ความหมายของความสุขที่แท้จริง....

ถาม-ตอบพระคัมภีร์ เรื่องเสริมศรัทธา ความรู้ และสาระ บทความ ในคริสตศาสนา
ภาพประจำตัวสมาชิก
ignatius
.
.
โพสต์: 2597
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 12:48 pm

พุธ พ.ค. 14, 2008 9:20 am

ความหมายของความสุขที่แท้จริง (บุญลาภ) จากการเรียนกับคุณพ่อชัยยะ กิจสวัสดิ์

ข่าวดี มัธทิว 5:1-12

(1) พระเยซูเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นประชาชนมากมาย จึงเสด็จขึ้นบนภูเขา เมื่อประทับแล้ว บรรดาศิษย์มาห้อมล้อมพระองค์
(2) พระองค์ทรงเริ่มตรัสสอนว่า...(3) "ผู้มีใจยากจน ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา
                                    (4) ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้าย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับการปลอบโยน
                                    (5) ผู้มีใจอ่่อนโยน ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก
                                    (6) ผู้ที่หิวกระหายความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะอิ่ม
                                    (7) ผู้มีใจเมตตา ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา
                                    (8) ผู้มีใจบริสุทธิ์ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า
                                    (9) ผู้สร้างสันติ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้ชื่อเป็นบุตรของพระเจ้า
                                    (10) ผู้ถูกเบียดเบียนข่มเหงเพราะความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา
(11) ท่านทั้งหลายย่อมเป็นสุข เมื่อถูกดูหมิ่น ข่มเหงและใส่ร้ายต่างๆนานาเพราะเรา (12) จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะบำเหน็จรางวัลของท่านในสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่นัก"



ก่อนศึกษาความหมายของความสุขแต่ละประการ มีข้อสังเกตสำคัญดังต่อไปนี้
     
      1. ตามสำนวนแปลภาษาไทย ความสุขแต่ละประการเป็นประโยคเพราะประกอบด้วยกริยา "เป็น" เช่น
"ผู้มีใจยากจน ย่อมเป็นสุข"ในขณะที่ต้นฉบับภาษากรีกกลับไม่ปรากฎคำกริยาใดเลย
     
          เมื่อย้อนกับไปศึกษาพระธรรมเก่า เราพบว่าภาษาฮิบรู ภาษากรีก และอาราเมอิก ก็มีสำนวนที่ไม่ปรากฎคำกริยาด้วยเช่นกัน แต่เป็น
คำอุทาน ซึ่งมีความหมายทำนองว่า..."โอ้ ช่างสุขจริงหนอ !" หรือ "แหม สุขจัง !"
     
          ในเมื่อความสุขทั้งแปด ไม่ใช่ประโยค ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต แต่เป็นคำอุทานซึ่งเกิดขึ้นในปัจจุบันเท่านั้น เพราะคงไม่มี
ผู้ใดอุทานเผื่ออนาคต เช่น "ดีใจจัง ปีหน้าจะถูกหวย !"

ทั้งหมดนี้แสดงว่า ความสุขทั้งแปดประการเกิดขึ้น "ขณะนี้" ไม่ใช่อนาคตในโลกหน้า

          จริงอยู่ ความสุขอย่างสมบูรณ์จะเกิดขึ้นเมื่อเราได้พบพระเจ้าในโลกหน้า แต่เราสามารถลิ้มรสความสุขแท้จริงได้แล้วตั้งแต่เวลานี้ และบนโลกนี้ !!

2. คำกรีก makarios (มาคารีออส) ซึ่งแปลว่าสุข เป็นคำราชาศัพท์ที่ใช้เฉพาะกับพระเจ้าเท่านั้น ความสุขที่พระเยซูตรัสถึง จึงเป็น "ความสุขแบบพระเจ้า" กล่าวคือ เป็นความสุขที่สมบูรณ์ในตัวเอง ไม่ขึ้นกับโชค โอกาส หรือการเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น อีกทั้งไม่มีผู้ใดทำลายหรือแย่งชิงไปได้

          ต่างจากความสุข (happiness) ที่โลกหยิบยื่นให้ เพราะคำว่า happiness มาจากรากศัพท์ "hap-" ซึ่งหมายถึง "โอกาสและโชค" ความสุขตามประสาโลกจึงอาจเพิ่มขึ้น ลดลง หรือหมดไปได้หากโชคเปลี่ยน สุขภาพเปลี่ยน อากาศเปลี่ยน แผนเปลี่ยน หรือปัจจัยๆเปลี่ยน

          ความสุขที่พระเยซูเจ้าประทานให้ จึงเป็น "ความสุขแท้จริง" ซึ่งจะทำให้ "ใจของท่านยินดี" และ
"ไม่มีใครนำความยินดีไปจากท่านได้ (ยน. 16:22)
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

พุธ พ.ค. 14, 2008 10:36 am

คอยติดตามอ่าน บทความ เรื่อง Happiness บทนี้เราโปรฯเรียกว่า "บทผู้เป็นสุข หรือบทมหาพร"ครับ

ซึ่งพี่โปรดปราน ได้ส่งต้นฉบับ ไปที่ อิสระรายเดือนแล้ว อาจจะได้ตีพิมพ์เร็วๆนี้ครับ :evil:
ลี วูจิน
โพสต์: 331
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ พ.ค. 01, 2005 4:57 pm
ที่อยู่: Thailand
ติดต่อ:

พุธ พ.ค. 14, 2008 9:21 pm

ขอบคุณครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ignatius
.
.
โพสต์: 2597
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 12:48 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 15, 2008 9:38 am

1.ผู้มีใจยากจนย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา

ภาษากรีกใช้คำว่า "จน" สองคำคือ
      1. Penes (เปเนส) หมายถึง "จน" ในใจความของการขาดสิ่งฟุ่มเฟือย แต่ยังช่วยเหลือตนเองได้และสามารถดำรงชีพด้วย
นำ้พักนำ้แรงของตัวเองได้
      2. Ptochos (ปโตคอส) มาจากรากศัพท์ ptossein (ปตอสเซน) ซึ่งหมายถึง หมอบ หรือ คลาน
"ปโตคอส" จึงหมายถึง "จน" แบบสิ้นเนื้อประดาตัวชนิดต้องหมอบหรือคลานไปพึ่งความช่วยเหลือจากผู้อื่น และไม่มีทางยืนหยัด
ดำรงชีพด้วยนำ้พักนำ้แรงของตนเลย
      คำที่ใช้ ณ ที่นี้คือ "ปโตคอส" เช่นในบทของมัทธิว ซึ่งหมายถึง ความยากจนชนิดพึ่งลำแข้งตัวเองไม่ได้เลย

     
ส่วนในภาษาอาราไมอิก คำว่า 'ani (อานี)และ ebion (เอบิโอน) ซึ่งต่างก็แปลว่า "จน" นั้น มีวิวัฒนาการทาง
ความหมาย 4 ขั้นตอน คือ
      1. เริ่มแรกหมายถึง "จน"
      2. เพราะ "จน" ความหมายจึงพัฒนาไปเป็น ไม่มีอิทธิพล ไม่มีอำนาจ ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีใครช่วยเหลือ
      3. เพราะไม่มีอิทธิพล จึงถูกผู้อื่นดูหมิ่น และกดขี่ข่มเหงต่างๆนานา
      4. และเพราะถูกกดขี่ข่มเหงจนไม่มีที่พึงพิงในโลกนี้อีกแล้ว เขาจึง "มอบความวางใจทั้งหมดไว้ในองค์พระผู้เป็นเจ้า"
ดังตัวอย่างจากเพลงสดุดีที่ว่า "พระองค์ทรงช่วยเหลือคนอ่อนแอและขัดสนให้พ้นจากผู้ที่ฉกฉวยทรัพย์สินของเขา" (สดด 35:10) จะเห็นว่า
คนที่ "ขัดสน" ไม่ได้หมายถึงคนจนเพราะเขาคงไม่มีทรัพย์สินให้ผู้อื่นฉกฉวย แต่หมายถึง "ผู้ที่วางใจในพระเจ้า" (ดู สดด9:18;34:6;68:10;72:4;
107:41;132:15)


