รู้สึกว่าตัวเองศรัทธายังไม่พอ
คืออย่างงี้ครับ เมื่อวันศุกร์สัปดาห์ก่อน มีเพื่อนของผมคนนึงชื่อ อาร์ท(เป็นผู้หญิง ค่อนข้างบ้าการ์ตูน)
เค้าได้มาเปิดกระเป๋าผมดูเล่น แล้วก็เจอกับพันธสัญญาใหม่(เล่มที่พี่Holyแจก)
ตอนแรกเค้าบอกว่าอยากอ่านเรื่องอะไรซักอย่าง ซึ่งอยู่ในพันธสัญญาเดิม แต่ผมบอกเค้าไปว่า
เล่มนี้น่ะ มีแต่เรื่องราวหลังพระเยซูประสูติ
แต่กระนั้นอาร์ทก็ยังหยิบเอาไปอ่าน โดยที่ผมยังไม่ว่าอะไร เพราะดูเหมือนเค้าอยากอ่านเกี่ยวกับ
อิทธิ์ ปาฏิหาริย์ อำนาจของพระเจ้าในพันธสัญญาเดิมซะล่ะมากกว่า
วันนั้นอาร์ทก็ได้ยืมพันธสัญญาใหม่ ฉบับ โปรฯ ของผมไปอ่าน(จริง ๆ ผมจะเป็นคาทอลิกนะ!-_-)
วันจันทร์ที่ 21 พ.ค.(วันนี้) คาบที่ 3 วิชาสารสนเทศ ผมเห็นอาร์ทเค้าSearchชื่อพระเยซูใน google
ผมก็งงเลยถามว่า อาร์ทหาเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูไปทำไม?
อาร์ทได้ตอบคำถามที่ทำให้ผมตกตะลึงออกมาคือ... เค้าอ่านเรื่องพระเยซูแล้วร้องให้ :huh:
ผมถามเค้าว่า เค้าร้องไห้ทำไม เค้าบอกว่า เค้าร้องให้เรื่องพระเยซูตอนที่ยูดาสอายัดพระองค์
แล้วก็ตอนที่เปโตรปฏิเสธพระองค์ 3 ครั้ง เค้าบอกว่าเค้าเสียใจกับเรื่องของพระองค์มาก ๆ
ผมถามเค้าว่าเค้าได้อ่านของอีก 3 คนรึเปล่า เค้าบอกว่ามันซ้ำ ๆ กันเลยไม่ได้อ่านต่อ แล้วข้ามไปอ่านกิจการอัครทูต แล้วเค้าบอกว่าจะยืมพันธสัญญาใหม่ไปอ่านจบจนแล้วค่อยคืน ซึ่งผมก็แอบดีใจอยู่
จากเรื่องที่ผมได้พบมาวันนี้ ผมพบว่าตัวผมยังรักพระองค์น้อยไป ขนาดคนที่ไม่เคยรู้จักพระองค์มาก่อนมาอ่านเรื่องของพระองค์ ยังเสียใจกับเรื่องของพระองค์ขนาดนี้
ในขณะที่ผมตอนอ่านในพระคัมภีร์ตอนดังกล่าว ผมยังรู้สึกเฉย ๆ ซะด้วยซ้ำ
ก่อนที่จะไปเฝ้าพระองค์(น่าจะอีกนาน) ผมคงต้องพัฒนาศรัทธาให้มากขึ้นซะแล้ว
เค้าได้มาเปิดกระเป๋าผมดูเล่น แล้วก็เจอกับพันธสัญญาใหม่(เล่มที่พี่Holyแจก)
ตอนแรกเค้าบอกว่าอยากอ่านเรื่องอะไรซักอย่าง ซึ่งอยู่ในพันธสัญญาเดิม แต่ผมบอกเค้าไปว่า
เล่มนี้น่ะ มีแต่เรื่องราวหลังพระเยซูประสูติ
แต่กระนั้นอาร์ทก็ยังหยิบเอาไปอ่าน โดยที่ผมยังไม่ว่าอะไร เพราะดูเหมือนเค้าอยากอ่านเกี่ยวกับ
อิทธิ์ ปาฏิหาริย์ อำนาจของพระเจ้าในพันธสัญญาเดิมซะล่ะมากกว่า
วันนั้นอาร์ทก็ได้ยืมพันธสัญญาใหม่ ฉบับ โปรฯ ของผมไปอ่าน(จริง ๆ ผมจะเป็นคาทอลิกนะ!-_-)
วันจันทร์ที่ 21 พ.ค.(วันนี้) คาบที่ 3 วิชาสารสนเทศ ผมเห็นอาร์ทเค้าSearchชื่อพระเยซูใน google
ผมก็งงเลยถามว่า อาร์ทหาเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูไปทำไม?
อาร์ทได้ตอบคำถามที่ทำให้ผมตกตะลึงออกมาคือ... เค้าอ่านเรื่องพระเยซูแล้วร้องให้ :huh:
ผมถามเค้าว่า เค้าร้องไห้ทำไม เค้าบอกว่า เค้าร้องให้เรื่องพระเยซูตอนที่ยูดาสอายัดพระองค์
แล้วก็ตอนที่เปโตรปฏิเสธพระองค์ 3 ครั้ง เค้าบอกว่าเค้าเสียใจกับเรื่องของพระองค์มาก ๆ
ผมถามเค้าว่าเค้าได้อ่านของอีก 3 คนรึเปล่า เค้าบอกว่ามันซ้ำ ๆ กันเลยไม่ได้อ่านต่อ แล้วข้ามไปอ่านกิจการอัครทูต แล้วเค้าบอกว่าจะยืมพันธสัญญาใหม่ไปอ่านจบจนแล้วค่อยคืน ซึ่งผมก็แอบดีใจอยู่
จากเรื่องที่ผมได้พบมาวันนี้ ผมพบว่าตัวผมยังรักพระองค์น้อยไป ขนาดคนที่ไม่เคยรู้จักพระองค์มาก่อนมาอ่านเรื่องของพระองค์ ยังเสียใจกับเรื่องของพระองค์ขนาดนี้
ในขณะที่ผมตอนอ่านในพระคัมภีร์ตอนดังกล่าว ผมยังรู้สึกเฉย ๆ ซะด้วยซ้ำ
ก่อนที่จะไปเฝ้าพระองค์(น่าจะอีกนาน) ผมคงต้องพัฒนาศรัทธาให้มากขึ้นซะแล้ว
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
พระองค์ทรงสำแดงพระองค์แก่เพื่อนของคุณแล้วครับ
พระองค์ทรงเรียกลูกแกะของพระองค์ให้กลับเข้าคอกแกะแล้วครับ
ลองหาหนังสือเสริมศรัทธาอื่น ๆ ให้เค้าอ่านสิครับ ให้เค้าเข้าใจมากขึ้น ว่าทำไมยูดาสถึงทรยศพระองค์
ทำไมเปโตรถึงปฏิเสธพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงยอมสิ้นพระชนบนกางเขน
ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ ว่าตัวเองศรัทธาน้อยเกินไป ตราบใดที่ยังสวดภาวนา
นึกถึงพระองค์ในทุกกิจการ พยายามแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์
ก็เรียกว่า ศรัทธาแล้วครับ
พระองค์ทรงเรียกลูกแกะของพระองค์ให้กลับเข้าคอกแกะแล้วครับ
ลองหาหนังสือเสริมศรัทธาอื่น ๆ ให้เค้าอ่านสิครับ ให้เค้าเข้าใจมากขึ้น ว่าทำไมยูดาสถึงทรยศพระองค์
ทำไมเปโตรถึงปฏิเสธพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงยอมสิ้นพระชนบนกางเขน
ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ ว่าตัวเองศรัทธาน้อยเกินไป ตราบใดที่ยังสวดภาวนา
นึกถึงพระองค์ในทุกกิจการ พยายามแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์
ก็เรียกว่า ศรัทธาแล้วครับ
ของบางอย่างมันต้องใช้เวลาเเละการไขว่คว้า(หาความรู้)ค่ะ...
