☆การกลับคืนชีพของพระเยซูคริสต์☆ถ้าไม่เชื่อเรื่องนี้ ความเชื่ออื่นก็ไร้ประโยชน์☆

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร ธ.ค. 18, 2007 3:35 am

ถ้าถามว่า ความเชื่อเรื่องใด(ไม่ใช่คำสอนใดนะครับ) สำคัญที่สุดในชีวิตการเป็นคริสตชน ก็ต้องขอตอบว่า ☆การกลับคืนชีพของพระเยซูคริสต์☆

เพราะความเชื่อนี้ ถ้าปฎิเสธซะแล้ว ความเชื่ออื่นก็ไร้ความหมายทั้งสิ้น

นักบุญเปาโลย้ำว่าเรื่องนี้ไม่เชื่อไม่ได้ ในจดหมายของท่านถึงชาวโครินทร์ ในบทที่15 ท่านย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า 3ครั้งพอดี ในบทเดียว


ครั้งที่1

1คร 15:1
พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอเตือนท่านให้คำนึงถึงข่าวดีที่ข้าพเจ้าประกาศกับท่าน ท่านได้รับไว้แล้วและยังคงเชื่อมั่นในข่าวดีนี้ ท่านกำลังรับความรอดพ้นอาศัยข่าวดีนี้ ถ้าท่านยังยึดมั่นตามที่ข้าพเจ้าประกาศ แต่ถ้าท่านไม่ยึดมั่น ความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์ ข้าพเจ้ามอบธรรมประเพณีสำคัญที่สุดให้กับท่าน เป็นธรรมประเพณีที่ข้าพเจ้าได้รับมาอีกทอดหนึ่ง คือพระคริสตเจ้าได้สิ้นพระชนม์เพราะบาปของเรา ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ และทรงถูกฝังไว้ พระองค์ทรงกลับคืนพระ ชนมชีพในวันที่สามตามความในพระคัมภีร์


ครั้งที่2

1คร 15:14
ถ้าพระ คริสตเจ้ามิได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ การเทศน์สอนของเราก็ไร้ประโยชน์ และความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์เช่นเดียวกัน


ครั้งที่3

1คร 15:17
ถ้าพระคริสตเจ้ามิได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ ความเชื่อของท่านก็ไร้ความหมายและท่านก็ยังคงอยู่ในบาป


---การกล่าวย้ำถึง3ครั้งเช่นนี้ เปรียบเหมือนการยืนยันโดยพระตรีเอกภาพพระบิดา พระบุตร พระจิต เราไม่รู้ว่านักบุญเปาโลจงใจย้ำ3ครั้งหรือไม่ แต่เราเชื่อว่าพระคัมภีร์เขียนดดยพระจิตเจ้าดลใจ ดังนั้นเป้นพระองค์เองที่ดลใจท่านให้ย้ำกับเราถึง3หน ถึงเรื่องนี้ เพราะเหตุใดกัน.....
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร ธ.ค. 18, 2007 3:44 am

ถ้าถามกลับไปที่พระศาสนจักรของเรา เทศกาลสำคัญอันใดที่พระศาสนจักรถือว่าสำคัญที่สุด? ถ้าเป็นคริสตชนทั่วไปบางคน หรือคนต่างศาสานา อาจตอบแบบแทบไม่ต้องคิดว่า เทศกาลคริสตมาส น่ะสิ

แต่ความจริงคือ พระศาสนจักรถือเทศกาลสำคัญที่สุดคือเทศกาลปัสกา เพราะมีกำหนดว่าเราต้องไปวัดอย่างน้อยปีละครั้งในกำหนดปัสกา ดังนั้นคริสตชนบางคนที่ไม่ไปวัด จะไปแค่วันคริสตมาส ก็เข้าใจผิด เพราะถ้าคุณกะจะไปแค่ปีละวัน คุณต้องไปปัสกา ไม่ใช่คริสต์มาส (แต่ถึงแม้ ปีละครั้งในกำหนดปัสกา มันจะยอมรับได้สำหรับกฏของพระศาสนจักร แต่สำหรับพระบัญญัติการขาดวัดยังเป็นบาปอยู่ดี ต้องแก้บาปนะครับ)

รูปภาพ

ดังนั้น สุดยอดแห่งความชื่นชมยินดีของเราคริสตชน ไม่ใช่ตอนที่พระเยซูมาบังเกิด หากแต่เป็น การกลับคืนชีพอันรุ่งเรื่องของพระองค์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร ธ.ค. 18, 2007 3:57 am

ทำไมการคืนชีพนี้จึงสำคัญ

ถ้าเราดูการอัศจรรย์ต่างๆในชีวิตของพระเยซุเจ้า แทบไม่มีอัศจรรย์ใดเลยที่ไม่เคยมีประกาศกในพระธรรมเก่าทำมาก่อน การทำให้อาหารมาเองหรือ โมเสสก็เคยทำ การรักษาโรคหรือ ก็มีประกาศกคนอื่นอีกหลายคนทำมาแล้ว แม้แต่การชุบชีสิตคนตาย ก็ยังมีประกาศกบางคนในพระรรมเก่าทำมาก่อน จึงไม่น่าสงสัยที่พระองค์ถูกเข้าใจว่า เป็นเอลียาห์บ้าง เป็นประกาศกบ้าง แต่มีเพียงอัศจจรย์เดียวที่บุตรพระเจ้าทรงกระทำ เป็นอัศจรรย์แรกที่เกิดขึ้นในโลกและไม่เคยมีใครทำได้อีกเลย นั่นคือการกลับคืนพระชนม์ชีพ

เพราะการชุบชวิตคนตายนั้น แม้เขาจะฟื้นมา แต่วันหนึ่งเขาก็ต้องตายอีกรอบอยู่ดี แต่การกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูเจ้าคือการกลับคืนชีพที่จะไม่ต้องตายอีกเลย พระองค์กลับคืนชีพครั้งเดียวแต่ส่งผลนิรันดร์ การกลับคืนชีพแท้จริงเช่นนี้ ปรากฏเข้ามาในโลกครั้งแรกโดยพระเยซูเจ้า ดังนั้นการกลับคืนชีพนี้ คืออัศจรรย์ที่ยืนยันการเป็นพระเจ้าของพระเยซู เพราะมีอัศจรรย์นี้เท่านั้นที่พระเจ้าทำได้

1คร 15:20
ความจริง พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย เป็นผลแรกของบรรดาผู้ล่วงหลับไปแล้ว  ความตายมาจากมนุษย์คนหนึ่งฉันใด การกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตายก็มาจากมนุษย์คนหนึ่งฉันนั้น  มนุษย์ทุกคนตายเพราะอาดัมฉันใด มนุษย์ทุกคนก็จะกลับมีชีวิตเพราะพระคริสตเจ้าฉันนั้น แต่จะเป็นไปตามลำดับของแต่ละคน พระคริสตเจ้าทรงเป็นผลแรก ต่อไปก็คือผู้ที่เป็นของพระคริสตเจ้า เมื่อพระองค์จะเสด็จมา


ในบทจดหมายเดิม นักบุญเปาโลอธิบายต่อว่า อาดัมทำบาป สิ่งที่อาดัมนำเข้ามาในโลกคือความตาย และไม่ใช่ความตายทางเนื้อหนังเท่านั้น อาดัมนำความตายแท้ๆเข้ามา คือความตายนิรันดร์ในนรกด้วย หลังจากนั้นมนุษย์ทุกคนติดบ่วงของอาดัม ในการเสียความสถานภาพอันนิรันดร์กับพระเจ้า แต่พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับคืนชีพโดยเอาชนะความตายที่อาดัมนำมา และทรงคืนสิทธิ์ ในการกลับเป็นบุตรพระเจ้าให้เรา ยังผลให้เรา มีสิทธิ์รับสภาพอันนิรันดร์นี้ด้วยเช่นกัน โดยทางการเชื่อในพระองค์


รูปภาพ

ดังนั้นการกลับคืนชีพ จึงเป็นเครื่องหมายของการพ้นบาปที่แท้จริง ความรอดของพระเยซู ไม่ได้แปลว่าแค่สวรรค์ แต่หมายถึงเราทุกคนจะกลับคืนชีพในวันสุดท้าย และมีชีวิตนิรันดร์(ไม่ใช่การตายใหม่เกิดใหม่ไม่จบแบบการเวียนว่ายตายเกิด)

