เครื่องหมายของคริสตจักรที่แท้จริงคือ............

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

ศุกร์ พ.ค. 18, 2007 7:12 pm

ทุกวันนี้ เราพบว่ามีคริสตชนมากมายหลายนิกายต่างอ้างตัวกันว่า พวกเขาคือคริสตจักรแท้ เป็นคริสจักรที่ขึ้นตรงกับพระเยซูเจ้าบ้าง เป็นคริสตจักรเพียงแห่งเดียวที่พระเจ้าสถิตย์อยู่บ้าง และยังอ้างต่อว่า คริสตจักรฉันเท่านั้นที่รอด พวกอื่น เทียมเท็จ จอมปลอม ตกนรกหมด

ดังนั้นนอกจากคริสตจักรเหล่านี้ จะแสวงหาผู้เชื่อใหม่จากคนต่างศาสนาแล้ว ยังนิยมดึงผู้เชื่อจากนิกายอื่นหรือโบสถ์อื่น มาเข้าสังกัดคริสตจักรของตัว จะด้วยบริสุทธิ์ใจ(เพราะคิดว่าคนอื่นจะตกนรกหมดจริงๆ) หรือแข่งขันชิงดี(เพราะต้องทำยอดเลื่อนขั้น) ก็ตาม แต่เราพบสิ่งที่ตามมาแน่ๆก็คือ การโอ้อวด ครสิตจักรตัวเอง และใส่ร้ายด่าทอ คริสตจักรอื่นๆ

ในความเป็นจริง หากเรามองว่าทุกคนมีสิทธิ์แบ่งปันสิ่งที่ดีในคริสตจักรตัวเองแก่พี่น้องหรือไม่ ก็บอกได้เลยว่าควร แต่ถามว่าเราสมควรเหยียดหยามทำลายคริสตจักรอื่นหรือไม่ หากถามคริสตจักรที่ถูกกระทำคงตอบว่าไม่ควร แต่หากถามที่คริสตจักรผู้กระทำ คำตอบนั้น อาจไม่ได้อยู่บนรากฐานของจริยธรรม หรือเหตุผล หรือมารยาทใดๆ หากเขามีความคิดเสียแล้วว่า คริสตจักรฉันเท่านั้นที่แท้จริงคริสตจักรอื่นไม่รอด

ดังนั้นแล้วคงถึงเวลาที่คริสตชนสมควรเรียนรู้ว่า เครื่องหมายของคริสตจักรแท้คืออะไร
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ ศุกร์ พ.ค. 18, 2007 10:37 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

ศุกร์ พ.ค. 18, 2007 7:32 pm

เครื่งหมายของคริสตจักรแท้คือมีพระวิญญาณแสดงอัศจรรย์โดยดูได้จากการพูดภาษาแปลกๆ

มีโบสถ์บางแห่งอ้างว่า คริสตจักรตัวแท้กว่าที่อื่นเพราะทุกคนพูดภาษาแปลกๆได้ แปลว่าพระเจ้าอยู่ที่นี่ ใครพูดภาษาแปลกๆไม่ได้ แปลว่าไม่เติบโต ถูกรังเกียจจากพี่น้องอื่น จนอาจบีบคั้นให้ต้องเสแสร้งแกล้งพูด หรือหัดพูด เพื่อให้ดูว่าตัวเองไม่แปลกแยก และไม่ต้องสงสัยเลยว่า คริสตจักรแบบนี้ จะดูถูกว่าคริสตจักรอื่นที่ไม่เน้นพระพรพูดภาษาแปลกๆนั้น ไม่มีพระจิตเจ้าอยู่ เป้นคริสตจักรหญ้าแห้ง เป้นคริสตจักรตายแล้ว ไม่เหมือนของตัวที่เป็นคริสตจักรหญ้าเขียว มีชีวิตชีวา

คำถามคือ มีการอนุมานจากไหนกันว่าเครื่องหมายของคริสตจักรแท้ต้องพูดภาษาแปลกๆได้ทั้งโบสถ์?

มีข้อพระคัมภีร์ที่ถูกยกอ้างเสมอ ในคริสตจักรเน้นพูดภาษาแปลกๆ


กจ 2:1-13 วันเปนเตกอสเต
เมื่อวันเปนเตกอสเตมาถึง บรรดาศิษย์ทุกคนมาชุมนุมในสถานที่เดียวกัน ทันใดนั้นมีเสียงจากฟ้าเหมือนเสียงลมพัดแรงกล้าทุกคนที่อยู่ในบ้านได้ยิน เขาเห็นเปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้นแยกไปอยู่เหนือศีรษะของเขาแต่ละคน ทุกคนได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม และเริ่มพูดภาษาอื่น ๆ ตามที่พระจิตเจ้าประทานให้พูด ขณะนั้นที่กรุงเยรูซาเล็มมีชาวยิวผู้เลื่อมใสศรัทธาในพระเจ้ามาจากทุกชาติทั่วโลก เมื่อประชาชนได้ยินเสียงนี้ จึงมาชุมนุมกันจำนวนมาก รู้สึกฉงนสนเท่ห์เพราะแต่ละคนได้ยินคนเหล่านี้พูดภาษาของตน และประหลาดใจอย่างยิ่ง กล่าวว่า “ทุกคนที่กำลังพูดอยู่นี้เป็นชาวกาลิลีมิใช่หรือ แล้วทำไมเราแต่ละคนจึงได้ยินเขาพูดภาษาท้องถิ่นของเราเล่า เราชาวปาร์เธีย ชาวมีเดีย และชาวเอลาม บางคนอาศัยอยู่ในเขตเมโสโปเตเมีย แคว้นยูเดีย แคว้นคัปปาโดเซีย แคว้นปอนทัสและแคว้นเอเชีย แคว้นฟรีเจียและแคว้นปัมฟีเลีย บางคนมาจากประเทศอียิปต์และเขตของประเทศลิเบีย รอบ ๆ เมืองไซรีน บางคนมาจากกรุงโรม ทั้งชาวยิวและผู้กลับใจเข้านับถือลัทธิยิวบางคนเป็นชาวเกาะครีตและชาวอาหรับ พวกเราได้ยินคนเหล่านี้ประกาศกิจการอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเป็นภาษาของเรา” ทุกคนประหลาดใจและฉงนสนเท่ห์พูดกันว่า “นี่หมายความว่าอย่างไร” แต่บางคนหัวเราะเยาะ กล่าวว่า “พวกนี้ดื่มเหล้ามากเกินไป”


กจ 10:44-48 คนต่างศาสนากลุ่มแรกรับศีลล้างบาป
ขณะที่เปโตรกำลังพูด พระจิตเจ้าเสด็จลงมาเหนือทุกคนที่กำลังฟังพระวาจา ชาวยิวผู้มีความเชื่อที่มากับเปโตรประหลาดใจที่คนต่างศาสนาได้รับพระพรของพระจิตเจ้าด้วย เพราะชาวยิวเหล่านี้ได้ยินคนต่างศาสนาพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ และสรรเสริญพระเจ้า เปโตรพูดว่า ”ใครเล่าจะห้ามมิให้คนเหล่านี้รับศีลล้างบาปด้วยน้ำ ในเมื่อเขาได้รับพระจิตเจ้าเหมือนกับพวกเราแล้ว” เปโตรจึงสั่งให้คนเหล่านั้นรับศีลล้างบาปเดชะพระนามของพระเยซูคริสตเจ้า หลังจากนั้นเขาทั้งหลายขอให้เปโตรพักอยู่กับเขาอีกสองสามวัน

---หากอ่านแค่นี้ คงดูราวกับว่าถ้าใครล้างบาป และถ้าพระจิตเจ้าหรือพระวิญญาณจะมาเจิมต้องพูดภาษาแปลกๆได้ แต่ทว่า เราพบว่ามีหลายเหตุการณ์ที่คนล้างบาปนั้นมีพระจิตเจ้ามาสถิตย์แต่ไม่ได้พูดภาษาแปลกๆ คนแรกคนนั้นก็คือ

พระเยซูเจ้าเอง

มธ 3:13-17 พระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้าง
เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาจากแคว้นกาลิลีถึงแม่น้ำจอร์แดน เพื่อรับพิธีล้างจากยอห์น ยอห์นพยายามชักชวนพระองค์ให้เปลี่ยนพระทัย เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้าควรจะรับพิธีล้างจากท่าน แต่ท่านกลับมาพบข้าพเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เวลานี้ ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ก่อน เพราะเราควรจะทำทุกอย่างตามพระประสงค์ของพระเจ้า” ยอห์นจึงยอมทำตาม เมื่อพระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้างแล้ว เสด็จขึ้นจากน้ำ ทันใดนั้นท้องฟ้าเปิดออก พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพระจิตของพระเจ้าเสด็จลงมา เหนือพระองค์ดุจนกพิราบ และมีเสียงจากสวรรค์กล่าวว่า “ผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา เป็นที่โปรดปรานของเรา”

รูปภาพ

ไม่เพียงเฉพาะตอนนี้ แต่ไม่เคยมีแม้แต่ตอนเดียวในพระคัมภีร์ที่พระเยซูเจ้าพูดภาษาแปลกๆ ดังนั้นจึงมาถึงคำถามที่ว่า หากพระพรการพูดภาษาแปลกๆคือเครื่องหมายของคริสตจักรแท้เพียงอย่างเดียวที่เอามาตัดสินได้ ทำไมมันถึงไม่เกิดกับศีรษะของคริสตจักรเอง คือพระเยซูเจ้าด้วย ตรงข้าม พระองค์มีพิธีล้างที่ปรกติธรรมดาเหมือนสมาชิกคริสตจักรทั่วๆไป มีเพียงสิ่งพิเศษคือการปรากฎมาของพระจิตเจ้าและเสียง ซึ่งเป็นเสียงที่กล่าวชื่นชมพระบุตรว่าทรงโปรดปรานพิเศษ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ว่าหมายถึงคริสตชนทั่วไป ดังนั้นถ้าเราไม่ได้ก็ไม่แปลก สำหรับผู้เชื่อเราไม่อาจเอื้อมเกียรติมงคลเท่าพระเยซุ ดังนั้นพระจิตปรากฎมาในรูปที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น และเสียงที่เปล่งมาจากผู้แทนพระเจ้าคือผู้ทำพิธีให้เรา ว่าเรา เป็น "คริสตชน" เป็น "ลูกของพระเจ้า" เท่านั้นก้เพียงพอแล้ว ดังนั้น ภาษาแปลกๆถ้าโบสถ์เราไม่มี ก็ไม่น่าแปลก แต่โบสถ์ไหนที่มีมากเน้นมากเกินไปต่างหากที่น่าจะแปลก เพราะชื่อพระพรก็บอกอยู่แล้วว่าภาษาแปลกๆ