เมื่อรวมความหมายในภาษากรีกและอาราเมอิกเข้าด้วยกัน เราก็อาจแปลความหมายท่อนแรกได้ดังนี้
"ช่างสุขจริงหนอ ผู้ที่ตระหนักว่าไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ จึงมอบความวางใจทั้งหมดไว้ในพระเจ้า"
      ผู้ที่วางใจในพระเจ้าจะค้นพบว่าพระองค์คือ ความช่วยเหลือ ความหวัง และพละกำลัง มีพระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่เที่ยงแท้ สิ่งอื่นๆในโลกล้วนเป็นอนิจจังและ ไม่อาจหยิบยื่นความสุขและความมั่นคงแท้จริงให้แก่ชีวิตของตนได้
      พึงสังเกตด้วยว่าความยากจนนี้เป็นเรื่องของ "จิตใจ" เพราะไม่มีทางเลยที่พระเจ้าจะปรารถนาให้บุตรของพระองค์อาศัยอยู่ในสลัม กินมื้ออดมื้อ หรือ ต้องทนเจ็บป่วยเรื้อรัง ความยากจนขัดสนทางกายเหล่านี้ คือ เป้าหมายของคริสตชนที่จะต้องช่วยกันกำจัดให้หมดสิ้นไป
 
      ท่อนที่สอง พระองค์ตรัสถึงการได้ "อาณาจักรสวรรค์" มาเป็นกรรมสิทธิ์
      ชาวยิวนิยมลีลาการเขียนอย่างหนึ่งเรียกว่า Parallelism ตามลีลานี้ พวกเขาเรียกสิ่งเดียวกันซำ้สองครั้ง โดยครั้งที่สอง อาจเป็นเพียงการซำ้
ครั้งแรกหรืออาจเป็นการขยายความเพิ่มเติมก็ได้ แทบทุกข้อในหนังสือเพลงสดุดี ล้วนใช้ลีลาการเขียนแบบนี้ ตัวอย่างเช่น...
      ครั้งแรก      "ผู้ชอบธรรมย่อมเป็นสุข" (สดด.1:1)
      ครั้งที่สอง    " เขาไม่เดินตามคำแนะนำของคนชั่ว" (สดด.1:1)
      เราจึงได้ความหมายของผู้ชอบธรรมว่า คือ ผู้ที่ไม่เดินตามคำแนะนำของคนชั่ว
      หากเรานำลีลาดังกล่าวมาใช้คำวอนขอที่พระเยซูเจ้าทรงสอนในบท "ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย"ดังนี้
      ครั้งแรก        "พระอาณาจักรจงมาถึง"(มธ.6:10)
      ครั้งที่สอง      "พระประสงค์จงสำเร็จในแผ่นดินเหมือนในสวรรค์" (มธ.6:10)
      เราอาจให้คำนิยามของพระอาณาจักรสวรรค์ได้ว่าเป็น "สังคมบนโลกนี้ที่ พระประสงค์ของพระเจ้าได้รับการปฎิบัติอย่างสมบูรณ์
เหมือนในสวรรค์"
หรือ อีกนัยหนึ่งคือ ผู้ที่ปฎิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้น จึงจะมีสิทธิเป็นพลเมืองของอาณาจักรสวรรค์
     
      ดังที่พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า "คนที่กล่าวแก่เราว่า พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า นั้นมิใช่ทุกคน จะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ แต่ผู่ที่ปฎิบัติตาม
พระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์นั่นแหละ จะเข้าสู่สวรรค์ได้"
(มธ.7:21)


แล้วผู้ใดกันเล่า..จะปฎิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้า หากเขาไม่วางใจในพระองค์ และผู้ที่จะมอบความวางใจทั้งหมด
ไว้ในพระองค์ก็คือ ผู้ที่มีจิตใจยากจน ดังได้กล่าวมาแล้วนั่นเอง

     
      เพราะฉะนั้น ความหมายโดยรวมของความสุขประการนี้ คือ
      "โอ้ ช่างสุขจริงหนอ ผู้ที่ตระหนักว่าไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ จึงมอบความวางใจทั้งหมดไว้ในพระเจ้า เหตุว่า
เขาจะได้เป็นสมาชิกของอาณาจักรสวรรค์ เพราะสามารถนบนอบพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์"


     
ภาพประจำตัวสมาชิก
ignatius
.
.
โพสต์: 2597
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 12:48 pm

ศุกร์ พ.ค. 16, 2008 7:18 pm

2.ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้าย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับการปลอบโยน

คำกรีก pentheo (เพนแธโอ) บ่งบอกถึงความทุกข์โศกเศร้าถึงก้นบึ้งแห่งหัวใจ จนไม่อาจกลั้นนำ้ตาไว้ได้ มักใช้กับการสูญเสีย
บุคคลอันเป็นที่รักยิ่ง ดังที่ความทุกข์โศกเศร้าของยาโคบ เมื่อทราบว่าโยเซฟบุตรสุดที่รักเสียชีวิตแล้ว (ปฐก 37:34 และ ปฐก 50:3;1มคบ 12:52;
13:26;2คร 12:21) เป็นต้น

        เราอาจเข้าใจความสุขอันเกิดจากความทุกข์โศกเศร้าได้ 3 แนวทางด้วยกัน กล่าวคือ
        1. เข้าใจตามตัวอักษรว่า "เป็นบุญของผู้ที่เป็นทุกข์โศกเศร้า เพราะเขาจะได้รับการปลอบโยน"

       
เหตุผลคือ เวลาปกติสุข เรามักจะมองชีวิตเพียงผิวเผินและไม่ค่อยสนใจใยดีกับผู้อื่นมากนัก ต่อเมื่อความสูญเสียใหญ่หลวงถาโถม
เข้ามาในชีวิต เราจึงเริ่มมองเห็นความรักและการปลอบโยนจากพระเจ้า รวมถึงความช่วยเหลือและนำ้ใจดีของเพื่อนมนุษย์ชนิดที่ไม่เคยคาดหวังมาก่อน
ดังเช่น ความช่วยเหลือที่หลั่งไหลมาสู่ผู้ประสบภัยจากตลื่นยักษ์สึนามิที่ถล่มภาคใต้ของไทย และอีกหลายๆประเทศเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2004 ที่ผ่านมา


      2. ความหมายนัยที่สองคือ "เป็นบุญของผู้เป็นทุกข์โศกเศร้าเพราะเห็นความทุกข์ยาก ความโศกเศร้า และความต้องการ
ของผู้อื่น"
เพราะนี่คือการดำเนินชีวิตตามรอยพระบาทของพระเยซูเจ้า


เมื่อทอดพระเนตรเห็นประชาชนเจ็บป่วย (มธ.14:14) ตาบอด (มธ.20:29-34) เป็นโรคเรื้อน (มก.1:40-45)
หิวโหย (มธ 14:13-21) ขาดคนดูแล (มธ 9:35-37) ตาย (ลก 7:11-17)ฯลฯ พระองค์ไม่เคยนิ่งเฉย แต่ทรงสงสารและเยียวยาช่วยเหลือ
ความทุกข์ยากของทุกคน


