มันยากที่จะตัดใจจากสิ่งลวง

ปรับทุกข์ หนุนใจ ขอคำภาวนา
ตอบกลับโพส
APaladin
โพสต์: 204
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ พ.ค. 15, 2009 1:59 am

ศุกร์ พ.ค. 15, 2009 2:38 am

ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้าครั้งแรกตอนมัธยม1 เพราะเรียนโรงเรียนคริสต์ แต่ไม่สนใจพระเจ้าเลยฟังไปงั้นๆให้สอบผ่านกิจกรรม รู้จักพระเจ้าจริงๆจังๆครั้งแรกตอนอายุ17จากผู้สอนศาสนาของมอรมอน และรับบัพติสมาในเดือนกุมภาพันธ์หลังจากนั้นอีก3เดือน และเริ่มศึกษาพระคัมภีร์มอรมอนอย่างจิงจังจนอ่านจบ และเริ่มงานรับใช้ในโบถมอรมอนเล็กๆน้อยๆ ปลีกตัวออกจากโบถเมื่ออายุ19 เพราะเหตุผลโง่ๆและคิดว่าค่อยกลับไปโบถเมื่อพร้อม เวลาผ่านไปสิบกว่าปีจนปัจจุบัน(ตอนนี้อายุย่าง32)ก็ยังไม่สามารถกลับไปโบถได้ ?????? เกิดไรขึ้นกับฉันกันแน่ ช่วงนี้จิตใจฉันสับสนหลายอย่าง ฉันทำผิดพลาดมากมายหลังจากออกจากโบถ และไม่ได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยคำของพระเจ้าอีก?? มันยากจิงๆที่จะกลับใจและละทิ้งบาป และเมื่อเราห่างใกลจากคำของพระเจ้าเราก็ยิ่งดิ่งลงสู่เบื้องลึกของบาปของเรา แน่อนว่าบาปที่เราทำทุกวันทำให้เราละอายที่จะกลับไปหาพระองค์ และเรารู้สึกเหมือนแกะที่ด่างพร้อยย่อมละอายที่จะไปรวมกับฝูงแกะของพระคริสต์ วันนี้ผมเสิร์ชมาเจอเว็บนี้และได้อ่านโพสบางหัวข้อ รู้สึกว่าบอร์ดเปิดกว้างทุกนิกายที่สร้างสรรค์ความดี ผมเลยอยากจะระบายความรู้สึกที่มีไว้เพื่อแชร์ความรู้สึกกับกลุ่มคนที่มีพื้นฐานความคิดและความเชื่อใกล้เคียงกัน
และหวังว่าจะได้รับบางสิ่งที่ช่วยให้ผมเข้มแข็งและกล้าพอที่จะเลือกสิ่งที่ถูกต้อง ในโลกก็เต็มไปด้วยข่าวสารมากมาย แต่ก็นั่นละหายากที่จะมีข่าวสารที่บำรุงเลี้ยงจิตวิญญาณได้ ท้อแท้จัง : xemo023 :
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ พ.ค. 15, 2009 6:33 am

ขอเชิญพี่P มาให้คำแนะนำขอรับ เจอพี่น้องมอร์มอนแล้ว ::046::
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

ศุกร์ พ.ค. 15, 2009 10:03 am

ยินดีต้อนรับครับ

ทุกครั้งที่สับสน ให้เราสวดภาวนาขอพระจิตเจ้าประทานความสว่างให้นะครับ
takarakitten
โพสต์: 111
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร มี.ค. 31, 2009 7:53 am
ที่อยู่: วันจันทร์-เสาร์ อยูใกล้วัดอัสสัมชัญ

ศุกร์ พ.ค. 15, 2009 10:30 am

อยากกลับไปโบสถ์ ก็กลับเลยครับ
ไปมันแบบ เนื้อตัวยังมอมแมม นี่แหละครับ
ผมเชื่อมั่นว่า ทุกคนยินดีต้อนรับ และดีใจมาก ที่ลูกแกะน้อยเดินกลับมาบ้านเอง
มันไม่จำเป็นหรอกครับ ที่แกะน้อยจะต้องรักษาแผลที่เกิดขึ้นให้หมดจดเสียก่อน
หรือต้องไปขัดสีฉวีวรรณ จนขาวจั๊ว ก่อน
แล้วจึงจะกลับบ้านได้