ยน 6:40
พระประสงค์ของพระบิดาของเรา ก็คือ ทุกคนที่เห็นพระบุตรแล้วเชื่อในพระบุตรจะมีชีวิตนิรันดร และเราจะให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ อังคาร ธ.ค. 18, 2007 4:47 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร ธ.ค. 18, 2007 4:19 am

ดังนั้นอาจจะกล่าวว่า ต่อให้คุณเชื่อว่าพระเยซูสอนดี เชื่อว่าพระเยซูทำอัศจรรย์ได้ แต่ถ้าคุณไม่ยอมเชื่อว่าพระเยซูกลับคืนชีพ ก็เท่ากับการไม่ยอมเชื่อว่ามีความรอดพ้น ทางพระเยซูคริสต์ นั่นเอง และนั่น ทำให้คุณ "ไม่อาจรับความรอดโดยปริยาย"

แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งแรกครั้งเดียว(แต่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายเพราะพวกเราที่เชื่อก็จะได้รับเช่นกันในวันสุดท้าย)ในโลกแบบนี้ จะมีความน่าเชื่อถือหรือหลักฐานอะไรมายืนยันหรือพิสูจน์ได้บ้าง

1.ปราศจากพระศพ
เป็นธรรมดาอยู่เองที่ศาสดา หรือคนสำคัญ แม้แต่นักบุญในคริสตศาสนา เมื่อตายไป ก็ยังคงมีศพ ชิ้นส่วนศพ หรือชิ้นส่วนพระธาตุ อยู่เป็นหลักฐาน ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ช่วยยืนยันการมีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ของคนเหล่านี้ได้ดี หากแต่พระเยซูเจ้านั้น พระมหาศาสดาแห่งศาสนาที่มีคนนับถือมากที่สุดในโลก กลับไม่เคยหลงเหลือสิ่งเหล่านี้ไว้เลย ขนาดที่ว่ามีการเฝ้าพระศพโดยบรรดาทหารเพราะกลัวพวกสาวกมาขโมยศพไป แต่ในพระคัมภีร์ได้บันทึกอย่างชัดเจนว่า

มธ 27:62-66 ทหารยามเฝ้าพระคูหา
วันรุ่งขึ้น เป็นวันสับบาโตบรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีไปพบปีลาตพร้อมกัน กล่าวว่า “ท่านขอรับ เราจำได้ว่าคนลวงโลกผู้นี้เมื่อยังมีชีวิตอยู่เคยพูดว่า “ฉันจะกลับคืนชีพหลังจากสามวัน” ท่านจงสั่งให้มีคนเฝ้าคูหาจนถึงวันที่สาม เพื่อมิให้บรรดาศิษย์ของเขาขโมยศพไปแล้วประกาศแก่ประชาชนว่า “เขากลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายแล้ว” การหลอกลวงครั้งนี้จะร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งก่อน” ปีลาตจึงบอกเขาว่า “ท่านจงจัดทหารยามไปเฝ้าตามใจชอบเถิด” บรรดาหัวหน้าสมณะและชาวฟาริสีจัดการเฝ้าพระคูหาอย่างเข้มงวดโดยประทับตราที่หินปิดทางเข้าและวางยามไว้


รูปภาพ


แต่คนเฝ้าอาจมีกำลังมากกว่าคนข้างนอก แต่ก็ไม่อาจมีกำลังเหนือคนข้างในได้ เมื่อพระเยซูกลับคืนชีพ สิ่งเดียวที่พวกทหารยามพอจะทำได้คือ

มธ 28:11-15 ผู้นำชาวยิวป้องกันตน
เมื่อสตรีทั้งสองคนเดินทางไป ทหารยามบางคนเข้าไปในเมือง แจ้งเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นแก่บรรดาหัวหน้าสมณะ บุคคลเหล่านี้จึงประชุมปรึกษากันกับบรรดาผู้อาวุโสแล้วตกลงจ่ายเงินก้อนใหญ่ให้ทหาร สั่งว่า “ท่านทั้งหลายจงพูดว่า ‘บรรดาศิษย์ของเขามาขโมยศพไปในเวลากลางคืน ขณะที่เรากำลังหลับอยู่’ ถ้าเรื่องมาถึงหูของผู้ว่าราชการ เราจะชี้แจงแก่เขาทำให้ท่านพ้นโทษ” ทหารได้รับเงินและกระทำตามคำแนะนำ เรื่องนี้จึงเล่าลือกันในหมู่ชาวยิวจนกระทั่งทุกวันนี้


---เรื่องโกหกนี้ถูกเล่าลือจนถึงปัจจุบัน ความน่าขบขันอันน่ารักที่ผู้บันทึกพระวรสารจงใจเขียนลงไป คือคำแก้ตัวอันตลกของทหารยามที่ว่า ‘บรรดาศิษย์ของเขามาขโมยศพไปในเวลากลางคืน ขณะที่เรากำลังหลับอยู่’ ถ้าคุณหลับยาม คุณจะรอดการลงโทษได้ยังไงครับ และถ้าคุณหลับคุณรู้ได้ยังไงว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้ามีการขโมยศพ รู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นคนทำ ก็คุณหลับอยู่นี่นา คำแก้ตัวนี้จึงขัดกับสามัญสำนึกอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นคุณหลับอยู่ข้างหน้าคูหา หินอันใหญ่มโหฬารปิดปากประตู ถ้ามีชาวบ้านมาผลักก็ต้องใช้ตั้งหลายคน เสียงดังแน่นอน แถมต้องช่วยกันเข้าไปแบกศพอีก จะหนีไวก็ไม่ได้ เพราะหนักศพ แต่ทหารหาญชาวโรมันก็ยังหลับสนิท นอนหลับไม่รู้นอนคู้ไม่เห็น แต่ดันมารู้ได้ว่าศิษย์ขโมย ดังนั้นการกล่าวตรงๆว่าเรื่องนี้ ยังลือกันอยู่ในสมัยที่คนเขียนเขียนเรื่องนี้ ก้เป้นการแสดงให้เห็นว่า มนุษย์นั้นยอมรับ เรื่องเท็จที่พอจะเข้าใจได้ มากกว่าความจริงอันเหลือเชื่อ มาแต่ไหนแต่ไร
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร ธ.ค. 18, 2007 4:39 am

2.มีพยานที่ยอมตายเพื่อยืนยันเรื่องนี้
นอกจากมารีย์ชาวมักดาลา ศิษย์หญิงคนแรกที่ได้โลดเต้นยินดี วิ่งออกไปยืนยันเรื่องนี้ แบบไม่กลัวเลยว่าใครจะไม่เชื่อ ถ้าคุณคิดจะโกหก เรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้ที่สุดขัดกับสามัญสำนึกมากขนาดนี้ คุณคงต้องคิดแล้วคิดอีกว่า จะแต่งคำพูดยังไง หรือจะหลอกคนยังไง แต่มารีย์ หญิงคนนี้ วิ่งเพริศไปด้วยความปิติพูดแค่คำว่า “ดิฉันได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” ไม่มีหลักฐานซะอย่างแต่ก็จะพูด

รูปภาพ

ถ้าเราดูสถานการณืตอนนี้ เหล่าสาวกกำลังสิ้นหวัง หลายๆคนคงรู้สึกเหมือนโดนหลอก โดนหักหลัง หมดที่พึ่ง แทนที่จะได้เป็นผู้ติดตามผู้ปลดปล่อย ตอนนี้กลายเป็นลูกน้องนักโทษประหาร หลบซ่อนด้วยความกลัว พูดง่ายๆว่า งานนี้จบสิ้นแล้ว ศาดาอ้างตัวเป็นพระเจ้า แต่ตายอย่างทุเรศช่วยตัวเองยังไม่ได้ ศาสนานี้จบแล้ว.... แต่ข่าวดีอันเหลือเชื่อที่นำมาโดยมารีย์ มักดาลา ก้ยังทำให้มีศิษย์แค่ 2คนยอมวิ่งออกจากที่ซ่อนไปดูความจริง

รูปภาพ

เปโตรและยอห์น ได้เห็นว่าพระศพหายไป เขาอัศจรรย์ใจ แต่ยังสับสน และกลับไปซ่อนกันต่อ เพราะเรื่องนี้มันเหลือเชื่อเกินไป!!