      3. สิ่งแรกที่พระเยซูเจ้าทรงเทศน์สอน เมื่อเริ่มต้นภารกิจคือ "จงเป็นทุกข์ กลับใจ" ดังนั้นความหมายประการสุดท้ายคือ "เป็นบุญของผู้เศร้าโศกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่เห็นว่าบาปของตนได้ทำร้ายพระเยซูเจ้า และทำให้ต้องพลัดพรากจากพระองค์ จึงเป็นทุกข์กลับใจ
และ ได้รับการอภัยจากพระองค์"


      ความหมายทั้งสามนี้สอดคล้องกับเพลงสดุดีที่ว่า "ข้าแต่พระเจ้า เครื่องบูชาของข้าพเจ้าคือ ดวงจิตที่เป็นทุกข์
ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ไม่ทรงรังเกียจใจที่เป็นทุกข์และถ่อมตน" (สดด 51:17)

  เราอาจสรุปความหมายของความสุขประการที่สองได้ว่า "..โอ้ ช่างสุขจริงหนอ ผู้ที่หัวใจแตกสลายเพราะเห็นความทุกข์ยากของโลก
และสำนึกในบาปของตนเอง เหตุว่าเขาจะพบความยินดีในพระเจ้า"
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดานุ้งพุงระเบิด
โพสต์: 518
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ส.ค. 31, 2006 3:57 pm
ที่อยู่: อุบลราชธานี

เสาร์ พ.ค. 17, 2008 8:24 am

ว้าว บทความเยี่ยมยอด ขอบคุณมากครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ignatius
.
.
โพสต์: 2597
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 12:48 pm

จันทร์ พ.ค. 19, 2008 8:08 pm

ดานุ้งพุงระเบิด เขียน: ว้าว บทความเยี่ยมยอด ขอบคุณมากครับ
ขอบคุณเหมือนกันคร๊าบ
ที่มีคนชอบอ่าน : emo038 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
ignatius
.
.
โพสต์: 2597
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 12:48 pm

จันทร์ พ.ค. 19, 2008 9:21 pm

3.ผู้ที่มีใจอ่อนโยนย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก

คำว่า "อ่อนโยน" ตรงกับ praus (พราอูส) ในภาษากรีก ซึ่งมีความหมายดังต่อไปนี้
       
    1. อริสโตเติ้ลถือว่าคุณธรรมย่อมเดินสายกลาง จึงให้คำจำกัดความของ "พราอูส" ว่าอยู่กึ่งกลางระหว่าง"โกรธสุด" กับ "ไม่โกรธเลย"
ความหมายประการแรกจึงได้แก่ " เป็นบุญของผู้ที่รู้จักโกรธในเวลาที่สมควรโกรธ และไม่โกรธเลยในเวลาที่ไม่สมควรโกรธ"


หลักปฏิบัติคือ เราจะโกรธแบบเห็นแก่ตัวเพราะตัวเองถูกทำร้ายหรือสูญเสียผลประโยชน์ไม่ได้ และในเวลาเดียวกัน เราจะนิ่งเฉยไม่รู้ร้อน
รู้หนาว เมื่อเห็นผู้อื่นถูกทำร้ายหรือไม่ได้รับความยุติธรรมก็ไม่ได้อีกเช่นกัน
เพราะกรณีแรก เราโกรธในเวลาที่ไม่สมควรโกรธ
ส่วนกรณีหลัง เราไม่โกรธในเวลาที่สมควรโกรธ


    2. คำ "พราอูส" ยังใช้กับสัตว์เลี้ยงที่ได้รับการฝึกฝนอย่างดี จนสามารถควบคุมหรือสั่งได้ ความหมายประการที่สอง
จึงหมายถึง "เป็นบุญของผู้ที่สามารถควบคุมสัญชาติญาณ แรงกระตุ้น และกิเลสตัณหาทั้งปวงของตนเองได้"
    แต่เนื่องจากไม่มีผู้ใดสามารถควบคุมตนเองได้อย่างสมบูรณ์ เพราะเมื่อพยายามกระตุ้นเตือนให้ควบคุมตนเอง เรากลับตกอยู่ในอิทธิพลและ
ถูกควบคุมโดยแรงกระตุ้นนั้นเอง


วิธีแก้ไขจึงมีเพียงหนทางเดียวเท่านั้นคือ ยินยอมให้พระเจ้าควบคุมตัวเรา ให้ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์ ด้วยวิธีนี้
เราสามารถควบคุมอัตตาของเราได้อย่างสมบูรณ์ และด้วยหัวใจที่กระตือรืนร้น เป็นอิสระสุดยอด เพราะหัวใจของเราได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งก็คือ
พระประสงค์ของพระเจ้า หรือ การมีชีวิตเหมือนพระองค์นั่นเอง


3. ในภาษากรีก คำว่า "พราอูส" ใช้เป็นคำตรงกันข้ามกับ "หยิ่งยโส" ความหมายประการสุดท้าย จึงได้แก่
"เป็นบุญของผู้ที่มีความสุภาพ" เหตุว่าเขาจะตระหนักถึงความ "ไม่รู้" แล้วเกิดความต้องการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ต่างจากคนหยิ่งยโสที่ทะนงตนว่า
รู้ทุกสิ่งแล้ว จึงไม่ยอมเรียนรู้หรือรับสิ่งใหม่ๆเข้ามาในชีวิตแล้ว กลายเป็นคนโง่ล่าหลังไปในที่สุด
    นอกจากนี้ ผู้ที่มีความสุภาพ ยังมีศาสนาอยู่ในหัวใจอย่างแท้จริง เพราะเขาตระหนักถึงความอ่อนแอของตนและ "ความต้องการพระเจ้า"
ด้วยสิ้นสุดจิตใจ
    การควบคุมตัวเองให้รู้จักโกรธหรือไม่โกรธ และให้มีความสุภาพถ่อมตนเช่นนี้เอง ที่ทำให้เราเป็นผู้ยิ่งใหญ่จริง เพราะหากควบคุม
ตัวเองได้ เราย่อมควบคุมผู้อื่นได้ด้วย ตรงกันข้าม หากตัวเองยังควบคุมไม่ได้ เราจะไปควบคุมผู้อื่นได้อย่างไรกัน ดูอย่างกษัตริย์อเล็กซานเดอร์ที่
ควบคุมสติไม่ได้ และพุ่งหอกใส่เพื่อนจนเสียชีวิต พระองค์ทรงเป็นมหาราชก็จริง แต่ไม่อาจครองใจประชาชนไว้ได้และอาณาจักรของพระองค์ก็ไม่
ยืดยาวเลย


ความหมายของความสุขประการนี้ คือ
    "โอ้ ช่างสุขจริงหนอ ผู้ที่รู้จักโกรธในเวลาที่สมควรโกรธ และไม่โกรธในเวลาที่ไม่สมควรโกรธ ผู้ที่สามาถรควบคุมสัญชาติญาณ แรงกระตุ้น
และตัณหาของตัวเอง เพราะว่าเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า ตลอดจนผู้มีความสุภาพที่ตระหนักถึงความไม่รู้และความอ่อนแอของตนเอง
เหตุว่าเขาผู้นั้นจะเป็นกษัตริย์ท่ามกลางมวลมนุษย์"
ภาพประจำตัวสมาชิก
ignatius
.
.
โพสต์: 2597
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 12:48 pm

อังคาร พ.ค. 20, 2008 7:48 am

4.ผู้หิวกระหายความชอบธรรมย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะอิ่ม

ความหมายของคำใดคำหนึ่งจะลึกซึ้งหรือหนักแน่นเพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของผู้พูดและผู้ฟังด้วย
      เรายังไม่เคยมีประสบการณ์เลยว่า คนหิวอาหารหรือกระหายนำ้ถึงขั้นอดตาย มีอาการอย่างไร? ทรมานมากน้อยเพียงใด?
     