ดังนั้นเราไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจ ถ้าตอนเราล้างบาปเราไม่ได้พูดภาษาแปลกๆ และเราไม่ต้องกังวลว่าเราอาจจะอยู่คริสตจักรไม่แท้ เพราะถูกประนามจากคริสตจักรพูดภาษาแปลกๆแบบนั้น เพราะเรามีเพื่อนคนหนึ่งร่วมโดนด่ากะเราด้วยเพราะไม่เคยพูดภาษาแปลกๆหมือนกันคือพระเยซูเจ้าเอง
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ ศุกร์ พ.ค. 18, 2007 9:08 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

ศุกร์ พ.ค. 18, 2007 7:43 pm

ในรีพลายนี้ ผมขออธิบายเรื่องการพูดภาษาแปลกๆซะเลยนะครับ


พระพรภาษาแปลกๆนี้ มักถูกบางคริสตจักรสอนเน้น จนบางทีสอนผิดสอนถูก จนกลายเป็น

ภาษาแปลกๆฝึกได้
ภาษาแปลกๆต้องทำได้ทุกคน
และภาษาแปลกๆคือเครื่องหมายของคริสตจักร

ซึ่งที่จริงมันไม่ตรงกับที่พระคัมภีร์สอนซะหน่อย

ประเด็นหนึ่งที่ผมเคยเจอโบสถ์สายสุดโต่งเอามาเหมารวมกันคือเหตุการณ์เพนเตคอส และเหตุการณ์การพูดภาษาแปลกๆอื่นๆ

ในเหตุการณ์วันเพนเตคอส

รูปภาพ

กจ 2:1-13 วันเปนเตกอสเต
เมื่อวันเปนเตกอสเตมาถึง บรรดาศิษย์ทุกคนมาชุมนุมในสถานที่เดียวกัน ทันใดนั้นมีเสียงจากฟ้าเหมือนเสียงลมพัดแรงกล้าทุกคนที่อยู่ในบ้านได้ยิน เขาเห็นเปลวไฟลักษณะเหมือนลิ้นแยกไปอยู่เหนือศีรษะของเขาแต่ละคน ทุกคนได้รับพระจิตเจ้าเต็มเปี่ยม และเริ่มพูดภาษาอื่น ๆ ตามที่พระจิตเจ้าประทานให้พูด ขณะนั้นที่กรุงเยรูซาเล็มมีชาวยิวผู้เลื่อมใสศรัทธาในพระเจ้ามาจากทุกชาติทั่วโลก เมื่อประชาชนได้ยินเสียงนี้ จึงมาชุมนุมกันจำนวนมาก รู้สึกฉงนสนเท่ห์เพราะแต่ละคนได้ยินคนเหล่านี้พูดภาษาของตน และประหลาดใจอย่างยิ่ง กล่าวว่า “ทุกคนที่กำลังพูดอยู่นี้เป็นชาวกาลิลีมิใช่หรือ แล้วทำไมเราแต่ละคนจึงได้ยินเขาพูดภาษาท้องถิ่นของเราเล่า เราชาวปาร์เธีย ชาวมีเดีย และชาวเอลาม บางคนอาศัยอยู่ในเขตเมโสโปเตเมีย แคว้นยูเดีย แคว้นคัปปาโดเซีย แคว้นปอนทัสและแคว้นเอเชีย แคว้นฟรีเจียและแคว้นปัมฟีเลีย บางคนมาจากประเทศอียิปต์และเขตของประเทศลิเบีย รอบ ๆ เมืองไซรีน บางคนมาจากกรุงโรม ทั้งชาวยิวและผู้กลับใจเข้านับถือลัทธิยิวบางคนเป็นชาวเกาะครีตและชาวอาหรับ พวกเราได้ยินคนเหล่านี้ประกาศกิจการอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเป็นภาษาของเรา” ทุกคนประหลาดใจและฉงนสนเท่ห์พูดกันว่า “นี่หมายความว่าอย่างไร” แต่บางคนหัวเราะเยาะ กล่าวว่า “พวกนี้ดื่มเหล้ามากเกินไป”

---ดังนั้นชี้ชัดนะครับ ว่านี่ไม่ใช่ภาษาแปลกๆ แต่เป็นภาษาอื่นๆ ที่สำคัญมีคนฟังรู้เรื่อง และเป็นภาษาในโลกนี้ ไม่ต้องมีคนที่มีพระพรการแปล คนชาตินั้นๆก็สามารถแปลได้ และดูเหมือนจะพูดกันทุกคนในที่นั้น

นี่คือจุดหนึ่งที่คริสตจักรสายสุดโต่งเอามามั่วรวมกับพระพรภาษาแปลกๆที่ในพระคัมภีร์ระบุชัดว่า ไม่ใช่พูดได้ทุกคน เลยกลายเป็นออกมาว่า

พระพรภาษาแปลกๆนั้นต้องพูดได้ทุกคนใครพูดไม่ได้แปลว่าไม่ได้รับพระวิญญาณ ซึ่งไม่ถูกต้องเลย

เพราะที่จิรงพระพรที่เกิดในวันเพนเตคอส คือพระพรในการพูดภาษาอื่น ไม่ใช่ภาษาแปลกๆ ดังนั้นจึงมีผลดีมากในการเสริมสร้างการประกาศ ต่างกับพระพรภาษาแปลกๆ ที่น.เปาโลพูดชัดเจนว่า ถ้าไม่มีคนแปลได้ ก็ไม่มีประโยชน์ในการเสริมสร้างอะไรเลยนอกจากตัวคนพูดเอง แถมท่านแยกพระพรนี้ออกจากพระพรการประกาศ โดยสอนว่าพระพรการประกาศยังดีซะกว่า

1คร 12:27
ท่านทั้งหลายเป็นพระกายของพระคริสตเจ้า แต่ละคนต่างก็เป็นอวัยวะของพระกายนั้น (28)พระเจ้าทรงแต่งตั้งบางคนให้ทำหน้าที่ต่าง ๆ ในพระศาสนจักร คือ หนึ่งให้เป็นอัครสาวก สองให้เป็นประกาศก และสามให้เป็นครูอาจารย์ ต่อจากนั้น คือผู้มีอำนาจทำอัศจรรย์ ผู้รักษาโรค ผู้ช่วยเหลือ ผู้ปกครอง และผู้พูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ (29)ทุกคนเป็นอัครสาวกหรือ ทุกคนเป็นประกาศกหรือ ทุกคนเป็นครูอาจารย์หรือ ทุกคนเป็นผู้ทำอัศจรรย์หรือ (30)ทุกคนบำบัดโรคได้หรือ ทุกคนพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจหรือ ทุกคนเป็นผู้ตีความอธิบายความหมายของภาษานั้นหรือ

---ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่มีการสอนว่า ต้องพูดได้ทั้งคริสตจักร ก็ผิดพระคัมภีร์ข้อนี้ชัดเจน และการฝึกฝนให้พูด ก็เท่ากับเป็นกิจการมนุษย์ ไม่ใช่ผลจากพระวิญญาณ

1คร 14:1-25 พระพรของพระจิตเจ้าสำหรับหมู่คณะ
14 (1)จงแสวงหาความรักเถิด จงปรารถนาพระพรของพระจิตเจ้า โดยเฉพาะพระพรการประกาศพระวาจา (2)คนที่พูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ ไม่พูดสำหรับมนุษย์เพราะไม่มีผู้ใดเข้าใจ แต่พูดสำหรับพระเจ้า พระจิตเจ้าทรงดลใจเขาให้พูดถึงเรื่องลึกล้ำ (3)ส่วนผู้ประกาศพระวาจานั้นพูดให้มนุษย์ฟัง เพื่อเสริมสร้าง ตักเตือนและให้กำลังใจ (4)ผู้พูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจเสริมสร้างตนเอง ส่วนผู้ประกาศพระวาจาเสริมสร้างพระศาสนจักร (5)ข้าพเจ้าต้องการให้ทุกท่านพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจนี้ แต่ความต้องการที่มากกว่านั้นคือให้ท่านทั้งหลายประกาศพระวาจาได้ เพราะผู้ประกาศพระวาจามีความสำคัญมากกว่าผู้พูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ เว้นแต่ว่าผู้พูดภาษาดังกล่าวจะอธิบายข้อความที่เขาพูดได้ เพื่อเสริมสร้างพระศาสนจักร (6)พี่น้องทั้งหลาย สมมติว่า ข้าพเจ้ามาพบท่านและพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ ท่านจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าคำพูดของข้าพเจ้าไม่เป็นการเปิดเผยความจริง ไม่เป็นการให้ความรู้ ไม่เป็นการประกาศพระวาจา หรือไม่เป็นการสั่งสอนใด ๆ (7)แม้เครื่องดนตรีที่ไร้ชีวิต เช่น ขลุ่ยหรือพิณ ถ้าไม่ออกเสียงต่างกัน จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นเสียงขลุ่ยหรือเสียงพิณ (8)ถ้าเสียงแตรรบไม่ชัดเจน ใครเล่าจะเตรียมตัวเข้าสู้รบ (9)ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ถ้าลิ้นของท่านพูดคำไม่ชัดเจน ใครจะรู้ว่าท่านพูดอะไร ท่านก็เหมือนพูดกับลม (10)ในโลกนี้มีภาษาต่าง ๆ หลายภาษา ทุกภาษาต่างต้องใช้เสียงด้วยกันทั้งนั้น (11)ถ้าข้าพเจ้าไม่เข้าใจความหมายของเสียง ข้าพเจ้าก็เป็นคนต่างภาษา สำหรับผู้พูดและผู้พูดก็เป็นคนต่างภาษาสำหรับข้าพเจ้า (12)ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ท่านปรารถนาจะได้พระพรของพระจิตเจ้า จงแสวงหาให้ได้รับพระพรอย่างเต็มเปี่ยม เพื่อเสริมสร้างพระศาสนจักรเถิด (13)ดังนั้น ใครพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ จงอธิษฐานภาวนาขอพระพรให้อธิบายความหมายของภาษานั้นได้ด้วย (14)ถ้าข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนาเป็นภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ จิตของข้าพเจ้ากำลังอธิษฐานภาวนาอยู่ก็จริง แต่สติปัญญาของข้าพเจ้าไม่ได้รับผลอะไรเลย (15)ข้าพเจ้าควรจะทำอย่างไร ข้าพเจ้าจะอธิษฐานภาวนาอาศัยจิตและข้าพเจ้าจะอธิษฐานภาวนาอาศัยสติปัญญาด้วยเช่นเดียวกัน ข้าพเจ้าจะขับร้องสดุดีอาศัยจิตและจะขับร้องสดุดีอาศัยสติปัญญาด้วย (16)ไม่เช่นนั้น ถ้าท่านขอบพระคุณอาศัยจิตเท่านั้น ผู้ฟังที่ไม่เข้าใจ จะพูด “อาเมน” รับการพูดขอบพระคุณของท่านได้อย่างไร เพราะเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูด (17)การอธิษฐานขอบพระคุณของท่านดีมาก แต่ผู้อื่นไม่ได้รับประโยชน์แม้แต่น้อย (18)ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าที่ข้าพเจ้าพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจได้มากกว่าท่านทั้งหลาย (19)แต่เมื่ออยู่ในพระศาสนจักรที่กำลังชุมนุมกัน ข้าพเจ้าก็เลือกที่จะพูดห้าคำที่สติปัญญาเข้าใจเพื่อสอนผู้อื่น ดีกว่าจะพูดหมื่นคำเป็นภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ (20)พี่น้องทั้งหลาย อย่าคิดอย่างเด็ก ๆ จงเป็นเหมือนทารกไม่เดียงสาในความชั่ว แต่จงเป็นผู้ใหญ่ในความคิด (21)มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ “พระเจ้าตรัสว่า เราจะพูดกับชนชาตินี้โดยใช้ภาษาอื่น จากปากของคนต่างภาษา แต่พวกเขาจะไม่ยอมฟัง” (22)การพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจเป็นเครื่องหมายสำหรับผู้ไม่มีความเชื่อ ไม่ใช่เครื่องหมายสำหรับผู้มีความเชื่อ ส่วนการประกาศพระวาจาเป็นเครื่องหมายสำหรับผู้มีความเชื่อ ไม่ใช่เครื่องหมายสำหรับผู้ไม่มีความเชื่อ (23)สมมติว่า พระศาสนจักรมาชุมนุมกัน และทุกคนพูดเป็นภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ และมีบุคคลภายนอกหรือผู้ไม่มีความเชื่อเข้ามาในที่นั้นโดยบังเอิญ เขาคงจะพูดว่าท่านเป็นบ้ามิใช่หรือ (24)แต่สมมติว่าทุกคนประกาศพระวาจา และมีผู้ไม่มีความเชื่อหรือบุคคลภายนอกเข้ามาโดยบังเอิญ พระวาจาที่เขาได้ฟังนั้นจะทำให้เขารู้สึกว่าตนทำผิดและกำลังถูกตัดสิน (25)ความลับในใจของเขาจะถูกเปิดเผย เขาจะซบหน้านมัสการพระเจ้า ประกาศว่า พระเจ้าประทับอยู่ในหมู่ท่านทั้งหลายอย่างแท้จริง

