ฟาติมาสาร - เบเนดิกต์ ที่ 16 “ทูตสันติภาพของโลก

วันระลึกถึงนักบุญ 365-6วัน ประวัตินักบุญ และวันฉลองสำคัญของคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
sunofgod
โพสต์: 2477
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ย. 18, 2011 8:17 pm

พฤหัสฯ. ก.ย. 27, 2012 5:14 pm

ฟาติมาสาร - เบเนดิกต์ ที่ 16 “ทูตสันติภาพของโลก” (23 กันยายน 2012)
Posted by editor@popereport.com on 18:19

หากใครติดตามข่าวต่างประเทศตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา น่าจะผ่านตากับความรุนแรงอันเป็นผลมาจากภาพยนตร์ยอดแย่ที่ชื่อ THE INNOCENT OF MUSLIMS กันไปบ้าง ผลกระทบของการสร้างภาพยนตร์ลบหลู่ศาสดามูฮัมหมัด มันวุ่นวายเกินควบคุม ในหลายประเทศมีการชุมนุมประท้วงด้วยความรุนแรงและเกลียดชัง จนทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายไปหลายคน
รูปภาพ
นอกจากข่าวความรุนแรงจากภาพยนตร์อื้อฉาวนี้ ยังมีอีกหนึ่งข่าวที่เบียดขึ้นมา “ลบ” กระแสความรุนแรงไปได้ไม่มากก็น้อย นั่นคือ ข่าวที่สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 เสด็จเยือนเลบานอน เพื่อปฏิบัติพันธกิจแห่งสันติภาพให้กับทวีปแห่งนี้ จุดประสงค์หลักของการเสด็จเยือนครั้งนี้ วาติกันระบุว่า เพื่อมอบเอกสารการประชุมสมัชชาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งตะวันออกกลางให้กับพระสังฆราชในภูมิภาคนี้ แต่ถ้าว่ากันจริงๆแล้ว พระสันตะปาปาทรงหวังผลมากกว่านั้น เพราะมันมีนัยยะทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง นั่นคือ การเรียกร้องให้ยุติสงครามในซีเรีย ประเทศที่ติดกับเลบานอน และแน่นอน ต้องมีเรื่องลดกระแสเกลียดชังชาติตะวันตกอันเป็นผลมาจากภาพยนตร์เรื่อง THE INNOCENT OF MUSLIMS อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

วันที่ 14 กันยายน ซึ่งเป็นวันแรกของการเสด็จเยือนเลบานอน สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ทรงให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวบนเครื่องบินมุ่งหน้าสู่เลบานอน ใจความว่า “แม้จะเกิดเหตุรุนแรงในโลกอาหรับเกี่ยวกับภาพยนตร์ดูหมิ่นศาสดามูฮัมหมัด แต่พ่อไม่เคยมีความคิดจะล้มเลิกการเดินทางมาเยือนเลบานอนเลย เช่นเดียวกัน ไม่มีใครคนไหนเดินมาบอกพ่อไม่ให้ไปเลบานอนด้วย พ่อรู้ดีว่าตอนนี้สถานการณ์มันซับซ้อนมาก แต่พ่อก็ตั้งใจมาเลบานอนเพื่อเชิญชวนทุกฝ่ายให้หันหน้ามาคุยกัน เพื่อสันติและยุติความรุนแรง เราจะมาร่วมกันแก่ปัญหาที่เกิดไปพร้อมๆกัน”

นอกจากนี้ พระสันตะปาปายังกล่าวกับผู้สื่อข่าวด้วยว่า “พ่อไม่ต้องการเห็นชาติต่างๆส่งกองกำลังเข้าไปในซีเรีย เพราะมันจะเป็นการสร้างความวุ่นวายให้เพิ่มขึ้นไปอีก ทางแก้ไม่ได้อยู่ที่การใช้กำลังฆ่าฟันกัน แต่อยู่ที่การเจรจาสันติภาพ แต่ดูเหมือนว่า คนทุกยุคทุกสมัย ใจร้อนมาก พวกเขามองว่า การเจรจาสันติภาพใช้เวลานานและต้องต่อรองเยอะ แต่การใช้กำลังฆ่าฟันกัน เห็นผลเร็วกว่า พวกเขาจึงเลือกวิธีนี้ แต่ไม่ได้คิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาเลย”

