เกี่ยวกับการแต่งงาน
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
มีสิครับ
-
- โพสต์: 1653
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 10, 2007 9:22 pm
- ที่อยู่: ไม่ใกล้ไม่ใกล้จากวัดอัสสัม-0-
หากจำไม่ผิดนะคับ รู้สึกคุ้นๆว่า จะต้องเหตุผลประกอบอ่ะคับ เหตุผลที่ศาลของศาสนาจักรรับรอง หรืออะไรซักอย่างนี้อ่ะคับ
- Ecclēsia
- โพสต์: 976
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 27, 2009 9:25 pm
- ที่อยู่: อาสนวิหารอัสสัมชัญ เขต1 อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ
- ติดต่อ:
ก่อนจะจัดพิธีจะมีการอบรมคู่เเต่งงานอยู่เเล้วนะคะ ช่วงนั้นคู่บ่าวสาวน่าจะพิจารณาตนเองดีเเล้วว่าจะเเต่งหรือไม่เเต่ง
ปกติพระศาสนจักรไม่อนุญาตให้มีการหย่า ยกเว้นบางกรณีจริงๆ ซึ่งต้องมีการสอบสวนโดยสำนักงานวินิจฉัยคดีอีก
สิ่งหนึ่งที่อยากจะบอกคือ การหย่าร้างไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาหรอกนะคะ เรื่องเเบบนี้ต้องแก้จากภายใน ไม่ใช่จากทะเบียนสมรสอ่าค่ะ
ปกติพระศาสนจักรไม่อนุญาตให้มีการหย่า ยกเว้นบางกรณีจริงๆ ซึ่งต้องมีการสอบสวนโดยสำนักงานวินิจฉัยคดีอีก
สิ่งหนึ่งที่อยากจะบอกคือ การหย่าร้างไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาหรอกนะคะ เรื่องเเบบนี้ต้องแก้จากภายใน ไม่ใช่จากทะเบียนสมรสอ่าค่ะ
ไม่รักกัน...แล้วจะแต่งงานไปทำไมล่ะคะ...
ในความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ ข้อดีของการที่แต่งงานแล้วหย่าร้างไม่ได้อย่างหนึ่งก็คือ...ให้เราได้ใช้ความคิดพิจารณาดีๆ เสียก่อนว่า เราตัดสินใจเลือกคนๆ นี้ เป็นคู่ชีวิตแน่แล้วหรือ? เราพร้อมที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเขาไปทั้งชีวิตใช่หรือไม่?
การแต่งงานคือการวมคนสองคนให้เป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อสร้างครอบครัว การแต่งงานจึงถือเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิตทีเดียว ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เหมือนเล่นขายของ นึกจะแต่งก็แต่ง นึกจะหย่าก็หย่า ถ้าเป็นอย่างนี้ แม้แต่คำว่า "แต่งงาน" ก็ไม่มีความหมาย หรือแม้แต่คำว่า "รัก" ก็อาจจะพลอยไม่มีค่าไปด้วย เพราะสิ่งที่จะผูกพันคนสองคนให้อยู่ด้วยกันได้ไปจนตลอดชีวิตอย่างแท้จริงนั้น ก็คือ "ความรัก" นั้นเอง "ดังนั้นเขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อเดียวกัน" (มัทธิว 19:6) ไม่ใช่ความใคร่ ความต้องการส่วนตัว หรือผลประโยชน์ ที่อาจจะผูกมัดได้แค่กาย...ไม่ใช่ใจ...
ดังนั้น การมีกฎว่า แต่งงานแล้วห้ามหย่า จึงทำให้คำว่า "แต่งงาน" ดูมีค่าและความหมายขึ้นมากนัก...
การแต่งงานที่ปราศจากความรัก มันคงเป็นการแต่งงานที่แห้งแล้ง จืดชืด และไร้ชีวิตชีวาซะไม่มี....
และนี่ก็คงไม่ใช่พระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าด้วย...