      แต่สิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงประสบก็คือ ลำพังค่าแรงแต่ละวัน ก็แทบไม่พอประทังชีวิตอยู่แล้ว หากวันใดป่วย หรือไม่มีงานทำ วันนั้นสมาชิกในครอบครัว ย่อมหมิ่นเหม่ต่อการอดตายเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ในอุปมาเรื่องคนงานในสวนองุ่น จึงมีคนรอคอยเจ้าของสวนออกมาจ้างงาน แม้เป็นเวลาเย็นมากก็ตาม (มธ.20:1-16)

      นอกจากนั้น เมื่อพบพายุทรายระหว่างเดินทาง สิ่งที่ชาวยิวทำได้คือ เอาเสื้อคลุมมาคลุมตัวเองไว้ หันหลังให้พายุ แล้วรอจนกว่าพายุจะสงบ ขณะที่พายุก็จะพัดทรายเข้าจมูกและคอจนแสบและหายใจแทบไม่ออก จะกินนำ้ก็ไม่ได้เพราะทรายเต็มถ้วยเต็มปากไปหมด ตอนนี้แหละที่พวกเขาตระหนักดีว่าการอดนำ้ตายเป็นอย่างไร?


ความหิวและกระหายที่พระเยซูเจ้าตรัสถึง จึงมิใช่แค่ความ "อยากกิน" แต่เป็นความหิวชนิดที่หากไม่มีอาหารตกถึงท้อง เป็นต้องอดตายแน่ และเป็นความกระหายชนิดที่ หากไม่ได้ดื่มนำ้สักแก้ว เป็นต้องอดนำ้ตายแน่

      ความหมายของความสุขประการนี้ จึงขึ้นอยู่กับ "ความเข้มข้น" ของความหิวและกระหาย ดังนั้นเราควรถามตัวเองว่า "เราต้องการความชอบธรรมมากเพียงใด มากเท่าคนที่กำลังหิวตายต้องการอาหาร หรือมากกว่าคนที่กำลังกระหายนำ้ตาย ต้องการนำ้หรือไม่?

      แม้พระองค์จะทรงเรียกร้องให้เราใฝ่หาความดีและความชอบธรรมอย่างเข้มข้น จนหลายคนเกรงว่าจะทำไม่ได้ แต่อย่าเพิ่งท้อใจเพราะพระองค์ตรัสว่า "เป็นบุญของผู้ที่หิวกระหาย" ไม่ใช่ "เป็นบุญของผู้ที่อิ่มหนำแล้ว" ความหมายคือ "ผู้ที่ใฝ่หาความชอบธรรม โดยยังไม่บรรลุถึงความชอบธรรม
ก็เป็นบุญแล้ว"
      ดังนั้นแม้เราจะทำผิดพลาดซำ้ซากจนบางครั้งรู้สึกท้อแท้ แต่หากยังใฝ่หาความดีอยู่ก็เป็นบุญของเราแล้ว ดุจเดียวกับกษัตริย์ดาวิทที่แม้จะสังหารข้าศึกจำนวนมากในการรบ แต่พระองค์ไม่เคยหยุดใฝ่หาความชอบธรรม ที่จะสร้างพระวิหารถวายพระเจ้าเลย
ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้ามาก


อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตคือ คำกริยาจำพวก "หิว" และ "กระหาย" ในภาษากรีก มักตามด้วย genitive case ซึ่งบ่งบอกความเป็นเจ้าของ เวลาแปลเป็นไทย มักมีคำว่า "ของ" นำหน้า ในทางภาษาศาสตร์เรียกว่า partitive genitive ซึ่งหมายถึงการเป็นเจ้าของเพียงบางส่วน
เมื่อชาวกรีกต้องการพูดว่า "ฉันกระหายนำ้" เขาจะพูดว่า "ฉันกระหายบางส่วนของนำ้" เพราะเขาอยากได้นำ้ส่วนเดียว ไม่ใช่ทั้งตุ่มหรือทั้งบ่อ
    แต่ในกรณีนี้ "ความชอบธรรม" (dikaiosunen-ดีคัยออซูเนน) ไม่ได้อยู่ในรูป gentitive case แต่อยู่ในรูป accusative case
ซึ่งเทียบได้กับ "กรรมตรง" (direct object) ในภาษาไทย


หมายความว่า ความสุขประการนี้ นอกจากจะเรียกร้องให้เราใฝ่หาความชอบธรรมอย่างเข้มข้นที่สุดแล้ว ยังเรียกร้องให้เราใฝ่หาความชอบธรรมทั้งครบอีกด้วย
    ตัวอย่างของผู้ใฝ่หาความชอบธรรม หรือทำดีแต่เพียงบางส่วนเช่น บรรดาผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่ง ซื่อสัตย์ น่ายกย่อง แต่ไม่มีผู้ใดอยากเข้าหาเพราะนิสัยเย็นชา ขาดมนุษย์สัมพันธ์ ไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เป็นต้น
    หรือคนขี้เหล้าเมายา ชอบเล่นการพนัน แต่พร้อมจะหยิบเหรียญบาทสุดท้ายในกระเป๋าของตน ออกมาทำบุญแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก ก็เป็นผู้ชอบธรรมแต่เพียงบางส่วนเช่นกัน


เราอาจสรุปความหมายของความสุขประการนี้ได้ว่า...
    "โอ้ ช่างสุขจริงหนอ ผู้ที่ใฝ่หาความชอบธรรมทั้งครบ ดุจเดียวกับคนใกล้อดตาย อยากได้อาหาร
หรือ คนกระหายนำ้ ใกล้ตายอยากได้นำ้ เหตุว่าเขาจะอิ่มหนำจริงๆ"
ภาพประจำตัวสมาชิก
ignatius
.
.
โพสต์: 2597
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 12:48 pm

พฤหัสฯ. พ.ค. 22, 2008 6:39 pm

5.ผู้มีใจเมตตาย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา

ความคิดที่ว่า "ผู้ที่เมตตาผู้อื่นย่อมได้รับความเมตตาจากพระเจ้า" สามารถพบเห็นได้โดยทั่วไปในบทพระธรรมใหม่ เช่น
"ผู้ใดที่ไม่แสดงความเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ จะถูกพิพากษาโดยปราศจากความเมตตากรุณา" (ยก 2:13) หรือในบท
ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระเยซูเจ้าทรงสอนว่า "โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น เพราะถ้าท่านให้อภัย
ผู้ทำความผิด พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ ก็ประทานอภัยแก่ท่านด้วย แต่ถ้าท่านไม่ให้อภัยผู้ทำความผิด พระบิดาของท่านก็จะไม่ประทานอภัย
แก่ท่านเช่นเดียวกัน" (มธ 6:12,14-15)


คำว่า "เมตตา" ตรงกับภาษาฮิบรู chesedh (เขะเส็ด) ซึ่งหมายถึง "ความสามารถที่เข้าไปอยู่ในผู้อื่น แล้วมองด้วย
สายตาของผู้อื่น คิดด้วยความคิดของผู้อื่น และรู้สึกด้วยความรู้สึกของผู้อื่น"
     
      จากคำนิยามนี้ ผู้ที่มีความเมตตาสูงสุดคือพระเจ้านั่นเอง เพราะพระองค์ทรงส่งพระบุตรแต่เพียงองค์เดียวลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์
เพื่อพระบุตรจะได้มองแบบมนุษย์ คิดแบบมนุษย์ และรู้สึกแบบมนุษย์ พระบุตรจึงทรงรู้จักและเข้าใจชีวิตมนุษย์อย่างถ่องแท้ อีกทั้งทรง
สามารถช่วยเหลือเราได้ในทุกกรณีและทุกสถานการณ์ ไมว่าจะเลวร้ายเพียงใดก็ตาม
     