ยิ่งถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า
เราได้รู้จักพระองค์มากเท่าไหร่ เราก็รักพระองค์มากขึ้นเท่านั้น
ป.ล. การเเสดงออกหรือความรู้สึกตอบสนองของมนุษย์เเต่ละคนล้วนต่างกัน :shocked: :lipsrsealed: :undecided:
ป.ล.2 ความเเรงของศรัทธา ไม่ได้อยู่ที่การไปร่วมพิธีกรรมบ่อย(โดยปราศจากความรักเเละความเข้าใจในพระเจ้า)
ยิ่งถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า
เราได้รู้จักพระองค์มากเท่าไหร่ เราก็รักพระองค์มากขึ้นเท่านั้น
ป.ล. การเเสดงออกหรือความรู้สึกตอบสนองของมนุษย์เเต่ละคนล้วนต่างกัน :shocked: :lipsrsealed: :undecided:
ป.ล.2 ความเเรงของศรัทธา ไม่ได้อยู่ที่การไปร่วมพิธีกรรมบ่อย(โดยปราศจากความรักเเละความเข้าใจในพระเจ้า)
นักบุญเทเรซา อาวิลา เป็นคนนึงที่ไม่รู้สึกอะไร (หมายถึงร้องไห้ เศร้าใจ) เมื่อรำพึงถึงพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้า .... เหมือนที่น้องเจนบอก "การเเสดงออกหรือความรู้สึกตอบสนองของมนุษย์เเต่ละคนล้วนต่างกัน"
เราไม่จำเป็นต้องเหมือนคนอื่นนะคะ การโตในชีวิตจิตเราไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร เราไม่จำเป็นต้องได้รับประสบการณ์เหมือนใคร แต่การที่เรายินดีกับเพื่อนและพยายามให้เราศรัทธาขึ้นเป็นสิ่งที่ดี แต่เป้าหมายต้องอยู่ที่พระ ไม่ใช่อยู่ที่จะให้เหมือนเพื่อน
Keep doing good!!
เราไม่จำเป็นต้องเหมือนคนอื่นนะคะ การโตในชีวิตจิตเราไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร เราไม่จำเป็นต้องได้รับประสบการณ์เหมือนใคร แต่การที่เรายินดีกับเพื่อนและพยายามให้เราศรัทธาขึ้นเป็นสิ่งที่ดี แต่เป้าหมายต้องอยู่ที่พระ ไม่ใช่อยู่ที่จะให้เหมือนเพื่อน
Keep doing good!!
สบายใจได้ครับน้องชาย
พี่เคยเล่าไปแล้วทีนึง ว่าตั้งแต่เกิดมา พี่ร้องไห้เพราะสงสารพระเยซูเจ้า ผู้ทรงรับทนทรมานเพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้นเองครับ
ถ้าพวกเราร้องไห้ ไม่ว่าจะเพราะเกิดปีติยินดีในจิตใจ หรือเพราะสงสารพระเยซูเจ้า ก็จงขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับพระคุณนี้เถิดครับ แต่พอขอบพระคุณแล้วก็อย่าไปยึดติด การที่เราร้องไห้ ไม่ได้แปลว่าเราเป็นคนศักดิ์สิทธิ์ ความศักดิ์สิทธิ์มากน้อยในตัวเราไม่ได้อยู่ที่จำนวนน้ำตาว่าเราร้องไห้ออกมากี่หยาดกี่หยดนะครับ
ฉะนั้น น้องอาจไม่เคยร้องไห้สงสารพระเยซูเจ้า ก็ไม่ได้แปลว่าน้องไม่ศรัทธา ในทางตรงกันข้าม น้องอาจเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้ยิ่งกว่าคนที่เคยร้องไห้สงสารพระเยซูเจ้าด้วยซ้ำไปครับ : xemo026 :
ถ้าเช่นนั้น ความศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน หรือคนแบบใดจึงจะเรียกได้ว่าเป็นคนศรัทธา
หลายคนอาจถูกมองว่าเป็นคนศรัทธา เพราะพวกเขาชอบสะสมรูปพระ มีรูปพระมากมาย มองไปทางไหน ก็มีแต่พระเจ้า แม่พระ นักบุญ บุญราศี แต่ความศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้น เพราะไม่เช่นนั้นหลายคนคงไม่ได้ไปสวรรค์ เพราะเขาก็ไม่ได้มีเงินซื้อรูปพระมาเก็บสะสม ในทางตรงกันข้ามผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายท่านอาจมีแค่กางเขนเก่าๆ 1 รูป สายประคำธรรมด๊าธรรมดาอีกแค่เส้นเดียว
หลายคนอาจถูกมองว่าเป็นคนศรัทธา เพราะพวกเขาเคยมีประสบการณ์ในเรื่องอัศจรรย์เหนือธรรมชาติ แต่ความศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้น เพราะไม่เช่นนั้นหลายคนก็คงไม่ได้ไปสวรรค์ เพราะไม่เคยได้รับการประจักษ์มาจากสรวงสวรรค์ ไม่เคยฝันเห็นบุคคลจากสรวงสวรรค์ ไม่เคยมีพระพรพิเศษเหนือธรรมชาติที่คนทั่วไปไม่มี ในทางตรงกันข้าม ผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายท่านอาจไม่เคยมีประสบการณ์เหนือธรรมชาติเลย แต่ใช้ชีวิตในแต่ละวันเฉกเช่นคนธรรมดาอย่างศักดิ์สิทธิ์ ก็เท่านั้น
หลายคนอาจถูกมองว่าเป็นคนศรัทธา เพราะพวกเขาสนใจไปเยี่ยมศาสนสถานต่างๆ มีงานฉลองทางศาสนาที่ไหนก็ไปหมด วัดวาอารามแห่งหนตำบลใด ก็ไปแสวงบุญฝากรอยเท้ามาแล้วทุกที่ แต่ความศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้น เพราะไม่เช่นนั้นหลายคนก็คงไม่ได้ไปสวรรค์ เพราะไม่มีโอกาสไปแสวงบุญที่ไหนเลยแม้สักที่เดียว ในทางตรงกันข้าม ผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายท่านอาจไม่เคยไปไหนต่อไหนเลย อยู่แต่ที่วัดของตัวเองนั่นแหละ แต่ก็ศักดิ์สิทธิ์ได้