344.ความสมัครใจในศีลสมรสคืออะไร
ความสมัครใจในศีลสมรสคือการที่ชายและหญิงแสดงเจตนาที่จะมอบตนเองแก่กันและกันอย่างยกเลิกไม่ได้ เพื่อที่จะดำเนินชีวิตในความรักของพันธสัญญาที่ซื่อสัตย์และบังเกิดผล เนื่องจากความสมัครใจทำให้เกิดการสมรสจึงเป็นสิ่งที่ขาดมิได้และจะเอาอะไรมาแทนไม่ได้ เพื่อทำให้การสมรสถูกต้องตามกฎหมายและเป็นการกระทำของมนุษย์ที่รู้ตัวและเป็นอิสระ ต้องไม่มีความรุนแรงหรือการถูกบังคับ
348. พระศาสนจักรจะยอมรับการแยกกันอยู่ของคู่สมรสเมื่อใด
พระศาสนจักรจะยอมรับการแยกกันอยู่ของคู่สมรสเมื่อมีเหตุผลรุนแรงว่าการอยู่ร่วมของพวกเขาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ แม้ว่าจะมีความพยายามให้คืนดีกันแล้วก็ตาม อย่างไรก็ดี ตราบใดที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่สามารถรับศีลสมรสใหม่ได้อีก เว้นเสียแต่ศีลสมรสของพวกเขาจะถูกประกาศเป็นโมฆะและการนี้เป็นเรื่องของผู้ที่มีอำนาจในพระศาสนจักรที่จะกระทำ
(ที่มา : ประมวลคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก (กรุงเทพฯ : ศูนย์คริสตศาสนธรรมอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ, 2550), 209-212)
ไม่ว่ายังไง...การแต่งงานก็เป็นเรื่องของความสุขทั้งชีวิต...จึงต้องพิจารณาให้ดีๆ ก่อนตัดสินใจค่ะ
ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ
ป.ล. แนะนำกระทู้เพิ่มเติมค่ะ คำว่า แต่งงาน โดย นพ.สุกมล
ในความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ ข้อดีของการที่แต่งงานแล้วหย่าร้างไม่ได้อย่างหนึ่งก็คือ...ให้เราได้ใช้ความคิดพิจารณาดีๆ เสียก่อนว่า เราตัดสินใจเลือกคนๆ นี้ เป็นคู่ชีวิตแน่แล้วหรือ? เราพร้อมที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเขาไปทั้งชีวิตใช่หรือไม่?
การแต่งงานคือการวมคนสองคนให้เป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อสร้างครอบครัว การแต่งงานจึงถือเป็นเรื่องใหญ่ของชีวิตทีเดียว ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เหมือนเล่นขายของ นึกจะแต่งก็แต่ง นึกจะหย่าก็หย่า ถ้าเป็นอย่างนี้ แม้แต่คำว่า "แต่งงาน" ก็ไม่มีความหมาย หรือแม้แต่คำว่า "รัก" ก็อาจจะพลอยไม่มีค่าไปด้วย เพราะสิ่งที่จะผูกพันคนสองคนให้อยู่ด้วยกันได้ไปจนตลอดชีวิตอย่างแท้จริงนั้น ก็คือ "ความรัก" นั้นเอง "ดังนั้นเขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อเดียวกัน" (มัทธิว 19:6) ไม่ใช่ความใคร่ ความต้องการส่วนตัว หรือผลประโยชน์ ที่อาจจะผูกมัดได้แค่กาย...ไม่ใช่ใจ...
ดังนั้น การมีกฎว่า แต่งงานแล้วห้ามหย่า จึงทำให้คำว่า "แต่งงาน" ดูมีค่าและความหมายขึ้นมากนัก...
การแต่งงานที่ปราศจากความรัก มันคงเป็นการแต่งงานที่แห้งแล้ง จืดชืด และไร้ชีวิตชีวาซะไม่มี....
และนี่ก็คงไม่ใช่พระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าด้วย...
