ไบเบิลและโบราณคดี (ตอนที่๒)โบราณคดีและปฐมกาล

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

อาทิตย์ ม.ค. 23, 2005 12:50 pm

บันทึกแสดงอะไร

เมื่อ๑ ศต.มาแล้ว ดาร์วิล ล้ำหน้าไปสู่ทางเลือกอีกทางหนึ่ง ของเรื่องราวตามคัมภีร์ไบเบิลเรื่องการสร้าง คาร์น มาร์ค ใช้ทฤษฎีวัตถุนิยม ซึ่งกล่าวว่าเรื่องใดๆ มีอยู่แล้วและไม่ต้องการผู้สร้าง สิ่งนี้ทำให้ผู้ติดตามของเขามีทางเลือกให้เชื่อพระเจ้า(หรือไม่เชื่อพระเจ้า) ดังนั้น การวิจารณ์เป็นตัวอักษรเน้นที่ความหยั่งรู้ไบเบิลและเริ่มต้นความพยายามที่จะฉีกไบเบิลออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย การวิจารณ์เป็นข้อเขียนต่างๆบอกว่า ไบเบิลเต็มไปด้วยเรื่องนิยายและแต่งขึ้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้ หลังจากปีที่กล่าวไว้มาก

ตามที่นักวิชาการคนหนึ่งอธิบาย มนุษย์เริ่มคิดถึงตนเอง แทนที่จะนึกถึงพระเจ้า ว่าเป็นศูนย์กลางของเอกภพ"ความคิดเรื่องวิวัฒนาการเสริมแต่งความคิดของยุคนั้นและคิดว่าเป็นความคิดที่เป็นสิ่งที่เปิดเผยที่สุด ที่จะเข้าใจวิทยาศาสตร์รวมทั้งธรรมชาติ ศาสนาถูกกล่าวถึงจากจุดยืนของประโยชน์ของศาสนาในตัวมันเองต่อมนุษย์ ความเป็นไปได้ ทุกประการของการเปิดเผยพิเศษจากพระเจ้าที่เป็บบุคคลไม่ถูกนับเข้าไว้ และเรื่องศาสนาของคนได้รับการอธิบายโดยกระบวนการธรรมชาติ พวกเขาอธิบายว่า ศาสนาของ ชาวอิสราเอลจำต้องพัฒนาไปในแนวคล้ายกัน"

เมื่อเข้าศต.ที่๒๐ กระแสการวิจารณ์กัดกร่อนความเชื่อในความจริงที่เป็นลายลักษณ์อักษรของเรื่องราวตามพระคัมภีร์ จากนั้นก็มาถึงเรื่องราวเป็นลำดับๆของการค้นพบทางโบราณคดีที่เห็นได้ชัด โบราณคดีเริ่มต้นในศต.ที่๑๙ แต่มามีผลเต็มที่ในศต.ที่๒๐ การวิจารณ์ความถูกต้องทางประวัติศาสตร์ของไบเบิล เผชิญกับการทดสอบหลักฐานทางกายภาพ เพื่อความเป็นจริงของเรื่องราวที่แน่นอน
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

อาทิตย์ ม.ค. 23, 2005 12:51 pm

นักเขียนคนหนึ่ง จอห์น เอดเลอร์ มีความเห็นว่า การศึกษาโบราณคดี จำต้องกระทำกับระดับความลาดเอียงอย่างมาก ในใจของคนหลายๆคน ที่มีเบื้องหลังชื่นชอบความเชื่อถือได้ของพระคัมภีร์" จากเล็กๆจนมากขึ้นๆ ,เมืองแล้วเมืองเล่า, ความเจริญแล้วความเจริญเล่า ,วัฒนธรรมแล้ววัฒนธรรมเล่า ความทรงจำเหล่านั้นมีค่าอยู่ในไบเบิลเท่านั้น ,ถูกรวบรวมไว้อีกครั้งตามสถานที่เหมาะสมในประวัติศาสตร์โบราณจากการศึกษาโดยนักโบราณคดี.......ไม่มีการค้นพบทางโบราณคดีใดขัดแย้งกับไบเบิลในเรื่องประวัติศาสตร์