หลายคนอาจถูกมองว่าเป็นคนศรัทธา เพราะพวกเขาร้องเพลงที่ใช้ในพิธีกรรมได้หลายเพลง และแถมยังร้องได้ไพเราะอีกด้วย หรืออาจเล่นดนตรีเพลงวัดได้หลายเพลงอย่างไพเราะและชำนิชำนาญ แต่ความศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้น เพราะไม่เช่นนั้นหลายคนก็คงไม่ได้ไปสวรรค์ เพราะเล่นดนตรีก็ไม่เป็นสักชนิด ร้องเพลงก็ไม่ค่อยได้ แถมร้องแล้วเสียงอย่างกับควายออกลูก ในทางตรงกันข้าม ผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายท่านอาจไม่มีพรสวรรค์หรือความสามารถในทางการดนตรีและบทเพลงเลยก็เป็นได้
หลายคนอาจถูกมองว่าเป็นคนศรัทธา เพราะพวกเขามีความรู้ในทางศาสนามากมาย แถมแสดงอรรถให้ลุ่มลึกซาบซึ้ง แต่ความศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อยู่ตรงนั้น เพราะไม่เช่นนั้นหลายคนก็คงไม่ได้ไปสวรรค์ เพราะมีความรู้คำสอนเพียงระดับชาวบ้านเท่านั้นเอง ในทางตรงกันข้าม ผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายท่านอาจไม่ได้รับการศึกษาสูงๆ อธิบายอรรถข้อเชื่ออะไรก็มิใคร่จักเป็น
เพราะอะไร ? ก็เพราะ...
เรื่องรูปพระ ใครก็สะสมได้ คนต่างศาสนาที่ชื่นชมรูปพระและสิ่งคล้ายศีลในฐานะเป็นงานศิลปะประเภทหนึ่ง พวกเขาก็สะสมได้
เรื่องอัศจรรย์เหนือธรรมชาติ คนต่างศาสนาหลายคนก็เคยมีประสบการณ์ทำนองอิทธิปาฏิหารย์ ที่พวกเขาก็อาจเอ่ยอ้างได้ว่าเป็นประสบการณ์เหนือธรรมชาติเช่นกัน
เรื่องการท่องเที่ยวแสวงบุญ ใครๆก็ไปได้ คนต่างศาสนาหลายคนก็ไปเยี่ยมชมศาสนสถานในฐานะนักท่องเที่ยวผู้ชื่นชมอภิเชษฐ์ในงานศิลปะ
เรื่องเพลงและดนตรีศักดิ์สิทธิ์ ใครๆก็มีส่วนร่วมได้ คนต่างศาสนาหลายคนได้ฟังเพลงในพิธีกรรมก็สามารถร้องตามได้ ที่สุดก็อาจร้องได้มากเพลง และอาจร้องได้มากกว่าคริสตชนเองด้วยซ้ำไป นอกจากนี้หลายคนอาจเข้าร่วมคณะขับร้องประสานเสียงในวัด และเกือบทุกคนที่อ่านโน้ตเพลงออกและเล่นดนตรีเป็น ก็สามารถเล่นเพลงในพิธีกรรมได้ด้วยเช่นกัน
เรื่องความรู้ทางศาสนาและความสามารถในการแสดงอรรถข้อเชื่อได้ลุ่มลึกและซาบซึ้งนั้น หลายคนก็ทำได้ คนต่างศาสนาที่มีสติปัญญาดีก็ทำได้ พวกเขาสามารถเป็นนักเทววิทยาที่ปราดเปรื่องได้ และอาจเป็นได้ดีกว่านักเทววิทยาที่เป็นคริสตชนด้วยซ้ำ
ครับ นั่นสิ แล้วความศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน แบบไหนถึงจะเรียกได้ว่าเป็นคนศรัทธา
สำหรับพี่แล้ว ความศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ "ความนบนอบต่อพระเจ้าในการปฏิบัติตามพระวาจาและคำสั่งสอนของพระองค์" ต่างหากเล่าครับ
คนที่มีความศรัทธาแท้และจัดว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ คือคนที่ฟังพระวาจาของพระเจ้าและนำไปปฏิบัติตาม พระเยซูเจ้าตรัสว่า "ผู้ใดรักเรา ผู้นั้นจะปฏิบัติตามคำของเรา พระบิดาจะทรงรักเขา และพระบิดาพร้อมกับเราจะมาหาเขา และพำนักอยู่กับเขา" ช่างเป็นบุญเสียนี่กระไรครับที่คนๆหนึ่งจะมีโอกาสอยู่กับพระเจ้าสูงสุด พระองค์ประทับอยู่กับเขา เป็นหนึ่งเดียวและเป็นมิตรกับเขา
หรือเมื่อมีคนบอกพระเยซูเจ้าว่า มารดาและพี่น้องของพระองค์มาหา พระองค์ตรัสตอบว่า "ผู้ที่ฟังพระวาจาของพระเจ้าและปฏิบัติตามนั้นแหละคือมารดาและพี่น้องของเรา" ช่างเป็นความสุขสุดๆสำหรับคนๆหนึ่งโดยแท้ที่ฟังและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระเจ้า เพราะเขาได้กลับกลายเป็นพี่น้องกับพระเยซูเจ้า
แม้ในวันพิพากษา เขาก็ไม่ต้องหวาดกลัวต่อพระตุลาการผู้ทรงความยุติธรรม เพราะพระองค์ไม่ใช่พระตุลาการสำหรับเขา แต่พระองค์คือมิตรและพี่น้องของเขาต่างหาก
และคนแบบนี้แหละ(ที่ฟังและปฏิบัติตามพระวาจาของพระเยซูเจ้า)คือผู้ที่มีความศรัทธาแท้และเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ : xemo028 :
ขอยกตัวอย่างเป็นการสาธกให้เห็นภาพเล็กน้อย คำสอนอันเป็นมรดกสำคัญของพระเยซูเจ้าก่อนที่พระองค์จะเสด็จขึ้นสวรรค์ประการหนึ่ง ก็คือ "ท่านทั้งหลายจงรักกันและกันอย่างที่เรารักท่าน" การที่เราจะรักคนอื่นได้ เราก็ต้องละ"ตัวกูของกู"ก่อน เพราะถ้าเรายังมี"ตัวกูของกู" เราก็จะเห็นแต่ตัวเอง และมองไม่เห็นเพื่อนพี่น้อง น่าเสียดายที่คริสตชนหลายคนละ"ตัวกูของกู"ไม่ได้ หรืออย่างน้อยที่สุด แม้แต่ความพยายามที่จะละ"ตัวกูของกู"ก็ไม่มี ยังคงยึดติดอยู่กับตัวเอง มีชีวิตอยู่กับตัวเองและเพื่อตัวเองอยู่อย่างนั้นร่ำไป
