the Vatican's Exorcists การขับไล่ปีศาจ(ภาค5) ผู้ไม่เชื่อ และจิตแพทย์

วันระลึกถึงนักบุญ 365-6วัน ประวัตินักบุญ และวันฉลองสำคัญของคริสตศาสนา
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nihil
~@
โพสต์: 1763
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 4:36 pm
ที่อยู่: Pax
ติดต่อ:

เสาร์ พ.ค. 31, 2008 11:39 pm

[จิตแพทย์ และ ผู้เคลือบแคลงสงสัย]



ขีดจำกัดของคนหนึ่งๆ ในการเชื่อในสิ่งที่เหลือเชื่อมีอยู่อย่างจำกัด
และ ขีดจำกัดของคนหนึ่งๆ ที่จะถูกหลอก หรือ ลวงได้ ไร้ขีดจำกัด


จิตใจของมนุษย์นั้นแปลก
การรับรู้ของมนุษย์นั้นแปลก
เพราะมันทำให้คนเราถูกหลอก
จินตนการ หรือ เห็นสิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้นจากจิตใจของเราได้ ทั้งๆ ที่เรายังมีสติอยู่


รูปภาพ


จิตแพทย์โดยส่วนมาก (แต่ไม่ใช่ทั้งหมด) และรวมถึงบรรดานักวิทยาศาสตร์ต่างๆ มักชอบที่จะสรุปว่า อาการของคนถูกผีสิงทั้งหลาย เป็นเพียงอาการหนึ่งทางจิต ที่กระทำโดยกระบวนการของจิตใต้สำนึก อันเป็นแหล่งสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดอาการต่างๆ  และเป็นเสมือนการสะกดจิต หรือชี้นำให้จิต "เชื่อ" ตามการชี้นำของ บาทหลวง



เป็นความจริงที่ว่า อาการของผู้ถูกผีสิง ที่มักจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามเผชิญหน้ากับบาทหลวง สามารถอธิบายได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ และทางการแพทย์ ว่าเป็นอาการผิดปกติทางจิตประเภทหนึ่ง เช่น อาการจิตแตกแยก อาการจิตเภท โรคซึมเศร้า และ ฮีสทีเรีย เป็นต้น

ส่วนอาการทางกายที่ปรากฏออกมา ก็อาจใช้ความรู้ทางการแพทย์อธิบายว่าเป็นอาการจำพวก ลมบ้าหมู เพ้อคลั่ง ลืมเลือน และ ประสาทหลอน



ศาสนิกชนที่ประสบอาการเหล่านั้น มักจะแสวงหาบาทหลวงก่อนจะคิดถึงแพทย์ ด้วยว่า บาทหลวงจะช่วยสนับสนุนความคิดของตนที่เชื่อว่าตนถูกผีสิง และมีอาการเจ็บป่วยทางจิตวิญญาณ ขณะที่การพบแพทย์ หรือ จิตแพทย์ กลับจะเป็นการบังคับให้พวกเขาต้องเผชิญกับความจริงอันโหดร้าย ความเครียด ความกังวล และบอกกับพวกเขาว่าพวกเขาป่วยเป็นโรคอะไรที่เขาไม่อยากฟังอยู่




นักวิจารณ์บางคนกล่าวถึงพิธีกรรม Exorcism ว่า
พิธีกรรม Exorcist แท้จริงเป้นแค่พิธีการบำบัดทางจิต หรือการสะกดจิต  ด้วยการใช้พิธีเป้นสื่อในการควบคุมสภาวะจิตของผู้ป่วยเสมือนอย่างที่นักสะกดจิตทำ การสวดภาวนาของบาทหลวงก็ดี การทำสมาธิ และใช้เครื่องหมายสัญลักษณ์ในการประกอบพิธีกรรมอย่างมีรูปแบบแบบแผนก็ดี เป้นการทำให้ผู้ป่วยอยู่ในสภาวะที่ล่องลอย และตกในภวังค์ ซึ่งเป็นการง่ายที่จะใส่บทบาทอะไรให้กับผู้ป่วยต่อไปก็ได้