1คร 14:26-40 ระเบียบการใช้พระพรของพระจิตเจ้า
(26)พี่น้องทั้งหลาย จะปฏิบัติอย่างไรดีเล่า เมื่อท่านมาชุมนุมกัน แต่ละคนอาจขับร้องสดุดี หรือสั่งสอน หรือเปิดเผยความจริง หรือพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ หรืออธิบายความหมายของภาษานั้น ท่านจงปฏิบัติทั้งหมดนี้เพื่อเสริมสร้างเถิด (27)ถ้าจะต้องพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจจงพูดทีละคน และพูดเพียงสองหรือสามคนเป็นอย่างมาก โดยให้คนหนึ่งอธิบายความหมาย (28)ถ้าไม่มีใครอธิบายความหมายได้ ผู้พูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจจงอย่าพูดในที่ชุมนุม จงพูดกับตนเองและกับพระเจ้า (29)ให้ผู้ประกาศพระวาจาสองหรือสามคนเท่านั้นพูด ขณะที่คนอื่นพิจารณาตัดสิน (30)แต่ถ้าคนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่ได้รับการเปิดเผยความจริงบางประการจากพระเจ้า ก็ให้ผู้พูดคนแรกหยุดพูด (31)ท่านทุกคนประกาศพระวาจาได้ แต่จงพูดทีละคน เพื่อทุกคนจะได้เรียนรู้และทุกคนจะได้รับกำลังใจ (32)ผู้ประกาศพระวาจาต้องควบคุมการใช้พระพรของตน (33)เพราะพระเจ้ามิทรงปรารถนาความวุ่นวาย แต่ทรงปรารถนาสันติ ตามธรรมเนียมปฏิบัติในพระศาสนจักรทุกแห่ง (34)ให้บรรดาสตรีอยู่เงียบ ๆ ในที่ชุมนุม เพราะพวกเธอไม่ได้รับอนุญาตให้พูด แต่ต้องอ่อนน้อมเชื่อฟังตามที่ธรรมบัญญัติกำหนดไว้ (35)ถ้าพวกเธอต้องการคำอธิบาย ก็ให้ถามสามีขณะอยู่ที่บ้าน เพราะเป็นการไม่เหมาะสมที่สตรีจะพูดในที่ชุมนุม (36)พระวาจาของพระเจ้ามาจากท่านหรือ พระวาจามาถึงท่านเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นหรือ (37)ถ้าใครคิดว่าตนเป็นประกาศก หรือได้รับการดลใจจากพระจิตเจ้า ก็ขอให้เขารับรู้ว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านเป็นพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า (38)ถ้าผู้ใดไม่ย่อมรับรู้ พระเจ้าก็ไม่ทรงรับรู้เขาด้วย (39)พี่น้องทั้งหลาย จงปรารถนาที่จะประกาศพระวาจา อย่าห้ามการพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจ (40)และจงทำเช่นนี้อย่างเหมาะสมและเป็นระเบียบ


--------------------------------------------------------

รูปภาพ

สรุปจากพระคัมภีร์

1.ไม่ใช่ทุกคนต้องมีพระพรครบทุกอย่าง
2.ไม่ใช่ทั้งโบสถ์ต้องมีพระพรเดียวกันหมด เช่น พูดภาษาแปลกๆได้ทั้งโบสถ์
2.ไม่สนับสนุนให้มีการพูดภาษาแปลกๆ ถ้าแปลไม่ได้
3.ไม่สนับสนุนให้พูดภาษาแปลกๆเยอะๆทีละหลายๆคน แบบแย่งกันพูด
4.ไม่สนับสนุนให้พูดภาษาแปลกๆต่อหน้าผู้ที่ยังไม่ไดรับเชื่อ
5.อวัยวะต่างๆกันในศีรษะเดียวคือพระเยซูเจ้า ต้องไม่ด่าทอกันเอง
6.พระวาจามาถึงได้หลายคริสตจักร การอ้างว่ามีคริสตจักรตัวเองกลุ่มเดียวที่มีพระเจ้ามานั้น เป็นการบังอาจลดพระเกียรติพระเจ้า และโอ้อวดเกินพระคัมภีร์
8.หากไม่ปฏิบัติตามพระคัมภีร์ตรงนี้ ทำเป็นอ่านไม่เจอ หรืออ่านเจอแล้วไม่รับรู้ไปปฏิบัติ เกรงว่าพระเจ้าจะไม่รับรองคริสตจักร และไม่รับรู้พวกเขาตามที่พระคัมภีร์เขียนเตือนไว้


ดังนั้นการพูดภาษาแปลกๆที่กล่าวถึงในที่นี้ และนิยมพูดกันในบางคริสตจักรคือภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจซึ่ง จะพูดได้แค่บางคน และ ไม่ควรพูดในที่สาธารณะหากไม่มีใครมีพระพรการแปล ซึ่งคนละเรื่องกับพระพรในวันเพนเตคอส ซึ่งเป็น ภาษาต่างชาติ แต่ มีคนเข้าใจ และ ไม่ต้องอาศัยพระพรการแปล และ ไม่ห้ามที่จะทำในที่สาธารณะ

ดังนั้นหากมีการสอนเอา2อันนี้ไปปนกัน ถ้าไม่ใช่เจตนาบิดเบือน ก็แปลว่าบกพร่องโดยสุจริต คือ สับสน ไม่เข้าใจพระคัมภีร์อย่างลึกซึ้งถูกต้องเพียงพอ

ผมจะยกเหตุการณ์บางเหตุการณ์ของ พระพรการพูดภาษาอื่นๆ อันเป็นสัญลักษณ์ของพระจิตเจ้าในวันเพนเตคอส ซึ่งเกิดในพระศาสนจักรคาทอลิค ซึ่งไม่ใช่การพูดภาษาแปลกๆ

อันหนึ่งที่ค่อนข้างโด่งดังคือกรณีของนักบุญคุณพ่อปีโอ ซึ่งมีพระพรในการสารภาพบาป ปรกติท่านพูดได้แต่ภาษาอิตาลี และไม่รับฟังแก้บาปคนชาติอื่น แต่มีคนต่างชาติหลายคนที่เชื่อในความศักดิ์สิทธ์ของท่านว่ามาจากพระเจ้าจริง อยากให้ท่านเป็นคนฟังสารภาพบาป ดังต่อไปนี้

------------------------------------------------------

โดยปรกติ เฉพาะผู้ที่ใช้ภาษาอิตาเลียนได้คล่องแคล่วเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้แก้บาปกับคุณพ่อปีโอ แม้จะเป็นที่รู้จักทั่วไปว่าคุณพ่อปีโอมี “พระพรด้านภาษา” สามารถเข้าใจสิ่งที่ชาวอเมริกันและรัสเซียซึ่งไม่พูดภาษาอิตาเลียนสื่อสารได้ดีอย่างน่าอัศจรรย์ บางครั้งจึงมีชาวอเมริกันและรัสเซียมาแก้บาปกับคุณพ่อปีโอด้วย

ปลายปี ค.ศ. ๑๙๒๐ มารีอา ไพล์ ได้รบเร้า เซเน ซึ่งเป็นพี่สะใภ้ให้มาแก้บาปกับคุณพ่อปีโอ ครั้งแรกเธอไม่ยินยอมเพราะเกรงว่าจะสื่อความหมายไม่เข้าใจเธอแสดงความรู้สึกหลังจากได้แก้บาปกับคุณพ่อปีโอว่า “ดิฉันพูดภาษาอังกฤษและคุณพ่อพูดภาษาอิตาเลียน แต่เราต่างเข้าใจกันและกันได้ดี ดิฉันเดินออกจากห้องฟังแก้บาปด้วยความงงงวย” บางครั้งคุณพ่อปีโอยังพูดภาษาบางภาษาเป็นวลี ทั้งๆ ที่ไม่เคยเรียนภาษานั้น ดังเช่นที่ได้ฟังแก้บาปพระสงฆ์ชาวสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งใช้ภาษาละติน

อย่างไรก็ตามคุณพ่อปีโอมักจะฟังแก้บาปเฉพาะผู้ที่ใช้ภาษาอิตาเลียน หากมีผู้ที่ใช้ภาษาละตินมาขอแก้บาปคุณพ่อจะขอให้พวกเขาไปแก้บาปกับพระสงฆ์ผู้มีการศึกษาสูงกว่าตน

แต่นั้นไม่ใช่ปัญหา เพราะถ้าเป็นความตั้งใจจริงที่จะสารภาพบาป และเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า คุณพ่อปีโอก็ยินดีจะฟังแก้บาป อเดลเลียเด ไพล์ เป็นคริสตศาสนิกชนที่ไม่ใช่คาทอลิก เมื่ออเดลเลียเดได้เปรยกับลูกสาวว่า “แม่อยากจะคุกเข่าในที่ฟังแก้บาปเพื่อสารภาพความผิดจัง! แต่แม่พูดภาษาอิตาเลียนไม่เป็น!” เมื่อมารีอา ไพล์ ได้เล่าเรื่องนี้ให้คุณพ่อปีโอฟังคุณพ่ออุทานว่า “หากเธอประสงค์จะแก้บาป ภาษาไม่เป็นปัญหาพ่อช่วยดูแลเรื่องนี้ได้!”