แต่การเป็นคริสตชนนั้น จะละ"ตัวกูของกู"แค่นั้น หาเพียงพอไม่ ทว่าต้องก้าวข้ามไปสู่การมีชีวิตเพื่อรัก บริการ และรับใช้ "ตัวมึงของมึง"ด้วย นั่นก็หมายความว่า คริสตชนเรานอกเสียจากจะปฏิเสธน้ำใจตนเองแล้ว ยังต้องก้าวข้ามไปสู่การมีชีวิตอยู่เพื่อรัก บริการ และรับใช้ เพื่อนพี่น้องรอบข้างด้วย น่าเสียดายที่คริสตชนหลายคนก้าวข้ามไปไม่ถึงจุดนี้ ยังมีชีวิตอยู่เพื่อรัก บริการ และรับใช้ "ตัวกูของกู" เท่านั้น
หลายคนกว่าจะได้รับศีลล้างบาปช่างเป็นเรื่องที่ยากเหลือแสน แต่พอได้รับศีลล้างบาปที่รอมานานแสนนาน ก็กลับไม่ได้ตระหนักถึงความรักที่เราพึงมีต่อพี่น้องรอบข้าง อย่างดีก็แค่ทำดีเฉพาะตัวเองเท่านั้น(ฉันไปวัด รับศีล สวดภาวนา ก็ถือว่า"ตัวฉัน"ทำดีแล้ว ปฎิบัติตามพระบัญญัติแล้ว ไม่สนใจเพื่อนพี่น้องคนอื่นเลย เป็นต้น เช่นนี้จะเหมือนพวกฟาริสีมากๆ สนใจแต่บทบัญญัติ แต่ไม่นำพาต่อเพื่อนพี่น้อง ไม่เข้าใจและเข้าไม่ถึงกฎแห่งความรักเอาเสียเลย) ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว การเป็นคริสตชนไม่ใช่การมีความสุขอยู่กับตนเอง หลายคนได้รับประสบการณ์แห่งความปีติฝ่ายจิต แต่ถ้าเราคงความปีตินี้อยู่กับตัวเอง ก็ไม่เป็นการเพียงพอ เพราะเราเป็นคริสตชน การนิ่งเฉยไม่สนใจใยดีต่อพี่น้องรอบข้าง ไม่ว่าเขาจะต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ นับว่าไม่ใช่วิสัยของคริสตชนที่ดี คริสตชนที่ดีไม่ควรเป็นคนดูดาย แต่ต้องออกจากตัวเอง แล้วมองไปรอบข้าง สนใจพี่น้องรอบตัว มีความอารีอารอบ การเป็นคริสตชนที่ดีจึงเปรียบได้เหมือนกับการเข้าประตูแคบ ส่วนการดูดาย ไม่สนใจพี่น้องรอบข้างเลย แต่มัวพะวงกับเรื่องบาป กฎเกณฑ์ อย่างที่พวกฟาริสีเป็นนั้น ถือเป็นประตูกว้างที่ดูจะปฏิบัติง่ายกว่า แค่ปฏิบัติตามกฎที่ห้ามนั่นห้ามนี่ หยุมๆหยิมๆ ก็เป็นการเพียงพอแล้ว แต่ขอเน้นว่าสิ่งนั้นไม่เป็นการเพียงพอสำหรับผู้ที่เป็นคริสตชนเลยครับ
ดูตัวอย่างจากเรื่องของลาซารัส ลาซารัสนอนอดอยากอยู่หน้าบ้านเศรษฐี ในขณะที่เศรษฐีอิ่มหนำสำราญอยู่ในบ้านของตน ซึ่งเศรษฐีก็ไม่ได้ทำอะไรลาซารัส ไม่ได้ส่งคนไปด่าทอ ทำร้าย เพียงแต่ไม่ได้ใยดีต่อลาซารัส ดูดาย ปล่อยให้เขานอนลำบากยากแค้นอยู่หน้าบ้านนั้นต่อไป แต่สุดท้ายเศรษฐีซึ่งไม่ได้ทำร้ายอะไรลาซารัสเล้ยยยยยยกลับต้องไปขบเขี้ยวเคี้ยวฟันในถิ่นเนรเทศ นี่แสดงให้เห็นมาตรฐานของพระเจ้าว่า คริสตชนไม่ควรเป็นคนดูดายต่อคนรอบข้าง แต่ต้องมีความอารีอารอบ สนอกสนใจผู้อื่นรอบข้างเสมอ
หลายคนไปวัด ร่วมมิสซา รับศีลศักดิ์สิทธิ์ ยังไม่เพียงพอ เพราะถ้าเขาไปวัด ร่วมมิสซา และรับศีลศักดิ์สิทธิ์ แต่ออกมาทำบาป ไม่รักเพื่อนพี่น้อง ดูดายเพื่อนพี่น้อง ไม่สนอกสนใจ อยู่แต่กับตัวเองและคนที่ตัวเองพอใจจะอยู่ด้วย(เช่น แฟน กิ๊ก ฯลฯ)เท่านั้น เขาก็ไม่เป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้า
จากพระวาจาที่สั่งสอนว่า"ท่านทั้งหลายจงรักกันและกันดังที่เรารักท่าน" คนที่มีความศรัทธาและเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง ก็จะฟังและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระเยซูเจ้าประการนี้ เขาจะสละน้ำใจตนเองและมีชีวิตอยู่เพื่อรัก บริการ และรับใช้เพื่อนพี่น้องรอบข้าง ไม่ดูดาย ไม่อยู่แต่เพียงกับตนเอง และคนที่ตนเองพอใจจะอยู่ด้วยเท่านั้น แต่จะมีความสนอกสนใจ อารีอารอบ ต่อเพื่อนพี่น้องรอบข้างเสมอ ไม่ว่าเพื่อนพี่น้องจะเอ่ยปากขอความช่วยเหลือนั้นออกมาหรือไม่ก็ตามครับ
นี่เป็นแค่ตัวอย่างเดียวของ"การฟังและปฏิบัติตามพระวาจาและคำสั่งสอนของพระเจ้า"เท่านั้นนะครับ นอกจากพระวาจาที่สอนให้"รักกันและกัน"ดังที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น คนที่มีความศรัทธาและเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงก็จะปฏิบัติตามพระวาจาและคำสั่งสอนประการอื่นๆทุกประการที่พระเจ้าทรงสั่งสอนด้วยเช่นกันครับ