344.ความสมัครใจในศีลสมรสคืออะไร
ความสมัครใจในศีลสมรสคือการที่ชายและหญิงแสดงเจตนาที่จะมอบตนเองแก่กันและกันอย่างยกเลิกไม่ได้ เพื่อที่จะดำเนินชีวิตในความรักของพันธสัญญาที่ซื่อสัตย์และบังเกิดผล เนื่องจากความสมัครใจทำให้เกิดการสมรสจึงเป็นสิ่งที่ขาดมิได้และจะเอาอะไรมาแทนไม่ได้ เพื่อทำให้การสมรสถูกต้องตามกฎหมายและเป็นการกระทำของมนุษย์ที่รู้ตัวและเป็นอิสระ ต้องไม่มีความรุนแรงหรือการถูกบังคับ
348. พระศาสนจักรจะยอมรับการแยกกันอยู่ของคู่สมรสเมื่อใด
พระศาสนจักรจะยอมรับการแยกกันอยู่ของคู่สมรสเมื่อมีเหตุผลรุนแรงว่าการอยู่ร่วมของพวกเขาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ แม้ว่าจะมีความพยายามให้คืนดีกันแล้วก็ตาม อย่างไรก็ดี ตราบใดที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่สามารถรับศีลสมรสใหม่ได้อีก เว้นเสียแต่ศีลสมรสของพวกเขาจะถูกประกาศเป็นโมฆะและการนี้เป็นเรื่องของผู้ที่มีอำนาจในพระศาสนจักรที่จะกระทำ
(ที่มา : ประมวลคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก (กรุงเทพฯ : ศูนย์คริสตศาสนธรรมอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ, 2550), 209-212)
ไม่ว่ายังไง...การแต่งงานก็เป็นเรื่องของความสุขทั้งชีวิต...จึงต้องพิจารณาให้ดีๆ ก่อนตัดสินใจค่ะ
ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ
ป.ล. แนะนำกระทู้เพิ่มเติมค่ะ คำว่า แต่งงาน โดย นพ.สุกมล
แก้ไขล่าสุดโดย Viridian เมื่อ จันทร์ มิ.ย. 22, 2009 8:50 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
เห็นกระทู้นี้แล้ว รู้สึกแทงใจดำเป็นอย่างมาก เพราะคนที่คบอยู่เขาเป็นพุทธจ๋ามากๆ แต่เขาก็รู้ว่าเราศรัทธาในพระเป็นเจ้า แล้วก็จะเปลี่ยนศาสนาเป็นคริสต์ในอนาคตอย่างแน่นอน วันนี้กลับมานั่นนึกๆดู เราก็ไม่ได้คิดเรื่องนี้ตั้งแต่แรก(อยากให้เป็นคริสต์ด้วยกัน) แต่ก็คบกันมา 5 ปีแล้ว และไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะเลิกกัน ยอมรับว่าวันนี้ความรู้สึก รัก แบบเมื่อก่อนมันหมดไปแล้ว พอมีคนพูดว่าการแต่งงานคือการฝากชีวิตทั้งชีวิตไว้กับเขา จึงรู้สึกสับสนมาก ไม่อยากแต่งงานเลยล่ะ ยิ่งสุดท้ายถ้าต้องอยู่ด้วยกัน พ่อเจ้าประคุณ เครื่องลางของขลังเพียบ เห็นแล้วไม่สบายใจเลย ฝากสวดเผื่อด้วยน่ะ ทุกข์ใจมาก
การแต่งงานหรือมีครอบครัวไม่ใช่การฝากชีวิตทั้งชีวิตให้กับคู่ครองนะครับ โลกอาจจะสอนแบบนั้นจิงแต่จริงๆชีวิตแบบนั้นไปไม่รอดครับ พระเจ้าสร้างอดัมมาและหาคู่ชีวิตที่เหมาะสมให้เขาไม่ได้ในสิ่งที่พระเจ้าได้สร้างสรรคมา ดังนั้นพระเจ้าจึงได้สร้างอีฟมาจากกระดูกของอาดัมเองซึ่งเป็นคู่อุปถัมที่เหมาะสมกัน และอีฟที่กินผลไม้แห่งการรู้ดีชั่วนั้นก็ได้แบ่งให้อดัมกินด้วยและบาปที่ได้รับก็ตกสู่พวกเขา