ในบทนี้เราจะมองที่การค้นพบอันน่าประหลาดใจเมื่อ๒ ร้อยปีที่ผ่านมาและแสดงให้เห็นว่าหลักฐานทางวัตถุยืนยันมุมมองของบันทึกเกี่ยวกับพระคัมภีร์อย่างไร

เมื่อลูกาเขียนพระธรรม ที่มีชื่อของเขา เขาวางหลักฐานที่สอดคล้องกับประวัติศาสตร์ของพระเยซูคริสต์และอัศจรรย์ของพระองค์ รวมทั้งการฟื้นคืนพระชนม์ เขาต้องการให้เรื่องราวของเขาพบกับการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน ของผู้สงสัย ลูกากล่าวว่า เขาตั้งใจเขียน"เรื่องราวตามลำดับ(ลูกา๑ข้อ๑-๔) ดังนั้นผู้อ่านของเขาควร"รู้แน่นอนถึงสิ่งเหล่านั้น ที่ซึ่งคุณจะได้รับการแนะนำ"

ดังนั้น ลูกาดำเนินการ ขยายความเรื่องราวของเขา ด้วยการกล่าวถึงเรื่องอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ ตัวอย่างเช่น ผู้ปกครองร่วมสมัยของจูดาและจักรพรรดิ์จักรวรรดิโรมัน

เพราะว่าจำนวนของการค้นพบ,เราไม่สามารถตรวจสอบหลักฐานได้ทั้งหมดที่นี่ อย่างไรก็ตาม เราจะกล่าวถึงการค้นพบหลักฐานบางอย่างที่เป็นส่วนสนับสนุนยืนยันบันทึกตามพระคัมภีร์เรื่องปฐมกาล
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

อาทิตย์ ม.ค. 23, 2005 12:52 pm

ตราประทับการล่อลวง

ตราประทับเป็นการใช้ แบบการเขียนที่โบราณมากที่สุด ใช้ประทับเพื่อรับรองเอกสาร ,เพื่อแสดงอำนาจ ในบางโอกาสใช้เป็นของศักดิ์สิทธิ์ การประทับตราสมัยแรกสุดทำด้วยดินเหนียว ทำเป็นเครื่องหมายหรือเขียนไว้บนตรา และบางตราประทับกลายเป็นของแข็งเมื่อเวลาผ่านไปหรือถูกย่างไฟเมื่อไฟไหม้ทั้งเมือง เนื่องจากตราประทับทำด้วยดินเหนียว พวกมันจึงหลงเหลืออยู่ยาวนานกว่าบันทึกที่เขียนบนแผ่นปาปิรัสหรือแผ่นหนัง

นักโบราณคดีกำหนดอายุ ตราประทับบางแผ่นที่ได้พบว่ามีอายุประมาณ ๕๐๐๐ปี พวกมันเป็นสิ่งที่หลงเหลืออยู่เพียงจำนวนไม่กี่ชิ้น ที่ให้หลักฐานอย่างมั่งคงถึงความเชื่อของผู้คน ตอนเริ่มมีความเจริญรุ่งเรือง ตราประทับที่ถูกค้นพบนั้นยืนยันเรื่องราวตามพระคัมภีร์หลายอย่างรวมทั้งบางตอนในปฐมกาล

บทแรกของพระธรรมปฐมกาล ครอบคลุมเรื่องการสร้างมนุษยชาติและการล่อลวง ที่ชักนำเอดัมเข้าสู่ความบาป พระเจ้าให้กฏระเบียบที่แน่นอนบางอย่าง
(ยังมีต่อ)
spirit

อาทิตย์ ม.ค. 23, 2005 1:14 pm

??? บทความน่าสนใจ แต่บางอย่างยังไม่*ใจเลย
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

จันทร์ ม.ค. 24, 2005 12:40 am

Lost Lamb เขียน: ??? บทความน่าสนใจ แต่บางอย่างยังไม่*ใจเลย

ไม่เข้าใจตรงไหนคะ
ก๊อปมาแปะเลย....หลายๆท่านน่าจะสามารถอธิบายได้ ;)
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

จันทร์ ม.ค. 24, 2005 9:22 am

คุณLost Lamb
ไม่เข้าใจหรือให้อธิบายตรงไหน บอกได้เลย ครับ เหมือนที่คุณลิตเติล แลมป์ บอก ถ้าผมอธิบาย ไม่ได้ เดี๋ยวจะขอให้ คุณโปรดปราน มาอธิบายแทน