แต่แล้วพวกเขาก็ไม่ต้องรอนาน พระเยซูเจ้าทรงเสด็จมาต่อหน้าพวกเขา และศิษย์จำนวนมาก

1คร 15:4
พระองค์ทรงกลับคืนพระ ชนมชีพในวันที่สามตามความในพระคัมภีร์ และทรงแสดงพระองค์แก่เคฟาส แล้วจึงทรงแสดงพระองค์แก่อัครสาวกสิบสองคน หลังจากนั้นทรงแสดงองค์แก่พี่น้องมากกว่าห้าร้อยคนในคราวเดียว คนส่วนมากในจำนวนนี้ยังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าบางคนล่วงหลับไปแล้ว ต่อมาพระองค์ทรงแสดงพระองค์แก่ยากอบ แล้วจึงทรงแสดงพระองค์แก่อัครสาวกทุกคน ในที่สุด ทรงแสดงพระองค์กับข้าพเจ้า ผู้เป็นเสมือนเด็กที่คลอดก่อนกำหนดด้วย


คำถามง่ายๆต่อไปนี้ ตอบได้ด้วยคำตอบเดียวที่พอจะมีเหตุผล
ก.อะไรทำให้บรรดาสาวกยอมออกจากที่ซ่อนมาเทศนาเรื่องการกลับคืนชีพทั้งที่รู้ว่าจะต้องตายและต้องโดนเบียดเบียน
ข.อะไรที่ทำให้คนกลัวแทบตาย เปลี่ยนเป็นกล้าลืมตาย
ค.คนพวกนี้เอาชีวิตเข้าแลก กับเรื่องโกหกงั้นหรือ มันจะได้อะไร
ง.เปาโลเองอ้างว่าการตกม้าของตนนับเป็นการสำแดงองค์จากการกลับคืนชีพของพระเยซูด้วย และถ้ามันไม่จริง คนที่ตามฆ่าคริสตชน กลายมาเป็นคนประกาศข่าวดีไปทั่วโลกได้อย่างไร คนหนุ่มที่กำลังก้าวหน้า มีเหตุผลอะไรที่เขากลับมาเข้าพวกศัตรู และกลับเป็นศัตรูกับพวกพ้อง จนยอมตายในที่สุด

ถ้าใครจะฉลาดหาเหตุผลทางสังคมร้อยแปดพันเก้ามายัดให้ ก็ไม่มีอะไรที่มีน้ำหนักพอ นอกจากเหตุผลเดียวที่ว่าคนเหล่านี้ได้ เห็นปาฏิหารย์ที่เป็นการยืนยันว่าถึงพวกเขาจะตายพวกเขาก็จะได้กลับคืนชีพเช่นกัน ด้วยตาตัวเอง

คนเรายอมตายเพื่อยืนยันความจริงไม่มีใครยอมตายเพื่อยืนยันเรื่องโกหก และคนเรายอมตายเพราะมีความหวังในชีวิตหน้า ไม่ใช่ยอมตายเพียงเพราะผลประโยชน์ในชีวิตนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร ธ.ค. 18, 2007 4:44 am

ดังนั้นคริสตชนคนใด ทำดีแค่ไหน อ้างว่าเชื่ออย่างไร แต่กลับไม่ยอมเชื่อเรื่องการกลับคืนชีพ ก็คือคนที่ปิดทางรอดของตัวเอง


เพราะนี่คือความจริง ที่ยาวนานถึง2000ปี ถูกยืนยันไม่สิ้นสุด และถูกยืนยันกับคนจำนวนมากที่สุดในโลกมาตลอด

1คร 15:17
ถ้าพระคริสตเจ้ามิได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ ความเชื่อของท่านก็ไร้ความหมายและท่านก็ยังคงอยู่ในบาป เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ที่ล่วงหลับไปในพระคริสตเจ้าก็พินาศไปด้วย  ถ้าเรามีความหวังในพระคริสตเจ้าเพียงเพื่อชีวิตนี้เท่านั้น เราก็เป็นมนุษย์ที่น่าสงสารที่สุด


รูปภาพ

หากนี่คือปรากฎการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลก และเข้ามาในโลกครั้งแรกโดยพระเยซู ถ้าเช่นนั้นแล้ว...

การกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้าเป็นอย่างไร

1คร 15:42
การกลับคืนชีพของผู้ตายก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่หว่านลงไปนั้นเน่าเปื่อย แต่สิ่งที่กลับคืนชีพนั้นไม่เน่าเปื่อยอีก  สิ่งที่หว่านลงไปนั้นไม่มีเกียรติ แต่สิ่งที่กลับคืนชีพนั้นมีความรุ่งเรือง สิ่งที่หว่านลงไปนั้นอ่อนแอ  แต่สิ่งที่กลับคืนชีพนั้นมีอานุภาพ  สิ่งที่หว่านลงไปเป็นร่างกายตามธรรมชาติ แต่สิ่งที่กลับคืนชีพเป็นร่างกายที่มีพระจิตเจ้าเป็นชีวิต ถ้ามีร่างกายตามธรรมชาติ ก็มีร่างกายที่มีพระจิตเจ้าเป็นชีวิตด้วย  ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า อาดัม มนุษย์คนแรกถูกสร้างขึ้นเป็นสิ่งมีชีวิต อาดัมคนสุดท้ายเป็นจิตซึ่งประทานชีวิต  สิ่งที่มาก่อนมิใช่กายที่มีพระจิตเจ้าเป็นชีวิต แต่เป็นกายตามธรรมชาติ ภายหลังจึงเป็นกายที่มีพระจิตเจ้าเป็นชีวิต  มนุษย์คนแรกมาจากดิน เป็นมนุษย์ดิน มนุษย์คนที่สองมาจากสวรรค์  มนุษย์ดินคนนั้นเป็นอย่างไร มนุษย์ดินคนอื่น ๆ ก็เป็นอย่างนั้น มนุษย์สวรรค์คนนั้นเป็นอย่างไร มนุษย์สวรรค์คนอื่น ๆ ก็เป็นอย่างนั้น  เราเกิดมามีลักษณะเหมือนคนฝ่ายโลกฉันใด เราก็จะมีลักษณะเหมือนคนจากสวรรค์ฉันนั้น

มธ 22:29
เมื่อมนุษย์จะกลับคืนชีพ จะไม่มีการแต่งงานเป็นสามีภรรยากันอีก แต่เขาจะเป็นเหมือนทูตสวรรค์ 



กล่าวโดยสรุป ร่างกายที่กลับคืนชีพของเราจะเป็นเหมือนพระเยซูตอนกลับคืนชีพ คือ
1.สดใสรุ่งโรจน์
2.มีอานุภาพ อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของโลก เช่นพระเยซูเดินทะลุกำแพงเข้ามา
3.เหมือนชาวสวรรค์
4.ไม่เน่าเปื่อยไม่มีความเสื่อม
5.ไม่มีการตายอีก ดำรงอยู่เป็นนิรันดร์
6.ไม่มีความต้องการประสาโลก เช่นความต้องการทางเพศ
7.มีพระจิตเจ้าเป็นชีวิต
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ อังคาร ธ.ค. 18, 2007 5:00 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร ธ.ค. 18, 2007 5:14 am

การกลับคืนชีพเกิดขึ้นอย่างไร

1คร 15:50
พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอบอกว่า มนุษย์ตามธรรมชาติรับพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดกไม่ได้ สิ่งที่เน่าเปื่อยได้รับสภาพไม่เน่าเปื่อยเป็นมรดกไม่ได้ โปรดฟังเถิด ข้าพเจ้ามีธรรมล้ำลึกข้อหนึ่งจะบอกท่าน เราทุกคนจะไม่ตาย แต่เราทุกคนจะเปลี่ยนแปลง ทันทีทันใด ชั่วพริบตา เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เสียงแตรจะดังขึ้น แล้วผู้ตายจะกลับคืนชีพอย่างไม่เน่าเปื่อย และเราจะเปลี่ยนแปลง เพราะธรรมชาติที่เน่าเปื่อยได้ของเรานี้ จะต้องสวมใส่ความไม่เน่าเปื่อย และธรรมชาติที่ต้องตายนี้ จะต้องสวมใส่ความไม่รู้จักตาย

1ธส 4:13
พี่น้องทั้งหลาย เราไม่อยากให้ท่านขาดความรู้ความเข้าใจถึงเรื่องผู้ล่วงหลับคือผู้ที่ตายไปแล้ว เพื่อท่านจะได้ไม่โศกเศร้าเหมือนคนอื่นที่ไม่มีความหวัง เราเชื่อว่าพระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์และทรงกลับคืนพระชนมชีพ เราจึงเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงนำบรรดาผู้หลับอยู่มากับพระองค์โดยทางพระเยซูเจ้าเช่นเดียวกัน ตามพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราขอบอกท่านว่า เราผู้ยังมีชีวิตและรออยู่จนถึงวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา จะไม่ได้เปรียบบรรดาผู้ที่ล่วงหลับไปแล้ว เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จลงมาจากสวรรค์ตามพระบัญชา เมื่อมีเสียงหัวหน้าฑูตสวรรค์และเสียงแตรของพระเจ้า บรรดาผู้ตายในพระคริสตเจ้าจะกลับคืนชีพก่อน ต่อจากนั้น เราผู้ยังมีชีวิตอยู่ จะถูกรับขึ้นไปในกลุ่มเมฆพร้อมกับพวกเขา ไปพบองค์พระผู้เป็นเจ้าในท้องฟ้าเราจะได้อยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดไป


รูปภาพ

---เหตุการณ์นี้ แยกเป็น2กลุ่ม

กลุ่มแรก คนที่ตายไปแล้ว
คนที่ตายไปแล้วจะกลับคืนชีพขึ้นมา เนื้อหนังที่อาจไม่หลงเหลืออยู่แล้ว พระเจ้าก็รวบรวมกลับมาได้ เป็นกลุ่มที่ตายแล้วกลับมีชีวิต

กลุ่มที่สอง คนที่มีชีวิตอยู่
คนที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลานั้น จะเกิดการมีชีวิตใหม่ซ้อนทับขึ้นมา คือร่างกายเดิมถูกกลืนโดยร่างกายใหม่โดยไม่ต้องตายก่อน แต่เปลี่ยนเป็นร่างใหม่เลย

1คร 15:54
เมื่อสิ่งที่เน่าเปื่อยนี้จะสวมใส่ความไม่เน่าเปื่อย และเมื่อธรรมชาติที่ต้องตายนี้จะสวมใส่ความไม่รู้จักตายแล้ว ก็จะเป็นจริงตามคำที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “ความตายถูกชัยชนะกลืน ความตายเอ๋ย ชัยชนะของเจ้าอยู่ไหน ความตายเอ๋ย พิษของเจ้าอยู่ไหน”

2คร 5:2
ตราบใดที่เราอยู่ตามสภาพปัจจุบัน เราก็คร่ำครวญปรารถนาอย่างยิ่งที่จะสวมใส่ร่างกายที่มาจากสวรรค์ ขณะที่ยังสวมร่างกายนี้อยู่ เราไม่เปลือยเปล่า โดยแท้จริงแล้ว ขณะที่เรายังอยู่ในร่างกายนี้ เรากำลังคร่ำครวญเพราะต้องแบกภาระหนัก เราไม่ปรารถนาจะถูกปลดเปลื้องจากร่างกายปัจจุบันนี้ แต่ต้องการสวมใส่ร่างกายจากสวรรค์ เพื่อสิ่งที่ตายได้จะถูกชีวิตกลืนเข้าไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร ธ.ค. 18, 2007 5:46 am

ดังนั้นความรอดของคริสตชน จึงไม่ใช่แค่สวรรค์ หรือที่รับบำเน็จในการทำความดี แต่คือการกลับบ้านแท้ และคือ การกลับไปสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้าผุ้เป้นบิดาแท้แห่งวิญญาณของเรา

ดังนั้นจึงไม่ใช่อะไรที่ไม่ถาวรหรือชั่วคราว เพราะถ้าเป็นแค่ที่รับบำเน็จจากการทำดี รางวัลหมด ก็อดอยู่ต่อ ก็ถูกต้องแล้ว แต่นี่คือการกลับบ้าน บ้านคือที่ที่เราอยู่กับพ่อแม่และคนที่เรารักตลอดไป

ยน 8:35
ทาสย่อมไม่พำนักอยู่ในบ้านตลอดไป
แต่บุตรพำนักอยู่ตลอดไป
เพราะฉะนั้น ถ้าพระบุตรทำให้ท่านเป็นอิสระ
ท่านก็จะเป็นอิสระอย่างแท้จริง


---ดังนั้น ทาสทำความดีรับใช้เจ้านายเขาอยู่บ้านชั่วคราวรับค่าจ้างและต้องออกไป แต่ผู้ที่ยอมรับว่าตัวเองเป็นบุตร โดยการกล่าวเรียกและยอมรับพระเจ้าว่าพระบิดา ย่อมมีสิทธิ์ที่จะอยู่ตลอดไป

นั่นคือทำไม ความรอดพ้นของเรา จึงไม่ใช่สวรรค์แบบสวรรค์ในศาสนาอื่น และทำไม ผลการกลับคืนชีพของคริสตศาสนาจึงไม่ได้มาจากการทำความดีโดยไม่ต้องสนใจพระเจ้า เพราะพระบุตรเท่านั้นที่ปลดเราจากทาสมาเป็นบุตรพระเจ้าได้ คนใช้ทำดีอย่างไร ก็เป็นแค่คนใช้ ในเมื่อเราสามารถรับสิทธิ์การเป็นบุตร เราจะหยุดอยู่เพียงการเป็นคนรับใช้ทำไม

พระเยซูคริสต์ เข้ามาในโลกนี้เพื่อจะบังเกิดเป็นมนุษย์เหมือนเรา เพื่อให้มนุษย์สามารถถูกนับเป็นพี่น้องของพระองค์ และเพื่อจะมีสิทธิ์กลับเป็นบุตรพระเจ้าร่วมกับพระองค์ และกลับคืนชีพในพระองค์ด้วย

1ธส 5:9
เพราะพระเจ้ามิได้ทรงกำหนดให้เราต้องรับโทษ แต่ทรงกำหนดให้เราได้รับความรอดพ้นเดชะพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา  พระองค์สิ้นพระชนม์เพื่อเรา เราจะได้มีชีวิตอยู่ร่วมกับพระองค์


ขอพระประสงค์ของพระองค์จงสำเร็จไป ในแผ่นดินเหมือนในสวรรค์ อาแมน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Immanuel (MichaelPaul)
~@
โพสต์: 2887
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 8:49 pm
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

อังคาร ธ.ค. 18, 2007 9:25 am

ขอบคุณครับ ^^ น่านำไปขึ้นบทความนะครับ
Marie Antoinette
โพสต์: 626
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 26, 2007 8:07 pm
ที่อยู่: bkk

อังคาร ธ.ค. 18, 2007 1:46 pm

ให้เราประกาศพระธรรมล้ำลึกแห่งความเชื่อ

พระคริสตเจ้าได้สิ้นพระชนม์
พระคริสตเจ้าได้ทรงกลับคืนชีพ
พระคริสตจะกลับมาอีกครั้งนึง
เพื่อยืนยันถึงเกียรติมงคลและอานุภาพ
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

พุธ ธ.ค. 19, 2007 4:51 am

ความเชื่อเป็นพระหรรษทานจากพระไม่ใช่เหรอคะ บางคนอาจจะอยากเชื่อ  แต่เค้าก็ซื่อสัตย์พอที่จะบอกว่า  เค้าไม่เชื่อ  คนที่เชื่อแล้วไปว่า  คนไม่เชื่อนี่  ไม่เหมือนไปดูถูกเค้าเหรอคะ  เหมือนคนมีเงิน (พระพรของพระเหมือนกัน)  ไปดูถูกคนไม่มีเงินน่ะค่ะ  ....  ความเชื่อเรื่องนี้เป็นพระธรรมล้ำลึก  ไม่ใช่เชื่อกันง่ายๆ

ความเชื่อสามารถสวดขอได้นะคะ  เราไม่เชื่ออะไร  เราก็สวดขอได้  เราถามพระได้  บอกได้ว่า  เราสงสัย  อันนั้นก็เป็นความสัมพันธ์ที่ดีเหมือนกัน  ไม่ใช่ไม่ดี  โธมัสก็ไม่เชื่อเรื่องการกลับคืนชีพ  แต่สุดท้าย  พระองค์ก็มาเผยแสดงให้เค้ารู้  เปโตรและศิษย์คนอื่นๆเค้าก็ไม่ได้เชื่อพระมารีย์มักดาลาไปบอก  แต่เชื่อเพราะเค้าเห็นเอง  มีประสบการณ์เอง  พระบอกเค้าเอง และพระองค์ก็บอกเองว่า  เป็นบุญของผู้ที่ไม่เห็นแล้วเชื่อ  (แล้วใครจะมีบุญแบบนั้นได้ทุกคน)  ซึ่งเราต้องสวดขอ...  ขอให้เราสวดขอ 