ฉะนั้น พี่ขอสรุปว่า ถ้าน้องจะไม่เคยร้องไห้เพราะสงสารพระเยซูเจ้าเลย น้องก็อย่าได้ไม่สบายใจไปครับ อย่าไปเข้าใจว่าตัวน้องไม่มีความศรัทธา เกณฑ์การวัดความศรัทธาไม่ได้อยู่ที่น้ำตาที่หลั่งออกมา แต่อยู่ที่ว่าน้องได้ฟังและปฏิบัติตามพระวาจาและคำสั่งสอนของพระเจ้าหรือไม่ต่างหากครับ ถ้าน้องฟังและปฏิบัติตามพระวาจาและคำสั่งสอนของพระเจ้าอย่างครบถ้วนต่อเนื่อง น้องจะก้าวไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์ได้ในที่สุดครับ
ดังนั้น ให้พวกเราเริ่มต้นฟังและปฏิบัติตามพระวาจาและคำสั่งสอนของพระเจ้าแต่บัดนี้เลย ดีไหมครับ
พี่เคยเล่าไปแล้วทีนึง ว่าตั้งแต่เกิดมา พี่ร้องไห้เพราะสงสารพระเยซูเจ้า ผู้ทรงรับทนทรมานเพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้นเองครับ
ถ้าพวกเราร้องไห้ ไม่ว่าจะเพราะเกิดปีติยินดีในจิตใจ หรือเพราะสงสารพระเยซูเจ้า ก็จงขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับพระคุณนี้เถิดครับ แต่พอขอบพระคุณแล้วก็อย่าไปยึดติด การที่เราร้องไห้ ไม่ได้แปลว่าเราเป็นคนศักดิ์สิทธิ์ ความศักดิ์สิทธิ์มากน้อยในตัวเราไม่ได้อยู่ที่จำนวนน้ำตาว่าเราร้องไห้ออกมากี่หยาดกี่หยดนะครับ
ฉะนั้น น้องอาจไม่เคยร้องไห้สงสารพระเยซูเจ้า ก็ไม่ได้แปลว่าน้องไม่ศรัทธา ในทางตรงกันข้าม น้องอาจเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้ยิ่งกว่าคนที่เคยร้องไห้สงสารพระเยซูเจ้าด้วยซ้ำไปครับ : xemo026 :
ถ้าเช่นนั้น ความศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน หรือคนแบบใดจึงจะเรียกได้ว่าเป็นคนศรัทธา
หลายคนอาจถูกมองว่าเป็นคนศรัทธา เพราะพวกเขาชอบสะสมรูปพระ มีรูปพระมากมาย มองไปทางไหน ก็มีแต่พระเจ้า แม่พระ นักบุญ บุญราศี แต่ความศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้น เพราะไม่เช่นนั้นหลายคนคงไม่ได้ไปสวรรค์ เพราะเขาก็ไม่ได้มีเงินซื้อรูปพระมาเก็บสะสม ในทางตรงกันข้ามผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายท่านอาจมีแค่กางเขนเก่าๆ 1 รูป สายประคำธรรมด๊าธรรมดาอีกแค่เส้นเดียว
หลายคนอาจถูกมองว่าเป็นคนศรัทธา เพราะพวกเขาเคยมีประสบการณ์ในเรื่องอัศจรรย์เหนือธรรมชาติ แต่ความศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้น เพราะไม่เช่นนั้นหลายคนก็คงไม่ได้ไปสวรรค์ เพราะไม่เคยได้รับการประจักษ์มาจากสรวงสวรรค์ ไม่เคยฝันเห็นบุคคลจากสรวงสวรรค์ ไม่เคยมีพระพรพิเศษเหนือธรรมชาติที่คนทั่วไปไม่มี ในทางตรงกันข้าม ผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายท่านอาจไม่เคยมีประสบการณ์เหนือธรรมชาติเลย แต่ใช้ชีวิตในแต่ละวันเฉกเช่นคนธรรมดาอย่างศักดิ์สิทธิ์ ก็เท่านั้น
หลายคนอาจถูกมองว่าเป็นคนศรัทธา เพราะพวกเขาสนใจไปเยี่ยมศาสนสถานต่างๆ มีงานฉลองทางศาสนาที่ไหนก็ไปหมด วัดวาอารามแห่งหนตำบลใด ก็ไปแสวงบุญฝากรอยเท้ามาแล้วทุกที่ แต่ความศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้น เพราะไม่เช่นนั้นหลายคนก็คงไม่ได้ไปสวรรค์ เพราะไม่มีโอกาสไปแสวงบุญที่ไหนเลยแม้สักที่เดียว ในทางตรงกันข้าม ผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายท่านอาจไม่เคยไปไหนต่อไหนเลย อยู่แต่ที่วัดของตัวเองนั่นแหละ แต่ก็ศักดิ์สิทธิ์ได้
หลายคนอาจถูกมองว่าเป็นคนศรัทธา เพราะพวกเขาร้องเพลงที่ใช้ในพิธีกรรมได้หลายเพลง และแถมยังร้องได้ไพเราะอีกด้วย หรืออาจเล่นดนตรีเพลงวัดได้หลายเพลงอย่างไพเราะและชำนิชำนาญ แต่ความศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้น เพราะไม่เช่นนั้นหลายคนก็คงไม่ได้ไปสวรรค์ เพราะเล่นดนตรีก็ไม่เป็นสักชนิด ร้องเพลงก็ไม่ค่อยได้ แถมร้องแล้วเสียงอย่างกับควายออกลูก ในทางตรงกันข้าม ผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายท่านอาจไม่มีพรสวรรค์หรือความสามารถในทางการดนตรีและบทเพลงเลยก็เป็นได้
หลายคนอาจถูกมองว่าเป็นคนศรัทธา เพราะพวกเขามีความรู้ในทางศาสนามากมาย แถมแสดงอรรถให้ลุ่มลึกซาบซึ้ง แต่ความศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อยู่ตรงนั้น เพราะไม่เช่นนั้นหลายคนก็คงไม่ได้ไปสวรรค์ เพราะมีความรู้คำสอนเพียงระดับชาวบ้านเท่านั้นเอง ในทางตรงกันข้าม ผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายท่านอาจไม่ได้รับการศึกษาสูงๆ อธิบายอรรถข้อเชื่ออะไรก็มิใคร่จักเป็น
เพราะอะไร ? ก็เพราะ...