ถ้าคุณรู้สึกว่า ไม่ค่อยมีพลัง และสับสน ยิ่งต้องรีบกลับบ้านเลยครับ

รู้สึกผิดได้ รู้สึกบาปได้ รู้สึกละอายใจได้
แต่อย่าให้ความรู้สึกเหล่านั้นมาทำร้ายเรา เรารู้สึกผิด รู้สึกบาป และละอาย
ก็เพื่อที่จะสำนึก ขอโทษพระ และเริ่มต้นใหม่
เราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ เพราะพระองค์ใจดีที่สุด

อ่อนโยนกับตัวเอง ให้อภัยตัวเองด้วยนะครับ
ขอพระอวยพรครับ
APaladin
โพสต์: 204
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ พ.ค. 15, 2009 1:59 am

ศุกร์ พ.ค. 15, 2009 10:57 am

นั่นคงต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมากแน่ : xemo023 : แต่ก็ขอบคุงมากๆคับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
creamy
โพสต์: 68
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ย. 12, 2008 9:59 pm

ศุกร์ พ.ค. 15, 2009 12:51 pm

การกลับไปหาพระเจ้า ไม่ถึงกับต้องใช้ความกล้าหาญหรอกค่ะ ::042::  ใช้แค่ความรักก็พอแล้ว คงคล้ายกับที่เรารักใครสักคน คิดถึงใครสักคน ที่ไม่ได้พบกันนานแสนนาน แต่เมื่อความรักยังคงอยู่ เชื่อว่าคุณก็อยากจะพบกับเค้าใช่มั้ยล่ะค่ะ จริงๆแล้วพระเป็นเจ้าก็อยู่กับคุณตลอดแหล่ะค่ะ เพียงแค่เราอาจมีกำแพงที่ถูกสร้างขึ้นโดยตัวเราเอง โดยสิ่งรอบข้างมาบังๆ ไว้ทำให้เราไม่รู้ก็ได้ แต่ก็อีกนั่นแหล่ะค่ะ เมื่อความรักยังคงอยู่ พระเป็นเจ้าก็จะให้เรารู้สึกอยากกลับมาเป็นธรรมดา กลับมาบ้าน มาอยู่ในความรักของพระเป็นเจ้าน่ะค่ะ ::026::
Viridian
โพสต์: 2762
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 30, 2008 11:40 pm

ศุกร์ พ.ค. 15, 2009 1:53 pm

ข่าวดี ลูกา 15:1-32
       (1)บรรดาคนเก็บภาษีและคนบาปเข้ามาใกล้เพื่อฟังพระเยซูเจ้า (2)ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์ต่างบ่นว่า 'คนนี้ต้อนรับคนบาปและกินอาหารร่วมกับเขา' (3)พระองค์จึงตรัสเรื่องอุปมานี้ให้เขาฟัง

เรื่องแกะที่พลัดหลง
       (4)'ท่านใดที่มีแกะหนึ่งร้อยตัว ตัวหนึ่งพลัดหลง จะไม่ละแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้ในถิ่นทุรกันดาร ออกไปตามหาแกะที่พลัดหลงจนพบหรือ (5)เมื่อพบแล้ว เขาจะยกมันใส่บ่าด้วยความยินดี (6)กลับบ้าน เรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมา พูดว่า "จงร่วมยินดีกับฉันเถิด ฉันพบแกะตัวที่พลัดหลงนั้นแล้ว" (7)เราบอกท่านทั้งหลายว่าในสวรรค์จะมีความยินดีเช่นนี้เพราะคนบาปคนหนึ่งกลับใจมากกว่าความยินดีเพราะคนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคนที่ไม่ต้องการกลับใจใหม่"

เรื่องเงินเหรียญที่หายไป
       (8)'หญิงคนใดที่มีเงินสิบเหรียญแล้วทำหายไปหนึ่งเหรียญ จะไม่จุดตะเกียง กวาดบ้าน ค้นหาอย่างถี่ถ้วนจนกว่าจะพบหรือ (9)เมื่อพบแล้ว นางจะเรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมาพูดว่า "จงร่วมยินดีกับฉันเถิด ฉันพบเงินเหรียญที่หายไปแล้ว" (10)เราบอกท่านทั้งหลายว่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะมีความยินดีเช่นเดียวกัน เมื่อคนบาปคนหนึ่งกลับใจ' 
       (จบแบบสั้น)