      อาศัยความเมตตานี้เอง เราจึงเจริญชีวิตร่วมกันได้อย่างสงบสุข เพราะแต่ละคนต่างเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน และคำนึงถึงความรู้สึก
ของผู้อื่นก่อนตนเอง


นอกจากนี้ ความเมตตายังช่วยให้เรา...
      1. ไม่เมตตาผู้อื่นอย่างผิดๆ ดังเช่นเมื่อครั้งที่พระเยซูเจ้าทรงแวะบ้านของมาร์ธาและมารีย์ ก่อนเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มเพื่อรับ
การตรึงกางเขน (ลก 10:38-42) จริงอยู่ที่ทั้งสองต่างรักและต้องการต้อนรับพระองค์อย่างดีที่สุด แต่มีเพียงมารีย์ที่ต้อนรับพระองค์
ด้วยความเมตตา และเข้าใจถึงความต้องการที่แท้จริงของพระองค์นั่นคือ ความสงบและการพักผ่อน
      2. อดทนให้อภัยผู้อื่นได้ง่ายขึ้น มีหลักการอยู่ข้อหนึ่งคือ "ไม่ว่าผู้ใดจะคิดหรือทำอะไรก็ตาม เขาย่อมมีเหตุผลของเขาเสมอ"
หากเราเข้าใจถึงเหตุผลของเขาได้ เช่น เขากำลังวิตกกังวล เจ็บป่วย อกหัก มีคนอื่นใส่ไฟ เป็นลูกคนเดียวที่พ่อแม่ตามใจมาตลอด ฯลฯ
ก็จะช่วยให้เราอดทนและให้อภัยเขาง่ายขึ้น

      ความหมายของความสุขประการนี้คือ..

      " โอ้ ช่างสุขจริงหนอ ผู้ที่สามารถเข้าไปในใจผู้อื่น จนกระทั่งสามารถมองด้วยดวงตาของพวกเขา คิดด้วยความคิดของพวกเขา
และรู้สึกด้วยความรู้สึกของพวกเขา เหตุว่าผู้อื่นก็จะปฏิบัติต่อเขาเช่นเดียวกัน และเขายังได้รับรู้อีกว่า...

นี่คือ สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำในองค์พระเยซูคริสตเจ้า "
ภาพประจำตัวสมาชิก
ignatius
.
.
โพสต์: 2597
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 12:48 pm

ศุกร์ พ.ค. 23, 2008 8:47 am

6.ผู้มีใจบริสุทธิ์ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า

คำว่า "บริสุทธิ์" ตรงกับภาษากรีก katharos (คาธารอส) ซึ่งมีความหมายดังนี้
      1. สะอาด เช่น เสื้อผ้าสะอาด จานสะอาด
      2. แยกแยะ เช่น ฝัดข้าว (กระพือข้าวหรือสิ่งอื่นๆเพื่อให้แกลบ รำ หรือผงแยกออกไป)หรือใช้เพื่อหมายถึงการคัดแยกทหารดี
ออกจากทหารเลว
      3. ไม่เจือปน เช่นเหล้าองุ่นที่ไม่มีนำ้เจือปน โลหะแท้ที่ไม่มีสิ่งอื่นเจือปน เป็นต้น
      ความหมายเบื้องต้นของความสุขประการนี้ จึงได้แก่ "ผู้มีแรงจูงใจอันสะอาดและบริสุทธิ์ปราศจากสิ่งอื่นเจือปน ย่อมเป็นสุข
เหตุว่าเขาจะเห็นพระเจ้า"


เพื่อมีแรงจูงใจอันสะอาดบริสุทธิ์ปราศจากสิ่งอื่นเจือปน เราจำเป็นต้องสำรวจมโนธรรมของตนเองอย่างละเอียดถี่ถ้วน เช่น
     
      - เรารับใช้พระเจ้าอย่างไม่เห็นแก่ตัว หรือเพราะอยากเด่นอยากดังกว่าคนอื่น?
      - เราไปวัดเพราะอยากพบพระเจ้า หรือถูกบังคับโดยบทบัญญัติ?
      - เราทำบุญให้ทานเพราะเห็นแก่พระเจ้า หรือเพราะเห็นแก่ชื่อเสียงของตนเอง?
      - เราสวดภาวนาและอ่านพระคัมภีร์เพราะต้องการสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้า หรือเพราะอยากเท่ห์กว่าคนอื่น?
     
      นอกจากความหมายเบื้องต้นแล้ว ยังมีหลักการอีกข้อหนึ่งคือ "คนเรามองเห็นเฉพาะสิ่งที่ตนสามารถเห็นได้เท่านั้น"
อย่างเช่น ในคืนที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว สิ่งที่เราสามารถมองเห็นได้คือ แสงระยิบระยับของดวงดาวเท่านั้น ต่างจากนักดาราศาสตร์
ซึ่งนอกจากจะมองเห็นเช่นเดียวกับเราแล้ว พวกเขายังรู้จักชื่อดาว แบ่งดาวเป็นกลุ่มต่างๆ หรือแม้แต่มองเห็นดาวดวงอื่นซึ่งอยู่ไกลออกไปได้
ทั้งนี้เป็นเพราะเขามีความสามารถที่จะเห็นดวงดาวได้มากกว่าเรานั่นเอง


จากหลักการเดียวกัน ผู้ที่สามารถมองเห็นพระเจ้าผู้ทรงเป็นองค์ความบริสุทธิ์ได้ จึงต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจสะอาดบริสุทธิ์เท่านั้น
      ความหมายของความสุขประการนี้คือ

"โอ้ช่างสุขจริงหนอ ผู้ที่มีแรงจูงใจอันบริสุทธิ์ ผุดผ่อง ปราศจากสิ่งเจือปน

เหตุว่าสักวันหนึ่งเขาจะได้เห็นพระเจ้า"
^plai^
โพสต์: 59
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 08, 2008 6:08 pm
ที่อยู่: -
ติดต่อ:

ศุกร์ พ.ค. 23, 2008 5:51 pm

ขอบคุณค่ะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ignatius
.
.
โพสต์: 2597
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 12:48 pm

อาทิตย์ พ.ค. 25, 2008 10:39 pm

7.ผู้สร้างสันติสุขย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า

    เพื่อเข้าใจความหมายของความสุขประการนี้ มี 3 ประเด็นที่ควรคำนึงถึงคือ

    1. คำว่า shalom (ชาโลม) ในภาษาฮิบรู ซึ่งแปลว่า "สันติ" นั้นหมายถึง "ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้เราบรรลุความดีสูงสุด"
คำนี้ไม่เคยถูกใช้ในความหมายเชิงปฏิเสธอย่างเช่น "ขอให้ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน" เลย

   
      การไม่มีโรคภัยเบียดเบียน ถือว่าดีมากแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจรับประกันความสำเร็จให้แก่ชีวิตของเราได้
จำเป็นที่จิตไจและร่างกายทุกด้าน ต้องบรรลุความสมบูรณ์สูงสุดควบคู่ไปด้วย

   
      สำหรับพระเยซูเจ้า "ไม่" อย่างเดียวจึงไม่พอ ต้อง "ดีที่สุด" ด้วย

    2. พระองค์ทรงเรียกร้องให้เรา "สร้างสันติ" ไม่ใช่แค่ "รักสันติ"
    หลายคนชอบอ้างว่าตนรักสันติ ต้องสมานฉันท์ จึงไม่เผชิญหน้ากับปัญหาใดๆเลย อย่างนี้จะเรียกว่า เป็นผู้สร้างสันติไม่ได้ เพราะ
ปัญหาถูกซุกไว้ใต้พรม โดยยังไม่ได้รับการแก้ไข มีแต่รอวันและเวลาที่จะระเบิดออกมาเท่านั้น