อันที่จริงบทความนี้มีรูปประกอบด้วย แต่อยู่ในโปรแกรม Acrobat เดี๋ยว ท้ายเรื่องจะlink ให้ (ถ้าไม่ลืม หรือแกล้งลืม)
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

จันทร์ ม.ค. 24, 2005 11:55 am

และอธิบายผลของการไม่เชื่อฟัง "และพระเจ้าบัญชาแก่คนว่า ต้นไม้ทุกต้นในสวนเจ้ากินได้ทุกต้น เว้นแต่ต้นไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่ว เจ้ากินไม่ได้ เพราะในวันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะตายเป็นแน่ (ปฐมกาล๒ข้อ๑๖-๑๗)

ปฐมกาลให้ภาพการล่อลวง, ซาตานมีอิทธิพลต่อเอวาและชักชวนสามีของเธอ , อาดัม ให้ขัดขืนพระเจ้าผู้สร้างเขา พระเจ้าบอกอาดัมและเอวา ว่าถ้าพวกเขาจะตาย ถ้ากินผลแห่งต้นไม้ แต่งู พูดกับเอวา ว่า "พวกเขาจะไม่ตายอย่างแน่นอน" ดังนั้น เอวาเข้ามีส่วนร่วม,พบความพึงพอใจจากผลแห่งต้นไม้นั้น จากนั้นได้ชักชวนสามีของเธอ "และเขาได้กิน" (ปฐมกาล๓ข้อ๑-๖)

เรื่องเหล่านี้ เป็นตำนานโบราณหรือ? นักวิจารณ์หลายคนคิดเช่นนั้น นักโบราณคดีได้ขุดค้น, ไม่ใช่ในอิสราเอลเกี่ยวกับเรื่องตามพระคัมภีร์,แต่ในสถานที่ทราบว่ามีความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในสมัยโบราณ , ชาวสูเมอร์ ได้วาดภาพลำดับเหตุการณ์ตามที่บรรยายรายละเอียดในปฐมกาล ไว้บนตราประทับ การค้นพบนี้ รู้จักกันว่าเป็นตราประทับการล่อลวง(THE TEMPATION SEAL) ปัจจุบันตราประทับ นี้อยูในพิพิธภัณฑ์ประเทศอังกฤษ มีอายุราว ๓,๐๐๐ ปีก่อนคศ. หรือ๕,๐๐๐ ปีในปัจุบัน สิ่งประดิษฐ์นี้แสดงรูปชายคนหนึ่งและหญิงคนหนึ่งกำลังมองดูต้นไม้ และหลังผู้หญิงมีรูปงู ตัวหนึ่ง. ผู้หญิงและผู้ชายนั้น ต่างก็มาเพื่อกินผลไม้

เรื่องราวของปฐมกาลเรื่องการล่อลวง ได้รับการเชื่อว่าเป็นสิ่งที่นักเขียนชาวยิวแต่งขึ้น ภาพวาดนี้ยังเป็นเหตุการณ์ที่พรรณาไว้ในปฐมกาล ซึ่งมีอยู่ก่อน เป็นเวลาหลายพันปี ก่อนที่นักวิจารณ์จะเชื่อว่ามีอยู่ในเรื่องปฐมกาล สิ่งประดิษฐ์นี้ เป็นหนึ่งของการบันทึกแรกสุดสิ่งที่หลงเหลืออยู่ แสดงให้เห็นถึงการที่มนุษย์ทราบถึงความสำคัญของการล่อลวง ,ไม่เพียงแต่เรื่องตามพระคัมภีร์ที่เขียนไว้ในปฐมกาลเท่านั้น
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