นักสะกดจิตมืออาชีพสามารถสะกดจิตให้คนหนึ่งๆ คิดว่าตัวเองเป็น สุนัข ได้ ดังนั้น บาทหลวง ก็น่าจะสะกดจิตให้คนหนึ่งๆ เชื่อว่าตัวเองถูกผีสิง มีพฤติกรรม และ พูดเยี่ยงผี ปีศาจได้


นักวิจารณ์เชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งบางครั้งนอกจากจะไม่ก่อประโยชน์แล้ว ยังทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการดูแลบำบัดทางจิตที่ถูกต้อง อย่างที่ควรจะได้รับด้วย
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ ศุกร์ มิ.ย. 06, 2008 2:35 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nihil
~@
โพสต์: 1763
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 4:36 pm
ที่อยู่: Pax
ติดต่อ:

อังคาร มิ.ย. 03, 2008 12:41 am

ในปี 2006 สภาสังคมจิตพยาธิวิทยาอิตาลี (Congress Italian Society of Psychopathology) ได้ทำงานวิจัยชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับกรณีผู้ถูกผีสิง  ผู้เป็นเหยื่อของซาตาน และผู้ตกภายใต้อำนาจจิตชั่วร้ายต่างๆ และในนั้นเป็นงานวิจัยที่มีชื่อว่า "ข้อเปรียบเทียบ การไล่ผี หรือ การเยียวยา" เป็นผลงานที่มีผู้สนใจจำนวนมากขนาดการเปิดเลคเชอร์เรื่องนี้ทีหนึ่ง ต้องเปิดรอบหอประชุมถึง 3 รอบเลยทีเดียว

หนึ่งในการเลคเชอร์ครั้งนั้น มีเนื้อหาหนึ่งที่ได้นำเสนอต่อสภาว่า


"กรณี การเชื่อ หรือ ถูกโน้มน้าวทำให้เชื่อว่าถูกผีสิงนั้น
เป็นความจริงที่เกิดขึ้น และถูกรายงานผ่านสื่อสารมวลชนในปัจจุบัน
โดยไม่มีการวิเคราะห์ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาก่อน

ซึ่งนี่ทำให้เกิดกรณีมีผู้ที่เชื่อว่าตนถูกผีสิงจริงเพิ่มจำนวนขึ้นมาอย่างมาก
และความเชื่อเหล่านี้ หรือความเชื่อที่เกี่ยวข้องด้วย
นำไปสู่ความคิดในการยอมรับการมีอยู่จริงของปีศาจ

สิ่งนี้ฝังรากลึกความเชื่อมาแต่ช้านานแล้วในประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติ
และจะเป็นการดี ถ้าเราจะให้การใส่ใจ
สำรวจ สอดส่อง และ ศึกษาปรากฏการณ์เหล่านี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
โดยไม่ใช้วิธีการเดียวกับที่เรากระทำมาในยุคกลาง
หรือ ในยุคแรกๆ ของอารยธรรม"


รูปภาพ

มีข้อถกเถียงมากมายเกิดขึ้นกับผลงานวิจัย และ งานเลขเชอร์นี้ แต่โดยสรุปการแสดงความเห็นว่า แม้การพบบาทหลวงและรับพิธีกรรมทาง Exorcist จะไม่ใช่เรื่องที่ผิดหรือร้ายแรง แต่นั่นก็ไม่ใช่การรักษาที่ถูกต้องอยู่ดี และ Exorcism ไม่ต่างอะไรจากการสะกดจิตผู้ป่วย ให้มีจิตใจยึดติดกับบาทหลวงผู้ประกอบพิธีกรรมเลย


