อยากทราบวิธีตามหาแกะหลง

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
Andreas
~@
โพสต์: 3131
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 7:47 am
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

จันทร์ มี.ค. 14, 2005 1:49 pm

ผมรู้จักหลาย ๆ คนที่เป็นคาทอลิกมาตั้งแต่เด็ก แต่ตอนนี้พวกเขากลับหลงไปจากคอก เดินออกนอกลู่นอกทางของพระเจ้า ผมเลยอยากทราบวิธีการนำพวกแกะเหล่านี้กลับมาสู่คอกของพระ ผมรู้สึกลำบากใจที่จะชวนเขาตรง ๆ เพราะพวกเขาก็มักอ้างเหตุผลของตนว่าทำไมถึงทำตัวแบบนั้น การจะพูดอะไรตรง ๆ ก็กลัวเขาจะหนีมากกว่าที่จะเชื่อฟังแล้วยอมกลับตัวกลับใจ ผมคิดว่าคริสตังนอนจำนวนมากไม่มีประสบการณ์หรือไม่ใส่ใจเกี่ยวกับการสัมผัสถึงความรักของพระเจ้า หลาย ๆ คนเรียนคำสอนแค่ช่วงที่เป็นนักเรียนแล้วก็ไม่ได้เรียนต่อในระดับที่ผู้ใหญ่ควรจะได้รับ ทำให้ความเชื่อของเขาเป็นแบบเด็ก ๆ ที่ไม่ค่อยเหมาะกับวัยวุฒิสักเท่าไร ไม่มีความสามารถพอจะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจในหลักคำสอนของคริสตศาสนาได้ และหลาย ๆ คนก็ไปหลงกับความเชื่อในศาสนาอื่นที่เขาโดนชักจูงไปได้ง่าย ๆ และอีกหลายคนก็ดำเนินชีวิตแบบคนต่างศาสนา หรือตกในบาปต่าง ๆ ที่บางทีคนต่างศาสนาถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา

จะมีวิธีการดี ๆ วิธีใดบ้างที่จะช่วยพระเยซูเจ้าตามหาแกะที่หลงไปจากฝูงครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Andreas เมื่อ จันทร์ มี.ค. 14, 2005 1:51 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

จันทร์ มี.ค. 14, 2005 3:37 pm

ก็คงต้องพาเค้าเข้าวัดเป็นประจำครับ
อย่างน้อย ๆ ก้ต้องคอยบอกเสมอว่า "พระเป็นเจ้ารักคุณ"
อย่าให้เค้าทิ้งวัดครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Champkun
โพสต์: 570
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 10:35 pm
ที่อยู่: Bkk
ติดต่อ:

จันทร์ มี.ค. 14, 2005 11:58 pm

ภาวนา และทำตนให้เป็นตัวอย่างมังครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nihil
~@
โพสต์: 1763
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 4:36 pm
ที่อยู่: Pax
ติดต่อ:

อังคาร มี.ค. 15, 2005 12:45 am

ใช้โอกาสในการแทรกคำสอนเข้าไปเป็นยังไงครับ เกิดเราไปทำตรงๆแต่แรก พอเขาเห็นว่าจะมาสอนมาชวนอาจหนีได้ง่ายๆ ลองใช้โอกาสจากเรื่องอื่นวกเข้าหาเรื่องพระเรื่องคำสอนผ่านเรื่องอื่น พูดเหมือนกับชวนคุย เล่าประสบการณ์ที่เราประสบ เรื่องดีๆที่น่าสนใจให้เขาอ่านแบบค่อยๆเป็นค่อยไป พอเห็นเขาชักชอบค่อยหาโอกาสชวนมาภาวนา ไปวัด หรือทำกิจศรัทธาที่สูงกว่านั้นเป็นไงครับ :)
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