    ผู้สร้างสันติที่แท้จริง จักต้องพร้อมเผชิญหน้ากับปัญหา จัดการกับปัญหา และเอาชนะปัญหาให้ได้
แม้ว่าตนเองจะต้องดิ้นรนและเจ็บปวดสักเพียงใดก็ตาม


    3. ภาษาฮิบรูไม่ค่อยมีคำคุณศัพท์ จึงต้องเลี่ยงไปใช้คำว่า "บุตรของ" หรือ "บุตรแห่ง" (son of...)
แล้วตามด้วยคำนามแทน สำหรับชาวฮิบรู "บุตรแห่งความสว่าง" จึงหมายถึง "คนดี" และ "บุตรของพระเจ้า" หมายถึง
"เหมือนพระเจ้า" เป็นต้น


    พระเจ้าคือผู้สร้างสันติ ดังที่นักบุญเปาโล กล่าวไว้ว่า "ขอพระเจ้าผู้ประทานสันติ สถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเทอญ"
(รม 15:33) และ "จงดำเนินชีวิตอย่างสันติ แล้วพระเจ้าแห่งความรักและสันติ จะสถิตอยู่กับท่าน" (2 คร 13:11)
    ผู้สร้างสันติ จึงทำเหมือนพระเจ้า ดังนี้จึงได้ชื่อว่า "บุตรของพระเจ้า"
   
    ในทางปฏิบัติ ผู้สร้างสันติหมายถึง
    1. ทุกคนที่มีส่วนทำให้โลกนี้ดีขึ้น น่าอยู่ขึ้น เพื่อผู้ที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ จะบรรลุถึงความดีสูงสุดได้
    2. ทุกคนที่มีสันติในใจ ไม่มีความขัดแย้งหรือการต่อสู้ ระหว่างความดีและความชั่วในจิตใจอีกต่อไป
    3. ทุกคนที่สร้างความสัมพันธ์อันดี ระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง ไม่ใช่เข้าที่ไหนวงแตกที่นั่น หรือชอบสร้างความขัดแย้งและ
ทะเลาะเบาะแว้งกับคนอื่นอยู่รำ่ไป


    ความหมายของความสุขประการนี้คือ
  "โอ้ ช่างสุขจริงหนอ ผู้ที่สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง เหตุว่าเขากำลังทำแบบพระเจ้า"


     
ภาพประจำตัวสมาชิก
ignatius
.
.
โพสต์: 2597
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 12:48 pm

อังคาร พ.ค. 27, 2008 2:35 pm

8.ผู้ถูกเบียดเบียนข่มเหงเพราะความชอบธรรมย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา

ท่านทั้งหลายย่อมเป็นสุขเมื่อถูกดูหมิ่นข่มเหงและใส่ร้ายต่างๆนานาเพราะเรา จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะบำเหน็จรางวัล
ของท่านในสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่นัก เขาได้เบียดเบียนบรรดาประกาศกที่อยู่ก่อนท่านดังนี้ด้วยเช่นกัน
      ความสุขประการสุดท้ายนี้ บ่งบอกความจริงใจของพระเยซูเจ้าอย่างแท้จริง พระองค์ทรงบอกกล่าวผู่ที่ปรารถนาติดตามพระองค์
ตั้งแต่แรกเลยว่า พระองค์ไม่ได้เสด็จมาเพื่อทำให้ชีวิตของเขาสะดวกสบายขึ้น แต่เพื่อทำให้ชีวิตของพวกเขา "ยิ่งใหญ่และได้รับพระสิริรุ่งโรจน์"
ดุจเดียวกับพระองค์

      คริสตชนยุคแรกจำนวนมากได้ยืนหยัดอยู่เคียงข้างพระองค์อย่างน่าชื่นชม แม้จะต้องสูญเสียหลายสิ่งหลายอย่าง
ในชีวิตก็ตามเช่น...
     1. พวกเขาสูญเสียอาชีพและการงาน เช่น ช่างไม้ที่ได้รับการว่าจ้าง ให้สร้างวัดของคนต่างศาสนา หรือช่างตัดเสื้อที่ถูกขอร้องให้
ตัดเย็บอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์สำหรับพระต่างศาสนา พวกเขาไม่ลังเลเลย ที่จะเลือกข้างพระเยซูเจ้า มากกว่าความอยู่รอดทางธุรกิจ

     2. พวกเขาสูญเสียฐานะทางสังคม ในสมัยโบราณงานเลี้ยงมักจัดในวิหารของเทพเจ้า เริ่มต้นด้วยการดื่มให้เกียรติแด่เทพเจ้า แล้วกินเนื้อ
ที่เหลือจากการเผาถวายแด่พระเจ้า พวกเขาจึงต้องพร้อมปฎิเสธงานเลี้ยงและสูญเสียฐานะในสังคมเพื่อจะเป็นคริสตชนที่สัตย์ซื่อ
     
     3. พวกเขาสูญเสียครอบครัว สมาชิกในครอบครัวบางคนกลับใจเป็นคริสตชน คนในครอบครัวก็ไม่ยอมรับ จนครอบครัวต้องแตกแยก
แต่พวกเขาก็พร้อมที่จะรักพระเยซูเจ้ามากกว่าภรรยาและบุตร ซึ่งอยู่ใกล้ชิดเขามากที่สุด และเขาเองก็รักมากที่สุดด้วย


นอกจากนี้ ยังคริสตชนจำนวนมาก ต้องทนทุกข์และพลีชีพเพื่อเป็นพยานยืนยันถึงพระเยซูเจ้า

บางคนถูกโยนให้สิงโตกิน บางคนถูกไฟเผาทั้งเป็น

บางคนถูกห่อด้วยผ้าเตนท์ชุบนำ้มัน แล้วจุดเป็นคบไฟในสวนของจักรพรรดิเนโร

บางคนถูกเย็บติดกับหนังสัตว์สดๆ แล้วปล่อยให้สุนัขล่าเนื้อไล่ล่าจนตาย

บางคนถูกคีมบีบ ถูกรมควัน ฯลฯ อีกมากมาย

      สาเหตุของการถูกเบียดเบียน อาจแบ่งออกเป็น 2 ประเด็นใหญ่ๆ คือ

     1. การใส่ร้าย
         1.1 จากคำที่ว่า "นี่คือกายของเรา นี่คือโลหิตของเรา" พวกเขาใส่ร้ายว่าฆ่าและกินเนื้อเด็ก
         1.2 พวกคริสตชนเน้นความรัก และมี kiss of peace (พิธีแสดงความเป็นมิตรต่อกัน) จึงถูกใส่ร้ายว่าประพฤติผิดศีลธรรม มั่วเซ็กซ์
         1.3 พวกเขาโดนข้อหาเป็นนักวางเพลิง เพราะชอบพูดถึงไฟล้างโลกอยู่บ่อยๆ
         1.4 พวกเขาถูกกล่าวหาว่าทำให้ครอบครัวแตกแยก

     2. การเมือง
         เนื่องจากอาณาจักรโรมันมีขนาดใหญ่มาก ประกอบด้วยชนหลายชาติหลายศาสนา เพื่อให้เป็นหนึ่งเดียวกัน พลเมืองทุกคนจึงถูกบังคับให้
ถวายกำยานแด่ "เทพเจ้าซีซาร์" อย่างน้อยปีละครั้ง  หลังจากได้หนังสือรับรองว่าถวายกำยานแด่ซีซาร์แล้ว แต่ละคนจึงนมัสการพระเจ้าที่
ตนนับถือได้

         คริสตชนจำยอมประกอบอาชญากรรมอันใหญ่หลวงในสายตาของชาวโรมัน ด้วยการนมัสการพระเยซูเจ้าเป็นพระเจ้า ที่เที่ยงแท้และ
มีเพียงพระองค์เดียว ความผิดของคริสตชนคือการ "วางพระเยซูเจ้าไว้เหนือซีซาร์" !