เรื่องลูกล้างผลาญและลูกที่คิดว่าตนทำดีแล้ว
       (11)พระองค์ยังตรัสอีกว่า 'ชายผู้หนึ่งมีบุตรสองคน (12)บุตรคนเล็กพูดกับบิดาว่า "พ่อครับ โปรดให้ทรัพย์สมบัติส่วนที่เป็นมรดกแก่ลูกเถิด" บิดาก็แบ่งทรัพย์สมบัติให้แก่ลูกทั้งสองคน (13)ต่อมาไม่นาน บุตรคนเล็กรวบรวมทุกสิ่งที่มีแล้วเดินทางไปยังประเทศห่างไกล ที่นั่นเขาประพฤติเสเพลผลาญเงินทองจนหมดสิ้น (14)'เมื่อเขาหมดตัว ก็เกิดกันดารอาหารอย่างหนักทั่วแถบนั้น และเขาเริ่มขัดสน (15)จึงไปรับจ้างอยู่กับชาวเมืองคนหนึ่ง คนนั้นใช้เขาไปเลี้ยงหมูในทุ่งนา (16)เขาอยากกินฝักถั่วที่หมูกินเพื่อระงับความหิว แต่ไม่มีใครให้ (17)เขาจึงรู้สำนึกและคิดว่า "คนรับใช้ของพ่อฉันมีอาหารกินอุดมสมบูรณ์ ส่วนฉันอยู่ที่นี่ หิวจะตายอยู่แล้ว (18)ฉันจะกลับไปหาพ่อ พูดกับพ่อว่า "พ่อครับ ลูกทำบาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ (19)ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก โปรดนับว่าลูกเป็นผู้รับใช้คนหนึ่งของพ่อเถิด" (20)เขาก็กลับไปหาบิดา 'ขณะที่เขายังอยู่ไกล บิดามองเห็นเขา รู้สึกสงสาร จึงวิ่งไปสวมกอดและจูบเขา (21)บุตรจึงพูดกับบิดาว่า "พ่อครับ ลูกทำบาปผิดต่อสวรรค์และต่อพ่อ ลูกไม่สมควรได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีก" (22)แต่บิดาพูดกับผู้รับใช้ว่า "เร็วเข้า จงไปนำเสื้อสวยที่สุดมาสวมให้ลูกเรา นำแหวนมาสวมนิ้ว นำรองเท้ามาใส่ให้ (23)จงนำลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วไปฆ่า แล้วกินเลี้ยงฉลองกันเถิด (24)เพราะลูกของเราผู้นี้ตายไปแล้วกลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก" แล้วการฉลองก็เริ่มขึ้น (25)'ส่วนบุตรคนโตอยู่ในทุ่งนา เมื่อกลับมาใกล้บ้าน ได้ยินเสียงดนตรีและการร้องรำ (26)จึงเรียกผู้รับใช้คนหนึ่งมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น (27)ผู้รับใช้บอกเขาว่า "น้องชายของท่านกลับมาแล้ว บิดาสั่งให้ฆ่าลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้ว เพราะเขาได้ลูกกลับคืนมาอย่างปลอดภัย" (28)บุตรคนโตรู้สึกโกรธ ไม่ยอมเข้าไปในบ้าน บิดาจึงออกมาขอร้องให้เข้าไป (29)แต่เขาตอบบิดาว่า "ลูกรับใช้พ่อมานานหลายปีแล้ว ไม่เคยฝ่าฝืนคำสั่งของพ่อเลย พ่อก็ไม่เคยให้ลูกแพะแม้แต่ตัวเดียวแก่ลูกเพื่อเลี้ยงฉลองกับเพื่อน ๆ (30)แต่พอลูกคนนี้ของพ่อกลับมา เขาคบหญิงเสเพล ผลาญทรัพย์สมบัติของพ่อจนหมด พ่อยังฆ่าลูกวัวที่ขุนอ้วนแล้วให้เขาด้วย" (31)'บิดาพูดว่า "ลูกเอ๋ย ลูกอยู่กับพ่อเสมอมา ทุกสิ่งที่พ่อมีก็เป็นของลูก (32)แต่จำเป็นต้องเลี้ยงฉลองและชื่นชมยินดี เพราะน้องชายคนนี้ของลูกตายไปแล้ว กลับมีชีวิตอีก หายไปแล้ว ได้พบกันอีก"'