อ่านแบบเต็มได้ที่นี่ครับ
http://www.newmana.com/lovelyjesus/st/i ... ml?start=1

------------------------------------------------------

อีกตัวอย่าง แม่พระประจักษ์ที่ระวันดา พระแม่มาในพระนาม มารดาแห่งพระวจนาถ(พระวจนะ=พระวาจา)

ในฐานะมารดาแห่งพระจิตเจ้า แม่พระเคยอัญเชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์มายังนางเอลิซาเบธอย่างเต็มเปี่ยม! ด้วยคำทักเพียงคำเดียวมาแล้ว และเมื่อแม่พระมาประจักษ์ที่ระวันดานี้ ผู้รับการประจักษ์ ก็ได้รับพระพรเหมือนวันเพนเตคอส คือสามารถพูดภาษาอื่นๆได้ทั้งที่เธอไม่เคยเรียน

-----------------------------------------------------

Alphonsine Mumureke เกิดเมื่อ 1965. มาจากครอบครัวคาทอลิกที่ยากจน . ตามหนังสือไดอารี่ของเธอ เธอเห็นแม่พระครั้งแรกเมื่อ 28 พฤศจิกายน 1981 :

"ฉัน กำลังอยู่ในโรงอาหารของโรงเรียน ก็ได้ยินเสียงมาจากข้างหลัง : 'ลูกสาวของแม่!'

ฉันก็ตอบว่า: 'ลูกอยู่นี่... ท่านเป็นใครคะ?'

'ฉันเป็นมารดาขององค์พระวจนาตถ์ '

แม่พระสวยงามจนสุดบรรยายได้ พระนางยืนเท้าเปล่า สวมเสื้อคลุมยาวไม่มีสายรัดและผ้าคลุมศีรษะสีขาว .

ในระหว่างการเข้าญาณนี้ (ตามที่เพื่อนร่วมชั้นของฉันบอก) - ฉันพูดภาษาอื่นที่พวกเขาไม่รู้จักเช่น : ฝรั่งเศส , อังกฤษ , และภาษาท้องถิ่นที่ฉันพูดอยู่คือ kinyarwanda และอื่นๆ.


อ่านเรื่องเต็มๆได้ที่นี่
viewtopic.php?f=35&t=3116

------------------------------------------------

ดังนั้น ขอให้เรามีความรู้ที่ถูกต้องนะครับว่า พระพรการพูดภาษาอื่นๆในวันเพนเตคอส เป็นคนละพระพร กับการพูดภาษาแปลกๆที่ไม่มีใครเข้าใจ ที่นักบุญเปาโลจัดระเบียบไว้ในจดหมายถึงชาวโครินธร์(แต่บางคริสตจักรไม่ทำตามระเบียบที่ว่า)

ที่สำคัญพระพรเหล่านี้เป้นพระพรพิเศษที่มาจากพระจิตเจ้า(หรือพระวิญญาณ)ไม่ใช่มาจากการฝึกฝนตามประสามนุษย์ครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ ศุกร์ พ.ค. 18, 2007 9:09 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

ศุกร์ พ.ค. 18, 2007 8:42 pm

เครื่งหมายของคริสตจักรแท้คือการทำตามพระคัมภีร์หมดทุกข้อ

มีคริสตจักรจำนวนมาก อ้างว่าตัวเองแท้กว่าที่อื่น เพราะตัวเองไม่ทำอะไรผิดพระคัมภีร์เลย แต่คริสตจักรอื่นทำผิด หรือบางทีก็อ้างว่า บางคริสตจักรเช่นคาทอลิค ถือพระคัมภีร์เท็จเกินขึ้นมา โดยยกประวัติศาสตร์ปลอม หรือพูดเรื่องโกหกว่าพระสันตะปาปาแต่งพระคัมภีร์นั้นๆเอง หรือแม้แต่กับโปรแตสแตนท์ด้วยกันที่ใช้พระคัมภีร์จำนวนเท่ากัน ก็ยังโจมตีกันเองเพราะพอตีความต่างกัน ก็จะอ้างว่าคนอื่นตีความผิดตัวเองตีถูก มิหนำซ้ำแค่เวอร์ชั่นการแปล ยังมีการถกเถียงเวอร์ชั่นไหนแปลถูกกว่ากัน หรือแม้แต่ประนามว่าบางเวอร์ชั่นแปลผิด มารสิงคนแปลเลยก็มี

ในความเป็นจริงแล้ว วิธีพิสูจน์ว่าอะไรแท้หรือมาจากพระเจ้า คือการเช็คความถูกต้องจากพระคัมภีร์จริงหรือ?

ในความเป็นจริงเคยเกิดเหตุการณ์เช็คพระคัมภีร์เพื่อพิสูจน์ว่าใครมาจากพระเจ้ามาแล้ว และมันถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ แล้วผลออกมาเป็นอย่างไร?


ยน 5:1-47 พระเยซูเจ้าทรงรักษาผู้ป่วยที่สระเบเธสดา
หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ ก็มาถึงวันฉลองวันหนึ่งของชาวยิวพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ที่กรุงเยรูซาเล็ม ใกล้กับประตูแกะ มีสระชื่อเป็นภาษาฮีบรูว่า เบเธสดา มีระเบียงล้อมรอบอยู่ห้าด้าน ตามระเบียงเหล่านี้ มีผู้เจ็บป่วยนอนอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น คนตาบอด คนง่อย และคนเป็นอัมพาต ที่นั่น มีชายคนหนึ่งป่วยมาสามสิบแปดปีแล้ว พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขานอนอยู่ และทรงทราบว่าเขาป่วยมานาน จึงตรัสแก่เขาว่า “ท่านอยากจะหายป่วยไหม” ผู้ป่วยนั้นตอบว่า “ท่านขอรับ ไม่มีใครช่วยจุ่มข้าพเจ้าลงในสระเมื่อน้ำกระเพื่อม พอข้าพเจ้ามาถึง คนอื่นก็ลงไปก่อนแล้ว” พระเยซูเจ้าจึงตรัสแก่เขาว่า “จงลุกขึ้น ยกแคร่ที่นอน และเดินไปเถิด” ชายผู้นั้นก็หายเป็นปกติทันที เขายกแคร่ที่นอน และเริ่มเดินไป วันนั้นเป็นวันสับบาโต ชาวยิวจึงพูดกับชายที่หายป่วยนั้นว่า “วันนี้เป็นวันสับบาโต ท่านแบกแคร่ที่นอนไม่ได้” เขาจึงตอบว่า “คนที่รักษาข้าพเจ้าให้หายป่วยบอกข้าพเจ้าว่า “จงยกแคร่ที่นอน และเดินไปเถิด”’ เขาเหล่านั้นถามว่า “คนนั้นเป็นใคร คนที่บอกท่านให้ยกแคร่ที่นอน และเดินไป” แต่ชายที่หายป่วยไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะพระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในหมู่ประชาชนที่อยู่ที่นั่นแล้ว ต่อมา พระเยซูเจ้าทรงพบชายผู้นั้นอีกในพระวิหาร จึงตรัสแก่เขาว่า “ท่านหายเป็นปกติแล้ว อย่าทำบาปอีก มิฉะนั้น เหตุร้ายกว่านี้จะเกิดขึ้นแก่ท่าน” ชายผู้นั้นจากไป แล้วบอกกับชาวยิวว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้รักษาเขาให้หายป่วย ชาวยิวเริ่มเบียดเบียนพระเยซูเจ้าเพราะพระองค์ทรงกระทำการนี้ในวันสับบาโต แต่พระเยซูเจ้าทรงยืนยันว่า “พระบิดาของเราทรงทำงานอยู่เสมอ เราก็ทำงานด้วยเช่นกัน” เพราะคำยืนยันนี้ ชาวยิวยิ่งพยายามจะฆ่าพระองค์ให้ได้ เพราะพระองค์ไม่เพียงแต่ละเมิดวันสับบาโตเท่านั้น แต่ยังทรงเรียกพระเจ้าเป็นพระบิดาของพระองค์อีกด้วย ซึ่งเป็นการทำตนเสมอพระเจ้า

---ในบทนี้ เราพบว่า ชาวยิวไม่สนใจการอัศจรรย์ หรือ"กิจการดี" ที่พระเยซูกระทำเลย เขามองว่ามันไร้คุณค่า เมื่อเทียบกับกฎในพระคัมภีร์ โดยเฉพาะพระบัญญัติ3ข้อคือ 1จงนับถือพระเจ้าผู้เดียวของเจ้า 2อย่าออกนามพระเจ้าโดยไม่สมเหตุ 3จงรักษาวันสะบาโตให้บริสุทธิ์(ห้ามทำงานหนักทุกชนิด)

เมื่อเช็คพระคัมภีร์ตามตัวอักษรแล้ว พวกเขาตัดสินได้อย่างง่ายดายว่าพระเยซูทำผิดหมดทั้ง3ข้อ แถมยังพูดจากเหมือนจะหักล้างข้อพระคัมภีร์ปฐมกาลที่ว่า พระเจ้าสร้างโลก6วัน วันที่7ทรงหยุดพัก(ดังนั้นมนุษย์สมควรพักเพื่อถือวันสะบาโตด้วย) โดยตรัสว่า พระบิดาทำงานทุกวัน