และทั้งหมดเป็นการกระทำของจิตใจ และ สมอง ที่ทำให้ร่างกายขาดสภาพหยั่งรู้ ขาดสติ อันเป็นตัวจุดประกายให้บุคคลที่เชื่อว่าตนถุกผีสิง แสดงพฤติกรรมแปลกประหลาดออกมาระหว่างพิธีกรรม Exorcism  ทั้งหมดสามารถอธิบายได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ และ ทางการแพทย์ที่การทำงานของสมอง ถูกปัจจัยภายนอกมีอิทธิพลชี้นำเหนือกว่าการสั่งการภายใน
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ ศุกร์ มิ.ย. 06, 2008 2:31 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nihil
~@
โพสต์: 1763
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 4:36 pm
ที่อยู่: Pax
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. มิ.ย. 05, 2008 11:35 pm

Dr. โรโมโล รอซซี่ ได้อธิบายโดยอ้างอิงทฤษฎีของฟรอยด์ว่า ผู้ใดก็ตามที่คิดว่าตนถุกสิงนั้น จะสร้างอีกบุคลิกหนึ่งขึ้นมาในตัวตน เป็นบุคลิกแทนตนเองที่ตนเองเชื่อว่าเป็น "ปีศาจ"  หรือเป็นบุคลิกที่เกิดจากด้านตรงข้ามของ ซูเปอร์อีโก้  หรือร่างหล่อหลอมของบุคลิกดิบที่เกิดจากตัวเราเอง เป็น  บุคลิกที่ตรงข้ามกับอุดมคติที่เราอยากจะเป็น



นอกจากนี้อาการเหนือธรรมชาติต่างๆ ที่ถูกพบในผู้ถุกสิง ได้ถูกนักจิตวิทยา และ นักวิชาการ สรุปออกมาดังนี้




1. พลังเหนือธรรมชาติ : ความคิดที่รุนแรงภายใต้ความเครียดและความกดดัน ชักนำให้สมองหลั่งอะดรีนาลีนมามากเกินกว่าปกติ ส่งผลให้ร่างของคนผู้นั้นมีพละกำลังมากกว่าปกติในระยะเวลาชั่วครู่


2. พูดในภาษาที่ผู้ป่วยไม่รู้จัก หรือ ภาษาแปลกๆ  : เชื่อว่าเป็นการพูดภาษามั่วๆ จากคำหรือเสียงที่นึกออกมาผสมผสานกัน ซึ่งภาษาในโลกก็มีรูปแบบเสียงที่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ทั้งนั้น ซึ่งภาษาแปลกๆ ก็เช่นเดียวกัน ที่อาจพูดเปล่งเสียงออกมาในสภาพภวังค์ไร้สติจากกระบวนการทำงานของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สภาวะนั้นไม่เป็นการยากเลยที่ผู้ป่วยจะสร้างหรือทำให้เกิดเสียงภาษาแปลกๆ ออกมาได้


3. มีอาการหวาดกลัวเครื่องหมายศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ : เพราะในสภาพจิตใจของผู้ป่วยโดยทั่วไปจะถือเรื่องศาสนา และสิ่งที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ สำคัญ  ดังนั้นผู้ที่เชื่อว่าตนถูกผีสิงก็จะสร้างจิตมโนสำนึกกล่าวโทษตัวเองซ้อนขึ้นมาในระบบประสาท และสร้างให้ตนเองหวาดกลัวต่อสิ่งดังกล่าวเพื่อเป็นการแสดงความสำนึกผิดและหวาดกลัวทางจิตใจโดยอ้อม