จันทร์ ม.ค. 24, 2005 11:55 am

ตราประทับอาดัมและเอวา

ตราประทับของชาวสุเมเรียนอีกอันหนึ่งมีอายุราว ๓๕๐๐ ปีก่อนคศ. และปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย สหรัฐ แสดงภาพเหตุการณ์ภายหลังจากที่มนุษย์กินผลไม้ต้องห้าม , ตราประทับนี้ แสดงภาพเปลือยของชายและหญิง, ก้มศีรษะอย่างถ่อมตัว ,ถูกขับไล่ออกมา มีงูใหญ่ตัวหนึ่งตามมา , ภาพยังแสดงให้เห็นถึงการถูกขับออกมาจากสวนเอเด็น "ฉะนั้นพระเจ้าได้บังคับเขา(อาดัม)ออกไปจากสวนเอเดน ไปสู่ดินที่พวกเขาเป็นขึ้นมา(ปฐมกาล๓ข้อ๒๓)

มันเป็นการยากที่จะอธิบาย ภาพ ๓ ภาพนี้ ที่แกะบนตราประทับที่มีอายุนับแต่มนุษย์มีความเจริญรุ่งเรือง ถ้าไม่ใช่เป็นการแสดงภาพของเรื่องราวตามปฐมกาล
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

จันทร์ ม.ค. 24, 2005 11:56 am

ตำนานน้ำท่วมโลก

"และน้ำได้เพิ่มมากขึ้นบนโลก และภูเขาสูงภายใต้ฟ้าที่ปกคลุม...และสิ่งมีชีวิตบนโลกทั้งหมดที่ไหวกายได้ตามหมด"ปฐมกาล๗ข้อ๑๙,๒๑) หนึ่งในคำถามมากที่สุดของไบเบิล คือน้ำท่วมโลกสมัยโนอา , หนึ่งศต.มาแล้ว ที่นักวิจารณ์สายเสรีนิยมบอกว่ามันเป็นตำนานที่ประหลาดในไบเบิล.ในเวลาอีกหนึ่งร้อยปีต่อมานักโบราณคดี ขุดพบเรื่องราวที่เปิดเผยเรื่องน้ำท่วม ในตอนแรกสุดที่มนุษย์มีความเจริญรุ่งเรือง

การค้นพบที่ตื่นตาตื่นใจมากที่สุดอย่างหนึ่งคือมหากาพย์Gilgamesh บันทึกไว้บนแผ่นดินเหนียว ที่ได้รับการแปลโดยยอร์ค สมิธ ในปี ๑๘๗๒ แห่งพิพิธภัณฑ์อังกฤษ ,แผ่นดินเหนียวบรรยายเรื่องน้ำท่วมจากมุมมองของชาวบาบิโลเนียน โบราณ , เป็นเรื่องที่คล้ายๆกับที่พบบนแผ่นดินเหนียวของชาวสุเมเรียน ซึ่งเป็นงานเขียนสมัยแรกที่สุดเท่าที่มีการค้นพบ
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

จันทร์ ม.ค. 24, 2005 11:57 am

เรื่องที่เป็นจริงมากที่สุดของเรื่องน้ำท่วมคือเรื่องใด(ระหว่างน้ำท่วมของชาวสุเมเรียนและชาวบาบิโลเนียน) นั่นตอบได้อย่างง่ายๆ,


ศจ.กลีนสัน อาร์เซอร์ บันทึกความแตกต่างของการบรรยายระหว่าง Gilgameshและgenesis ไว้ว่า มันยิ่งใหญ่เกินไปกว่าที่ฝ่ายหนึ่งจะหยิบยืมมาจากอีกฝ่ายหนึ่ง เขาเขียนไว้ว่า "ความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงระหว่างความปรารถนา,ความอิจฉา ความโลภของเทพเจ้าของชาวบาบิโลเนียน และความศักดิ์สิทธิ์มีอำนาจสูงสุดของพระเยโฮวา ที่แตกต่างกันมากและมีลักษณะเฉพาะ" เขาเขียนต่อว่า" เหมือนกับความเป็นไปไม่ได้ของเรือรูปคล้ายกรวยและน้ำที่ท่วมไหลบ่าทั่วโลกเพียง ๑๔ วัน(ในมหากาพย์ กิลกาเมส) ที่ตรงกันข้ามกับมิติทางทะเลและการท่วมของน้ำอย่างสิ้นเชิงในบันทึกตามไบเบิล "(จากหนังสือความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับ การสำรวจพระคัมภีร์เดิม, ปี ๑๙๗๔ หน้า ๒๑๑)