ทุกวันนี้ แม้โอกาสที่จะ "พลีชีพ" เพื่อยืนยันความเชื่อในพระเยซูเจ้าคงไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก แต่เราสามารถเป็น

พยานยืนยันพระองค์ได้ด้วยการ "เจริญชีพ" เช่น รักและรับใช้เพื่อนมนุษย์ ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่การงาน แม้ถูกเพื่อนร่วมงานเยาะเย้ยค่อนขอด

ดังนี้เป็นต้น


สิ่งที่ต้องจำใส่ใจคือ ถึงจะ "พลีชีพ" เพื่อพระองค์ไม่ได้

แต่เราสามารถ "เจริญชีพ" เพื่อพระองค์ได้ทุกวัน จนตลอดชีวิต !
แก้ไขล่าสุดโดย ignatius เมื่อ อังคาร พ.ค. 27, 2008 10:24 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Viridian
โพสต์: 2762
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 30, 2008 11:40 pm

พฤหัสฯ. มี.ค. 05, 2009 12:35 pm

ขออนุญาตขุดนะคะพี่โอ๋ขา น้องช๊อบชอบ : emo038 :
siriya
โพสต์: 311
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 26, 2008 9:04 am

พฤหัสฯ. มี.ค. 05, 2009 1:32 pm

พี่สุดเลิฟของเรา...ลงบทความเข้าขั้นพระอาจารย์แล้วนะ

ขอคาราวะ  1  จอก  เอิ๊ก ๆๆ

ข้าผู้น้อยสมควรตาย  :tongue: :tongue:
:+: seraphim :+:
~@
โพสต์: 7624
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
ที่อยู่: Pattaya Chonburi

พฤหัสฯ. มี.ค. 05, 2009 1:42 pm

siriya เขียน: พี่สุดเลิฟของเรา...ลงบทความเข้าขั้นพระอาจารย์แล้วนะ

ขอคาราวะ  1  จอก  เอิ๊ก ๆๆ

ข้าผู้น้อยสมควรตาย   :tongue: :tongue:

::016:: มหาพรตงดดื่มเจ้าคะ
Dis volentibus

พฤหัสฯ. มี.ค. 05, 2009 1:44 pm

:+: seraphim :+: เขียน:
siriya เขียน: พี่สุดเลิฟของเรา...ลงบทความเข้าขั้นพระอาจารย์แล้วนะ

ขอคาราวะ  1  จอก  เอิ๊ก ๆๆ

ข้าผู้น้อยสมควรตาย   :tongue: :tongue:

::016:: มหาพรตงดดื่มเจ้าคะ
มหาพรตดื่มน้ำเปล่า 1 จอก  เเละสมควรตายต่อบาป ไงเจ้าคะพี่ฟิมสุดสวย  ::011::
Viridian
โพสต์: 2762
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 30, 2008 11:40 pm

พฤหัสฯ. มี.ค. 05, 2009 1:47 pm

†Ecclēsia เขียน: มหาพรตดื่มน้ำเปล่า 1 จอก  เเละสมควรตายต่อบาป ไงเจ้าคะพี่ฟิมสุดสวย  ::011::
คิดได้ไงเนี่ยยยยยยยยยย : xemo033 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
ignatius
.
.
โพสต์: 2597
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 12:48 pm

พฤหัสฯ. มี.ค. 05, 2009 6:13 pm

Viridian เขียน: ขออนุญาตขุดนะคะพี่โอ๋ขา น้องช๊อบชอบ : emo038 :
ด้วยความยินดีและนบนอบเจ้าคะ..คุณน้อง"อาเจ๊" ขา  ::011::
†Ecclēsia เขียน:
:+: seraphim :+: เขียน:
siriya เขียน: พี่สุดเลิฟของเรา...ลงบทความเข้าขั้นพระอาจารย์แล้วนะ

ขอคาราวะ  1  จอก  เอิ๊ก ๆๆ

ข้าผู้น้อยสมควรตาย   :tongue: :tongue:

::016:: มหาพรตงดดื่มเจ้าคะ
มหาพรตดื่มน้ำเปล่า 1 จอก  เเละสมควรตายต่อบาป ไงเจ้าคะพี่ฟิมสุดสวย  ::011::
อย่างนี้เค้าเรียกว่า เลือดเข้มกว่านำ้..พี่ๆน้องๆสุดเลิฟ รักกันจริ๊ง... : emo010 :
siriya
โพสต์: 311
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 26, 2008 9:04 am

พฤหัสฯ. มี.ค. 05, 2009 6:24 pm

ข้าแต่ท่านพี่

ข้าผู้น้อยขอคาราวะทุกพี่  1  จอก

ด้วยน้ำเปล่านะท่านพี่  คิดไปได้

มหาพรต  ลด ละ เลิก  เด้อ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ignatius
.
.
โพสต์: 2597
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 12:48 pm

พฤหัสฯ. มี.ค. 05, 2009 6:37 pm

siriya เขียน: ข้าแต่ท่านพี่

ข้าผู้น้อยขอคาราวะทุกพี่  1  จอก

ด้วยน้ำเปล่านะท่านพี่  คิดไปได้

มหาพรต  ลด ละ เลิก  เด้อ
อย่างนี้ ต้องขอบคุณคำพูดของน้องเจนแล้วล่ะ
เพราะพี่เองยังคิดได้ไม่ทันเลย...นะท่านน้องเด็กอนุบาล.. ::011::  : xemo026 :
Viridian
โพสต์: 2762
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 30, 2008 11:40 pm

พฤหัสฯ. มี.ค. 05, 2009 6:42 pm

ignatius เขียน:
Viridian เขียน: ขออนุญาตขุดนะคะพี่โอ๋ขา น้องช๊อบชอบ : emo038 :
ด้วยความยินดีและนบนอบเจ้าคะ..คุณน้อง"อาเจ๊" ขา  ::011::
มิบังอาจเจ้าค่ะ ตั่วเจ๊ : xemo028 :
siriya
โพสต์: 311
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 26, 2008 9:04 am

พฤหัสฯ. มี.ค. 05, 2009 6:47 pm

ignatius เขียน:
siriya เขียน: ข้าแต่ท่านพี่

ข้าผู้น้อยขอคาราวะทุกพี่  1  จอก

ด้วยน้ำเปล่านะท่านพี่  คิดไปได้

มหาพรต  ลด ละ เลิก  เด้อ
อย่างนี้ ต้องขอบคุณคำพูดของน้องเจนแล้วล่ะ
เพราะพี่เองยังคิดได้ไม่ทันเลย...นะท่านน้องเด็กอนุบาล.. ::011::  : xemo026 :


ข้าผู้น้อยขอขอบพระคุณน้องเจนอย่างสุดซึ้ง  ที่เข้าใจเจตนารมย์ของข้าผู้น้อยดี 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ignatius
.
.
โพสต์: 2597
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 12:48 pm

พฤหัสฯ. มี.ค. 05, 2009 6:54 pm

siriya เขียน:
ignatius เขียน:
siriya เขียน: ข้าแต่ท่านพี่

ข้าผู้น้อยขอคาราวะทุกพี่  1  จอก

ด้วยน้ำเปล่านะท่านพี่  คิดไปได้

มหาพรต  ลด ละ เลิก  เด้อ
อย่างนี้ ต้องขอบคุณคำพูดของน้องเจนแล้วล่ะ
เพราะพี่เองยังคิดได้ไม่ทันเลย...นะท่านน้องเด็กอนุบาล.. ::011::  : xemo026 :