*******************       

       ไม่มีข้อความใดในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ที่จะน่ารักเท่ากับพระวรสารของนักบุญลูกาบทที่ 15 นี้อีกแล้ว บางคนถึงกับเรียกบทนี้ว่า "ข่าวดีในพระวรสาร"
       พวกฟาริสีและธรรมาจารย์ถือว่าคนที่ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือหยุมหยิมเพียงใดก็ตาม ถือว่าเป็นคนบาป หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "ชาวโลก" (People of the Land) พวกเขาวางกฎไว้ว่า "เมื่อพบชาวโลก ห้ามให้เงินแก่พวกเขา ห้ามพวกเขาเป็นพยาน ห้ามบอกความลับแก่พวกเขา ห้ามตั้งพวกเขาเป็นผู้ดูแลเด็กกำพร้า หรือกองทุนความรัก ห้ามเดินทางร่วมกับพวกเขา....ฯลฯ"
       พูดง่าย ๆ ห้ามติดต่อหรือทำธุรกรรมใด ๆ ทั้งสิ้นกับคนบาปหรือชาวโลก ชาวยิวที่เคร่งครัดเชื่อว่า "ชาวสวรรค์จะชื่นชมยินดี ไม่ใช่เพราะคนบาปคนหนึ่งกลับใจ แต่เพราะคนบาปคนหนึ่งถูกทำลายไปต่อหน้าพระเป็นเจ้า"
       พวกฟาริสีและธรรมาจารย์ถือว่าคนเก็บภาษีและคนบาปสิ้นหวังแล้ว รอแต่เพียงถูกกำจัดให้สูญสิ้นไปเท่านั้น เมื่อเห็นพระเยซูเจ้าไปคบหากับคนเหล่านี้ พวกเขายอมรับไม่ได้เด็ดขาด
       พระองค์จึงตรัสสอนพวกเขาด้วยนิทานเปรียบเทียบที่สุดแสนจะน่ารักถึง 3 เรื่องด้วยกัน

เรื่องแกะที่พลัดหลง       
        ภูมิประเทศของปาเลสไตน์เป็นที่ราบสูงแคบ ๆ เป็นแนวยาวจากเหนือจรดใต้ พ้นจากที่ราบสูงก็เป็นหน้าผาสูงชัน และถิ่นทุรกันดารในทะเลทราย ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์จึงมีอยู่เพียงน้อยนิดบนที่ราบสูงกึ่งกลางประเทศ
        เนื่องจากไม่มีรั้วรอบขอบมิดชิด จึงเป็นการง่ายมากที่แกะจะพลัดหลงจากฝูง และติดอยู่ตามซอกหิน หรือหน้าผาสูงชัน
        คนเลี้ยงแกะมีหน้าที่รับผิดชอบแกะทุกตัวในฝูง ถ้าแกะหายเขาต้องแกะรอยเท้าตามจนพบ ถ้าแกะตายเขาต้องนำขนแกะกลับบ้านเพื่อยืนยันว่าแกะตายและตายอย่างไร และเพื่อป้องกันเหตุร้ายเหล่านี้ คนเลี้ยงแกะจึงต้องยืนพิงไม้เท้า อดหลับอดนอน ทนแดดทนฝน เพ่งตามองฝูงแกะไม่ให้พลัดหลง และต้องพร้อมเสี่ยงชีวิตป้องกันแกะจากขโมย ฝูงสุนัขป่าและไฮยีน่า
        คนเลี้ยงแกะจึงได้รับการยอมรับอย่างสูงในปาเลสไตน์ พระเยซูเจ้าก็เปรียบพระองค์เองเป็นนายชุมพาบาล (คนเลี้ยงแกะ) ที่ดี
        หลายครั้งฝูงแกะไม่ใช่ของส่วนตัว แต่เป็นของทั้งหมู่บ้าน ถ้าชาวบ้านทราบว่าแกะของตนพลัดหลงจากฝูง พวกเขาจะพร้อมใจกันเฝ้ารอด้วยความกระวนกระวาย และหากเห็นคนเลี้ยงแกะเดินกลับมาแต่ไกลพร้อมแกะที่พลัดหลงบนบ่า พวกเขาจะโห่ร้องด้วยความยินดีสุด ๆ
        และจากเหตุการณ์จริงในชีวิตประจำวันนี้เองที่พระเยซูเจ้าทรงนำมาวาดให้เห็นภาพของพระเป็นเจ้าที่สุดแสนจะดีใจเมื่อเราคนบาปที่หลงผิดไปหันกลับมาหาพระองค์
       บางคนเถียงว่า แล้วแกะอีก 99 ตัวที่ไม่หลงฝูงล่ะ พระองค์ไม่ดีใจบ้างหรือ ?
       ใช่ พระเป็นเจ้ารักคนดี รักแกะที่ไม่พลัดหลง แต่ในเวลาเดียวกันพระองค์ก็ยินดีด้วยที่คนหลงผิดหันกลับมาหาพระองค์ 
       การจะกลับมาหาพระเป็นเจ้านั้น ง่ายกว่าการกลับมาทนฟังขี้ปากมนุษย์ด้วยกันเองเป็นพัน ๆ เท่าทีเดียว !!!!!
       ช่างน่าเสียดายจริง ๆ