ไม่เห็นด้วยที่ว่า  ถ้าไม่เชื่อเรื่องนี้แล้วเชื่อเรื่องอื่นก็ไม่มีประโยชน์ พระบอกว่า  ความเชื่อเหมือนเมล็ดมัสตาร์ด  ขอแค่เชื่อเรื่องเดียวก็ตาม  ก็ทำให้เราเติบโตได้  บางคนที่เค้ายังโตไม่ทัน  เราก็น่าจะช่วยเค้า (คิดว่า  คงกำลังช่วยอยู่  จากความพยายามทำบทความ) และให้เวลาเค้า  บางทีอาจไม่ใช่เวลาเค้าก็ได้นะคะ  และเมื่อเวลาเค้ามาถึง  เค้าอาจเชื่อมากกว่าเราก็ได้  ....  ขอแค่ให้พยายาม  ให้ค้นหา  ให้ถามพระว่า  มันจริงอย่างงั้นเหรอ  มันเป็นความสัมพันธ์นะคะ  ถ้าเรารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคนรักเรา  เราจะสร้างความสัมพันธ์ยังไงคะ  เราจะคุยอะไรกับเค้า  รู้หมดแล้วอ่ะ  ไม่มีเรื่องคุยแล้ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zion
~@
โพสต์: 3777
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 8:37 pm
ติดต่อ:

พุธ ธ.ค. 19, 2007 5:22 am

Buddy เขียน: ความเชื่อเป็นพระหรรษทานจากพระไม่ใช่เหรอคะ บางคนอาจจะอยากเชื่อ  แต่เค้าก็ซื่อสัตย์พอที่จะบอกว่า  เค้าไม่เชื่อ  คนที่เชื่อแล้วไปว่า  คนไม่เชื่อนี่  ไม่เหมือนไปดูถูกเค้าเหรอคะ  เหมือนคนมีเงิน (พระพรของพระเหมือนกัน)  ไปดูถูกคนไม่มีเงินน่ะค่ะ  ....  ความเชื่อเรื่องนี้เป็นพระธรรมล้ำลึก  ไม่ใช่เชื่อกันง่ายๆ

ความเชื่อสามารถสวดขอได้นะคะ  เราไม่เชื่ออะไร  เราก็สวดขอได้  เราถามพระได้  บอกได้ว่า  เราสงสัย  อันนั้นก็เป็นความสัมพันธ์ที่ดีเหมือนกัน  ไม่ใช่ไม่ดี  โธมัสก็ไม่เชื่อเรื่องการกลับคืนชีพ  แต่สุดท้าย  พระองค์ก็มาเผยแสดงให้เค้ารู้  เปโตรและศิษย์คนอื่นๆเค้าก็ไม่ได้เชื่อพระมารีย์มักดาลาไปบอก  แต่เชื่อเพราะเค้าเห็นเอง  มีประสบการณ์เอง  พระบอกเค้าเอง และพระองค์ก็บอกเองว่า  เป็นบุญของผู้ที่ไม่เห็นแล้วเชื่อ  (แล้วใครจะมีบุญแบบนั้นได้ทุกคน)  ซึ่งเราต้องสวดขอ...  ขอให้เราสวดขอ 

ไม่เห็นด้วยที่ว่า  ถ้าไม่เชื่อเรื่องนี้แล้วเชื่อเรื่องอื่นก็ไม่มีประโยชน์ พระบอกว่า  ความเชื่อเหมือนเมล็ดมัสตาร์ด  ขอแค่เชื่อเรื่องเดียวก็ตาม  ก็ทำให้เราเติบโตได้  บางคนที่เค้ายังโตไม่ทัน  เราก็น่าจะช่วยเค้า (คิดว่า  คงกำลังช่วยอยู่  จากความพยายามทำบทความ) และให้เวลาเค้า    บางทีอาจไม่ใช่เวลาเค้าก็ได้นะคะ  และเมื่อเวลาเค้ามาถึง  เค้าอาจเชื่อมากกว่าเราก็ได้  ....   ขอแค่ให้พยายาม  ให้ค้นหา  ให้ถามพระว่า  มันจริงอย่างงั้นเหรอ  มันเป็นความสัมพันธ์นะคะ  ถ้าเรารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคนรักเรา  เราจะสร้างความสัมพันธ์ยังไงคะ  เราจะคุยอะไรกับเค้า  รู้หมดแล้วอ่ะ  ไม่มีเรื่องคุยแล้ว
ใช่ ศาสนา (Religious) คือ Relationship with God: การมีความสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้า

แต่เราไม่ได้กีดกัน/ดูถูก ผู้ยังไม่ได้รับทราบข่าวประเสริฐนะครับพี่ส้ม
ในการดำเนินชีวิต เราทุกคนก็เคยพลัดหลงจากพระเจ้า
นั่นคือ หนทางแสวงหาพระเจ้า

แต่พี่ปอ หมายถึงคนที่รู้ทางแล้วแต่กลับไม่เดินไป
หมายถึง คนที่รู้จักพระแล้วแต่ยังเลือกที่จะปฎิเสธ



ขอยกตัวอย่าง
มีคนหนึ่งเรียนคำสอนครบหลักสูตรบริบูรณ์
เขาเชื่อ-ว่าคำสอนพระเยซูนั้นดี น่าปฏิบัติตาม
แต่เขาไม่เชื่อในการอัศจรรย์ ว่าพระเยซูได้ฟื้นจากความตาย

เขาสมควรได้รับศีลล้างบาป ประกาศตนเป็นคริสตชนหรือ?
และสมควรเดินเข้าไปรับศีลมหาสนิททุกมิซซา ที่เราเชื่อว่าเป็นพระกายแท้หรือ?

__________
นักบุญเปาโลหนุนใจ เราให้บริบูรณ์ ความเชื่อ ความหวัง/ไว้ใจ และความรัก
ถ้าเราไม่ไว้ใจพระ แล้วเรายังจะได้รับความรอดจากใครอีก?

"เพราะเราได้รอดพ้นเพียงในความหวัง
แต่ความหวังที่มองเห็นได้ก็ไม่ใช่ความหวัง เพราะสิ่งที่มองเห็นแล้ว เขาจะหวังไปทำไมอีกเล่า "

รม8:24
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ พุธ ธ.ค. 19, 2007 5:32 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Alphonse
โพสต์: 1792
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ส.ค. 23, 2006 10:45 pm
ที่อยู่: Thailand

พุธ ธ.ค. 19, 2007 8:14 am

สุดแล้วแต่น้ำพระทัย...
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พุธ ธ.ค. 19, 2007 5:44 pm

Buddy เขียน: ความเชื่อเป็นพระหรรษทานจากพระไม่ใช่เหรอคะ บางคนอาจจะอยากเชื่อ  แต่เค้าก็ซื่อสัตย์พอที่จะบอกว่า  เค้าไม่เชื่อ  คนที่เชื่อแล้วไปว่า  คนไม่เชื่อนี่  ไม่เหมือนไปดูถูกเค้าเหรอคะ  เหมือนคนมีเงิน (พระพรของพระเหมือนกัน)  ไปดูถูกคนไม่มีเงินน่ะค่ะ  ....  ความเชื่อเรื่องนี้เป็นพระธรรมล้ำลึก  ไม่ใช่เชื่อกันง่ายๆ

ความเชื่อสามารถสวดขอได้นะคะ  เราไม่เชื่ออะไร  เราก็สวดขอได้  เราถามพระได้  บอกได้ว่า  เราสงสัย  อันนั้นก็เป็นความสัมพันธ์ที่ดีเหมือนกัน  ไม่ใช่ไม่ดี  โธมัสก็ไม่เชื่อเรื่องการกลับคืนชีพ  แต่สุดท้าย  พระองค์ก็มาเผยแสดงให้เค้ารู้  เปโตรและศิษย์คนอื่นๆเค้าก็ไม่ได้เชื่อพระมารีย์มักดาลาไปบอก  แต่เชื่อเพราะเค้าเห็นเอง  มีประสบการณ์เอง  พระบอกเค้าเอง และพระองค์ก็บอกเองว่า  เป็นบุญของผู้ที่ไม่เห็นแล้วเชื่อ  (แล้วใครจะมีบุญแบบนั้นได้ทุกคน)  ซึ่งเราต้องสวดขอ...  ขอให้เราสวดขอ 