เรื่องรูปพระ ใครก็สะสมได้ คนต่างศาสนาที่ชื่นชมรูปพระและสิ่งคล้ายศีลในฐานะเป็นงานศิลปะประเภทหนึ่ง พวกเขาก็สะสมได้
เรื่องอัศจรรย์เหนือธรรมชาติ คนต่างศาสนาหลายคนก็เคยมีประสบการณ์ทำนองอิทธิปาฏิหารย์ ที่พวกเขาก็อาจเอ่ยอ้างได้ว่าเป็นประสบการณ์เหนือธรรมชาติเช่นกัน
เรื่องการท่องเที่ยวแสวงบุญ ใครๆก็ไปได้ คนต่างศาสนาหลายคนก็ไปเยี่ยมชมศาสนสถานในฐานะนักท่องเที่ยวผู้ชื่นชมอภิเชษฐ์ในงานศิลปะ
เรื่องเพลงและดนตรีศักดิ์สิทธิ์ ใครๆก็มีส่วนร่วมได้ คนต่างศาสนาหลายคนได้ฟังเพลงในพิธีกรรมก็สามารถร้องตามได้ ที่สุดก็อาจร้องได้มากเพลง และอาจร้องได้มากกว่าคริสตชนเองด้วยซ้ำไป นอกจากนี้หลายคนอาจเข้าร่วมคณะขับร้องประสานเสียงในวัด และเกือบทุกคนที่อ่านโน้ตเพลงออกและเล่นดนตรีเป็น ก็สามารถเล่นเพลงในพิธีกรรมได้ด้วยเช่นกัน
เรื่องความรู้ทางศาสนาและความสามารถในการแสดงอรรถข้อเชื่อได้ลุ่มลึกและซาบซึ้งนั้น หลายคนก็ทำได้ คนต่างศาสนาที่มีสติปัญญาดีก็ทำได้ พวกเขาสามารถเป็นนักเทววิทยาที่ปราดเปรื่องได้ และอาจเป็นได้ดีกว่านักเทววิทยาที่เป็นคริสตชนด้วยซ้ำ
ครับ นั่นสิ แล้วความศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน แบบไหนถึงจะเรียกได้ว่าเป็นคนศรัทธา
สำหรับพี่แล้ว ความศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ "ความนบนอบต่อพระเจ้าในการปฏิบัติตามพระวาจาและคำสั่งสอนของพระองค์" ต่างหากเล่าครับ
คนที่มีความศรัทธาแท้และจัดว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ คือคนที่ฟังพระวาจาของพระเจ้าและนำไปปฏิบัติตาม พระเยซูเจ้าตรัสว่า "ผู้ใดรักเรา ผู้นั้นจะปฏิบัติตามคำของเรา พระบิดาจะทรงรักเขา และพระบิดาพร้อมกับเราจะมาหาเขา และพำนักอยู่กับเขา" ช่างเป็นบุญเสียนี่กระไรครับที่คนๆหนึ่งจะมีโอกาสอยู่กับพระเจ้าสูงสุด พระองค์ประทับอยู่กับเขา เป็นหนึ่งเดียวและเป็นมิตรกับเขา
หรือเมื่อมีคนบอกพระเยซูเจ้าว่า มารดาและพี่น้องของพระองค์มาหา พระองค์ตรัสตอบว่า "ผู้ที่ฟังพระวาจาของพระเจ้าและปฏิบัติตามนั้นแหละคือมารดาและพี่น้องของเรา" ช่างเป็นความสุขสุดๆสำหรับคนๆหนึ่งโดยแท้ที่ฟังและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระเจ้า เพราะเขาได้กลับกลายเป็นพี่น้องกับพระเยซูเจ้า
แม้ในวันพิพากษา เขาก็ไม่ต้องหวาดกลัวต่อพระตุลาการผู้ทรงความยุติธรรม เพราะพระองค์ไม่ใช่พระตุลาการสำหรับเขา แต่พระองค์คือมิตรและพี่น้องของเขาต่างหาก
และคนแบบนี้แหละ(ที่ฟังและปฏิบัติตามพระวาจาของพระเยซูเจ้า)คือผู้ที่มีความศรัทธาแท้และเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ : xemo028 :
ขอยกตัวอย่างเป็นการสาธกให้เห็นภาพเล็กน้อย คำสอนอันเป็นมรดกสำคัญของพระเยซูเจ้าก่อนที่พระองค์จะเสด็จขึ้นสวรรค์ประการหนึ่ง ก็คือ "ท่านทั้งหลายจงรักกันและกันอย่างที่เรารักท่าน" การที่เราจะรักคนอื่นได้ เราก็ต้องละ"ตัวกูของกู"ก่อน เพราะถ้าเรายังมี"ตัวกูของกู" เราก็จะเห็นแต่ตัวเอง และมองไม่เห็นเพื่อนพี่น้อง น่าเสียดายที่คริสตชนหลายคนละ"ตัวกูของกู"ไม่ได้ หรืออย่างน้อยที่สุด แม้แต่ความพยายามที่จะละ"ตัวกูของกู"ก็ไม่มี ยังคงยึดติดอยู่กับตัวเอง มีชีวิตอยู่กับตัวเองและเพื่อตัวเองอยู่อย่างนั้นร่ำไป
แต่การเป็นคริสตชนนั้น จะละ"ตัวกูของกู"แค่นั้น หาเพียงพอไม่ ทว่าต้องก้าวข้ามไปสู่การมีชีวิตเพื่อรัก บริการ และรับใช้ "ตัวมึงของมึง"ด้วย นั่นก็หมายความว่า คริสตชนเรานอกเสียจากจะปฏิเสธน้ำใจตนเองแล้ว ยังต้องก้าวข้ามไปสู่การมีชีวิตอยู่เพื่อรัก บริการ และรับใช้ เพื่อนพี่น้องรอบข้างด้วย น่าเสียดายที่คริสตชนหลายคนก้าวข้ามไปไม่ถึงจุดนี้ ยังมีชีวิตอยู่เพื่อรัก บริการ และรับใช้ "ตัวกูของกู" เท่านั้น