รูปภาพ

นักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ นักจิตวิทยา สำหรับพวกเขาแล้ว แม้วิทยาศาสตร์จะมิอาจอธิบายได้หมดทุกอย่าง แต่พวกเขาเชื่อว่า วิทยาศาสตร์สามารถนำมาใช้อธิบายบางอย่างได้ หากถูกใช้วิเคราะห์และคิดอย่างเป้นระบบไม่เว้นแม้แต่เรื่อง Exorcism นี้ ซึ่งสำหรับพวกเขาแล้ว อาจเป็นเสมือนพวก Skeptic คอยจับผิด หวาดระแวง และคิดว่าเรื่องการไล่ผีทั้งหมด เป็นโชว์ปาหี่ หรือ เรื่องหลอกลวงครั้งใหญ่ ที่ไม่รังสรรค์อะไรนอกจากทำให้ผู้ป่วยย่ำแย่ลง


มีหลายครั้งที่ผู้ป่วยไม่ได้ถูกผีสิงจริง แต่เชื่อว่าตนถูกผีสิง หรือมีอาการทางจิตหลอนจริง

แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ผู้ที่ถูกผีสิงจริงนั้นก็มีจริงๆ ซึ่งนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ต้องมีการตรวจสอบผู้ป่วยให้ชัดเจนก่อนรับการไล่ผีว่า ผู้ป่วยคนนั้น คิดไปเอง จิตหลอนไปเอง หรือมีอาการทางจิตอย่างอื่นใดแทนรึเปล่า




เป็นความจริงที่ว่าแม้จะพยายามหาคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ แต่ปรากฏการณ์หลายอย่างก็มิอาจอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีการรักษาผู้ป่วยทางจิต การบรรเทา และยาต่างๆ ที่ใช้กับผู้ป่วยที่เชื่อว่าจิตหลอนไปเองว่าถูกสิง แต่กลับไม่ส่งผลทางการรักษาใดๆเลยกับผู้ป่วยบางคนนั้น

หรือแม้แต่เรื่องที่ผู้ถุกสิงรู้ความลับในจิตใจคน หรือความคิดความลับอันเร้นรับในอดีตที่ไม่มีผู้ใดจะสามารถรู้ได้นอกจากเจ้าตัว




หากมอง Exorcism เป็นการรักษาผู้ป่วยทางจิตที่ผิดแล้ว ในกรณีผู้ที่ถูกวิญญาณเข้าสิงจริงๆ การรักษาทางการแพทย์ การรักษาอาการทางจิต หรือการให้ยาระงับประสาทอะไรก็ตาม ก็เป็นการรักษาที่ผิดเช่นเดียวกัน ด้วยว่าผู้นั้นไม่ได้ป่วยทางจิต หากแต่ป่วยทางวิญญาณเสียต่างหาก





Exorism เป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่แสดงถึงเหตุแห่งความเชื่อของเราทุกวันนี้ และเป็นการเตือนตอกย้ำเราถึงเรื่อง ความดี ความชั่ว การดำรงอยู่ของปีศาจ และความอ่อนแอ ขีดจำกัดของมนุษย์เรา



หมายเหตุ-จะทะยอยลงทีละภาคครับ แล้วหลังจากผ่านไปหลายๆภาคแล้วจะรวมเป็นกระทู้เดียวทีหลัง เพื่อกระทู้จะไม่ยาวเกินไป

--------------------------------------------------------------------------------

ภาค6 viewtopic.php?f=2&t=8467.0

ภาคแรก viewtopic.php?f=2&t=8241.0

ภาค2 viewtopic.php?f=2&t=8274.0

ภาค3 viewtopic.php?f=2&t=8303.0

ภาค4 viewtopic.php?f=2&t=8354.0
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ ศุกร์ มิ.ย. 20, 2008 10:34 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Mobster
โพสต์: 1623
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 30, 2007 8:02 pm
ที่อยู่: Bangkok
ติดต่อ:

ศุกร์ มิ.ย. 06, 2008 2:30 pm

น่าสนใจมากๆ

แต่ที่นักวิทย์บางคนบอกการไล่ผีคือการสะกดจิตอันนี้ผมขอเถียง เพราะมีหลายครั้งผู้ที่ถูกผีสิงคือผู้ที่หันหน้าออกจากศาสนา
ตอบกลับโพส