นั่นคือเหตุผลที่ชาวยิวที่เคร่งพระคัมภีร์ อย่างฟาริสีและธรรมาจารย์ สะดุด และไม่อาจยอมรับได้ว่า พระเยซูมาจากพระเจ้า แต่พวกเขาหาว่าพระองค์มาจากมารซาตาน เพราะพระเยซูไม่ยอมยึดพระคัมภีร์เป๊ะๆทุกข้อเท่าพวกเขา มิได้ตีความพระคัมภีร์ตามตัวอักษรตามแบบที่พวกเขาทำ

รูปภาพ

ยน 9:13
คนเหล่านั้นจึงพาคนที่เคยตาบอดไปหาชาวฟาริสี วันที่พระเยซูเจ้าทรงถ่มพระเขฬะผสมดินและทรงรักษาตาของคนตาบอดนั้นเป็นวันสับบาโต ชาวฟาริสีได้ถามเขาอีกว่า “เขามองเห็นได้อย่างไร” เขาจึงตอบว่า “คนนั้นเอาโคลนป้ายตาของฉัน ฉันไปล้างตาแล้วก็มองเห็น” ชาวฟาริสีบางคนพูดว่า “คนนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า เขาไม่ถือวันสับบาโต” แต่บางคนแย้งว่า “คนบาปจะทำเครื่องหมายอัศจรรย์อย่างนี้ได้อย่างไร” ชาวฟาริสีเหล่านั้นมีความคิดเห็นแตกต่างกัน จึงถามคนที่เคยตาบอดอีกว่า “ท่านล่ะ ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับคนนั้น ที่เขาทำให้ตาของท่านกลับมองเห็น” เขาตอบว่า ”คนนั้นเป็นประกาศก” แต่ชาวยิวไม่ยอมเชื่อว่าชายคนนี้เคยตาบอดแล้วกลับมองเห็น จึงเรียกบิดามารดาของเขามา แล้วถามว่า “คนนี้เป็นลูกของท่าน ซึ่งท่านบอกว่าเกิดมาตาบอดใช่หรือไม่ บัดนี้ เขากลับมองเห็นได้อย่างไร” บิดามารดาตอบว่า “เรารู้ว่าคนนี้เป็นลูกของเรา และเกิดมาตาบอด แต่เราไม่รู้ว่า บัดนี้ เขามองเห็นได้อย่างไร หรือใครรักษาตาของเขา เราก็ไม่รู้ ท่านจงถามเขาเองเถิดเขาโตพอจะตอบเองได้แล้ว” บิดามารดาตอบเช่นนี้ก็เพราะกลัวชาวยิว ซึ่งตกลงกันแล้วว่า ใครยอมรับว่าพระองค์เป็นพระคริสตเจ้าจะถูกขับออกจากศาลาธรรม

---พฤติกรรมในบทนี้ ก็คือการใช้บทบัญญัติ โดยเฉพาะถ้าผิดพระคัมภีร์แล้วล่ะก็ ต่อให้มีกิจการดียังไง ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า และใครไม่เชื่อก็จะถูกขับออกจากโบสถ์(ศาลาธรรม) และนับว่าเป็นคนละพวก

พฤติกรรมการตัดสินผู้อื่นเช่นนี้ ยังคงถูกใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนถึงปัจจุบัน

พวกเขาสะดุดหินคือตัวอักษรในพระคัมภีร์เอง เป็นพระคัมภีร์เอง ที่กั้นเขาไว้จากความจริงคือ พระเยซูคริสต์คือพระบุตรของพระเจ้า

ดังนั้นแล้วขอถามย้ำอีกครั้งว่ามีบทไหนที่พระคัมภีร์สอนว่า จะตัดสินอะไรว่ามาจากรพระเจ้าให้ใช้พระคัมภีร์ตัดสิน

เคยมีคนตอบผมมาบทหนึ่ง

2ทธ 4:16
ทุกถ้อยคำในพระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้า และมีประโยชน์ เพื่อสั่งสอน ว่ากล่าวตักเตือนให้ปรับปรุงแก้ไขและอบรมให้ดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรม


เขาตีความเลยว่า จากท่อนนี้แปลว่า จะทำอะไรต้องพึงพระคัมภีร์หมด แต่ความจริงแล้วประโยคนี้บอกเราเพียงว่า พระคัมภีร์มาจากพระเจ้า และมีประโยชน์ แต่ไม่เคยบอกเลยว่า มันใช่ตัดสินพระเจ้าได้ แปลไทยเป็นไทยคือ พระคัมภีร์คือคู่มือชีวิตคริสตชนที่ดีที่สุด แต่ไม่ใช่เป้าหมายทั้งหมดของชีวิตคริสตชน พระเจ้าสร้างวันสะบาโตมาเพื่อมนุษย์ ไม่ได้สร้างมนุษย์มาเพื่อวันสะบาโต พระเจ้ามอบพระคัมภีร์ให้มนุษย์ ไม่ได้สร้างมนุษย์มาเพื่อพระคัมภีร์

เราเกิดมาเราสามารถใช้พระคัมภีร์นำเราไม่สู่เป้าหมาย คือพระคริสตเจ้า แต่เราไม่ได้เกิดมาเพื่อทำตามพระคัมภีร์ โดยให้ความสำคัญมันมากกว่าเป้าหมาย

รูปภาพ

เช่น อาจมีคู่มือปีนเขาเล่มหนึ่ง เขียนไว้ว่า "ถึงจุดนี้ให้ปีนขึ้นอีก3กิโลเมตรจะเจอลำธาร" ต่อมา200ปีมีคนใจดีทำกระเช้าให้ ถ้าเราจะเข้าใจว่า จากตรงนี้เราต้องไปให้ถึงลำธารนะ เราก็นั่งกระเช้าไปก็ได้ แต่ถ้าเราทื่อมะลื่อเข้าใจว่า เป้าหมายของเราคือ"การปีน"นะ ก็ปีนไปเถอะ แล้วเราจะมาด่าคนที่เขานั่งกระเช้าขึ้นมาก่อนว่า เลว ชั่ว โกง ที่ไม่ยอมปีนตามคู่มือ ทั้งที่ก็ไปเจอลำธารเหมือนกันหรือ เพราะจุดประสงค์ของคู่มือแค่อยากให้คุณไปถึงลำธาร ใครมองออกก็คือคนใช้คู่มือเป็น ไม่ใช่เป็นทาสคู่มือ

ดังนั้นสมควรแล้วหรือที่จะตัดสินมนุษย์ด้วยกันว่าเขาจะตกนรกหรือมาจากมาร เพราะไม่ถือพระคัมภีร์ตามตัวอักษรอย่างที่ฟาริสีเคยใช้ตัดสินพระเยซูมาแล้ว

-------------------------------------------------------------

เสริม

ข้อที่เราควรทราบ2ข้อจากพระคัมภีร์บทนี้

2ทธ 4:16
ทุกถ้อยคำในพระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้า และมีประโยชน์ เพื่อสั่งสอน ว่ากล่าวตักเตือนให้ปรับปรุงแก้ไขและอบรมให้ดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรม


คือ

1.ข้อความนี้ น.เปาโลเขียน และท่านเขียน โดยไม่เคยทราบว่าจดหมายของท่านจะกลายเป็นคัมภีร์ทีหลัง และท่านก็เขียนมันก่อนมีพระธรรมใหม่ ซึ่งนั่นหมายความว่า "พระคัมภีร์" ที่ท่านหมายถึงในเวลาเขียนจดหมายประโยคนี้ คือ "พระธรรมเดิม!"
2.พระคัมภีร์สาระบบที่น.เปาโลยึดถือ ยังกว้างกว่าที่โปรแตสแตนท์ และคาทอลิค ปัจจุบัน ยึดถืออย่างเป็นทางการซะอีก

ขอยกตัวอย่างประโยคนี้

ฮบ 11:37
เขาถูกหินทุ่ม ถูกเลื่อยเป็นสองส่วน ตายด้วยคมดาบ บางคนนุ่งห่มหนังแกะหนังแพะร่อนเร่ไป ขัดสน ได้รับความยากลำบาก ถูกข่มเหง

---เหตุการณ์นี้มาจากพระคัมภีร์นอกสาระบบ ที่กล่าวว่า กษัตริย์มนัสเสห์ได้สั่งประหารประกาศกอิสยาห์โดยเลื่อยออกเป็นสองส่วน แน่นอน คุณจะไม่พบเรื่องนี้ในสาระบบพระธรรมเดิมที่เราอ่านกัน และยังรวมถึงเรื่องนี้

2คร 12:2
ข้าพเจ้ารู้จักมนุษย์คนหนึ่งผู้เลื่อมใสในพระคริสตเจ้า เมื่อสิบสี่ปีมาแล้วเขาถูกดึงตัวขึ้นสวรรค์ชั้นที่สาม

---ปัจจุบันไม่มีคริสตชนทั่วไปที่ไหนจะทราบว่า สวรรค์มีกี่ชั้น และชั้นที่3นั้นสำคัญยังไง แน่นอนว่า มีหนังสือนอกสาระบบที่ชาวยิวยอมรับ และรู้จักเนื้อหาเป็นอย่างดี แต่เราไม่เคยทราบเลย เพราะไม่เคยอ่าน การที่ น. เปาโล พูดขึ้นมาตรงนี้ โดยไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม แสดงว่า 1.มันเป็นเรื่องที่ชาวยิวรู้กันดีอยู่แล้ว 2.ท่านไม่ได้ปฏิเสธว่ามันไม่จริง

สรุปคือ นอกจากตัวนักบุญเปาโลเอง ไม่เคยมีแนวคิดว่าจะทำอะไรต้องเปิดพระคัมภีร์เช็คแล้ว ท่านยังมีขอบเขตความหมายของคำว่า "พระคัมภีร์" ต่างกับคนในสมัยปัจจุบันอีกด้วย
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ ศุกร์ พ.ค. 18, 2007 10:30 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

ศุกร์ พ.ค. 18, 2007 9:28 pm

พระเยซูเจ้าให้แนวทางในการตัดสินเรื่องต่างๆโดยยึดอะไร

ถ้าพระเยซูเอง ไม่เคยสอนว่า "จะทำอะไร เช็คคัมภีร์สิ" หรือ "พิสูจน์เราโดยการเช็คคัมภีร์ไงล่ะ" ดังนั้นแล้วพระองค์สอนเราอย่างไร

ยน 10:37
ถ้าเราไม่ทำกิจการของพระบิดาของเรา ท่านก็อย่าเชื่อเราเลย แต่ถ้าเราทำ แม้ว่าท่านทั้งหลายไม่เชื่อเรา อย่างน้อยก็จงเชื่อในกิจการที่เราทำนั้นเถิด แล้วท่านจะรู้และเข้าใจว่า พระบิดาสถิตอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระบิดา

มธ 7:15-20 ประกาศกเทียม
“จงระวังประกาศกเทียมซึ่งมาพบท่าน นุ่งห่มเหมือนแกะ แต่ภายในคือสุนัขป่าดุร้าย ท่านจะรู้จักเขาได้จากผลงานของเขา มีใครบ้างเก็บผลองุ่นจากต้นหนาม หรือเก็บผลมะเดื่อเทศจากพงหนาม ในทำนองเดียวกัน ต้นไม้พันธุ์ดีย่อมเกิดผลดี ต้นไม้พันธุ์ไม่ดีย่อมเกิดผลไม่ดี ต้นไม้พันธุ์ดีจะเกิดผลไม่ดีมิได้ และต้นไม้พันธุ์ไม่ดีก็ไม่อาจเกิดผลดีได้ ต้นไม้ทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีย่อมถูกโค่นทิ้งในกองไฟ เพราะฉะนั้น ท่านจะรู้จักประกาศกเทียมได้จากผลงานของเขา”

---พระเยซูเจ้าไม่เคยสอนให้เปิดพระคัมภีร์เช้คพฤติกรรม แต่กลับให้ดูจากผลงาน ว่ามาจากรากที่ดีหรือไม่

รูปภาพ

มธ 7:21-27 ศิษย์แท้
“คนที่กล่าวแก่เราว่า ‘พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า’ นั้นมิใช่ทุกคนจะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์นั่นแหละจะเข้าสู่สวรรค์ได้ ในวันนั้นหลายคนจะกล่าวแก่เราว่า ‘พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ประกาศพระวาจาในพระนามของพระองค์ ขับไล่ปีศาจในพระนามของพระองค์ และได้กระทำอัศจรรย์หลายประการในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ’ เมื่อนั้น เราจะกล่าวแก่เขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักท่านทั้งหลายเลย ท่านผู้กระทำความชั่ว จงไปให้พ้นหน้าเรา’
“ผู้ใดฟังถ้อยคำเหล่านี้ของเราและปฏิบัติตาม ก็เปรียบเสมือนคนมีปัญญาที่สร้างบ้านไว้บนหิน ฝนจะตก น้ำจะไหลเชี่ยว ลมจะพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น บ้านก็ไม่พัง เพราะมีรากฐานอยู่บนหิน ผู้ใดที่ฟังถ้อยคำเหล่านี้ของเรา และไม่ปฏิบัติตามก็เปรียบเสมือนคนโง่เขลาที่สร้างบ้านไว้บนทราย เมื่อฝนตก น้ำไหลเชี่ยว ลมพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น มันก็พังทลายลงและเสียหายมาก”

---และแน่นอนว่า ผลนั้น มาจากการกระทำ ลำพังการเชื่อแต่ปาก ไร้คุณค่าในสายพระเนตร พระเยซูเจ้าสอนเราว่าศิษย์ที่แท้ ต้องเชื่อและปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดา แทนจะตรัสว่า เชื่อตามคำในพระคัมภีร์ เพราะอะไร เพราะคำว่า พระประสงค์ของพระบิดา มีความหมายกว้างใหญ่กว่า คำในพระคัมภีร์ มากนัก ซึ่งช่วยให้เราก้าวข้ามขอบเขตของตัวอักษร และเข้าใจว่า พระคัมภีร์ช่วยเปิดเผยพระประสงค์ของพระเจ้าได้ ก็ต่อเมื่อเราเข้าใจพระประสงค์แท้จริงที่พระคัมภีร์ต้องการสื่อ ไม่ใช่ตามตัวอักษรในหนังสือ

ดังนั้น เมื่อเราอ่านทุกหน้าในพระคัมภีร์ ศึกษาทุกพระวาจาของพระเยซูเจ้าแล้ว เราพบว่า พระเยซูเจ้า พิสูจน์สิ่งต่างๆจากการกระทำและผลงานที่คนๆนั้นทำ

ถึงตรงนี้มาตรการพิสูจน์คริสตจักรแท้ต้องพิสูจน์ด้วยคัมภีร์เท่านั้นหรือ?
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ ศุกร์ พ.ค. 18, 2007 10:31 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

ศุกร์ พ.ค. 18, 2007 10:00 pm

ถึงตรงนี้ ผู้เขียนยืนยันและยกย่องว่า พระพรการพูดภาษาแปลกๆ หรือพระพรพิเศษอะไรก็ดี พระคัมภีร์ก็ดี ดีทุกอย่าง แต่ดีที่สุดแล้วหรือ เพียงแค่นี้ มันดีพอที่จะใช้พิสูจน์คริสตจักรแท้จริงหรือ

ท่านทั้งหลายจงพยายามแสวงหาพระพรพิเศษที่ประเสริฐยิ่งกว่านี้เถิด ข้าพเจ้าจะขอชี้ทางที่ดีกว่าให้ท่าน (1คร 12:31)

1คร 13:1-13
แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาของมนุษย์และของทูตสวรรค์ได้ ถ้าไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็เป็นแต่เพียงฉาบหรือฉิ่งที่ส่งเสียงอึกทึก แม้ข้าพเจ้าจะประกาศพระวาจา เข้าใจธรรมล้ำลึกทุกข้อ และมีความรู้ทุกอย่าง หรือมีความเชื่อพอที่จะเคลื่อนภูเขาได้ ถ้าไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีความสำคัญแต่อย่างใด แม้ข้าพเจ้าจะแจกจ่ายทรัพย์สินทั้งปวงให้แก่คนยากจน หรือยอมมอบตนเองให้นำไปเผาไฟเสีย ถ้าไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็มิได้รับประโยชน์ใด ความรักย่อมอดทน มีใจเอื้อเฟื้อ ไม่อิจฉา ไม่โอ้อวดตนเอง ไม่จองหอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ความรักไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดที่ได้รับ ไม่ยินดีในความชั่ว แต่ร่วมยินดีในความถูกต้อง ความรักให้อภัยทุกอย่าง เชื่อทุกอย่าง หวังทุกอย่าง อดทนทุกอย่าง ความรักไม่มีสิ้นสุด แม้การประกาศพระวาจาจะถูกยกเลิก แม้การพูดภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจจะยุติ แม้ความรู้จะหมดสิ้น เพราะเรารู้อย่างไม่สมบูรณ์ และประกาศพระวาจาอย่างไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อสิ่งที่สมบูรณ์มาถึง ความไม่สมบูรณ์จะสูญสิ้นไป เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าก็พูดจาเหมือนเด็ก ๆ คิดเหมือนเด็ก ๆ ใช้เหตุผลเหมือนเด็ก ๆ แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกประพฤติเหมือนเด็ก ในเวลานี้ เราเห็นพระเจ้าเพียงราง ๆ เหมือนเห็นในกระจกเงา แต่เมื่อถึงเวลานั้น เราจะเห็นพระองค์เหมือนพระองค์ทรงอยู่ต่อหน้าเรา เวลานี้ ข้าพเจ้ารู้อย่างไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อถึงเวลานั้น ข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนที่พระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า ขณะนี้ยังมีความเชื่อ ความหวังและความรักอยู่ทั้งสามประการ แต่ที่ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดทั้งหมดคือ ความรัก

---ขอเวลาให้เราซาบซึ้งกับข้อความข้างต้นสักครู่ ก่อนที่จะร่วมกันประกาศความจริง และสัจจธรรมจากพระเจ้าที่ว่า

เครื่องหมายของพระศาสนจักร(คริสตจักร)แท้ คือ ความรัก

รูปภาพ

การพูดภาษาแปลกๆ และความรู้ทางศาสนศาสตร์ สักวันก็จะสูญสิ้น แต่ ความรักไม่สิ้นสุด
การพูดภาษาแปลกๆ และความรู้ก่ายกองทางพระคัมภีร์ หรือแม้แต่ความเชื่อที่ประกาศด้วยปาก หรือเชื่อด้วยใจ ล้วนไร้ค่า หากปราศจาก ความรัก


ช่างน่าประหลาด ที่พระคัมภีร์เองบอกเองว่า ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด

แต่ทำไม คริสตชนบางคน ถึงไม่คิด หรือไม่สอนว่า เครื่องหมายคริสตจักรแท้ พระพรที่สำคัญที่สุดในโลก จากพระวิญญาณ หรือพระจิตเจ้า พระพรที่หากไม่มี พระพรอื่นล้วนไร้ค่า และแม้แต่ความเชื่อที่เป็นรากความรอด ยังไม่ยิ่งใหญ่เท่า สิ่งที่เป็นเครื่องหมายแท้ของการประทับของพระเจ้า นั่นคือ ความรัก

1ยน 4:7
ท่านที่รักทั้งหลาย เราจงรักกัน เพราะความรักมาจากพระเจ้า และทุกคนที่มีความรัก ย่อมบังเกิดจากพระเจ้า และรู้จักพระองค์ ผู้ไม่มีความรัก ย่อมไม่รู้จักพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก


---แล้วความรักในที่นี้ หมายถึงความรักต่อพระเจ้าเท่านั้นหรือ?

1ยน 4:20
ถ้าผู้ใดพูดว่า “ฉันรักพระเจ้า” แต่เกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นย่อมเป็นคนพูดเท็จ เพราะผู้ไม่รักพี่น้องที่เขาแลเห็นได้ ย่อมไม่รักพระเจ้าที่เขาแลเห็นไม่ได้ เราได้รับบทบัญญัตินี้จากพระองค์ คือให้ผู้ที่รักพระเจ้า รักพี่น้องของตนด้วย


---ดังนั้น คริสตจักรแท้ คือการอ้างว่าคริสตจักรตัวเองทำถูกพระคัมภีร์ หรือมีพระพรพิเศษกว่าคริสตจักรอื่น แล้วดูถูก ใส่ความ เคียดแค้น(ขุดอดีตก่อนตัวเกิด) เหยียดหยาม ไร้มารยาท(หยาบคาย) ต่อ คริสตจักรอื่นหรือ ?