เรื่องเงินเหรียญที่หายไป
       บ้านของชาวยิวในชนบทมักเป็นบ้านเดี่ยว ห้องเดียว พื้นห้องเป็นดินอัดปูด้วยหญ้าแห้งจำพวกอ้อหรือกก ภายในมืดสลัวเพราะมีหน้าต่างกลมเล็ก ๆ ประมาณ 18 นิ้วเพียงบานเดียว การค้นหาเหรียญที่หายไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะพื้นมีหญ้าแห้งปกคลุม อีกทั้งแสงสว่างก็น้อย แม่บ้านจึงต้องจุดตะเกียง และกวาดบ้านอย่างถี่ถ้วนเผื่อว่าจะเห็นประกายหรือได้ยินเสียงเหรียญกระทบพื้น
       นางต้องค้นหาให้พบ เพราะเหรียญนั้นแม้จะเป็นเพียงเหรียญเงินหนึ่งดรักมา ซึ่งมีมูลค่าประมาณค่าแรงขั้นต่ำหนึ่งวัน แต่สำหรับคนที่หาเช้ากินค่ำเช่นนาง การหาเหรียญไม่พบย่อมหมายถึงความหิวโหย เพราะทั้งครอบครัวจะไม่มีอะไรกิน
       อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นางต้องค้นหาเหรียญให้พบ อาจเป็นเพราะว่าเหรียญนั้นเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องประดับสำคัญเวลาแต่งงาน ซึ่งประกอบด้วยเหรียญเงิน 10 เหรียญ เชื่อมติดกันด้วยสร้อยเงิน ใช้สวมบนศีรษะ มีคุณค่าเทียบเท่าแหวนแต่งงานของเราในปัจจุบัน
       ถ้าแหวนแต่งงานของเราหาย เราจะรู้สึกอย่างไร ?
       ไม่ว่านางจะค้นหาเหรียญด้วยเหตุผลใดก็ตาม หากเหรียญนั้นกลับมาอยู่ในมือของนางอีกครั้งหนึ่ง นางย่อมยินดีปรีดาสุด ๆ
       พระเป็นเจ้าก็เป็นเช่นเดียวกัน !
       พวกฟารีสีและชาวยิวทั่วไปยอมรับว่าคนบาปที่หมอบคลานมาหาพระเป็นเจ้าด้วยความสำนึกผิดจะได้รับการอภัย
       แต่พระเป็นเจ้าที่ออกไปค้นหาคนบาปที่หลงผิด เหมือนหญิงที่ค้นหาเหรียญที่สูญหายนี่สิ เป็นเรื่องใหม่และจ๊าบสุด ๆ
       ตั้งแต่เกิดมา ยังไม่เคยได้รู้เลยว่ามีใครสอนเรื่องพระเป็นเจ้าเหมือนที่พระเยซูเจ้าสอนเราในวันนี้ !!!!!!