อังคาร มี.ค. 15, 2005 12:56 am

ลองชวนเขาเข้าบอร์ดนี้สิ ;D
mariana

อังคาร มี.ค. 15, 2005 2:58 am

คุณพ่อที่สอนคำสอนเราเคยบอกว่า

สิ่งที่จะเผยแผ่คำสอนของพระเยซูเจ้าได้ดีที่สุดคือ
การปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างที่ดีค่ะ .... เขาจะสงสัยเองว่า เราใช้ชีวิตยังไง
และนั่นคือประตูบานแรกที่ทำให้เขาได้เรียนรู้พระเยซูเจ้าจากเราค่ะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร มี.ค. 15, 2005 3:11 am

mariana เขียน: คุณพ่อที่สอนคำสอนเราเคยบอกว่า

สิ่งที่จะเผยแผ่คำสอนของพระเยซูเจ้าได้ดีที่สุดคือ
การปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างที่ดีค่ะ .... เขาจะสงสัยเองว่า เราใช้ชีวิตยังไง
และนั่นคือประตูบานแรกที่ทำให้เขาได้เรียนรู้พระเยซูเจ้าจากเราค่ะ
มธ 5:14
ภาพประจำตัวสมาชิก
Andreas
~@
โพสต์: 3131
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 7:47 am
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

อังคาร มี.ค. 15, 2005 8:07 am

ผมจะจำแนกได้อย่างไรว่าคนไหนเป็นแกะหลง คนไหนเป็นลูกล้างผลาญครับ หากอ่านจากบทความนี้

พระเจ้าทรงตามแกะหลงฝูง แต่ไม่ตามลูกล้างผลาญ

ศ.กีรติ บุญเจือ

นิทานเปรียบเทียบ 2 เรื่องนี้ แสดงให้เห็นถึงท่าทีของพระเจ้าอย่างชัดเจน เมื่อแกะแม้ตัวเดียวหลงฝูง เจ้าของแกะจะทิ้ง 99 ตัวไปตามหาจนพบ เพื่อนำมาเข้าฝูง ที่แกะหลงฝูงก็เพราะเข้าใจผิดว่าตนเดินถูกทาง เจ้าของออกติดตามด้วยอาการหวงและเป็นห่วง
ส่วนลูกล้างผลาญ ตั้งใจแยกทางกับบิดา บิดายอมเพราะเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (ผู้ใหญ่) ของลูกที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ทั้งหวงและห่วง แต่ก็ยอมให้ไปและไม่ออกติดตาม จิตใจจดจ่อรอคอยตลอดเวลา ว่าเมื่อไหร่จะตัดสินใจกลับมาหาพ่อ

สมมติลูกล้างผลาญนั้นไม่ยอมคิดกลับบ้านเลย แต่ตั้งใจจากพ่อจนตายหรือตลอดนิรันดร พ่อก็คงได้แต่เสียดาย แต่จะไม่ออกตาม และไม่บังคับให้กลับมา

พระเจ้าไม่บังคับขู่เข็ญให้คนทำดี เพราะเป็นการลดศักดิ์ศรีมนุษย์ และลบหลู่เกียรติพระองค์เอง ในเมื่อทรงตั้งพระทัยจะสร้างมนุษย์ให้มีศักดิ์ศรีสูงส่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วสำหรับตัวมนุษย์เอง และความอลังการแห่งประวัติศาสตร์แห่งความรอด

จะให้พระองค์ลดราคา หย่อนคุณภาพลงได้อย่างไร จะมิเป็นสิ่งน่าเศร้าสลดเสียใจของชาวสวรรค์ไปตลอดนิรันดรอย่างไม่มีการแก้ไขไปหรือ พระองค์จะไม่ทรงพระทัยอ่อนในเรื่องนี้อย่างแน่นอน

จึงสรุปได้ว่าใครจะได้ชีวิตนิรันดรอย่างไร อยู่ที่การเลือกตัดสินใจของตนเอง ซึ่งพระเจ้าทรงพร้อมตอบสนองตามแผนการแห่งความรอดนิรันดร

เจออีกบทความนึงในเวปอิสระครับ ขออนุญาตแปะที่นี่ด้วยนะครับ ผมและคนที่สนใจจะได้อ่านครับ