ไม่ใช่เลย เมื่อใครก็ตามมิได้มีความรักในแบบที่พระเจ้าสอน(ไม่อิจฉา ไม่โอ้อวดตนเอง ไม่จองหอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ความรักไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดที่ได้รับ) ทุกสิ่งที่เขาโอ้อวดทั้งความรู้ในพระคัมภีร์ และพระพรนานาประการ ก็ล้วนไร้ค่า และเมื่อทำเช่นนั้น ก็เท่ากับทำตนเป็นคริสตจักรไร้ค่า ไม่ใช่คริสตจักรแท้

ศาสนาเราคือ
ศาสนาเจ้าระเบียบหรือ
ศาสนาเราคือศาสนาปาฏิหารย์หรือ
ศาสนาเราคือศาสนาตามหนังสือหรือ

ไม่ใช่

คริสตศาสนาคือศาสนาแห่งความรัก

รูปภาพ

และความเชื่อของเราคือ ความเชื่อในพระเจ้าองค์ความรัก

ดังนั้นเครื่องหมายคริสตจักรแท้ มีอย่างเดียวคือ ความรัก

พระจิตเจ้าเคลื่อนไหวในความรัก
พระบิดาทรงอยู่ในความรัก
พระบุตรทรงสำแดงความรัก

พระเจ้าคือความรัก

รูปภาพ

คริสตจักรที่มีความรัก คือคริสตจักรที่มีพระเจ้า

คริสตจักรที่ไม่มีความรักคือคริสตจักรที่ไม่มีพระเจ้า

คริสตจักรที่ไม่มีความรักคือคริสตจักรที่ไม่มีพระบิดา
คริสตจักรที่ไม่มีความรักคือคริสตจักรที่ไม่มีพระบุตร
คริสตจักรที่ไม่มีความรักคือคริสตจักรที่ไม่มีพระจิต(พระวิญญาณ)

จงมีความรักเถิด(1ยน 4:19)
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ ศุกร์ พ.ค. 18, 2007 10:07 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

ศุกร์ พ.ค. 18, 2007 10:22 pm

รูปภาพ

"Keep the joy of loving God in your heart and share this joy with all you meet especially your family. Be holy – let us pray."

รักษาความชื่นชมยินดีในความรักพระเจ้าในหัวใจของคุณ และแบ่งปันความชื่นชมยินดีนี้ แก่ทุกคนที่คุณพบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครอบครัวของคุณ จงศักดิ์สิทธิ์ ให้เราภาวนา

Speak tenderly to them. Let there be kindness in your face, in your eyes, in your smile, in the warmth of your greeting. Always have a cheerful smile. Don't only give your care, but give your heart as well.

พูดกับเขาอย่างสุภาพ ให้มีความใจดีในใบหน้าของคุณ ในดวงตาของคุณ ในรอยยิ้มของคุณ ในความอบอุ่นของคำทักทายของคุณ มีรอยยิ้มที่ร่าเริงเสมอ อย่าให้แค่ความสนใจแต่จงให้หัวใจของคุณด้วย

I pray that you will understand the words of Jesus, “Love one another as I have loved you.” Ask yourself “How has he loved me? Do I really love others in the same way?” Unless this love is among us, we can kill ourselves with work and it will only be work, not love. Work without love is slavery.

แม่อธิฐานภาวนาขอให้คุณเข้าใจ พระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ตรัสว่า "รักผู้อื่นเหมือนอย่างที่เรารักท่าน" ถามตัวคุณเองว่า "พระองค์รักฉันอย่างไร? ฉันได้รักคนอื่นในแบบเดียวกับที่พระองค์รักฉันจริงๆหรือเปล่า?" ถ้าเราไม่ให้ความรักเช่นนี้อยู่ท่ามกลางพวกเรา เราสามารถฆ่าตัวตายด้วยภาระกิจของตัวเอง และมันจะเป็นแค่ภาระกิจ ไม่ใช่ความรัก ภาระกิจที่ปราศจากความรัก ก็คือการเป็นทาส

นักบุญ(ธรรมมิกชน) คุณแม่ เทเรซา แห่ง กัลกัตตา
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ ศุกร์ พ.ค. 18, 2007 10:35 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Dis volentibus

ศุกร์ พ.ค. 18, 2007 11:08 pm

ขอบคุณพี่ปอมากๆค่ะ  : emo038 :

ป.ล. กิจการใดๆจะสำเร็จได้โดยอาศัยความรัก
ป.ล.2 เเต่คริสตจักรที่มาว่าคนอื่นเทียมเท็จนี่ก็เก่งโน๊ะๆๆ คิดได้ถึงเพียงนี้ ๕๕๕ นับถือ  ::013::
แก้ไขล่าสุดโดย Ecclēsia เมื่อ ศุกร์ พ.ค. 18, 2007 11:20 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Big_TC29
โพสต์: 333
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ค. 17, 2006 12:34 am
ที่อยู่: ในรู

ศุกร์ พ.ค. 18, 2007 11:41 pm

ขอบคุณมากครับพี่ปอ
ภาพประจำตัวสมาชิก
sasuke
~@
โพสต์: 1120
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ธ.ค. 06, 2006 12:00 am
ที่อยู่: ใต้เสื้อคลุมของแม่

เสาร์ พ.ค. 19, 2007 6:52 am

พระเจ้าเป็นความรัก...และพระองค์ทรงรักเรา... : xemo026 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
แบกะดิน
โพสต์: 1085
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 26, 2007 7:49 pm

เสาร์ พ.ค. 19, 2007 7:38 pm

รัก รัก รัก และก็รัก *
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nihil
~@
โพสต์: 1763
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 4:36 pm
ที่อยู่: Pax
ติดต่อ:

อาทิตย์ พ.ค. 20, 2007 12:02 am

อ่านเข้าใจง่าย กระจ่าง ชัดเจน และเห็นภาพได้เลยครับ
ช่วยต่อยอดจากที่คุยกับคุณเก๋วันนั้นได้อย่างดีเลย
ขอบคุณพี่ปอครับสำหรับบทความดี ๆ ครับ ๆ  ::017::
ภาพประจำตัวสมาชิก
Andreas
~@
โพสต์: 3131
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 7:47 am
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

อาทิตย์ พ.ค. 20, 2007 2:24 pm

เป็นบทความที่เปี่ยมด้วยปรีชาญาณจากพระจิตเจ้าจริง ๆ ครับ เพราะถูกต้องชัดเจน ยากที่จะโต้แย้ง ถ้าคริสตชนทุกนิกายมีความเคารพรักกันอย่างแท้จริง ไม่ทะเลาะกัน พระเยซูเจ้าจะทรงดีพระทัยเพียงใด ขอให้เราพยายามทำในส่วนของเรา ที่เหลือพระองค์จะทรงจัดการเอง
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

อาทิตย์ พ.ค. 20, 2007 5:30 pm

ขอบคุณครับ : emo038 :
:+:Regina Pacis:+:
.
.
โพสต์: 944
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ต.ค. 18, 2005 11:16 pm

พุธ พ.ค. 23, 2007 4:26 pm

ขอบคุณพี่ปอสำหรับ บทความดีๆค่ะ
และประโยค นี้ ก็เรียกสติได้ดีทีเดียว
เครื่องหมายของพระศาสนจักร(คริสตจักร)แท้ คือ ความรัก

วันหน้า..ก่อนตอบอะไรใครเค้า..จะระลึกไว้เสมอว่าคำตอบที่มาจากความรักของพระเป็นเจ้าควรเป็นเช่นไร  ::001::


::014::

..ความรักของพระเป็นเจ้า..นั้นงามเป็นดั่งคำสัญญา..
:+: seraphim :+:
~@
โพสต์: 7624
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
ที่อยู่: Pattaya Chonburi

พฤหัสฯ. พ.ค. 24, 2007 6:55 am

: emo010 :โห....เยี่ยมคะ ขออนุญาตินำเสนอแอดมินอิสระได้เปล่าคะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Florian
โพสต์: 1513
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 31, 2006 12:05 pm
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

พฤหัสฯ. พ.ค. 24, 2007 8:55 am

โอ ... ช่างเป็นบทความที่ดำเนินเรื่องได้อย่างลุ่มลึกและมีตรรกะที่เยี่ยมยอด อ่านแล้วรู้สึกประทับใจมากเลยครับ  ::014::

ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาแห่งความรักจริงแท้  : xemo026 :
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

พฤหัสฯ. พ.ค. 24, 2007 9:04 am

:+: seraphim :+: เขียน: : emo010 :โห....เยี่ยมคะ ขออนุญาตินำเสนอแอดมินอิสระได้เปล่าคะ
ถ้าเสนอบทความ น่าจะ ให้พี่โฮลี่ เอดิด ให้สั้น หรือ แบ่ง 2-3 ตอนอะคับ :wink:
Alphonse
โพสต์: 1792
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ส.ค. 23, 2006 10:45 pm
ที่อยู่: Thailand

พฤหัสฯ. พ.ค. 24, 2007 10:09 am

ขอบคุณครับ
:+: seraphim :+:
~@
โพสต์: 7624
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
ที่อยู่: Pattaya Chonburi

พฤหัสฯ. พ.ค. 24, 2007 10:22 am

Jeab Agape เขียน:
:+: seraphim :+: เขียน: : emo010 :โห....เยี่ยมคะ ขออนุญาตินำเสนอแอดมินอิสระได้เปล่าคะ
ถ้าเสนอบทความ น่าจะ ให้พี่โฮลี่ เอดิด ให้สั้น หรือ แบ่ง 2-3 ตอนอะคับ :wink:

: emo038 : รอเอดมินมาเบิ่งก่อนจ้า
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 24, 2007 4:12 pm

:+: seraphim :+: เขียน:
Jeab Agape เขียน:
:+: seraphim :+: เขียน: : emo010 :โห....เยี่ยมคะ ขออนุญาตินำเสนอแอดมินอิสระได้เปล่าคะ
ถ้าเสนอบทความ น่าจะ ให้พี่โฮลี่ เอดิด ให้สั้น หรือ แบ่ง 2-3 ตอนอะคับ :wink:

: emo038 : รอเอดมินมาเบิ่งก่อนจ้า
ได้ครับ ส่วนถ้าจะแบ่งก้ให้ทางอิสระแบ่งตามความเหมาะสมของหน้ากระดาษก็ได้ครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Mr.Sally
โพสต์: 20
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ เม.ย. 01, 2007 11:27 am
ที่อยู่: จังหวัดภูเก็ต

ศุกร์ มิ.ย. 01, 2007 12:27 am

ศาสนจักรที่แท้จริงคือ ต้องไม่แสแสร้งแกร้ง ทำเป็นชวนคนอื่นมาเข้า หรือบังคับคนนอกศาสนาหรือนิกายอื่นมาเข้าโดยที่เขาเหล่านั้นไม่เต็มใจ จึงจะเรียกว่าศาสนจักรที่แท้จริงครับ แล้วศาสนจักรที่ทำตามนี้ก็จะอยู่เพื่อเป็นที่พักพิงของพวกเราต่อไป แต่คริสตจักรนิกายใหนๆก็แล้วแต่ ก็ถือว่าเป็นของพระผู้เป็นเจ้าครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ ศุกร์ มิ.ย. 01, 2007 12:44 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
nasyzus
โพสต์: 28
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 24, 2007 8:01 pm
ที่อยู่: 45/1 ซ.แม่เนี้ยว2 ถ.ประชาสงเคราะห์21 เขตดินแดง แขวงดินแดง กรุงเทพมหานคร 10400

จันทร์ ก.ย. 24, 2007 8:50 pm

ขอบคุณมากคะ
ความจริงยังอ่านไม่จบแต่ขอตอบก่อน
แล้วจะไปอ่านต่อค่ะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Edwardius
โพสต์: 1392
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ต.ค. 12, 2006 3:02 pm
ที่อยู่: Lamphun, Thailand

อังคาร ก.ย. 25, 2007 1:15 am

พระเจ้าเป็นความรัก    ประจักษ์ในพระเยซู
เสด็จลงมาสู่            โลกมนุษย์ช่วยปวงชน
ความรักนั้นใหญ่หลวง  เปรียบห้วงน้ำกระแสชล
ฟอกล้างดวงกมล      ปุถุชนพ้นราคี

ปล. พระวจนาถ นี่มิใช่ พระบุตร หรอกหรือครับ?
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zaliaus
โพสต์: 640
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ค. 07, 2007 1:03 am
ที่อยู่: ...