เรื่องลูกล้างผลาญและลูกที่คิดว่าตนทำดีแล้ว
        ตามกฎหมายยิว บิดาต้องแบ่งทรัพย์สมบัติให้แก่บุตรหัวปี 2 เท่าของบุตรคนอื่น ๆ (ฉธบ. 21:17) เพราะฉะนั้นบุตรคนโตควรได้ 2 ใน 3 ส่วน ส่วนบุตรคนเล็กได้ 1 ใน 3 ส่วน และไม่แปลก หากบิดาจะแบ่งสมบัติให้บุตรก่อนตาย ถ้าต้องการเกษียณตัวเอง
        แต่งานนี้ บิดายังไม่ทันจะคิดวางมือจากกิจการต่าง ๆ บุตรคนเล็กก็ขอส่วนแบ่งสมบัติเสียแล้ว
        และเมื่อล้างผลาญเงินจนหมดเกลี้ยง เขาก็ไปรับจ้างเป็นคนเลี้ยงหมู ซึ่งเป็นอาชีพต้องห้ามตามกฎหมายยิวที่ว่า "ขอให้ผู้เลี้ยงหมูจงถูกสาปแช่ง"
        เมื่อสำนึกผิด เขาคิดจะกลับไปหาบิดาเพื่อสมัครเป็นเพียง "คนใช้" ซึ่งมีสถานภาพต่ำสุดในสังคมยิว ต่ำกว่า "ทาส" เสียอีก เพราะทาสยังมีสังกัด คือได้เป็นสมาชิกคนหนึ่งของครอบครัว ส่วนคนใช้นั้นไร้สังกัด จะอยู่หรือจะไปเมื่อใดก็ได้ทั้งนี้สุดแล้วแต่ "นาย"
        ส่วนบิดาเมื่อเห็นบุตรคนเล็กแต่ไกลกำลังกลับมา เขาสั่งคนใช้ให้นำ เสื้อ แหวน และรองเท้ามาสวมใส่ให้แก่บุตรผู้สำนึกผิด
        เสื้อหมายถึงเกียรติยศ แหวนหมายถึงอำนาจ และรองเท้าหมายถึงความเป็นบุตร (พวกทาสผิวดำมักวอนขอพระเป็นเจ้าโปรดประทานรองเท้าแก่บุตรหลานของพวกเขา เพราะรองเท้าบ่งบอกถึงเสรีภาพ)

        ข้อคิดสำหรับเราทุกคนคือ
        1. ต้องบอกว่าพฤติกรรมของบุตรคนเล็กนั้นเลวสุด ๆ เมื่อบิดาไม่ยอมตายก็เลยขอแบ่งสมบัติซะเลย และแทนที่จะนำสมบัติไปลงทุน กลับนำไปล้างผลาญจนสิ้นเนื้อประดาตัว คงไม่มีใครในพวกเราเลวเทียบเท่า แต่มีสักกี่คนในพวกเราที่สำนึกผิดและกลับมาหาพระบิดาเหมือนเขา ?
        2. บิดาผู้ใจดีบนโลกนี้เห็นบุตรคนเล็กแต่ไกล ยังรีบวิ่งไปหา ไม่มีเสียงบ่นด่า เช่น "สมน้ำหน้า" เล็ดรอดออกมาจากปากสักคำ เสียงที่ดังออกมาก็คือ "จงไปเอาเสื้อที่สวยที่สุด แหวน และรองเท้ามาสวมให้ลูกของเรา จงฆ่าลูกวัวอ้วนพีเลี้ยงฉลองกันเถิด"
        พระบิดาเจ้าสวรรค์จะยิ่งเฝ้ารอให้เรากลับมาหาพระองค์ เพื่อพระองค์จะได้ให้อภัยแก่เรามากกว่านี้สักเพียงใด ?
        3. บุตรคนโตเปรียบได้กับพวกฟาริสีและธรรมาจารย์
            3.1 ท่าทีของเขาทำให้เห็นว่าหลายปีที่เขานบนอบเชื่อฟังและทำงานรับใช้บิดานั้น เป็นการปฏิบัติตามหน้าที่อย่างขมขื่น หาใช่เป็นการรับใช้บิดาด้วยความรักแต่ประการใดไม่
            3.2 เขาขาดความเมตตาสงสารโดยสิ้นเชิง เขาไม่ยอมรับบุตรคนเล็กเป็นน้อง แต่เรียกว่า "ลูกชายคนนั้นของพ่อ" และอยากเห็นลูกของพ่อคนนั้นถูกทำลายย่อยยับไป
            น่าเสียดาย พวกเราจำนวนไม่น้อยก็พร้อมจะเหยียบย่ำคนที่ "พลาด" ให้จมติดดิน ไม่ว่าจะด้วยคำวิพากษ์วิจารณ์ คำติฉินนินทา คำดูหมิ่นเหยียดหยาม ฯลฯ แทนที่จะช่วยให้เขา "ลุกขึ้น" อีกครั้งหนึ่ง
            3.3 เพราะเขาหมกมุ่นทางเพศ เขาจึงเป็นคนแรกที่กล่าวหาน้องชายว่าคบหญิงเสเพลหรือหญิงโสเภณี ทั้ง ๆ ที่ไม่มีการกล่าวถึงเรื่องนี้มาก่อน แน่นอน เขาสงสัยว่าน้องชายของเขาจะทำผิดในสิ่งที่ตัวเขาเองนั่นแหละอยากจะกระทำ !