เย็นวันแรกของการเยือนเลบานอน พระสันตะปาปาได้เสด็จไปมอบเอกสารการประชุมสมัชชาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งตะวันออกกลางให้กับพระสังฆราชในภูมิภาคนี้ พิธีนี้จัดที่มหาวิหารนักบุญเปาโล เมืองฮาริสสา โดยพระสันตะปาปาได้ตรัสย้ำกับพระสังฆราชคาทอลิกในภูมิภาคนี้ว่า “พ่อมาที่นี่ เพื่อย้ำกับทุกคนว่า เราต่างได้รับกระแสเรียกให้มาเฉลิมฉลองชัยชนะของความรักเหนือความเกลียดชัง, เราต้องให้อภัยมากกว่ามุ่งแก้แค้น, เราต้องรับใช้มากกว่าใช้ผู้อื่น, เราต้องสุภาพมากกว่าหยิ่งยโส และเราต้องเป็นหนึ่งเดียวกันมากกว่าแตกแยกกัน” (พระสันตะปาปาต้องการสื่อว่า คริสตชนต้องไม่ตอบโต้ความรุนแรงด้วยความรุนแรง ต้องไม่ตอบโต้ความชั่วด้วยความชั่วเป็นอันขาด เพราะถ้าทำแบบนั้นแล้ว เราก็ไม่ต่างไปจากคนที่ทำร้ายเราเลย)

วันต่อมา 15 กันยายน วันที่สองในเลบานอน วันนี้มีไฮไลต์ 2 อย่างที่พระสันตะปาปาทรงกระทำ วันนี้นี่เองที่พันธกิจและพระดำรัสของพระองค์ถูกนำไปถ่ายทอดออกตามสื่อชั้นนำระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น บีบีซี, ซีเอ็นเอ็น และรอยเตอร์ส (นักข่าวนำไปรายงาน เพื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์ความวุ่นวายจากภาพยนตร์เรื่อง THE INNOCENT OF MUSLIMS)

ไฮไลต์แรก พระสันตะปาปาเสด็จไปพบ มิเชล สุไลมาน ประธานาธิบดีเลบานอน รวมถึงคณะรัฐบาล สมาชิกรัฐสภา และผู้บริหารประเทศ แน่นอนว่า สมาชิกพรรค “ฮิซบอลเลาะห์” พรรคการเมืองเลบานอนที่มีกองทัพเป็นของตัวเอง ซึ่งประกาศต้อนรับพระสันตะปาปาก่อนเสด็จมาเยือน ก็มาร่วมรับฟังด้วย โดยพระสันตะปาปาตรัสเสียงดังฟังชัดกับพวกเขาว่า “ความเชื่อแท้จริงในพระเจ้าต้องไม่นำไปสู่ความตาย ความรุนแรงทั้งวาจาและการกระทำต้องไม่เกิดกับผู้มีความเชื่อแท้จริงในพระเจ้า พึงระลึกเสมอว่า เสรีภาพในการนับถือศาสนาเป็นมิติทางสังคมและการเมืองซึ่งไม่สามารถแยกออกจากกันได้ สันติภาพต้องเป็นทั้งวาจาและการกระทำ สิ่งนี้ก่อให้เกิดบรรยากาศแห่งความเคารพซึ่งกันและกัน ถ้าเราต้องการสันติภาพ เราต้องปกป้องชีวิต ดังนั้น ขอให้เรามีชัยชนะด้วยความรัก ไม่ใช่ด้วยความเกลียดชัง”