ข้าผู้น้อยขอขอบพระคุณน้องเจนอย่างสุดซึ้ง  ที่เข้าใจเจตนารมย์ของข้าผู้น้อยดี 
แปลว่ายอมรับฉายาที่พี่ตั้งให้แล้วใช่มั้ยจ๊ะ ? ::011::
siriya
โพสต์: 311
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 26, 2008 9:04 am

พฤหัสฯ. มี.ค. 05, 2009 6:56 pm

ตกลงใครตั้งกันแน่เนี้ย

คำว่าน้องอนุบาลเนี้ย

คงไม่ครูคนไหนกล้าสอน
ภาพประจำตัวสมาชิก
ignatius
.
.
โพสต์: 2597
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 12:48 pm

พฤหัสฯ. มี.ค. 05, 2009 7:00 pm

siriya เขียน: ตกลงใครตั้งกันแน่เนี้ย

คำว่าน้องอนุบาลเนี้ย

คงไม่ครูคนไหนกล้าสอน
ก็ท่านพี่สุดเลิฟของท่านน้องเด็กอนุบาลนี่แหละ
เฮ้ย....ไปออกทะเลในกระทู้อื่นไป๊....แป่ว...ตูเป็นซะเอง  ::010::
Man of Macedonia
โพสต์: 973
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ธ.ค. 04, 2006 9:33 pm
ที่อยู่: Virtusian's House of Prayer,Thailand
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. มี.ค. 05, 2009 7:08 pm

เข้ามาช่วยท่านพี่ทำมาหากิน

เมื่อพูดถึงความสุขแล้ว มาดูกันสักเล็กน้อยว่า นัก(คริสต)จริยศาสตร์ มองความสุขอย่างไร
ซึ่งพูดแบบง่ายๆดังนี้

(1)ความสุขทางเนื้อหนัง(Hedone) ได้แก่ ความพอใจทางฝ่ายกาย ฝ่ายข้างโลก
(2)ความสุขที่รับรู้ได้ด้วยเหตุผล ได้แก่ ความพอใจฝ่ายจิตใจขั้นต้น เช่น การประสบความสำเร็จ
(3)ความสุขแท้(Beatitudo) ได้แก่ การเข้าพระอาณาจักรของพระบิดาเจ้า(เรียก การบรรลุถึงชีวิตนิรันดรภายหน้า;ซึ่งไม่ได้หมายถึง การเข้าพระอาณาจักรหลังจากล่วงชีวิตไปแล้วอย่างเดียว) ความสุขแท้นี้ นักบุญโทมัส อไควนัส เรียกว่า การเข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระเป็นเจ้า (ทั้งการเข้าเฝ้าในลักษณะพระบุคคลเมื่อชีวิตล่วงไปแล้ว กับการเข้าเฝ้าพระองค์ผู้ประทับอยู่ในมโนธรรม(Sedes Dei))

เพื่อให้ครบๆ มีกรีก,ฮีบรู,อะราเมอิคแล้ว เอาลาตินไปบ้าง

"Numquam enim illud quod cum tristitia facimus ita bene facimus sicut illud quod facimus cum delectatione vel sine tristitia"(S.Thomas Aquinas,Summa Theologica.I-II)

นักบุญโทมัส อไควนัส:เราต้องเข้าใจข้อความที่ว่า "แม้การกระทำดีด้วยความเป็นทุกข์เสียใจ จะไม่เทียบเท่ากับ การกระทำด้วยความชื่นชมยินดีก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าการกระทำความดีที่ปราศจากความเป็นทุกข์เสียใจ(เข้าใจว่า หมายถึง การทำดีแบบหุ่นยนต์ ทำเพราะต้องทำ)"

เดี๋ยวขอค่อยๆอ่านก่อน แล้วจะมาช่วยเสริมเรื่อง คำศัพท์คำพูดในแง่ต่างๆ
เพื่อความเข้าใจที่มากขึ้น,

ปล.กระทู้แบบนี้ดีมากนะครับ คืออ่านแล้วผ่านเลยไม่ได้ ต้องมาขบคิด ค่อยๆคิด ค่อยๆนึก เป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง
ภาพประจำตัวสมาชิก
ignatius
.
.
โพสต์: 2597
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 12:48 pm

เสาร์ มี.ค. 07, 2009 11:15 am

Man of Macedonia เขียน: เข้ามาช่วยท่านพี่ทำมาหากิน

เมื่อพูดถึงความสุขแล้ว มาดูกันสักเล็กน้อยว่า นัก(คริสต)จริยศาสตร์ มองความสุขอย่างไร
ซึ่งพูดแบบง่ายๆดังนี้

(1)ความสุขทางเนื้อหนัง(Hedone) ได้แก่ ความพอใจทางฝ่ายกาย ฝ่ายข้างโลก
(2)ความสุขที่รับรู้ได้ด้วยเหตุผล ได้แก่ ความพอใจฝ่ายจิตใจขั้นต้น เช่น การประสบความสำเร็จ
(3)ความสุขแท้(Beatitudo) ได้แก่ การเข้าพระอาณาจักรของพระบิดาเจ้า(เรียก การบรรลุถึงชีวิตนิรันดรภายหน้า;ซึ่งไม่ได้หมายถึง การเข้าพระอาณาจักรหลังจากล่วงชีวิตไปแล้วอย่างเดียว) ความสุขแท้นี้ นักบุญโทมัส อไควนัส เรียกว่า การเข้าเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระเป็นเจ้า (ทั้งการเข้าเฝ้าในลักษณะพระบุคคลเมื่อชีวิตล่วงไปแล้ว กับการเข้าเฝ้าพระองค์ผู้ประทับอยู่ในมโนธรรม(Sedes Dei))

เพื่อให้ครบๆ มีกรีก,ฮีบรู,อะราเมอิคแล้ว เอาลาตินไปบ้าง

"Numquam enim illud quod cum tristitia facimus ita bene facimus sicut illud quod facimus cum delectatione vel sine tristitia"(S.Thomas Aquinas,Summa Theologica.I-II)

นักบุญโทมัส อไควนัส:เราต้องเข้าใจข้อความที่ว่า "แม้การกระทำดีด้วยความเป็นทุกข์เสียใจ จะไม่เทียบเท่ากับ การกระทำด้วยความชื่นชมยินดีก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าการกระทำความดีที่ปราศจากความเป็นทุกข์เสียใจ(เข้าใจว่า หมายถึง การทำดีแบบหุ่นยนต์ ทำเพราะต้องทำ)"

เดี๋ยวขอค่อยๆอ่านก่อน แล้วจะมาช่วยเสริมเรื่อง คำศัพท์คำพูดในแง่ต่างๆ
เพื่อความเข้าใจที่มากขึ้น,

ปล.กระทู้แบบนี้ดีมากนะครับ คืออ่านแล้วผ่านเลยไม่ได้ ต้องมาขบคิด ค่อยๆคิด ค่อยๆนึก เป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง

ดีขอรับ...น้องพี่.ที่ช่วยๆกัน ::001::
..."ผู้ดำเนินชีวิตตามบทเทศน์บนภูเขา ย่อมนำไปสู่ความสุขแท้จริง.." (มธ 5:1-12)  ::001::
Starry Night
โพสต์: 133
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.ย. 25, 2008 11:42 am
ที่อยู่: > <" Xiah Junsu Fightingg g!!!

เสาร์ มี.ค. 07, 2009 4:07 pm

ขอบคุณค่า  : emo045 :
ตอบกลับโพส