ข้อสังเกต      
       พระเยซูเจ้าทรงเล่านิทานเปรียบเทียบทั้ง 3 เรื่อง เพื่อให้มุมมองที่แตกต่างกัน 3 ด้าน กล่าวคือ
       1. แกะพลัดหลงจากฝูงเพราะความโง่เขลาของแกะเอง หากมนุษย์เราไม่โง่เขลา รู้จักคิดก่อนทำ เราคงหลงผิดน้อยกว่านี้มากมายหลายเท่านัก
       2. เหรียญเงินสูญหายไม่ใช่เพราะความผิดของตัวเหรียญเอง เหมือนเราหลายคนที่หลงผิดไปไม่ใช่โดยสันดาน แต่เป็นเพราะถูกคนอื่นล่อลวงหรือสร้างสถานการณ์บีบบังคับให้กระทำการดังกล่าว
       3. ลูกล้างผลาญตั้งใจและเต็มใจตีจากพ่อบังเกิดเกล้าของตนเอง ช่างใจดำจริง ๆ

       แต่ความรักของพระเป็นเจ้าพร้อมให้อภัยเรามนุษย์ทุกคน ไม่ว่าเราจะหลงผิดไปเพราะความโง่เขลาของเราเอง หรือถูกผู้อื่นล่อลวง หรือเราจงใจกบฏต่อพระเป็นเจ้าเองก็ตาม



(ที่มา: http://www.chandiocese.org/sermon/c/ord ... _ord_C.doc)
แก้ไขล่าสุดโดย Viridian เมื่อ เสาร์ พ.ค. 16, 2009 4:55 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
APaladin
โพสต์: 204
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ พ.ค. 15, 2009 1:59 am

เสาร์ พ.ค. 16, 2009 1:17 am

ขอบคุนทุกคนครับรู้สึกสบายใจขึ้นมากทีเดียว บอร์ดนี้ดีจริงๆ เพราะเป็นของคนไทยซึ่งผมเข้าใจได้ โชคดีทีเสิร์จเจอ
APaladin
โพสต์: 204
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ พ.ค. 15, 2009 1:59 am

เสาร์ พ.ค. 16, 2009 3:40 am

พี่pนี่ใครเหรอครับ หรือว่าถ้ามีความเชื่อหรือความรู้ส่วนใหญ่ ที่เป็นพื้นฐานจากคัมภีร์มอรมอน แล้วจะช่วยสมาชิกมอรมอนได้หรือ?? ผมไม่รู้หรอกครับที่ผมต้องการจริงๆแค่ประจักษ์พระยานต่อพระเจ้า ต่อพระเยซูคริสต์ และต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผมต้องการประจักษ์พยานของ??ที่ทำให้ผมอิ่มเอมได้ เพื่อจิตวิญญาณผมจะเข้มแข็งขึ้นได้ ผมเห็นแก่ตัวไปใหม ไม่รูสิ?? มันน่าเกลียดที่จะยอมรับความจริงที่ว่าผมอ่อนแอและเห็นแก่ตัว แต่นั่นละคือตัวตนของอีกหลายคนที่ท่านต้องพบ ท่านจะมองและรู้สึกอย่างไร?? มันสบสนใหมละ ภาพสะท้อนนี้มาจากตัวผมเองไม่ได้เกี้ยวข้องกับความความเชื่อใดๆ หรือขัดศาสนาใหน ผมเป็นมอรมอนหรือ?? ตอบแทนผมหน่อยได้ใหม??
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