หลายคนกว่าจะได้รับศีลล้างบาปช่างเป็นเรื่องที่ยากเหลือแสน แต่พอได้รับศีลล้างบาปที่รอมานานแสนนาน ก็กลับไม่ได้ตระหนักถึงความรักที่เราพึงมีต่อพี่น้องรอบข้าง อย่างดีก็แค่ทำดีเฉพาะตัวเองเท่านั้น(ฉันไปวัด รับศีล สวดภาวนา ก็ถือว่า"ตัวฉัน"ทำดีแล้ว ปฎิบัติตามพระบัญญัติแล้ว ไม่สนใจเพื่อนพี่น้องคนอื่นเลย เป็นต้น เช่นนี้จะเหมือนพวกฟาริสีมากๆ สนใจแต่บทบัญญัติ แต่ไม่นำพาต่อเพื่อนพี่น้อง ไม่เข้าใจและเข้าไม่ถึงกฎแห่งความรักเอาเสียเลย) ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้ว การเป็นคริสตชนไม่ใช่การมีความสุขอยู่กับตนเอง หลายคนได้รับประสบการณ์แห่งความปีติฝ่ายจิต แต่ถ้าเราคงความปีตินี้อยู่กับตัวเอง ก็ไม่เป็นการเพียงพอ เพราะเราเป็นคริสตชน การนิ่งเฉยไม่สนใจใยดีต่อพี่น้องรอบข้าง ไม่ว่าเขาจะต้องการความช่วยเหลือหรือไม่ นับว่าไม่ใช่วิสัยของคริสตชนที่ดี คริสตชนที่ดีไม่ควรเป็นคนดูดาย แต่ต้องออกจากตัวเอง แล้วมองไปรอบข้าง สนใจพี่น้องรอบตัว มีความอารีอารอบ การเป็นคริสตชนที่ดีจึงเปรียบได้เหมือนกับการเข้าประตูแคบ ส่วนการดูดาย ไม่สนใจพี่น้องรอบข้างเลย แต่มัวพะวงกับเรื่องบาป กฎเกณฑ์ อย่างที่พวกฟาริสีเป็นนั้น ถือเป็นประตูกว้างที่ดูจะปฏิบัติง่ายกว่า แค่ปฏิบัติตามกฎที่ห้ามนั่นห้ามนี่ หยุมๆหยิมๆ ก็เป็นการเพียงพอแล้ว แต่ขอเน้นว่าสิ่งนั้นไม่เป็นการเพียงพอสำหรับผู้ที่เป็นคริสตชนเลยครับ
ดูตัวอย่างจากเรื่องของลาซารัส ลาซารัสนอนอดอยากอยู่หน้าบ้านเศรษฐี ในขณะที่เศรษฐีอิ่มหนำสำราญอยู่ในบ้านของตน ซึ่งเศรษฐีก็ไม่ได้ทำอะไรลาซารัส ไม่ได้ส่งคนไปด่าทอ ทำร้าย เพียงแต่ไม่ได้ใยดีต่อลาซารัส ดูดาย ปล่อยให้เขานอนลำบากยากแค้นอยู่หน้าบ้านนั้นต่อไป แต่สุดท้ายเศรษฐีซึ่งไม่ได้ทำร้ายอะไรลาซารัสเล้ยยยยยยกลับต้องไปขบเขี้ยวเคี้ยวฟันในถิ่นเนรเทศ นี่แสดงให้เห็นมาตรฐานของพระเจ้าว่า คริสตชนไม่ควรเป็นคนดูดายต่อคนรอบข้าง แต่ต้องมีความอารีอารอบ สนอกสนใจผู้อื่นรอบข้างเสมอ
หลายคนไปวัด ร่วมมิสซา รับศีลศักดิ์สิทธิ์ ยังไม่เพียงพอ เพราะถ้าเขาไปวัด ร่วมมิสซา และรับศีลศักดิ์สิทธิ์ แต่ออกมาทำบาป ไม่รักเพื่อนพี่น้อง ดูดายเพื่อนพี่น้อง ไม่สนอกสนใจ อยู่แต่กับตัวเองและคนที่ตัวเองพอใจจะอยู่ด้วย(เช่น แฟน กิ๊ก ฯลฯ)เท่านั้น เขาก็ไม่เป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้า
จากพระวาจาที่สั่งสอนว่า"ท่านทั้งหลายจงรักกันและกันดังที่เรารักท่าน" คนที่มีความศรัทธาและเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง ก็จะฟังและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระเยซูเจ้าประการนี้ เขาจะสละน้ำใจตนเองและมีชีวิตอยู่เพื่อรัก บริการ และรับใช้เพื่อนพี่น้องรอบข้าง ไม่ดูดาย ไม่อยู่แต่เพียงกับตนเอง และคนที่ตนเองพอใจจะอยู่ด้วยเท่านั้น แต่จะมีความสนอกสนใจ อารีอารอบ ต่อเพื่อนพี่น้องรอบข้างเสมอ ไม่ว่าเพื่อนพี่น้องจะเอ่ยปากขอความช่วยเหลือนั้นออกมาหรือไม่ก็ตามครับ
นี่เป็นแค่ตัวอย่างเดียวของ"การฟังและปฏิบัติตามพระวาจาและคำสั่งสอนของพระเจ้า"เท่านั้นนะครับ นอกจากพระวาจาที่สอนให้"รักกันและกัน"ดังที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น คนที่มีความศรัทธาและเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงก็จะปฏิบัติตามพระวาจาและคำสั่งสอนประการอื่นๆทุกประการที่พระเจ้าทรงสั่งสอนด้วยเช่นกันครับ
ฉะนั้น พี่ขอสรุปว่า ถ้าน้องจะไม่เคยร้องไห้เพราะสงสารพระเยซูเจ้าเลย น้องก็อย่าได้ไม่สบายใจไปครับ อย่าไปเข้าใจว่าตัวน้องไม่มีความศรัทธา เกณฑ์การวัดความศรัทธาไม่ได้อยู่ที่น้ำตาที่หลั่งออกมา แต่อยู่ที่ว่าน้องได้ฟังและปฏิบัติตามพระวาจาและคำสั่งสอนของพระเจ้าหรือไม่ต่างหากครับ ถ้าน้องฟังและปฏิบัติตามพระวาจาและคำสั่งสอนของพระเจ้าอย่างครบถ้วนต่อเนื่อง น้องจะก้าวไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์ได้ในที่สุดครับ
ดังนั้น ให้พวกเราเริ่มต้นฟังและปฏิบัติตามพระวาจาและคำสั่งสอนของพระเจ้าแต่บัดนี้เลย ดีไหมครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ อังคาร พ.ค. 22, 2007 6:27 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- โพสต์: 20
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร มี.ค. 13, 2007 7:30 pm
ผมว่าไม่ค่อยเเปลกหรอกคับที่รู้สึกว่าตัวเองยังไม่มีความเชื่อพอ เพราะว่าไม่มีใครสมบูรณ์เเบบหรอกคับ ผมว่ารู้สึกอย่างงี้ยังดีกว่าพวกที่เที่ยวบอกคนอื่นว่าตัวเองมีความศรัทธามากๆหรือเคร่งมากๆเช่นพิธีกรชื่อดังบางคนที่พูดออกทีวีเมื่อเดือนก่อน เเต่กลับดูไม่เห็นถึงความศรัทธาจิงๆเลย สู้ๆคับ