"งานของพ่อคือตามหาคริสตังทิ้งวัด" พ่อวิลเลียม แมคคีย์

พ่อเป็นสงฆ์คณะพระมหาไถ่แห่งแขวงสหรัฐอเมริกา นับแต่บวชเมื่อปี 1948 พ่อก็ได้ไปทำงานเผยแผ่พระวรสารแถบลุ่มแม่น้ำอเมซอนเป็นเวลา 10 ปี จากนั้นทำงานเป็นพ่อเจ้าวัด 14 ปี แล้วเป็นบรรณาธิการสำนักพิมพ์ลิโกวรีกว่า 10 ปี ล่าสุด สิบกว่าปีมานี้ พ่อทำงานติดตามคาทอลิกที่ทิ้งวัด
สมัยศึกษาในมหาวิทยาลัย พ่อรักบทกวีที่ชื่อ The Hound of Heaven ของ Francis Thompson มาก บทกวีนี้พรรณนาเรื่องพระเป็นเจ้าทรงติดตามไล่ล่ากระต่ายป่าอย่างไม่ลดละ บทกวีนี้หมายถึงความรักอันร้อนรนของพระเป็นเจ้า ผู้ไม่ยอมหยุดเสาะหาวิญญาณที่หลุดออกจากห้วงความรักของพระองค์ และมันก็เป็นจริง พ่อเห็นกับตาตัวเองหลายต่อหลายครั้งในงานที่พ่อทำ และพ่อบอกได้อย่างเต็มปากว่า "พระไม่เคยหมดหวังในประชากรของพระองค์" งานของพ่อนำการติดตามไล่ล่าอันนับครั้งไม่ถ้วน พ่อเคยร่วมจมดิ่งลงไปในหุบเหว หรือขึ้นยอดเขาสูงกับพระองค์เพื่อหาลูกที่รัก ครั้นพบ ก็จะสวมกอดด้วยความปลื้มปิติยิ่งนัก หลายครั้งเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ พ่อเงยหน้าสู่เบื้องบน และร้องบทสดุดี "พระองค์ทรงยิ่งใหญ่นัก"

หลายปีที่ทำงานนี้ พ่อพบคาทอลิกทอดทิ้งวัดประมาณหมื่นคน ไม่อาจอธิบายได้ว่าอะไรจูงใจพวกเขาเหล่านี้ให้มาฟังพ่อเทศน์อบรม มีบางคนที่เข้าศาสนาเข้านิกายอื่น บางคนยังปฏิบัติกิจศรัทธา บางคนคงความโกรธแค้น บางคนมีความเจ็บช้ำระกำใจ ในตอนแรก พ่อก็รู้สึกกลัว เพราะไม่สามารถเข้าถึงพวกเขาได้ ยิ่งวันยิ่งรู้สึกตัวเองล้มเหลว อยากจะหันหลังกลับไปทำงานประจำวัดอย่างเคย และให้คนอื่นที่มีความสามารถมากกว่าเข้ามาทำแทน แต่พ่อก็กัดฟันอยู่ตรงนั้น

เหตุแห่งการทิ้งวัด

พ่อทำงานกับคาทอลิกทอดทิ้งวัดมามากจนทำให้รู้ว่า การเข้าไม่ถึงพวกเขาก็เพราะมองไม่เห็นความเจ็บแค้น ความทุกข์ทรมานของพวกเขา หลายคนไม่กล้าเปิดเผยเพราะความอับอาย ไม่ไว้ใจหรือเหตุผลอื่นๆ หลายคนเข้าใจพระศาสนจักรผิดๆ การไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นอีกเหตุหนึ่งที่เขาโยงใยเข้าถึงเรื่องศาสนา บางคนกลายเป็นผู้ชอบตำหนิคนอื่น เช่น บุคลากรในพระศาสนจักร ไม่ว่าจะเป็นพระสันตะปาปา พระสังฆราช พระสงฆ์นักบวช ครูสอนคำสอน หรือใครก็ตามที่เป็นตัวแทนถึงพระ

ครั้งหนึ่งในการพบปะพูดคุยกับกลุ่มคาทอลิกทิ้งวัด 28 คนในเมืองหนึ่งทางตอนใต้ของอเมริกา ผู้เข้าร่วมบางคนระบายความโกรธเกรี้ยวออกมาดุจพายุ ชายคนหนึ่งบอกพ่อว่าเขาคิดว่าพระสันตะปาปาคือซาตาน และพวกพระสงฆ์คือของสำรอกที่ออกมาจากปากซาตาน แล้วเขาถามพ่อว่า "แล้วพระอย่างแกล่ะคิดว่ายังไง?" พ่อตอบว่า "พ่อไม่ค่อยได้ยินเรื่องอย่างนี้มากนัก" สิ่งที่พ่อถามเขาและถามคนอื่นๆในกลุ่มคือ "อะไรที่ทำให้เธอไม่มีความสุข?" ความเป็นจริงก็คือคนไหนยิ่งโกรธมาก คนนั้นก็ยิ่งใกล้จะกลับใจ