ไม่เห็นด้วยที่ว่า  ถ้าไม่เชื่อเรื่องนี้แล้วเชื่อเรื่องอื่นก็ไม่มีประโยชน์ พระบอกว่า  ความเชื่อเหมือนเมล็ดมัสตาร์ด  ขอแค่เชื่อเรื่องเดียวก็ตาม  ก็ทำให้เราเติบโตได้  บางคนที่เค้ายังโตไม่ทัน  เราก็น่าจะช่วยเค้า (คิดว่า  คงกำลังช่วยอยู่  จากความพยายามทำบทความ) และให้เวลาเค้า    บางทีอาจไม่ใช่เวลาเค้าก็ได้นะคะ  และเมื่อเวลาเค้ามาถึง  เค้าอาจเชื่อมากกว่าเราก็ได้  ....   ขอแค่ให้พยายาม  ให้ค้นหา  ให้ถามพระว่า  มันจริงอย่างงั้นเหรอ  มันเป็นความสัมพันธ์นะคะ  ถ้าเรารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคนรักเรา  เราจะสร้างความสัมพันธ์ยังไงคะ  เราจะคุยอะไรกับเค้า  รู้หมดแล้วอ่ะ  ไม่มีเรื่องคุยแล้ว
อันนี้ต้องถามนักบุญเปาโลครับ ว่าทำไมท่านทำไม่ถูกไปตำหนิคริสตชนสมัยนั้นบางคนที่ยังไม่ยอมเชื่อการกลับคืนชีพแบบนั้น และตำหนิถึง3ครั้งในบทเดียวกันแบบนั้น ตัวนักบุญโทมัธเองโดนตำหนิโดยตรงจากพระเยซูเลยด้วยซ้ำว่า

ยน 20:29
พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า
พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า
“ท่านเชื่อเพราะได้เห็นเรา
ผู้ที่เชื่อแม้ไม่ได้เห็น ก็เป็นสุข”


---แสดงว่าพระองค์ไม่ปลื้มที่เป็นแบบนั้น และพระองค์พอพระทัยคนที่ไม่ต้องเห้นอัศจรรย์แล้วค่อยมาเชื่อ ถ้าคิดแบบคุณ แสดงว่า พระเจ้าต้องไปไล่ทำอัศจรรย์กับมนุษย์ทั้งโลกทีละคนงั้นหรือ แต่พระเยซูตรัสประโยคนี้ไว้ในพระคัมภีร์ เพราะพระองค์ต้องการคนที่เชื่อแม้ไม่ได้เห็นอัศจรรย์ และเชื่อโดยไม่ต้องใช้ความฉลาดหรือเหตุผลทางโลกมาตัดสินพระองค์ คนที่ไม่เชื่อเรื่องนี้ เพราะตั้งเป้าไว้ว่าพระเยซูเป็นแค่มนุษย์ เพราะถ้าเพียงเขาเชื่อว่าพระเยซูคือพระเจ้า ไม่มีอะไรที่พระเจ้าทำไม่ได้

2คร 5:16
เราเคยพิจารณาพระคริสตเจ้าตามมาตรฐานมนุษย์ แต่บัดนี้เราไม่พิจารณาพระองค์ตามมาตรฐานนี้อีกต่อไป


---ดังนั้นถ้าคุณไม่เชื่อว่าพระเยซูคือพระเจ้า เป็นแค่มนุษย์ แล้วคุณเชื่อว่าพระเยซูไม่กลับคืนชีพ เหมือนที่อิสลามคิดแบบนั้น หรือกระทรวงศึกษาที่ตัดเรื่องนี้ออกไปจากหนังสือเรียนวิชาศาสนา ที่จบแค่พระเยซูสิ้นพระชนม์ เพราะพวกเขาไม่อาจยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ก็โทษเขาไม่ได้ ถูกแล้วถ้าคุณจะหมายถึงพวกเขา

แต่ ในบทอ่านนี้ นักบุญเปาโลไม่ได้พูดถึงคนต่างศาสนา แต่ท่านกำลังพูดกับ คริสตชนที่อ้างว่าเชื่อพระเยซูเป็นพระเจ้า เชื่อเรื่องพระเยซูคือพระบุตร แต่ดันไม่ยอมรับเรื่องการกลับคืนชีพ และนั่น ทำให้ท่านกระตุกเตือนว่า ถ้าคุณไม่เชื่อเรื่องการกลับคืนชีพ ก็จงยอมรับความจริงว่าคุณไม่ได้มีความเชื่อในคริสตศาสนาอย่างแท้จริงเลย และด้วยการที่คุณไม่เชื่อเรื่องการกลับคืนชีพ ทำให้คุณไม่ได้รับความรอด โดยอัตโนมัติ ท่านพูดเพื่อเตือนว่าให้กลับใจ ไม่ใช่เพื่อต้องการว่าใคร ถ้าคุณส้มคิดว่าผม หรือนักบุญเปาโล ต้องการว่าใคร ก็บอกได้เพียงว่า คุณส้มตัดสินพฤติกรรมคนไปผิดถนัด และมองไม่เห้นคุณค่าของสารที่แท้จริงที่ท่านพยายามสื่อมาตั้งแต่สมัยนั้น นี่เป็นเพียงการพูดอย่างตรงไปตรงมา ว่าความเชื่อเรื่องนี้เหมารวมทุกความเชื่อไว้ด้วย โดยเฉพาะใน2มิติสำคัญคือ การเป็นพระเจ้า และความรอดพ้น ซึ่งถ้าปฏิเสธความเชื่อนี้ คือการ ปฏิเสธความรอดพ้น และเป็นการปฏิเสธความเป็นพระเจ้าของพระเยซู ซึ่งไม่ต้องให้ใครมาตำหนิหรือว่า เพราะการไม่เชื่อนั้น เป็นการตัดสินลงโทษในตัวเองอยู่แล้ว คนที่เอามาบอกก็เพียงเตือนว่า เฮ้ย...ถ้าคุณจะเรียนมาทั้งปีอ้างว่ามีความรู้แต่ไม่ยอมไปสอบมันไม่ได้นะคุณจะตก การที่คนมาพูดว่าคุณจะตกและที่เรียนมาทั้งหมดก็แทบสูญเปล่า ไม่ใช่การตำหนิ แต่คือความจริงที่ต้องเตือน และคนที่ต้องการเตือนเรื่องนี้ไม่ใช่ตัวผมหรือนักบุญเปาโล แต่เป็นพระเยซูคริสตเจ้าเอง


2คร 5:18
ทุกสิ่งมาจากพระเจ้า พระองค์ทรงทำให้เราคืนดีกับพระองค์เดชะพระคริสตเจ้า และทรงมอบภารกิจการคืนดีนี้ให้กับเรา กล่าวคือ พระเจ้าทรงทำให้โลกคืนดีกับพระองค์ในองค์พระคริสตเจ้า พระองค์มิได้ทรงเอาผิดกับมนุษย์ แต่ทรงมอบให้เราประกาศสารแห่งการคืนดีนี้ ดังนั้น เราจึงเป็นทูตแทนพระคริสตเจ้า ประหนึ่งว่าพระเจ้าทรงใช้เราให้เชิญชวนท่านทั้งหลาย เราจึงขอร้องแทนพระคริสตเจ้าว่า จงยอมคืนดีกับพระเจ้าเถิด เพราะเห็นแก่เราพระเจ้าทรงทำให้พระองค์ผู้ไม่รู้จักบาปเป็นผู้รับบาป เพื่อว่าในพระองค์เราจะได้กลายเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า
Joseph
โพสต์: 2182
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 27, 2005 6:31 am

พุธ ธ.ค. 19, 2007 7:08 pm

รูปภาพ

ในพระคัมภีร์ตอนที่พวกทหารนอนหลับอดสงสัยไม่ได้ว่าเวลาทหารหลับอยู่นี่ฝันดีหรือฝันร้าย แต่พี่ว่าฝันดี  เวลาเรานอนหลับใกล้สิ่งดีๆ ก็จะฝันดี เวลาเราหลับใกล้สิ่งร้ายๆ เราก็จะฝันร้าย  เวลาเทวดาอยู่ใกล้ๆ เรากระแสคลื่นแห่งสันติสุขของเทวดาจะทำให้เราเก็บไปฝันดี แต่ถ้าผีมาอยู่ใกล้ๆ เราเวลาเรานอนหลับกระแสคลื่นน่ากลัวๆ ของผีจะทำให้เราฝันเห็นแต่ผี เห็นแต่เรื่องน่ากลัวๆ ประติดประต่อกันเต็มไปหมด  ถ้าเราปวดฉี่เราจะฝันว่าเราหาที่ฉี่ไม่ได้เดินทางยังไงก็ไม่มีทีฉี่ สิ่งรอบตัวเราเวลาเราหลับจะนำให้เก็บฝันแม้แต่เสียงรายการทีวีที่เราเปิดทิ้งไว้แล้วเราหลับไป เสียงของมันก็เข้ามาประติดประต่อในฝันเราได้เช่นกัน
แก้ไขล่าสุดโดย Joseph เมื่อ พุธ ธ.ค. 19, 2007 7:37 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
mapisit
โพสต์: 107
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ย. 19, 2007 9:49 pm
ที่อยู่: ปากปล่องเหวแห่งไฟ
ติดต่อ:

พุธ ธ.ค. 19, 2007 11:39 pm

ได้อ่านแล้วนะครับ
Dis volentibus

พฤหัสฯ. ธ.ค. 20, 2007 12:14 am

ขอบคุณพี่ปอมาก เจ้าค่ะ

จริงๆเเล้ว ตอนเรียนคำสอน คุณพ่อก็ยำว่า เรื่องพระเยซู ฟื้นคืนชีพนี่เเหล่ะ เป็นสิ่งที่ทำให้พระองค์ต่างจากศาสดาศาสนาอื่นอย่างสิ้นเชิง
เพราะ ทรงชนะความตายได้ (ซึ่งมนุษย์ทั่วไปไม่สามารถทำได้) เเละที่สำคัญ เป็นการยืนยันว่า พระองค์คือ "พระผู้เป็นเจ้า"
:shocked:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nihil
~@
โพสต์: 1763
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 4:36 pm
ที่อยู่: Pax
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. ธ.ค. 20, 2007 6:15 pm

เห็นด้วยครับที่ว่าถ้าความเชื่ออันเป็นรากฐานสำคัญนี้ไม่ได้เชื่อแล้ว ความเชื่ออื่น ๆ ที่ตามมาก็ไร้ประโยชน์
ผมคิดว่ารากฐานข้อความจริงความเชื่อตรงนี้สำคัญที่สุดเช่นกัน ที่จะยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า และพระองค์ได้ทรงกลับคืนชีพจริง

รากฐานเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
หากรากฐานผิด หรือเป็นความเข้าใจที่ผิดแล้ว ผลที่ตามมาอื่น ๆก็อาจจะผิดเพี้ยนตามไปหมด จากผลของรากฐานที่บิดเบี้ยว

เหมือนที่เคยมีคนเปรียบเทียบกับสมการทางคณิอตศาสตร์ ว่า
สิ่งที่อยู่ด้านตรงข้ามของสมการมีความหมายเท่าเทียมกัน
อย่าง 1 + 1 = 2 เป็นต้น

หากเราไม่เชื่อและไม่ยอมเข้าใจสมการพื้นฐานว่า สิ่งที่อยู่ระหว่างเครื่องหมายเท่ากับ 2 ข้าง เท่ากันจริง

แล้วเราจะข้ามไปทำ หรือ เข้าใจสมการอื่น ๆ ที่สูงกว่านี้ได้อย่างไร คือ ถ้าพื้นฐานเราไม่ยอมรับแล้ว
สิ่งที่เหนือไปกว่านั้น ก็คงไม่สามารถอธิบายหรือทำความเข้าใจได้ถ่องแท้นะครับผมว่า


จอห์น แอล สต๊อดดาร์ด เคยได้รับจดหมายจากเพื่อนคาทอลิกคนหนึ่ง และในจดหมายนั้นมีการพูดถึงข้อความเชื่อเอาว่า

"ข้อความเชื่อคาทอลิกแต่ละอย่างเชื่อมถึงกันและกัน คุณไม่สามารถที่จะเลือกเชื่ออย่างหนึ่ง และไม่เชื่ออีกอย่างหนึ่งตามใจปรารถนาได้ เหมือนศิลาหัวมุมที่แยกจากส่วนอื่น ๆ ไม่ออก"


ซึ่งผมเชื่อว่าคำกล่าวนี้ใช่และเป็นไปตามนั้นจริงด้วยนะครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
โกจ๋อ
.
.
โพสต์: 1048
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 7:37 pm

พฤหัสฯ. ธ.ค. 20, 2007 8:52 pm

ตรงนี้ปกติก็เชื่อ แต่ไม่ได้นึกว่ามันจำสคัญขนาดนี้ แต่พอได้อ่านแล้ว ก็รุ้สึกว่า อ่า....เราควรให้ความสำคัญกับความเชื่อทุกๆเรื่องจริงๆ

และเห้นด้วยกับประโยคของลิงที่ว่า

"ข้อความเชื่อคาทอลิกแต่ละอย่างเชื่อมถึงกันและกัน คุณไม่สามารถที่จะเลือกเชื่ออย่างหนึ่ง และไม่เชื่ออีกอย่างหนึ่งตามใจปรารถนาได้ เหมือนศิลาหัวมุมที่แยกจากส่วนอื่น ๆ ไม่ออก"

จริงๆ เพราะรองทบทวนตั้งแต่แรก มันจะผูกพันกันเหมือนลูกโซ่ที่เท่ากัน และเหมาะสม  : xemo017 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
-Rei-
โพสต์: 1015
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มิ.ย. 09, 2005 8:31 pm
ติดต่อ:

ศุกร์ ธ.ค. 21, 2007 10:33 pm

สนับสนุนค่ะพี่

ทุกวันนี้ก็ยังได้ยินคนที่อ้างตัวเป็นคริสต์บางคนพูดออกมาได้หน้าตาเฉย
เรื่องพระเยซูไม่ได้ตายจริงบ้างล่ะ ไม่ได้ฟื้นจริงบ้างล่ะ
ถ้าเขาไม่เชื่อว่าทรงสิ้นพระชนม์และกลับคืนพระชนม์ แล้วพูดได้ยังไงว่าเป็นคริสต์เนี่ย
ถ้างั้นพวกเขาเชื่อโดยหวังใจในอะไรกันหนอ งงจริงๆ

นี่แหละเราถึงเรียกว่าความศรัทธา คือเชื่อว่าสิ่งที่ตามองไม่เห็นนั้นมีอยู่จริง
ภาพประจำตัวสมาชิก
sasuke
~@
โพสต์: 1120
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ธ.ค. 06, 2006 12:00 am
ที่อยู่: ใต้เสื้อคลุมของแม่

ศุกร์ ธ.ค. 21, 2007 10:56 pm

ถ้าไม่เชื่อว่าพระเยซูกลับคืนชีพ...
หมายความว่า...


{
เราไม่เชื่อว่าเราจะกลับคืนชีพเหมือนพระเยซู >>>
เราไม่เชื่อในวันสิ้นพิภพ >>>
เราไม่เชื่อคำสอนพระเยซู >>>
เราไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า >>>
เราไม่เชื่อในพระตรีเอกภาพ >>>
เราไม่ใช่คริสตชน...
}



ถ้าพระเยซูไม่กลับคืนชีพ แล้วตลอดทางพระมหาทรมานจะมีความหมายอะไร
คนที่บอกว่าเป็นคริสตชน แต่ไม่เชื่อถึงข้อนี่ คงจะเป็นได้เพียงคริสตชนแต่ปากกระมัง
เพราะจะไม่มีหวังอะไรอยู่เบื้องหน้าเลยถ้าเราไม่เชื่อในสิ่งนี้ คงจะมีเพียงจุดหมายปลายทางที่ไม่มีจริง

I believe in God, the father almighty...
ภาพประจำตัวสมาชิก
Zion
~@
โพสต์: 3777
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 8:37 pm
ติดต่อ:

ศุกร์ ธ.ค. 21, 2007 10:56 pm

-Rei- เขียน: ทุกวันนี้ก็ยังได้ยินคนที่อ้างตัวเป็นคริสต์บางคนพูดออกมาได้หน้าตาเฉย
เรื่องพระเยซูไม่ได้ตายจริงบ้างล่ะ ไม่ได้ฟื้นจริงบ้างล่ะ
ถ้าเขาไม่เชื่อว่าทรงสิ้นพระชนม์และกลับคืนพระชนม์ แล้วพูดได้ยังไงว่าเป็นคริสต์เนี่ย
คนแบบนี้ คงไม่ต่างจากยูดาส

บอกว่าตัวเองเป็นสาวก

แต่กลับทำให้พระองค์ตายไปจากชีวิต ::008::
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

จันทร์ ธ.ค. 24, 2007 12:25 am

ยศิโยน:ผู้ยำเกรงพระเจ้า เขียน:
แต่พี่ปอ หมายถึงคนที่รู้ทางแล้วแต่กลับไม่เดินไป
หมายถึง คนที่รู้จักพระแล้วแต่ยังเลือกที่จะปฎิเสธ
วิญญาณใจเย็นเฉย  (และกะลังจะลงนรกอีกต่างหาก)