อังคาร ก.ย. 25, 2007 1:34 pm

Mr.Sally เขียน: ศาสนจักรที่แท้จริงคือ ต้องไม่แสแสร้งแกร้ง ทำเป็นชวนคนอื่นมาเข้า หรือบังคับคนนอกศาสนาหรือนิกายอื่นมาเข้าโดยที่เขาเหล่านั้นไม่เต็มใจ จึงจะเรียกว่าศาสนจักรที่แท้จริงครับ แล้วศาสนจักรที่ทำตามนี้ก็จะอยู่เพื่อเป็นที่พักพิงของพวกเราต่อไป แต่คริสตจักรนิกายใหนๆก็แล้วแต่ ก็ถือว่าเป็นของพระผู้เป็นเจ้าครับ
คริสตจักรที่แท้ คงไม่เที่ยวประกาศปาวๆ ว่าตัวเองเป็นของแท้หรอกครับ ว่ามั้ย??
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร ก.ย. 25, 2007 2:02 pm

Edwardius เขียน: พระเจ้าเป็นความรัก    ประจักษ์ในพระเยซู
เสด็จลงมาสู่             โลกมนุษย์ช่วยปวงชน
ความรักนั้นใหญ่หลวง  เปรียบห้วงน้ำกระแสชล
ฟอกล้างดวงกมล       ปุถุชนพ้นราคี

ปล. พระวจนาถ นี่มิใช่ พระบุตร หรอกหรือครับ?
พระวจนาถ แปลไทยเป็นไทยคือ พระวาจา ครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Florian
โพสต์: 1513
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 31, 2006 12:05 pm
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

อังคาร ก.ย. 25, 2007 2:18 pm

Holy เขียน:
Edwardius เขียน: พระเจ้าเป็นความรัก    ประจักษ์ในพระเยซู
เสด็จลงมาสู่             โลกมนุษย์ช่วยปวงชน
ความรักนั้นใหญ่หลวง  เปรียบห้วงน้ำกระแสชล
ฟอกล้างดวงกมล       ปุถุชนพ้นราคี

ปล. พระวจนาถ นี่มิใช่ พระบุตร หรอกหรือครับ?
พระวจนาถ แปลไทยเป็นไทยคือ พระวาจาครับ
ผมเห็นด้วยกับน้องเอ๊ดนะครับ

พระวจนาตถ์น่าจะหมายถึงพระบุตร ดังปรากฎในบทที่หนึ่งของพระวรสารนักบุญยอห์น ที่ว่า

John 1

The Word Became Flesh

1In the beginning was the Word, and the Word was with God, and the Word was God. 2He was with God in the beginning. 3Through him all things were made; without him nothing was made that has been made. 4In him was life, and that life was the light of men. 5The light shines in the darkness, but the darkness has not understood it.

6There came a man who was sent from God; his name was John. 7He came as a witness to testify concerning that light, so that through him all men might believe. 8He himself was not the light; he came only as a witness to the light. 9The true light that gives light to every man was coming into the world.

10He was in the world, and though the world was made through him, the world did not recognize him. 11He came to that which was his own, but his own did not receive him. 12Yet to all who received him, to those who believed in his name, he gave the right to become children of God
Rakkypoko!
โพสต์: 960
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ส.ค. 31, 2007 2:35 pm

อังคาร ก.ย. 25, 2007 2:35 pm

Zaliaus เขียน:
Mr.Sally เขียน: ศาสนจักรที่แท้จริงคือ ต้องไม่แสแสร้งแกร้ง ทำเป็นชวนคนอื่นมาเข้า หรือบังคับคนนอกศาสนาหรือนิกายอื่นมาเข้าโดยที่เขาเหล่านั้นไม่เต็มใจ จึงจะเรียกว่าศาสนจักรที่แท้จริงครับ แล้วศาสนจักรที่ทำตามนี้ก็จะอยู่เพื่อเป็นที่พักพิงของพวกเราต่อไป แต่คริสตจักรนิกายใหนๆก็แล้วแต่ ก็ถือว่าเป็นของพระผู้เป็นเจ้าครับ
คริสตจักรที่แท้ คงไม่เที่ยวประกาศปาวๆ ว่าตัวเองเป็นของแท้หรอกครับ ว่ามั้ย??

เห็นด้วยครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Edwardius
โพสต์: 1392
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ต.ค. 12, 2006 3:02 pm
ที่อยู่: Lamphun, Thailand

อังคาร ก.ย. 25, 2007 2:45 pm

Florian เขียน:
Holy เขียน:
Edwardius เขียน: พระเจ้าเป็นความรัก    ประจักษ์ในพระเยซู
เสด็จลงมาสู่             โลกมนุษย์ช่วยปวงชน
ความรักนั้นใหญ่หลวง  เปรียบห้วงน้ำกระแสชล
ฟอกล้างดวงกมล       ปุถุชนพ้นราคี

ปล. พระวจนาถ นี่มิใช่ พระบุตร หรอกหรือครับ?
พระวจนาถ แปลไทยเป็นไทยคือ พระวาจาครับ
ผมเห็นด้วยกับน้องเอ๊ดนะครับ

พระวจนาตถ์น่าจะหมายถึงพระบุตร ดังปรากฎในบทที่หนึ่งของพระวรสารนักบุญยอห์น ที่ว่า

John 1

The Word Became Flesh
พระวจนาถทรงรับเอาพระกายเนี่ย เท่ากับว่า พระวจนาถเป็นพระบุตร นะครับ ผมว่า....
พระวาจา หรือ Logos เนี่ย มีสภาพเป็นสิ่งสัมผัสได้นะครับ ผมว่า.... พี่น้องว่าอย่างใด
ภาพประจำตัวสมาชิก
Florian
โพสต์: 1513
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 31, 2006 12:05 pm
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

อังคาร ก.ย. 25, 2007 3:00 pm

Edwardius เขียน:
Florian เขียน:
Holy เขียน:




พระวจนาถ แปลไทยเป็นไทยคือ พระวาจาครับ
ผมเห็นด้วยกับน้องเอ๊ดนะครับ

พระวจนาตถ์น่าจะหมายถึงพระบุตร ดังปรากฎในบทที่หนึ่งของพระวรสารนักบุญยอห์น ที่ว่า

John 1

The Word Became Flesh
พระวจนาถทรงรับเอาพระกายเนี่ย เท่ากับว่า พระวจนาถเป็นพระบุตร นะครับ ผมว่า....
พระวาจา หรือ Logos เนี่ย มีสภาพเป็นสิ่งสัมผัสได้นะครับ ผมว่า.... พี่น้องว่าอย่างใด
ก็ว่าอย่างที่ได้แจ้งไปแล้วน่ะน้อง อิ อิ ... กล่าวคือ ... พระวจนาตถ์น่าจะหมายถึงพระบุตร งั้นโพสต์พระวรสารภาคภาษาไทยนะ  :laugh:

ยน 1:1-18 ก: อารัมภบท

(1) เมื่อแรกเริ่มนั้น พระวจนาตถ์ทรงดำรงอยู่แล้วพระวจนาตถ์ประทับอยู่กับพระเจ้าและพระวจนาตถ์เป็นพระเจ้า
(2) พระองค์ประทับอยู่กับพระเจ้าแล้วตั้งแต่แรกเริ่ม
(3) พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งอาศัยพระวจนาตถ์ไม่มีสักสิ่งเดียวที่พระเจ้าไม่ทรงสร้าง โดยทางพระวจนาตถ์
(4) ชีวิตอยู่ในพระองค์ และชีวิตเป็นแสงสว่างสำหรับมนุษย์
(5) แสงสว่างส่องในความมืด และความมืดกลืนแสงสว่างนั้นไม่ได้
(6) พระเจ้าทรงส่งชายผู้หนึ่งมาเขาชื่อ ยอห์น
(7) เขามาในฐานะพยานเพื่อเป็นพยานถึงแสงสว่าง
(8) เขาไม่ใช่แสงสว่างแต่เป็นพยานถึงแสงสว่าง
(9) แสงสว่างแท้จริงซึ่งส่องสว่างแก่มนุษย์ทุกคนกำลังจะมาสู่โลก
(10) พระวจนาตถ์ประทับอยู่ในโลกและโลกถูกสร้างโดยอาศัยพระองค์แต่โลกไม่รู้จักพระองค์
(11) พระองค์เสด็จมาสู่บ้านเมืองของพระองค์แต่ประชากรของพระองค์ไม่ยอมรับพระองค์
(12) ผู้ใดที่ยอมรับพระองค์คือผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์พระองค์ประทานอำนาจให้ผู้นั้นกลายเป็นบุตรของพระเจ้า
(13) เขามิได้เกิดจากสายเลือด มิได้เกิดจากความปรารถนาตามธรรมชาติ มิได้เกิดจากความต้องการของมนุษย์แต่เกิดจากพระเจ้า
(14) พระวจนาตถ์ทรงรับธรรมชาติมนุษย์และเสด็จมาประทับอยู่ท่ามกลางเรา เราได้เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์เป็นพระสิริรุ่งโรจน์ที่ทรงรับจากพระบิดา ในฐานะพระบุตรเพียงพระองค์เดียวเปี่ยมด้วยพระหรรษทานและความจริง
(15) ยอห์นเป็นพยานถึงพระองค์ และประกาศว่าผู้ที่มาภายหลังข้าพเจ้าได้นำหน้าข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า
ตอบกลับโพส