มีคนให้เหตุผลต่างๆนานาที่คนทิ้งวัดทิ้งพระศาสนจักร มีเหตุเพราะความเกียจคร้าน การแยกแยะผิดชอบชั่วดีไม่ออก ศีลธรรมที่เสื่อมทราม และแนวโน้มของสังคมปัจจุบันที่เน้นวัตถุนิยม แม้ว่าสิ่งดังกล่าวจะเป็นที่มาของการทิ้งพระ แต่พ่อเห็นว่ายังมีมากกว่านี้อีก จากการทำงานโดยตรงกับบุคคลที่ทิ้งวัดนับร้อยนับพันราย พ่อพอจะสรุปได้ว่ามีสาเหตุใหญ่อยู่ 3 ประการคือ

1. กฎหมายพระศาสนจักร
2. ความเจ็บช้ำจากการกระทำของศาสนบริกรของพระศาสนจักร
3. การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในพระศาสนจักรเอง

กฎหมายพระศาสนจักร

ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ว่าด้วยการคุมกำเนิด การหย่าร้างและการแต่งงาน การต้องไปวัดทุกวันอาทิตย์ การสารภาพบาปกับพระสงฆ์ การไม่ให้ผู้หญิงมีสิทธิโปรดศีลต่างๆ การล้างบาปทารก การใช้อำนาจและความหยิ่งยะโสของพระสงฆ์นักบวช ความมั่งคั่งร่ำรวยของพระศาสนจักร พ่อมีคำต่อว่าพระศาสนจักรและผู้เกี่ยวข้องมากถึง 22 หน้ากระดาษ

เจ็บช้ำเพราะการกระทำของพระสงฆ์นักบวช

ชายคนหนึ่งโทรศัพท์มาบ้านพักพระสงฆ์ประมาณ 4 ทุ่ม ขอให้เจ้าวัดมาด่วนเพื่อโปรดศีลทาสุดท้ายให้ภรรยาเขาที่ใกล้จะตาย พ่อเจ้าวัดตอบว่าเสียใจด้วยที่ภรรยากำลังจะตาย แต่ช่วยโทรมาใหม่พรุ่งนี้เช้าในเวลาราชการ อีกเรื่องหนึ่งในทำนองคล้ายกัน แม่คนหนึ่งให้กำเนิดทารกพิการ เธอกำลังอุ้มเด็กนั้นเพื่อจะขอรับศีลล้างบาป แต่พ่อเจ้าวัดบอกว่าไม่เห็นมีหลักฐานเอกสารใดที่บอกว่าเธอเป็นสมาชิกวัดนั้น และไม่เห็นเธอเคยช่วยเหลืออะไรวัดเลย แถมยังบอกเธออีกว่าถ้าทำบุญให้วัดบ่อยๆแล้วล่ะก็ ท่านคงจะล้างบาปให้ทารกได้ แล้วก็เดินจากไปโดยไม่ถามไถ่เกี่ยวกับตัวเธอและทารกนั้นเลย

อีกกรณี พ่อเจ้าวัดบอกแม่ลูกสี่ว่าถ้าผ่าตัดเอามดลูกออก (ทำหมัน) เธอจะถูกตัดออกจากพระศาสนจักร เธอจึงไม่กล้าผ่าตัด จากนั้นไม่นานเธอก็เสียชีวิต ผลตามมาก็คือทั้งพ่อกับลูกๆทั้งสี่คนทิ้งวัดและสาบานว่าจะไม่กลับเข้าพระศาสนจักรอีก

เป็นที่แน่ชัดว่าหลายครั้งบุคลากรของพระศานจักรทำให้สัตบุรุษผิดหวัง อาจเพราะไม่ยึดมั่นในพระ เกียจคร้านหรือโง่เขลาเบาปัญญา โดยทั่วไปเวลาใครถูกพระสงฆ์นักบวชทำให้เจ็บช้ำ พ่อก็จะทำกิจใช้โทษบาปและขอให้ผู้นั้นให้อภัย ตราบจนทุกวันนี้ พ่อยังไม่เคยเห็นใครปฏิเสธไม่ให้อภัยพระสงฆ์ที่เคยทำผิดต่อเขาในอดีต