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
อาจจะเป็นเพราะเพื่อนเราเป้นผู้หญิง แล้วน้องเป็นผู้ชายงัย
ความอ่อนไหวมันอาจจะต่างกัน ผู้หญิงจะอ่อนไหวมากกว่า
ยิ่งบ้าการ์ตูน ความอินกับการอ่าน และ การเข้าเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องที่อ่านจะมากกว่า
พี่แนะนำว่า ให้น้องดูหนัง The passion จ๊ะ
เชื่อว่าน้องจะรู้สึกถึงพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้ามากกว่าอ่าน
เพราะอันนี้เห็นภาพด้วย ลำพังน้องอ่านอาจจะจินตนาการภาพไม่ออก
ความอ่อนไหวมันอาจจะต่างกัน ผู้หญิงจะอ่อนไหวมากกว่า
ยิ่งบ้าการ์ตูน ความอินกับการอ่าน และ การเข้าเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องที่อ่านจะมากกว่า
พี่แนะนำว่า ให้น้องดูหนัง The passion จ๊ะ
เชื่อว่าน้องจะรู้สึกถึงพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้ามากกว่าอ่าน
เพราะอันนี้เห็นภาพด้วย ลำพังน้องอ่านอาจจะจินตนาการภาพไม่ออก
-
- โพสต์: 548
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 07, 2007 8:07 pm
เชื่อเท่าเมล็ดมัสตาดส์(ถูกไหมครับ)เมื่อไรผมจะมีครับ
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
แล้วเชื่อหรือยังหล่ะครับholy holy holy เขียน: เชื่อเท่าเมล็ดมัสตาดส์(ถูกไหมครับ)เมื่อไรผมจะมีครับ
พระทรงบอกเราแล้วฤๅมิใช่ ว่าจะให้ลูกแกะหลงคงกลับมา
ดีพระทัยมากกว่านี้มิมีนา กล่าวคือว่าให้แกะหลงจงกลับคืน
แต่อย่าได้คิดว่าพระไม่รัก อย่าทึกทักว่าพระทิ้งและขัดขืน
เหตุความรักพระเจ้านั้นยั่งยืน จงอย่าฝืนเดินตามน้ำพระทัย
พระทรงเรียกคนบาปให้กลับจิต ให้ศักดิ์สิทธิ์เหมาะสม ธ แก้ไข
ทรงสั่งสอนให้เชื่อฟังและเข้าใจ ว่าเราไซร้เป็นบุตรแห่งพระบิดา
ดีพระทัยมากกว่านี้มิมีนา กล่าวคือว่าให้แกะหลงจงกลับคืน
แต่อย่าได้คิดว่าพระไม่รัก อย่าทึกทักว่าพระทิ้งและขัดขืน
เหตุความรักพระเจ้านั้นยั่งยืน จงอย่าฝืนเดินตามน้ำพระทัย
พระทรงเรียกคนบาปให้กลับจิต ให้ศักดิ์สิทธิ์เหมาะสม ธ แก้ไข
ทรงสั่งสอนให้เชื่อฟังและเข้าใจ ว่าเราไซร้เป็นบุตรแห่งพระบิดา
-
- โพสต์: 548
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 07, 2007 8:07 pm
เชื่อและยอมรับด้วยครับBatholomew เขียน:แล้วเชื่อหรือยังหล่ะครับholy holy holy เขียน: เชื่อเท่าเมล็ดมัสตาดส์(ถูกไหมครับ)เมื่อไรผมจะมีครับ
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
งั้นก็มีแล้วหล่ะครับholy holy holy เขียน:เชื่อและยอมรับด้วยครับBatholomew เขียน:แล้วเชื่อหรือยังหล่ะครับholy holy holy เขียน: เชื่อเท่าเมล็ดมัสตาดส์(ถูกไหมครับ)เมื่อไรผมจะมีครับ
-
- โพสต์: 548
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 07, 2007 8:07 pm
แล้วทำไมเอาภูเขาไม่ได้ครับBatholomew เขียน:งั้นก็มีแล้วหล่ะครับholy holy holy เขียน:เชื่อและยอมรับด้วยครับBatholomew เขียน: แล้วเชื่อหรือยังหล่ะครับ
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
แล้วทำไมเอาภูเขาไม่ได้ครับ ผมว่าพระองค์ทรงสอนเราในเชิงอุปมานะครับholy holy holy เขียน:แล้วทำไมเอาภูเขาไม่ได้ครับBatholomew เขียน:งั้นก็มีแล้วหล่ะครับholy holy holy เขียน: เชื่อและยอมรับด้วยครับ
คือว่าให้เรามีความเชื่อในพระองค์ ถึงแม้ว่าจะมีความเชื่อเพียงเล็กน้อย เราก็สามารถพบสิ่งอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ได้ครับ
แล้วก็อย่าเอาความเชื่อของเราไปทดสอบองค์พระเจ้านะครับ ไม่ควร ๆ
-
- โพสต์: 548
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 07, 2007 8:07 pm
"อย่าบังอาจทดสอบพระเป็นเจ้าของท่าน" - Matt., 4:7Batholomew เขียน:แล้วทำไมเอาภูเขาไม่ได้ครับ ผมว่าพระองค์ทรงสอนเราในเชิงอุปมานะครับholy holy holy เขียน:แล้วทำไมเอาภูเขาไม่ได้ครับBatholomew เขียน: งั้นก็มีแล้วหล่ะครับ
คือว่าให้เรามีความเชื่อในพระองค์ ถึงแม้ว่าจะมีความเชื่อเพียงเล็กน้อย เราก็สามารถพบสิ่งอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ได้ครับ
แล้วก็อย่าเอาความเชื่อของเราไปทดสอบองค์พระเจ้านะครับ ไม่ควร ๆ