ถ้าคิดจะสู้  ต้องระวังวิญญาณตัวเองมากๆ  เพราะมันจะ induce  self-righteousness ในเราได้ 
Holy เขียน: อันนี้ต้องถามนักบุญเปาโลครับ ว่าทำไมท่านทำไม่ถูกไปตำหนิคริสตชนสมัยนั้นบางคนที่ยังไม่ยอมเชื่อการกลับคืนชีพแบบนั้น และตำหนิถึง3ครั้งในบทเดียวกันแบบนั้น ตัวนักบุญโทมัธเองโดนตำหนิโดยตรงจากพระเยซูเลยด้วยซ้ำว่า

ยน 20:29
พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

จันทร์ ก.พ. 23, 2009 4:19 am

โป๊ปชี้ถ้าคริสตศาสนาไม่มีการกลับคืนชีพก็เปล่าประโยชน์

November 06


สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ประมุขสูงสุดแห่งพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก ทรงชี้ชัด ถ้าพระเยซูไม่กลับคืนพระชนม์จากความตาย ศาสนาคริสต์ก็จะหมดความหมายทันที นอกจากนี้ ทรงกระตุ้นคริสตัง ดำเนินชีวิตอย่างมีความเชื่อและความหวังตลอดเวลา เพื่อจะได้รับชีวิตนิรันดรในเมืองสวรรค์



รูปภาพ


เมื่อช่วงสายของวันพุธที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ประมุของค์ที่ 265 แห่งพระศาสนจักรคาทอลิก ทรงออกมาพบปะเทศน์สอนสัตบุรุษกว่า 40,000 คน ระหว่างการเข้าเฝ้าทั่วไป ซึ่งจัดขึ้น ณ ลานหน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร วาติกัน โดยวันนี้ พระสันตะบิดรผู้ศักดิ์สิทธิ์ ยังคงเดินหน้าแบ่งปันชีวิตและบทเทศน์ของ นักบุญเปาโล โดยชี้ว่า ถ้าศาสนาคริสต์ไม่มีการกลับคืนชีพจากความตาย ก็เท่ากับไม่มีความหมายอันใดทั้งสิ้น

พระสันตะปาปาชาวเยอรมัน ทรงเริ่มต้นเทศน์สอน ด้วยการย้ำ ผู้มีความเชื่อแท้จริง จะประกาศชัดเจน พระเยซูคือพระเจ้า เช่นเดียวกับเชื่อมั่นสุดใจ พระองค์ทรงกลับเป็นขึ้นมาจากความตาย "เวลานักบุญเปาโลเทศน์สอนสัตบุรุษ ท่านจะพูดเสมอว่า พระเยซูคริสตเจ้าทรงกลับคืนชีพจากความตาย นักบุญเปาโลไม่ได้นำเรื่องการกลับคืนชีพของพระเยซู ไปโยงเข้ากับหลักเทวศาสตร์อันลึกซึ้ง เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ผู้ฟังจะสับสนมาก ท่านแค่อยากให้ผู้ฟัง เชื่อว่า การที่พระเยซูกลับเป็นจากความตาย เป็นเรื่องจริง"

"นักบุญเปาโลยังย้ำอีกด้วยว่า การที่พระเยซูกลับคืนชีพจากความตาย เป็นหัวใจสำคัญของศาสนาคริสต์ นี่คือการตัดสินว่า มนุษย์ทุกคนได้รับความรอด พระคริสตเจ้าทรงสิ้นพระชนม์และกลับคืนชีพเพื่อเรา ดังนั้น เราสามารถสรุปได้ว่า ถ้าพระคริสตเจ้าไม่เอาชนะความตายด้วยการกลับคืนชีพ ชีวิตคริสตชนจะไร้ความหมายในพริบตา มนุษย์จะไม่ได้รับความรอดอย่างแน่นอน" พระสันตะปาปา ตรัสพร้อมเทวศาสตร์เชิงลึก

"นักบุญเปาโลก็มีประสบการณ์โดยตรงกับการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระคริสตเจ้า (หมายถึง การเดินทางไปดามัสกัส) ท่านไม่ได้แค่เห็นกับตาว่า นี่คือเรื่องจริงเท่านั้น แต่สิ่งที่พบเจอ ได้เปลี่ยนแปลงตัวท่านจากภายใน เปลี่ยนให้ท่านได้ตระหนักถึงสัจธรรมที่ว่า พระเยซูทรงกลับเป็นขึ้นมา เป็นเรื่องจริงทุกประการ" 

"การกลับคืนชีพของพระเยซู มีผลอะไรกับเราบ้าง ทำไมเรื่องนี้ ถึงได้รับการยืนยันว่าเป็นความจริงมาตลอดสองพันปี คำตอบอยู่ในจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวโรม ท่านระบุว่า "พระบุตรของพระเจ้า ผู้มีธรรมชาติมนุษย์และบังเกิดในเชื้อสายกษัตริย์ดาวิด ได้กลับคืนชีพจากความตาย" คำว่า พระบุตรของพระเจ้านี่แหละ ที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่า พระเยซูทรงมีพระเทวภาพและความเป็นมนุษย์อยู่ในตัว ความเป็นพระเจ้าได้รับการประกาศให้โลกรู้ในเช้าวันอาทิตย์ปาสกา พูดง่ายๆ ก็คือ การกลับคืนชีพของพระองค์ คือ การบอกให้รู้ว่า พระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงชีวิต"  

"พี่น้องที่รัก เราถูกเรียกให้มามีส่วนร่วมกับการสิ้นพระชนม์และกลับคืนชีพของพระคริสต์ นักบุญเปาโล สอนว่า เราทุกคนได้ตายในพระคริสตเจ้า และเราก็ได้กลับคืนชีพในพระองค์ ดังนั้น ขอให้เราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อและมีความหวังอยู่ตลอดเวลา และเมื่อนั้น เราจะได้พบกับพระคริสตเจ้า ผู้ทรงกลับคืนพระชนม์จากความตาย พระองค์จะประทานชีวิตนิรันดรให้กับเราอย่างแน่นอน" พระสันตะปาปา ตรัสปิดท้าย

http://catholicworldtour.spaces.live.com/blog/cns!EA91C1C5E2FBFD4F!3893.entry
ภาพประจำตัวสมาชิก
(⊙△⊙)คุณxuู๓้uxoม(⊙△⊙)
โพสต์: 892
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ต.ค. 10, 2008 12:38 am

จันทร์ ก.พ. 23, 2009 9:27 am

ขอบคุณค่ะ
Viridian
โพสต์: 2762
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 30, 2008 11:40 pm

จันทร์ ก.พ. 23, 2009 2:12 pm

ถูกต้องที่สุด ::004::
ภาพประจำตัวสมาชิก
ignatius
.
.
โพสต์: 2597
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 12:48 pm

จันทร์ ก.พ. 23, 2009 2:17 pm

ขอบคุณมากคะ  ::001::
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nihil
~@
โพสต์: 1763
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 4:36 pm
ที่อยู่: Pax
ติดต่อ:

จันทร์ ก.พ. 23, 2009 11:21 pm

อาแมน

ชอบท่าชูมือของพระองค์จัง
s.gabriel
โพสต์: 1011
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.พ. 27, 2009 2:21 pm

เสาร์ มี.ค. 07, 2009 12:14 pm

ขอขอบคุณพระองค์ ที่ดลใจลูกเข้ามาเจอบทความนี้ พระองค์ส่งรู้ในสิ่งที่ลูกกำลังคิด และลูกกำลังสงสัยในแนวทางความคิดและความเชื่อเรื่อง การนิพพานของศาสนาพุทธ กับการกลับเป็นขึ้นมาของพระเยซูคริสต์ ว่ามันขัดแย้งกันอยู่ในปลายทางของชีวิตลูกขอขอบคุณพระจิตที่ทรงดลใจข้าพเจ้ามาเปิดเจอข้อความนี้ ทำให้ลูกเข้าใจเห็นแจ้งในสิ่งต่างๆ  ข้าแต่พระเยซูเจ้าลูกวางใจในพระองค์ (ลูกขอขอบคุณพระจิตที่ทรงดลใจให้มีคนเขียนบทความดีๆนี้ขึ้นมา)
Starry Night
โพสต์: 133
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.ย. 25, 2008 11:42 am
ที่อยู่: > <" Xiah Junsu Fightingg g!!!

เสาร์ มี.ค. 07, 2009 3:33 pm

ขอบคุณที่แบ่งปันค่ะ  : emo045 :
ตอบกลับโพส