แต่ก็มีบางเรื่องที่ออกจะน่าเหลือเชื่อ ชายคนหนึ่งเล่าว่าเขาทิ้งวัดเพราะพ่อเจ้าวัดผู้หนึ่ง จับมือกับทุกคนหลังมิสซาแต่ไม่เคยจับมือเขา หญิงคนหนึ่งเลิกมาวัดเพราะพระสงฆ์มางานสุดหรูของเธอโดยสวมรองเท้าแตะสกปรก บ้างก็เล่าว่าสมัยเรียนชั้นประถม พวกเขาถูกลงโทษอย่างรุนแรงจากบราเดอร์ซิสเตอร์ เหตุผลดังกล่าวเหล่านี้ อาจดูไม่น่าสำคัญสำหรับเรา แต่สำคัญมากสำหรับคนที่ประสบกับเรื่องเหล่านี้

การเปลี่ยนแปลงในพระศาสนจักร

สิ่งนี้เกิดขึ้นหลังการสังคายนาวาติกันที่ 2 ก่อนทำงานนี้ พ่อไม่ทราบว่าคาทอลิกที่ดีหลายคนเจ็บปวดเพราะการสังคายนานี้ เหตุผลจากพวกเขาก็คือความไม่แน่นอนในอนาคตของชีวิตนิรันดร หรือว่าพวกเขาสนับสนุนคนผิดมาตลอดหรืออย่างไร? มีการตั้งคำถามว่า "ถ้าเป็นสัจธรรม แล้วทำไมจึงเปลี่ยนแปลงได้?" "นี่คือพระศาสนจักรที่เราเคยเป็นสมาชิกและสนับสนุนมากว่า 50 ปีหรือเปล่า?" "ถ้าภาษาลาตินเป็นที่พอพระทัยของพระเยซู ทำไมยุคนี้ภาษาลาตินจึงไม่เหมาะกับเราเล่า?"

คำถามเหล่านี้มีอารมณ์แฝงอยู่ด้วย และพ่อเชื่อว่ามีอะไรที่ลึกๆมากกว่าคำพูดเหล่านี้ โดยทั่วไป มักจะไม่เกิดผลดีที่จะอธิบายว่าสัจธรรมหลักยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง ที่เปลี่ยนไปคือการปฏิบัติบางอย่าง พิธีกรรมบางตอน คำอธิบายแบบนี้ไม่มีใครยอมรับ เพราะยากที่จะเข้าใจ พ่อมาพบคำตอบที่พอใจก็ต่อเมื่อได้อ่านหนังสือชีวประวัติของ Hilaive Bellor โดย A.X. Wilson ผู้ยกเอาคำกล่าวของ Bellor ซึ่งทิ้งวัดมานานหลายปีดีดัก แล้วกลับมาเข้าวัดว่า "ผมคงไม่เข้าใจพระศาสนจักรที่โรมตราบเท่าทุกวันนี้ แต่มิสซาและศีลมหาสนิทยังคงเดิม และมารู้สึกเหมือนได้กลับบ้านเมื่อได้ยินพระสงฆ์หนุ่มเทศน์ ซึ่งทำให้ผมสวดที่พระแท่นของแม่พระเหมือนครั้งสมัยที่เป็นเด็กๆอีกครั้ง" วลีสุดท้ายมีความหมายมาก "เหมือนสมัยที่เป็นเด็กๆอีกครั้ง"

พ่อเข้าใจแล้วว่าการเปลี่ยนแปลงภายในพระศาสนจักรเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนสัญลักษณ์ที่เรายึดติดเคยชินกับมันในสมัยเด็กๆ ซึ่งได้แก่ รูปพระ ความศรัทธาต่อพระแม่มารีย์ การแห่แม่พระเดือนตุลาคม การรับศีลมหาสนิทครั้งแรก ผ้าคลุมศีรษะ ประวัตินักบุญ สีสันของรูปศักดิ์สิทธิ์ สายจำพวก เพลงสวด กลุ่มนักขับประจำวัด คำอวยพร ความสวยงามของระเบียงหน้าพระแท่น และการตีความเรื่องราวในพระคัมภีร์ ในรายการ 63 รายการผิดหวังในพระศาสนจักร มีสิ่งที่เปลี่ยนไปและสร้างความเสียใจมากๆก็คือได้เห็นบรรดาซิสเตอร์ถอดชุดออก หันมาสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดา เห็นพิธีกรหญิงในมิสซา และเห็นเด็กช่วยมิสซาเป็นผู้หญิง เหล่านี้เป็นแต่เพียงตัวอย่างเล็กน้อย สิ่งที่เราต้องชดใช้กับการเปลี่ยนแปลงสัญลักษณ์วัยเด็กเป็นเรื่องสำคัญมาก