ไฮไลต์ที่สอง ช่วงเย็นของวันนี้ พระสันตะปาปาเสด็จไปพบกับเยาวชนเลบานอน ทั้งเยาวชนคริสต์และมุสลิม (อย่างที่เคยบอกไป เลบานอนเป็นประเทศที่มุสลิมและคริสต์อยู่ร่วมกันแบบสันติ ดังนั้น เยาวชนมุสลิมก็มาร่วมต้อนรับพระสันตะปาปาด้วย) ในพิธีนี้ พระสันตะปาปาตรัสให้โอวาทเยาวชนทั้ง 2 ศาสนาว่า “พ่อขอทักทายเยาวชนมุสลิมที่มาร่วมงานกับเราในเย็นวันนี้ การแสดงออกของพวกเธอ(เยาวชนมุสลิม)นับว่าสำคัญมากๆ พ่อต้องการให้กำลังใจพวกเธอทุกคน(คริสต์และมุสลิม) จงกลับไปบอกคนในครอบครัวและเพื่อนๆด้วยว่า พระสันตะปาปาส่งความปรารถนาดีมาให้ พระองค์ไม่เคยลืมพวกเขาในคำภาวนา จงบอกพวกเขาว่า พระสันตะปาปาเป็นทุกข์เมื่อได้ยินข่าวร้ายๆในทวีปนี้ เฉพาะอย่างยิ่งในซีเรียและการสร้างภาพยนตร์ดูหมิ่นศาสดามูฮัมหมัด สำคัญสุด พ่ออยากบอกพวกเธอทุกคนว่า นี่คือช่วงเวลาที่ชาวมุสลิมและชาวคริสต์ต้องก้าวไปด้วยกัน เพื่อจะได้ทำให้สงครามและความรุนแรงต่างๆนั้น สิ้นสุดลงเสียที” (พระดำรัสนี้ถูกนำไปขึ้นหน้าหนึ่งในหลายสำนักข่าวชั้นนำทั่วโลก)

ส่วนวันสุดท้าย วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พระสันตะปาปาถวายมิสซาให้กับคริสตชนเลบานอนและประเทศใกล้เคียงที่มาร่วมกว่า 350,000 คน พระสันตะปาปายังคงเทศน์สอนเรื่องการให้อภัยเป็นหลัก แต่ที่เด็ดสุดของวันนี้คือการตรัสสุนทรพจน์อำลา ก่อนเสด็จกลับกรุงโรม ที่บอกว่าเด็ดก็เพราะนับตั้งแต่ติดตามพระสันตะปาปาองค์นี้มา 7 ปีเต็ม ผมไม่เคยเห็นพระองค์ตรัสสุนทรพจน์ต่อหน้าผู้นำประเทศต่างๆแบบติดตลกเลย นี่เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ สุนทรพจน์ดังกล่าว มีว่า ...

“พ่ออำลาที่นี่ด้วยความเศร้าใจ เพราะหนึ่งในสิ่งที่พ่อต้องคิดถึงไปอีกนานคืออาหารรสเผ็ดแบบชาวตะวันออก ซึ่งเพิ่มรสชาติการกินให้อร่อยยิ่งนัก! ... นอกจากนี้ พ่อขอบคุณชาวมุสลิมในเลบานอนที่ให้การต้อนรับพ่ออย่างอบอุ่น พ่ออยากย้ำว่า เลบานอนคือโมเดลให้ทุกชาติศึกษาว่า ชาวมุสลิมและชาวคริสต์อยู่ร่วมกันอย่างสันติได้อย่างไม่มีปัญหา”

... ทั้งหมดก็คือความสำเร็จจากการเสด็จเยือนเลบานอนของพระสันตะปาปา ไม่ใช่ผมที่ยกมาลอยๆว่าพันธกิจนี้สำเร็จ แต่เป็นสื่อมวลชนทั่วโลกที่ยกว่า พระสันตะปาปาองค์นี้สุดยอดจริงๆในการช่วยลดความเดือดดาลในเรื่องนี้ เฉพาะอย่างยิ่ง สื่อมวลชนในโลกอาหรับถึงกับวาดรูปสดุดีพระสันตะปาปาทรงโบกมือ ขณะที่มือทั้ง 2 ข้างเป็นรูปนกพิราบ (สันติภาพ) เลยก็ว่าได้

คงไม่เกินไปนัก หากจะยกย่อง สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ทรงเป็นทูตแห่งสันติในยามที่ผู้นำชาติต่างๆยังคงสาละวนกับการคิดแก้ไขหรือออกมาต่อว่ากันเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น พระสันตะปาปาทรงเป็นคนแรกที่ออกมายืนหยัดให้ทุกคนใจเย็นๆ พูดจากันด้วยสันติวิธี และให้อภัยกันและกัน ไม่ใช่เอะอะก็จะฆ่ากันแบบพวกสิ้นคิดอย่างเดียว

อ้างอิง http://www.popereport.com
ตอบกลับโพส