นปุโรหิตของพระเจ้าและของพระคริสต์และจะครอบครองร่วมกับพระองค์ตลอดเวลาหนึ่งพันปี (วว.20.6)
ตอบกลับโพส