การที่เราแต่งงานก็เหมือนอีฟกับอดัม คือการผนึกชีวิตทั้ง2เข้าด้วยกัน เราก็เหมือนกันทุกสิ่งที่เกิดในครอบครัวหรือการแต่งงานคือยอมรับร่วมกันทั้งดีและเลว ชีวิตการแต่งงานคือการอุปถัมซึ่งกันและกันระหว่างชายหญิง บาปที่อีกคนก่อใช่ว่าอีกคนที่เป็นคู่จะละเลยได้ไม่ จะมีความรับผิดชอบร่วมกันไม่ว่าทำดีหรือทำบาปก็จะได้รับผลร่วมกันPond เขียน: เห็นกระทู้นี้แล้ว รู้สึกแทงใจดำเป็นอย่างมาก เพราะคนที่คบอยู่เขาเป็นพุทธจ๋ามากๆ แต่เขาก็รู้ว่าเราศรัทธาในพระเป็นเจ้า แล้วก็จะเปลี่ยนศาสนาเป็นคริสต์ในอนาคตอย่างแน่นอน วันนี้กลับมานั่นนึกๆดู เราก็ไม่ได้คิดเรื่องนี้ตั้งแต่แรก(อยากให้เป็นคริสต์ด้วยกัน) แต่ก็คบกันมา 5 ปีแล้ว และไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะเลิกกัน ยอมรับว่าวันนี้ความรู้สึก รัก แบบเมื่อก่อนมันหมดไปแล้ว พอมีคนพูดว่าการแต่งงานคือการฝากชีวิตทั้งชีวิตไว้กับเขา จึงรู้สึกสับสนมาก ไม่อยากแต่งงานเลยล่ะ ยิ่งสุดท้ายถ้าต้องอยู่ด้วยกัน พ่อเจ้าประคุณ เครื่องลางของขลังเพียบ เห็นแล้วไม่สบายใจเลย ฝากสวดเผื่อด้วยน่ะ ทุกข์ใจมาก
ถ้าสามีทำผิดภรรยาไม่ห้ามปรามและปล่อยให้หลงผิดบาปที่สามีทำก็เหมือนเราทำ และเช่นกันบาปที่เราทำก็ตกถึงสามีด้วยนั่นคือครอบครัว
เมื่อเราผนึกชีวิตครอบครัวแล้วภรรยาไม่ดีเป็นเหตุให้เราไปมีคนอื่นความผิดก็ตกอยู่ที่ทั้งครอบครัว หรือสามีไม่เอาใหนเป็นเหตุให้ภรรยาไปมีคนอื่นก็บาปก็ตกถึงทั้งคู่ร่วมกัน ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอันควรที่สามีภรรยาจะอย่าร้างกันด้วยเหตุผลอื่นใดนอกเหนือจากการเสียชีวิตของอีกฝ่าย
จนทำให้ไม่สามารถดูแลบุตรทั้งหลายหรือครอบครัวได้ ดังนั้นการแต่งงานเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากเราไม่ควรปล่อยปะละเลยแต่งไปงั้นๆ
เพราะสิ่งที่ตามมานั้นมันมีมากกว่าตัวเราเองแต่หมายถึงทั้งครอบครัว
- Ecclēsia
- โพสต์: 976
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 27, 2009 9:25 pm
- ที่อยู่: อาสนวิหารอัสสัมชัญ เขต1 อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ
- ติดต่อ:
อยากเล่าประสบการณ์ของคนๆหนึ่งอ่าค่ะPond เขียน: เห็นกระทู้นี้แล้ว รู้สึกแทงใจดำเป็นอย่างมาก เพราะคนที่คบอยู่เขาเป็นพุทธจ๋ามากๆ แต่เขาก็รู้ว่าเราศรัทธาในพระเป็นเจ้า แล้วก็จะเปลี่ยนศาสนาเป็นคริสต์ในอนาคตอย่างแน่นอน วันนี้กลับมานั่นนึกๆดู เราก็ไม่ได้คิดเรื่องนี้ตั้งแต่แรก(อยากให้เป็นคริสต์ด้วยกัน) แต่ก็คบกันมา 5 ปีแล้ว และไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะเลิกกัน ยอมรับว่าวันนี้ความรู้สึก รัก แบบเมื่อก่อนมันหมดไปแล้ว พอมีคนพูดว่าการแต่งงานคือการฝากชีวิตทั้งชีวิตไว้กับเขา จึงรู้สึกสับสนมาก ไม่อยากแต่งงานเลยล่ะ ยิ่งสุดท้ายถ้าต้องอยู่ด้วยกัน พ่อเจ้าประคุณ เครื่องลางของขลังเพียบ เห็นแล้วไม่สบายใจเลย ฝากสวดเผื่อด้วยน่ะ ทุกข์ใจมาก
ผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคาทอลิก เเต่งงานกับคนต่างศาสนา ตอนเเรกก็ดูเหมือนไม่มีอะไร เเต่พอนานๆเข้าคุณสามีเริ่มออกลาย "ขอหย่า"
โดยพูดกับเธอว่า(ขอไม่เซ็นเซอร์นะคะ) "กูจะหย่า เพราะกูไม่รักมึงเเล้ว" เเต่ภรรยา ไม่ยอมหย่าเพราะยึดมั่นในคำสอนของพระศาสนจักร
ฝ่ายสามี เมื่อเห็นดังนี้ก็ตอบว่า "ก็ด้าย...ถ้ามึงไม่หย่า กูจะเอาเมียใหม่ของกูมาอยู่ในบ้านด้วย!!!" เเล้วเขาก็ทำอย่างนั้นจริงๆ นานเป็นปีๆ
ถ้าเป็นข้าพเจ้าหรือคนอื่นๆ คงจะเเจ้งสำนัวินิจฉัยคดี ขอหย่ากับเขาไปเเล้ว...เเต่ ไม่ใช่ผู้หญิงคนนี้ เพราะ
เธอ อดทน ... สวดภาวนา ขอพระเป็นเจ้าเปลี่ยนเเปลงสามีของเธอ
ระหว่างนั้นเธอเสียน้ำตาไปไม่รู้เท่าไหร่ เจ็บปวดมากมาย เพื่อนพี่น้องรอบข้าง ก็เเนะนำว่า "หย่าไปเห้อ ดีกว่าทนอยู่กับคนเเบบนี้"
เเต่เธอก็ยังคงยึดมั่น อดทน สวดภาวนาต่อไป--->
จนวันหนึ่ง อยู่ดีๆสามีก็เดินมาหาเธอพูดว่า "เออ กูเชื่อมึงเเล้ว มึงดีจริงๆ ทนมาได้ กูจะไปเปลี่ยนเป็นคริสต์เหมือนมึง"
นี่เป็นเรื่องจริงนะคะ คำพูดก็ประมาณนี้จริงๆ
ป.ล. ขอพระเจ้าอวยพรคุณ Pond ค่ะ
- Ecclēsia
- โพสต์: 976
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 27, 2009 9:25 pm
- ที่อยู่: อาสนวิหารอัสสัมชัญ เขต1 อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ
- ติดต่อ:
คิดว่า สีขาวเป็นสีของความบริสุทธิ์อ่าค่ะ หลังล้างบาป ก็จะมีการสวมชุดขาวเหมือนกันHappiiloo เขียน: -----------------------
ฝ่ายเจ้าสาวใส่ชุดสีดำได้ไหมคับ
บางทีการใส่ชุดสีขาวในวันเเต่งงาน อาจจะหมายถึงความบริสุทธิ์ของคู่บ่าวสาว เเละการเริ่มต้นชีวิตใหม่ในฐานะ สามี-ภรรยา ก็ได้เนอะ
ส่วนสีดำ ก็คือตรงกันข้ามกับที่พูดมาทั้งหมดอ่าค่ะ
ป.ล. "เสื้อขาว" เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ เเละยังเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะเเละความยินดี
ด้วยการสวมเสื้อผ้า มักจะใช้เป็นสัญลักษณ์ของคุณสมบัติเเท้จริง (อสย 51:9; 52:1 รม 13:14; 1 คร 15:53-54; คส 3:9-12)
(วิวรณ์ บทที่3 ฟุ๊ตโน๊ต b พระคัมภีร์ฉบับคาทอลิก โดยคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อคริสตศาสนธรรม เเผนกพระคัมภีร์)
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ พฤหัสฯ. มิ.ย. 25, 2009 1:50 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
อยากให้ ดู DVD เรื่อง FIREPROOF สำหรับคู่ที่จะแต่งงานครับ God had created us with his purpose to be a great family for GOD commandment.