ทำอย่างไรจึงจะเข้าถึงคาทอลิกทิ้งวัด

นั่นเป็นชื่อหนังสือที่พ่อเขียน เนื้อหาว่าด้วยเรื่องทัศนคติมากกว่าการสอน พ่อได้จัดโปรแกรมวิธีปฏิบัติเพื่อเข้าถึงคาทอลิกทิ้งวัด ซึ่งบัดนี้ มีวัดกว่า 6 พันแห่งในสหรัฐ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และอังกฤษ ได้นำไปทดลองใช้

โปรแกรมนี้ประสบความสำเร็จอย่างน่าแปลกใจทีเดียว เพราะคาทอลิกทิ้งวัดส่วนใหญ่ยินดีต่อการเชื้อเชิญให้กลับเข้าสู่พระศาสนจักรอีกครั้ง จากการสำรวจพบว่า 80% ของผู้ได้รับเชิญจะกลับมาภายใน 5 ปี

มีหลายเหตุผลที่อธิบายว่าทำไมโปรแกรมการเข้าถึงผู้ทิ้งวัดนี้จึงประสบผลสำเร็จ เหตุผลแรกคือ เป็นครั้งแรกที่พระศาสนจักรเดินเข้าไปหาพวกเขาก่อน พวกเขาได้รับความสำคัญในสายตาของผู้อยู่ในพระศาสนจักร เหตุผลที่สองคือ ศีลมหาสนิท ใครก็ตามที่รับศีลมหาสนิทมานานพอสมควร เมื่อหยุดไปก็จะโหยหาพระกายพระโลหิตแท้ของพระเยซู เหมือนกับศีลมหาสนิทเป็นทุกส่วนของการมีชีวิตของเขา มีคาทอลิกทิ้งวัดนับร้อยๆคนที่เข้าโปรแกรมกับพ่อ เพียงเพื่อจะได้มีโอกาสรับศีลมหาสนิทอีกครั้ง เวลาพ่ออ่านพระวรสารนักบุญยอห์นบทที่ 6 ให้เขาฟัง บางคนเริ่มร้องไห้

เมื่อพ่อส่งจดหมายเชิญคาทอลิกทิ้งวัดให้กลับมาวัดอีกครั้ง ส่วนใหญ่ไม่มีใครตอบรับ แม้ว่าจะสอดไปรษณียบัตรให้ด้วยก็ตาม จากนั้นหนึ่งสัปดาห์ให้หลัง พ่อจะโทรศัพท์ตาม มี 50% ตอบตกลงว่าจะมาร่วม สัปดาห์แรกมีคนมาร่วมโปรแกรม 29% สัปดาห์ที่สอง 19% และลดลงเรื่อยจนเหลือ 12% คุณพ่อเจ้าวัดบางคนผิดหวังกับจำนวนเปอร์เซ็นต์ที่ลดน้อยลงเรื่อยๆเช่นนี้ เพราะพ่อสัญญากับเขาว่าจะได้ถึง 80% ตอนนี้พ่อรู้แล้วว่าการเก็บข้อมูลเป็นตัวเลขหรือนับจำนวนคนเป็นสิ่งไม่ดี สิ่งที่พ่อทำก็คือการเพาะเมล็ด ที่เหลือเป็นการเก็บเกี่ยวที่พระจะจัดการ

พ่อคิดว่าควรจะกล่าวถึงคาทอลิกที่ได้ประสบปัญหาหรือความผิดหวังต่างๆหนักหน่วงรุนแรงดุจเดียวกับพวกคนที่ทิ้งวัด แต่พวกเขาก็ไม่ได้เดินจากพระไป ทำไม? เพราะพวกเขาเรียนรู้และสามารถทำให้ความทุกข์เป็นสิ่งที่จูงเขาให้ใกล้ชิดกับพระเยซูเจ้ามากขึ้น เพื่อนก็มีความสำคัญ เพื่อนผู้มีความเชื่อช่วยให้พวกเขาผ่านความเจ็บปวดทุกข์ทนไปได้ พ่อพบว่าคิดเป็นอัตราแล้ว คาทอลิกศรัทธามีเพื่อน 8 คนหรือมากกว่านั้น ส่วนคาทอลิกทิ้งวัดมีเพื่อนแค่ 4 คนหรือน้อยกว่านั้น กลุ่มกิจกรรมของวัดก็ช่วยเหลือสนับสนุนเป็นกำลังใจให้กันได้ พ่อไม่เคยได้ยินเลยว่าสมาชิกกลุ่มที่เย็บผ้าให้วัดได้กลายเป็นคนทิ้งวัด พวกเขาคุยกันไป เย็บผ้าไป จึงทำให้ได้ระบายความทุกข์ข้องหมองใจ

