the Vatican's Exorcists การขับไล่ปีศาจ(ภาค5) ผู้ไม่เชื่อ และจิตแพทย์
โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ค. 31, 2008 11:39 pm
[จิตแพทย์ และ ผู้เคลือบแคลงสงสัย]
ขีดจำกัดของคนหนึ่งๆ ในการเชื่อในสิ่งที่เหลือเชื่อมีอยู่อย่างจำกัด
และ ขีดจำกัดของคนหนึ่งๆ ที่จะถูกหลอก หรือ ลวงได้ ไร้ขีดจำกัด
จิตใจของมนุษย์นั้นแปลก
การรับรู้ของมนุษย์นั้นแปลก
เพราะมันทำให้คนเราถูกหลอก
จินตนการ หรือ เห็นสิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้นจากจิตใจของเราได้ ทั้งๆ ที่เรายังมีสติอยู่
จิตแพทย์โดยส่วนมาก (แต่ไม่ใช่ทั้งหมด) และรวมถึงบรรดานักวิทยาศาสตร์ต่างๆ มักชอบที่จะสรุปว่า อาการของคนถูกผีสิงทั้งหลาย เป็นเพียงอาการหนึ่งทางจิต ที่กระทำโดยกระบวนการของจิตใต้สำนึก อันเป็นแหล่งสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดอาการต่างๆ และเป็นเสมือนการสะกดจิต หรือชี้นำให้จิต "เชื่อ" ตามการชี้นำของ บาทหลวง
เป็นความจริงที่ว่า อาการของผู้ถูกผีสิง ที่มักจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามเผชิญหน้ากับบาทหลวง สามารถอธิบายได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ และทางการแพทย์ ว่าเป็นอาการผิดปกติทางจิตประเภทหนึ่ง เช่น อาการจิตแตกแยก อาการจิตเภท โรคซึมเศร้า และ ฮีสทีเรีย เป็นต้น
ส่วนอาการทางกายที่ปรากฏออกมา ก็อาจใช้ความรู้ทางการแพทย์อธิบายว่าเป็นอาการจำพวก ลมบ้าหมู เพ้อคลั่ง ลืมเลือน และ ประสาทหลอน
ศาสนิกชนที่ประสบอาการเหล่านั้น มักจะแสวงหาบาทหลวงก่อนจะคิดถึงแพทย์ ด้วยว่า บาทหลวงจะช่วยสนับสนุนความคิดของตนที่เชื่อว่าตนถูกผีสิง และมีอาการเจ็บป่วยทางจิตวิญญาณ ขณะที่การพบแพทย์ หรือ จิตแพทย์ กลับจะเป็นการบังคับให้พวกเขาต้องเผชิญกับความจริงอันโหดร้าย ความเครียด ความกังวล และบอกกับพวกเขาว่าพวกเขาป่วยเป็นโรคอะไรที่เขาไม่อยากฟังอยู่
นักวิจารณ์บางคนกล่าวถึงพิธีกรรม Exorcism ว่า
พิธีกรรม Exorcist แท้จริงเป้นแค่พิธีการบำบัดทางจิต หรือการสะกดจิต ด้วยการใช้พิธีเป้นสื่อในการควบคุมสภาวะจิตของผู้ป่วยเสมือนอย่างที่นักสะกดจิตทำ การสวดภาวนาของบาทหลวงก็ดี การทำสมาธิ และใช้เครื่องหมายสัญลักษณ์ในการประกอบพิธีกรรมอย่างมีรูปแบบแบบแผนก็ดี เป้นการทำให้ผู้ป่วยอยู่ในสภาวะที่ล่องลอย และตกในภวังค์ ซึ่งเป็นการง่ายที่จะใส่บทบาทอะไรให้กับผู้ป่วยต่อไปก็ได้
นักสะกดจิตมืออาชีพสามารถสะกดจิตให้คนหนึ่งๆ คิดว่าตัวเองเป็น สุนัข ได้ ดังนั้น บาทหลวง ก็น่าจะสะกดจิตให้คนหนึ่งๆ เชื่อว่าตัวเองถูกผีสิง มีพฤติกรรม และ พูดเยี่ยงผี ปีศาจได้
นักวิจารณ์เชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งบางครั้งนอกจากจะไม่ก่อประโยชน์แล้ว ยังทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการดูแลบำบัดทางจิตที่ถูกต้อง อย่างที่ควรจะได้รับด้วย