ตอนทำพิธี ควรสวมใส่ให้เข้ากับประเพณีน่าจะดีกว่าครับ สีขาว สีมุก สีครีมไข่ อะไรพวกนี้จะข่วยส่งเสริมให้ใบหน้าดูโดดเด่นในตอนเช้าๆ ยิ่งนัก ส่วนสีดำถ้าอยากใส่ คือออกแนวแฟชั่นจ๋าๆ โอ๊ตกุตูร์ ก็ไปใส่กันนอกรอบจิ อารมณ์ว่า ไปเลี้ยงต่อที่โรงแรมไรงี้ ความจริงเมืองนอกเขาก็ฮิตนะ ชุดแต่งงานดำ มันขับให้เจ้าสาวดูสง่า แต่หน้าต้องเป๊ะ หุ่นต้องเป๊ะจริงๆ นะ†Ecclesia เขียน:คิดว่า สีขาวเป็นสีของความบริสุทธิ์อ่าค่ะ หลังล้างบาป ก็จะมีการสวมชุดขาวเหมือนกันHappiiloo เขียน: -----------------------
ฝ่ายเจ้าสาวใส่ชุดสีดำได้ไหมคับ
บางทีการใส่ชุดสีขาวในวันเเต่งงาน อาจจะหมายถึงความบริสุทธิ์ของคู่บ่าวสาว เเละการเริ่มต้นชีวิตใหม่ในฐานะ สามี-ภรรยา ก็ได้เนอะ
ส่วนสีดำ ก็คือตรงกันข้ามกับที่พูดมาทั้งหมดอ่าค่ะ
ป.ล. "เสื้อขาว" เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ เเละยังเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะเเละความยินดี
ด้วยการสวมเสื้อผ้า มักจะใช้เป็นสัญลักษณ์ของคุณสมบัติเเท้จริง (อสย 51:9; 52:1 รม 13:14; 1 คร 15:53-54; คส 3:9-12)
(วิวรณ์ บทที่3 ฟุ๊ตโน๊ต b พระคัมภีร์ฉบับคาทอลิก โดยคณะกรรมการคาทอลิกเพื่อคริสตศาสนธรรม เเผนกพระคัมภีร์)
ถ้าแพทเทิร์นชุดแต่งงานไม่ได้แบบนี้ก็อย่าใส่สีดำเลยครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Léon เมื่อ ศุกร์ มิ.ย. 26, 2009 2:20 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
ไม่เคยแต่ง เลยไม่ทราบ แต่อยากตอบแบบเดาๆ 555~ning~ เขียน: อยากจะถามว่า ถ้าหากในการแต่งงาน ถ้ามีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่ได้มีใจรัก ฝ่ายตรงข้าม
ถ้าเขาแต่งงานกันแล้ว จะมีปัญหาให้เลิกรากันหรือปล่าวคะ อันนี้สงสัยเลยถามดู
1.การแต่งแบบ เจ้าของกระทู้ถาม เข้าข่ายคลุมถุงชน หรือแต่งเพื่อผลประโยชน์ บางอย่าง
2.ส่วนจะเลิกลากันหรือไม่ คงจะขึ้นอยู่กับนิสัยใจคอการปรับเนื้อปรับตัวหลังแต่ง และอยู่กินกันจนรักกันไปเอง ก็มีเยอะ
3.การเลิกรากัน น่าจะมีองค์ประกอบอื่นๆ อีกเยอะ ครับ