เป็นที่ชัดเจนว่า มหากาพย์กิลลาเมสแสดงหลักฐานทุจริต.
(ยังมีต่อ)
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

พุธ ม.ค. 26, 2005 9:04 am

แผ่นโบราณเหล่านี้ ไม่ใช่มีความหมายเพียงการยืนยันหลักฐานการเล่าเรื่องน้ำท่วมตามพระคัมภีร์เท่านั้น นักประวัติศาสตร์อาชีพ เช่น อารอน สมิธ กล่าวถึง จำนวนนับเรื่องน้ำท่วมทั้งหมดที่เขาสามารถพบได้ เขาพบว่ามีจำนวนถึง ๘๐,๐๐๐ งาน ในจำนวน ๗๒ ภาษา ที่เป็นเรื่องน้ำท่วมโลก (อ้างใน วีเมอร์ เคนเลอร์, ไบเบิลในฐานะประวัติศาสตร์, ปี ๑๙๘๐ หน้า๓๘)

แน่นอน หากเรื่องน้ำท่วมของโนอา เป็นเพียงเหตุการณ์ที่มีผลเฉพาะดินแดนทางภูมิศาสตร์ของท้องถิ่นที่จำกัดแล้ว ผลกระทบของมันคงไม่กัดกร่อนจิตใจผู้คน ที่อยู่ห่างไกลออกไปจนมิอาจลืมเลือนเรื่องนั้นได้ เช่นนั้น

นักประวัติศาสตร์คนหนึ่ง บันทึกไว้ว่า "ชาวสุเมเรียน , บาบิโลเนียน และแอสซีเรียน แห่งเมโสโปเตเมียอาจมุ่งหวังที่จะรักษาธรรมเนียมที่คล้ายๆกัน กับของชาวฮีบรู เนื่องจากพวกเขาอาศัยอยู่ใกล้กันกับสถานที่ ที่ได้รับการสันนิษฐานว่า เป็นที่ตั้งของถิ่นที่มีความเจริญรุ่งเรืองก่อนน้ำท่วมโลก.........แต่เราจะว่าอย่างไรกับตำนานของมานู ที่ได้รับการรักษาไว้ในหมู่ชาวฮินดู........หรือของฟา-ฮี ที่เป็นของชาวจีน ......หรือของนู-อู ที่เป็นชาวฮาวาย หรือเรื่องของเทพ-พีของอินเดียนเม็กซิกัน หรือของมานาโบโซ ที่เป็นของชาวแอลกอนควินส์ ......ทั้งหมดนี้สอดคล้องกันว่า มนุษยชาติทั้งมวล ถูกทำลายจากน้ำท่วมครั้งใหญ่ (โดยปกติเป็นการแสดงว่า"ทั่วโลก" ) อันเป็นผลจากความไม่พอใจของพระเจ้ากับบาปของมนุษยชาติ และนั่นมีชายคนหนึ่งพร้อมทั้งครอบครัวของเขาและเพื่อนอีกไม่กี่คน รอดพ้นจากความหายนะครั้งใหญ่นี้ โดยเรือหรือแพหรือเรือแคนนูกว้างในชนิดเดียวกัน (อ้างในอาเชอร์ หน้า๒๐๙)
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

พุธ ม.ค. 26, 2005 9:04 am

หอบาเบล

"จากนั้นพวกเขาพูดกับอีกคนหนึ่ง ว่ามาเถอะ ให้เราทำอิฐและตากอิฐให้ทั่วตลอด" พวกเขาทำอิฐจากหิน และยาด้วยปูน และพวกเขากล่าวว่า "มาเถิดให้เราสร้างเมืองของพวกเราและหอสูงแห่งนี้สูงขึ้นไปบนฟ้า" (ปฐมกาล๑๑ข้อ๓-๔)

เราหลายคนได้ยินเรื่องหอบาเบล แต่มีไม่กี่คนทราบเกี่ยวกับหลักฐานที่เป็นตัวตนเบื้องหลักเรื่องราวตามพระคัมภีร์