เสาร์ พ.ค. 16, 2009 5:06 am

APaladin เขียน: พี่pนี่ใครเหรอครับ หรือว่าถ้ามีความเชื่อหรือความรู้ส่วนใหญ่ ที่เป็นพื้นฐานจากคัมภีร์มอรมอน แล้วจะช่วยสมาชิกมอรมอนได้หรือ?? ผมไม่รู้หรอกครับที่ผมต้องการจริงๆแค่ประจักษ์พระยานต่อพระเจ้า ต่อพระเยซูคริสต์ และต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผมต้องการประจักษ์พยานของ??ที่ทำให้ผมอิ่มเอมได้ เพื่อจิตวิญญาณผมจะเข้มแข็งขึ้นได้ ผมเห็นแก่ตัวไปใหม ไม่รูสิ?? มันน่าเกลียดที่จะยอมรับความจริงที่ว่าผมอ่อนแอและเห็นแก่ตัว แต่นั่นละคือตัวตนของอีกหลายคนที่ท่านต้องพบ ท่านจะมองและรู้สึกอย่างไร?? มันสบสนใหมละ ภาพสะท้อนนี้มาจากตัวผมเองไม่ได้เกี้ยวข้องกับความความเชื่อใดๆ หรือขัดศาสนาใหน ผมเป็นมอรมอนหรือ?? ตอบแทนผมหน่อยได้ใหม??
ไม่มีใครรู้หรอกค่ะว่า เราคือใคร  พระเป็นเจ้าจะบอกเราเองค่ะว่า เราคือใคร  : xemo017 :

สิ่งสำคัญ ตอนนี้ก็ต้องนิ่ง และทำใจสบายๆก่อนนะคะ ขอให้เชื่อในความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา ต่อให้เราอ่อนแอ สกปรกมอมแมมแค่ไหน พระก็ยังรักเราค่ะ พระองค์รักเรามากจริงๆ ถ้าไม่เชื่อ ก็ถามพระองค์ดูก็ได้ค่ะ ถามพระองค์ว่า พระองค์รักลูกขนาดไหน ลูกเป็นแบบนี้ ยังจะรักอีกเหรอ 

พระเป็นเจ้า มีวิธีการแสดงความรักที่เราจะรู้และสัมผัสได้เสมอค่ะ ...  ขออย่างเดียว ขอให้เราเปิดใจ ไว้ใจพระองค์  และหยุดนิ่งซักนิด เพื่อคอยให้พระองค์ได้แสดงความรักออกมาให้เราเห็น เท่านั้นเองค่ะ  : xemo026 :

พระอวยพรนะคะ  : xemo026 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
Slave of God
โพสต์: 336
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 02, 2008 10:47 pm

อาทิตย์ พ.ค. 17, 2009 1:19 am

วันนี้วันอาทิตย์  เป็นโอกาสอันดีนะครับ  นึกถึงพระเป็นอันดับแรก ใครจะมองยังไงอย่าไปสน  สนเพียงว่าพระไม่เคยเกลียดเราแค่นั้นพอ พระรักเรามากจนยอมกางแขนออกแล้วตายบนกางเขนเพื่อเราทุกคน ขอพระเจ้าอวยพรครับ
APaladin
โพสต์: 204
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ พ.ค. 15, 2009 1:59 am

อาทิตย์ พ.ค. 17, 2009 11:09 am

ขอบคุนทุกคนครับถ้าบางโพสผมใช้คำแรงไปก็ขอโทดจริงๆคับ แบบว่าอารมณ์ไม่ค่อยเสถียรสักเท่าใหร่
ตอบกลับโพส