จดหมายจากนักบุญเปาโลถึงชาวโรม บทที่ 14-15 เสนอแนวทางเพื่อช่วยเหลือคาทอลิกที่ละทิ้งวัดว่า

"จงต้อนรับผู้ที่ยังมีความศรัทธาน้อย อย่าโต้เถียงกับเขาในเรื่องความเห็นส่วนตัว"

"เราผู้ซึ่งมีความศรัทธามั่นคง ควรจะช่วยผู้ที่อ่อนแอกว่าในเรื่องที่เขาสงสัยและหวาดระแวง เราไม่ควรจะทำตามความพอใจของเราเท่านั้น แต่เราทุกคนควรทำให้พี่น้องคริสตชนพอใจและคิดว่าสิ่งใดดีที่สุดสำหรับเขา เพื่อจะได้เสริมสร้างความศรัทธา"

นับเป็นสิ่งดีและกิจกรรมศักดิ์สิทธิ์ในการที่จะเสาะแสวงหาแกะที่หลงทาง เพราะพวกเขาคือมณีล้ำค่าของพระ และเท่าที่พ่อพบเห็นมา ใครที่เข้าไปมีส่วนร่วมในงานนี้แล้ว จะไม่เหมือนคนเดิมอีก พระเป็นผู้ประทานให้ด้วยความใจกว้างเสมอ
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

อังคาร มี.ค. 15, 2005 1:08 pm

Holy เขียน:
mariana เขียน: คุณพ่อที่สอนคำสอนเราเคยบอกว่า

สิ่งที่จะเผยแผ่คำสอนของพระเยซูเจ้าได้ดีที่สุดคือ
การปฏิบัติตนเป็นตัวอย่างที่ดีค่ะ .... เขาจะสงสัยเองว่า เราใช้ชีวิตยังไง
และนั่นคือประตูบานแรกที่ทำให้เขาได้เรียนรู้พระเยซูเจ้าจากเราค่ะ
มธ 5:14
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

ศุกร์ มี.ค. 18, 2005 9:47 am

I believe in the sacrament of baptism... Jesus always keeps everyone he annointed with Him.... He can physically leave the church but his spirit is belong to the church always.. :)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Andreas
~@
โพสต์: 3131
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 7:47 am
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

ศุกร์ มี.ค. 18, 2005 3:13 pm

มีเพื่อนบางคนเขาไม่กล้ามาแก้บาปครับ เขาคงไม่ได้สารภาพบาปมาหลายปี เขาบอกว่า "ยังตัดใจเลิกทำบาปนั้นไม่ได้ เขาไม่เหมาะจะเข้าสวรรค์หรอก" ผมไม่อยากให้เขาคิดอย่างนั้นเลย เพราะพระเจ้าทรงสร้างเรามาเพื่อสวรรค์เท่านั้น เราทุกคนเกิดมาเพื่อเป็นนักบุญของพระเจ้า ใคร ๆ ก็เคยทำบาป แต่กระนั้นหลาย ๆ คนก็ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนใจเลยที่ยังจมปลักอยู่ในบาป
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

ศุกร์ มี.ค. 18, 2005 4:32 pm

ต้องสวดให้เค้ามาก ๆ ครับ
และบอกเค้าว่าพระองค์ทรงตั้งศึลอภัยบาปเพื่ออภัยบาปแก่ทุกคน
อย่างน้อย ๆ การแก้บาปก็เป็นการบอกกับพระเป็นเจ้าว่าเราสำนึกบาปนั้น ๆ แล้วครับ

บอกเค้าว่า ถ้าไม่รีบแก้บาปนั้น นานวันเข้าจะมองว่าบาปนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะว่าเราไม่สนใจที่จะเป็นทุกข์ถึงบาปเลยครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