การขุดค้นในอิรักต้นศต.นี้ เปิดเผยให้เห็นว่า ครั้งหนึ่งมีหอกว้างใหญ่อยู่ ในบาบาโลน, วีเมอร์ เคนเลอร์ เขียนไว้ว่า " ในปี๑๘๙๙ สมาคมตะวันออกเยอรมัน เตรียมการเดินทางระยะยาว ภายใต้การนำของศจ. โรเบริต์ โคนดีเวย์ สถาปนิก เพื่อไปตรวจสอบเนินดินปรักหักพัง "บาบิล" บนยูเฟรติส

ผลที่ได้จากการขุดค้น ที่ยาวนานมากกว่าครั้งใด ในปีที่๑๘ มหานครของโลกสมัยโบราณ ที่ตั้งของราชวงค์นะบูคัดเนซัร ก็กระจ่างขึ้น ,และในสมัยเดียวกัน,หนึ่งของสิ่งมหัศจรรย์ เจ็ดอย่างของโลก
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

พุธ ม.ค. 26, 2005 9:05 am

"วิธีการวางอิฐที่หอบาเบลในไบเบิล สอดคล้องตรงกับการค้นพบของนักโบราณคดี ตามที่ผู้ตรวจสอบยืนยัน ที่จริงอิฐที่ยาด้วยยางแอสฟันด์ที่ใช้ในการก่อสร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณฐาน นั้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างเห็นได้ชัด เพื่อความมั่นคงของโครงสร้างสอดคล้องกับระเบียบของอาคาร.....บริเวณฐานและงานหิน เพื่อกันน้ำและกันชื้นด้วย"โคลนเหนียว" เช่นยางแอสฟันด์

บริเวณชั้นที่๗ มีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส สูงกว่าชั้นอื่น แผ่นดินเหนียวชิ้นเล็กๆชิ้นหนึ่งที่ถูกพบในวิหาร กล่าวแสดงว่า ความกว้างความยาวและสูง เท่ากัน ...ความยาวด้านข้างฐานที่ได้ ค่อนข้างเกินกว่า๒๙๐ ฟุต นักโบราณคดีวัดได้ ๒๙๕ฟุต ตามขนาดของหอนั้น ควรสูงเกือบ ๓๐๐ ฟุต (ไบเบิลในฐานะโบราณคดี ฉบับพิมพ์ปี ๑๙๘๐ หน้า๓๐๒,๓๑๗-๒๑๘)

นี่หมายความว่าหอสูงเทียบเท่าอาคาร ๒๐ ชั้น
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

พุธ ม.ค. 26, 2005 9:06 am

การค้นคว้าเพิ่มเติม เปิดเผยว่าหอเดิมถูกทำลายและหอในขนาดที่คล้ายกับหอเดิม ได้รับการสร้างขึ้นในสมัย นะบูคัดเนซัร

ดี.เจ.ไวน์แมน ศจ.สาขาแอสซีเรียน อธิบายว่า"หอมีความเสียหายหลายแห่งในสงครามปี๖๕๒-๖๔๘ก่อนค.ศ. แต่ได้รับการบูรณะในสมัยพระเจ้า นะบูคัดเนซัร ที่๒ (๖๐๕-๕๖๒ก่อนคศ.)มันเป็นอาคารแห่งนี้ ที่โคนดีเวย์ เดินทางไปขุดค้นในปี คศ. ๑๘๙๙ .

ตามที่เฮโรโดตัส (นักประวัติศาสตร์โรมัน ) ได้พรรณาไว้ตอนไปชมเมื่อปี๔๖๐ ก่อนคศ. ว่า ฐานของหอคอย(ที่สร้างขึ้นมาภายหลัง) วัดได้๙๐ คูณ๙๐ เมตร และสูง๓๓ เมตร .....ซิงกูรัส(หอศักดิ์สิทธิ์)ที่บาบิโลนถูกทำลายโดยเซอร์เซส ในปี๔๗๒ ก่อนคศ. และแม้ว่าอเล็กซานเดอร์จะสั่งให้เก็บกวาดเศษหินเล็กๆ ก่อนเริ่มต้นปฏิสังขรณ์ แต่เรื่องนี้ก็ล้มเหลวไปเนื่องการการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ .

เวลาต่อมาอิฐนั้นถูกเคลื่อนย้ายโดยผู้อาศัยในท้องถิ่น ,และทุกวันนี้สถานที่ของเอทีเมแอนกี มีความลึกเหมือนอาคารสูงเดิม (นิวไบเบิลดิกชั้นนารีปี ๑๙๘๒ หน้า ๑๑๑)

หอศักดิ์สิทธิ์มีอยู่ทั่วไปในเมโสโปเตเมีย ทุกวันนี้ มีจำนวนที่พบ ๓๕ แห่ง แห่งหนึ่งคือหอบาเบล
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

พุธ ม.ค. 26, 2005 9:07 am

จากการสำรวจสั้นๆนี้ เราสามารถได้รับความกระจ่างที่โบราณคดี ให้กับคำถามเกี่ยวกับความเป็นจริงของเรื่องราวตามพระคัมภีร์ แม้ว่าผู้สงสัยจะมีคำถามเรื่องความเป็นจริงของพระคำของพระเจ้าเสมอ. แต่คนจำนวนไม่กี่คนที่สงสัยเกี่ยวกับข้อความทางประวัติศาสตร์

การค้นพบที่น่าตื่นเต้นทางโบราณคดีอื่นอีกหลายแห่ง ช่วยยืนยันและตอบคำถามเกี่ยวกับปฐมกาล และจะมาการตรวจสอบสิ่งนี้ในตอนต่อไป


(จบตอนที่ 2)

ตอนที่ 3 โบราณคดี และปฐมกาล ตอนอับราฮัม
ภาพประจำตัวสมาชิก
P
.
.
โพสต์: 1383
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 10:10 pm
ที่อยู่: เมืองไทย

ศุกร์ ม.ค. 28, 2005 6:19 am

เรื่องน้ำท่วมเป็นอะไรที่น่าสนใจมากครับ เพราะหนึ่งในลูกชายสามคนของโนอาห์มีภรรยาชื่ออียิปตัส และนางเป็นคนที่เห็นแผ่นดินอียิปต์ตอนที่น้ำกำลังลด เลยจองไว้ เมื่อน้ำลดลงแล้ว นางและครอบครัวก็ย้ายไป ณ ที่นั้น และตั้งชื่อดินแดนว่า อียิปต์ และนั่นเป็นต้นกำเนิดของประเทศอียิปต์

ปล. อันนี้มาจากพระคัมภีร์ในศาสนาของผมนะครับ (มอร์มอน) ไม่ทราบว่ามีในศาสนาอื่นหรืออะไรหรือไม่

สิ่งที่สำคัญที่อยากพูดถึงก็คือ หากศึกษาเทพนิยายของอียิปต์ เกี่ยวกับประวัติของโลก หรือของอียิปต์ จะพบว่า ในตอนเริ่ม โลกถูกปกคลุมไปด้วยน้ำ และหลังจากที่น้ำลดแล้ว ดินแดนอียิปต์กโผล่ขึ้นมา

ซึ่งคล้ายๆกันกับในไบเบิ้ล เพียงแต่เวลาเริ่มนับที่น้ำลดเท่านั้นเอง
Jeremy
โพสต์: 211
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ม.ค. 20, 2005 9:49 am

ศุกร์ ม.ค. 28, 2005 8:33 am

ขอบคุณ ครับคุณP ที่เขียนความเห็นเสริม

บันทึกของนักโบราณคดี ที่ได้ศึกษามาช่วยขยายและพิสูจน์ ความจริงเกี่ยวกับบันทึกตามพระคัมภีร์ เป็นอะไรที่น่าสนใจและน่าทึ่งมาก

นอกจากนักโบราณคดี แล้วยังมีนักประวัติศาสตร์ ที่ศึกษาและเขียนความเห็นต่างๆ

มีที่น่าสังเกตุว่า ไม่ว่านักโบราณคดีหรือนักประวัติศาสตร์ พวกเขาก็ศึกษาแบบนักวิชาการในสาขานั้น พวกเขาไม่ใช่นักศาสนาศาสตร์ จึงไม่มีอะไรไปชี้นำความคิดความเห็นพวกเขาได้
ภาพประจำตัวสมาชิก
P
.
.
โพสต์: 1383
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 10:10 pm
ที่อยู่: เมืองไทย

ศุกร์ ม.ค. 28, 2005 10:54 am

ขอบคุณคุณ watch ครับสำหรับบทความดีๆ

จะรออ่านต่อไปนะครับ :)
ตอบกลับโพส