ขีดจำกัดของคนหนึ่งๆ ในการเชื่อในสิ่งที่เหลือเชื่อมีอยู่อย่างจำกัด
และ ขีดจำกัดของคนหนึ่งๆ ที่จะถูกหลอก หรือ ลวงได้ ไร้ขีดจำกัด
จิตใจของมนุษย์นั้นแปลก
การรับรู้ของมนุษย์นั้นแปลก
เพราะมันทำให้คนเราถูกหลอก
จินตนการ หรือ เห็นสิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้นจากจิตใจของเราได้ ทั้งๆ ที่เรายังมีสติอยู่
จิตแพทย์โดยส่วนมาก (แต่ไม่ใช่ทั้งหมด) และรวมถึงบรรดานักวิทยาศาสตร์ต่างๆ มักชอบที่จะสรุปว่า อาการของคนถูกผีสิงทั้งหลาย เป็นเพียงอาการหนึ่งทางจิต ที่กระทำโดยกระบวนการของจิตใต้สำนึก อันเป็นแหล่งสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดอาการต่างๆ และเป็นเสมือนการสะกดจิต หรือชี้นำให้จิต "เชื่อ" ตามการชี้นำของ บาทหลวง
เป็นความจริงที่ว่า อาการของผู้ถูกผีสิง ที่มักจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามเผชิญหน้ากับบาทหลวง สามารถอธิบายได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ และทางการแพทย์ ว่าเป็นอาการผิดปกติทางจิตประเภทหนึ่ง เช่น อาการจิตแตกแยก อาการจิตเภท โรคซึมเศร้า และ ฮีสทีเรีย เป็นต้น
ส่วนอาการทางกายที่ปรากฏออกมา ก็อาจใช้ความรู้ทางการแพทย์อธิบายว่าเป็นอาการจำพวก ลมบ้าหมู เพ้อคลั่ง ลืมเลือน และ ประสาทหลอน
ศาสนิกชนที่ประสบอาการเหล่านั้น มักจะแสวงหาบาทหลวงก่อนจะคิดถึงแพทย์ ด้วยว่า บาทหลวงจะช่วยสนับสนุนความคิดของตนที่เชื่อว่าตนถูกผีสิง และมีอาการเจ็บป่วยทางจิตวิญญาณ ขณะที่การพบแพทย์ หรือ จิตแพทย์ กลับจะเป็นการบังคับให้พวกเขาต้องเผชิญกับความจริงอันโหดร้าย ความเครียด ความกังวล และบอกกับพวกเขาว่าพวกเขาป่วยเป็นโรคอะไรที่เขาไม่อยากฟังอยู่
นักวิจารณ์บางคนกล่าวถึงพิธีกรรม Exorcism ว่า
พิธีกรรม Exorcist แท้จริงเป้นแค่พิธีการบำบัดทางจิต หรือการสะกดจิต ด้วยการใช้พิธีเป้นสื่อในการควบคุมสภาวะจิตของผู้ป่วยเสมือนอย่างที่นักสะกดจิตทำ การสวดภาวนาของบาทหลวงก็ดี การทำสมาธิ และใช้เครื่องหมายสัญลักษณ์ในการประกอบพิธีกรรมอย่างมีรูปแบบแบบแผนก็ดี เป้นการทำให้ผู้ป่วยอยู่ในสภาวะที่ล่องลอย และตกในภวังค์ ซึ่งเป็นการง่ายที่จะใส่บทบาทอะไรให้กับผู้ป่วยต่อไปก็ได้
นักสะกดจิตมืออาชีพสามารถสะกดจิตให้คนหนึ่งๆ คิดว่าตัวเองเป็น สุนัข ได้ ดังนั้น บาทหลวง ก็น่าจะสะกดจิตให้คนหนึ่งๆ เชื่อว่าตัวเองถูกผีสิง มีพฤติกรรม และ พูดเยี่ยงผี ปีศาจได้
นักวิจารณ์เชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งบางครั้งนอกจากจะไม่ก่อประโยชน์แล้ว ยังทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการดูแลบำบัดทางจิตที่ถูกต้อง อย่างที่ควรจะได้รับด้วย