ศุกร์ มี.ค. 18, 2005 8:51 pm

Andreas เขียน: มีเพื่อนบางคนเขาไม่กล้ามาแก้บาปครับ เขาคงไม่ได้สารภาพบาปมาหลายปี เขาบอกว่า "ยังตัดใจเลิกทำบาปนั้นไม่ได้ เขาไม่เหมาะจะเข้าสวรรค์หรอก" ผมไม่อยากให้เขาคิดอย่างนั้นเลย เพราะพระเจ้าทรงสร้างเรามาเพื่อสวรรค์เท่านั้น เราทุกคนเกิดมาเพื่อเป็นนักบุญของพระเจ้า ใคร ๆ ก็เคยทำบาป แต่กระนั้นหลาย ๆ คนก็ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนใจเลยที่ยังจมปลักอยู่ในบาป

ต้องอธิบายให้เขาเข้าใจว่า
การแก้บาปเป็นสิ่งจำเป็น
ถึงแม้ว่าเราจะยังทำบาปนั้นอยู่ ก็เป็นเพราะความอ่อนแอของมนุษย์
จะรอจนเราเลิกทำบาปนั้น ถึงจะมาคืนดีกับพระ
แล้วเมื่อไหร่มันจะได้มาคืนดีล่ะ

เราทำผิดกับเพื่อน กับพ่อแม่ เรายังขอโทษ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านับจากนั้นเราจะไม่ทะเลาะกันอีก

ลองพามาวัดพระจิต
มาเข้ากลุ่มพวกเราสิตาเพชร
ตาเพชรอาจจะพูดน้อยเลยพูดไม่ทันเขาก็ได้
แต่ที่นี่มีเด็กช่างจ้ออยู่หลายคน น่าจะช่วยให้กำลังใจเขาได้บ้าง

โดยเฉพาะเจ้าเจี๊ยบ หึ หึ หึ
spirit

ศุกร์ มี.ค. 18, 2005 9:17 pm

;) ต้องค่อยๆๆ พูด หาหนังสือให้อ่าน ส่วนตัวเราอธิษฐาน รอสักวันพระเจ้าจะเปลี่ยนใจเขา





ปล.ตอนแรกกะเล่นมุข โทรเข้ามือถือหนูสิ กัวไม่ขำ :P
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

ศุกร์ มี.ค. 18, 2005 9:23 pm

เหอ เหอ

ขำ ขำ จ๊ะ ขำ ขำ

ก็อยากจะลองโทรดู อิอิ *dirty
ภาพประจำตัวสมาชิก
Andreas
~@
โพสต์: 3131
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 7:47 am
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

อาทิตย์ มี.ค. 20, 2005 2:18 pm

~@Little lamb@~ เขียน:
Andreas เขียน: มีเพื่อนบางคนเขาไม่กล้ามาแก้บาปครับ เขาคงไม่ได้สารภาพบาปมาหลายปี เขาบอกว่า "ยังตัดใจเลิกทำบาปนั้นไม่ได้ เขาไม่เหมาะจะเข้าสวรรค์หรอก" ผมไม่อยากให้เขาคิดอย่างนั้นเลย เพราะพระเจ้าทรงสร้างเรามาเพื่อสวรรค์เท่านั้น เราทุกคนเกิดมาเพื่อเป็นนักบุญของพระเจ้า ใคร ๆ ก็เคยทำบาป แต่กระนั้นหลาย ๆ คนก็ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนใจเลยที่ยังจมปลักอยู่ในบาป

ต้องอธิบายให้เขาเข้าใจว่า
การแก้บาปเป็นสิ่งจำเป็น
ถึงแม้ว่าเราจะยังทำบาปนั้นอยู่ ก็เป็นเพราะความอ่อนแอของมนุษย์
จะรอจนเราเลิกทำบาปนั้น ถึงจะมาคืนดีกับพระ
แล้วเมื่อไหร่มันจะได้มาคืนดีล่ะ

เราทำผิดกับเพื่อน กับพ่อแม่ เรายังขอโทษ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านับจากนั้นเราจะไม่ทะเลาะกันอีก

ลองพามาวัดพระจิต
มาเข้ากลุ่มพวกเราสิตาเพชร
ตาเพชรอาจจะพูดน้อยเลยพูดไม่ทันเขาก็ได้
แต่ที่นี่มีเด็กช่างจ้ออยู่หลายคน น่าจะช่วยให้กำลังใจเขาได้บ้าง

โดยเฉพาะเจ้าเจี๊ยบ หึ หึ หึ

คงจะยาก แต่จะพยายามครับ
ตอบกลับโพส