รู้สึกแย่จังคะ..
- nubudtsung
- โพสต์: 22
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มิ.ย. 02, 2006 7:02 pm
คือตอนนี้หนูรู้สึกแย่มากๆ เพราะหนูทำไบเบิ้ลหาย อันนี้หนูน้ำตาร่วงเลย แค่ไบเบิ้ลเล่มเดียวยังรักษาไม่ได้ หนูไม่สมควรเปนลูกพระองค์เลย อันนี้คือแย่สุดๆแล้ว แล้วหนูก้อทำซิมโทรศัพท์หายอีก เห้ออ คงไม่มีอารัยจาแย่ไปมากกว่านี้แล้ว แค่ไบเบิ้ลหายหนูก้อรู้สึกผิดมากๆแล้ว พระองค์จาโกดหนูมั้ยคะ หนูไม่ได้ตั้งใจจิงๆ หนุเอาไว้ที่โรงเรียนแล้วครุเค้ายืมไปอ่าน แล้วเค้าทำหาย หนูไม่รู้จาทำยังไง หนูหาทั่วโรงเรียนแล้วอะคะ หนูขอโทดจิงๆ หนูจาพยายามมีความรับผิดชอบมากกว่านี้คะ อภัยให้หนูด้วยนะคะ
-
- โพสต์: 100
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มี.ค. 18, 2005 12:25 pm
- ที่อยู่: กรุงเทพ
:-P
ซื้อใหม่สิจ๊ะหนู..
ซื้อใหม่สิจ๊ะหนู..
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
nubudtsung เขียน: คือตอนนี้หนูรู้สึกแย่มากๆ เพราะหนูทำไบเบิ้ลหาย อันนี้หนูน้ำตาร่วงเลย แค่ไบเบิ้ลเล่มเดียวยังรักษาไม่ได้ หนูไม่สมควรเปนลูกพระองค์เลย อันนี้คือแย่สุดๆแล้ว แล้วหนูก้อทำซิมโทรศัพท์หายอีก เห้ออ คงไม่มีอารัยจาแย่ไปมากกว่านี้แล้ว แค่ไบเบิ้ลหายหนูก้อรู้สึกผิดมากๆแล้ว พระองค์จาโกดหนูมั้ยคะ หนูไม่ได้ตั้งใจจิงๆ หนุเอาไว้ที่โรงเรียนแล้วครุเค้ายืมไปอ่าน แล้วเค้าทำหาย หนูไม่รู้จาทำยังไง หนูหาทั่วโรงเรียนแล้วอะคะ หนูขอโทดจิงๆ หนูจาพยายามมีความรับผิดชอบมากกว่านี้คะ อภัยให้หนูด้วยนะคะ
ไบเบิ้ลหาย ขอเจ๊จิงใหม่ซิจ๊ะ
ซิมหาย ซื้อใหม่ หรือไม่ก็ลองขอพี่มายดาลิ่ง ณ ดีแตก ดูซิจ๊ะ
-
- ~@
- โพสต์: 12724
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
- ที่อยู่: Thailand
ถือซะว่าเป็นน้ำพระทัยพระเจ้าครับ
เรายินดีที่จะยอมรับหรือเปล่าอ่ะครับ?
เรายินดีที่จะยอมรับหรือเปล่าอ่ะครับ?
- Acts 20:35 s
- โพสต์: 55
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ค. 03, 2006 8:42 am
- ติดต่อ:
ขอใหม่ได้ที่นี่จ้า มีทั้งไทย อังกฤษ แถมด้วย พระบิดา โชคดีที่หายแล้วจ้า
http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=21.0
ได้ให้คนที่เอาไป ได้อ่านไง คิดงี้ดีไหมจ๊ะ
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
เดี๋ยวจะส่งไปให้ใหม่นะจ๊ะ แต่ ช้า แต่.............
อย่าคิดมากสิจ๊ะ
อย่าคิดมากสิจ๊ะ
พี่เพิ่งโดนกระชากกระเป๋า ในนั้นมีสายประคำกับสายจำพวกเขียวอยู่ พี่ก็รู้สึกแย่ เหมือนกับ นี่เราสวดไม่พอรึเปล่า เราไม่เหมาะสมคู่ควรกับสิ่งเหล่านี้ขนาดนั้นเหรอ เหมือนกับพระพรที่ได้รับ ถ้าเราไม่ใส่ใจ พระเจ้าก็เอาคืน อะไรแบบนั้นน่ะค่ะ
ต่อมาไปมิสซาวันธรรมดา หลังมิสซาสวดต่อหน้าแม่พระ ซักพักมีผู้หญิงคนนึงเดินมา ซึ่งเราไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้มาก่อน บอกว่า เค้ามีความรู้สึกว่า เค้าต้องเอาสายประคำกับสายจำพวกเขียวมาให้มาให้เรา ไม่รู้เรามีรึยัง !!! ตอนนั้นน้ำตาไหลพราก เล่าให้เค้าฟังว่า เนี่ยเพิ่งถูกกระชากกระเป๋า แล้วในนั้นมีสายประคำกับสายจำพวกสีเขียวอยู่ พอบอกดังนั้นก็เลยขอบคุณแม่พระกันทั้งคู่เลย
สรุป อย่าคิดมากนะคะ พระไม่เคยให้เราต้องขาดสิ่งจำเป็นกับชีวิตค่ะ
ต่อมาไปมิสซาวันธรรมดา หลังมิสซาสวดต่อหน้าแม่พระ ซักพักมีผู้หญิงคนนึงเดินมา ซึ่งเราไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้มาก่อน บอกว่า เค้ามีความรู้สึกว่า เค้าต้องเอาสายประคำกับสายจำพวกเขียวมาให้มาให้เรา ไม่รู้เรามีรึยัง !!! ตอนนั้นน้ำตาไหลพราก เล่าให้เค้าฟังว่า เนี่ยเพิ่งถูกกระชากกระเป๋า แล้วในนั้นมีสายประคำกับสายจำพวกสีเขียวอยู่ พอบอกดังนั้นก็เลยขอบคุณแม่พระกันทั้งคู่เลย
สรุป อย่าคิดมากนะคะ พระไม่เคยให้เราต้องขาดสิ่งจำเป็นกับชีวิตค่ะ
-
- โพสต์: 1159
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มิ.ย. 13, 2005 2:03 pm
โอ๋ ๆๆ ใจเย็น ๆ พระเจ้าคงอยากให้ ทบทวนตัวเองในความทุข์ อาจจะสอนอย่างหนูกำลังระลึกได้อยู่ตอนนี้ว่า ต้องรับผิดชอบให้มากขึ้น แต่ อย่าจมกับความผิดพลาด นะจ้ะ ก็แค่ตั้งต้นใหม่ เดี่ยวพี่ ๆเขาคงส่งมาให้ใหม่ ก็แค่รักษาให้มากขึ้น สายประคำเดี่ยวก็หาใหม่ ไม่เป็นไร ใจเย็น ๆ อาจจะมีคนใจดี ส่งมาให้
นึกว่า ท่านเดินกลับมาที่พระวิหารเองซะอีกPhulasso เขียน: ถ้าหนูอายุมากขึ้น
ของหนูก็จะหายมากขึ้น
เป็นเรื่องปกติ ใครไม่เคยทำของหายบ้างล่ะ
ในไบเบิ้ล แม่พระยังเผลอลืมพระกุมารไว้ในพระวิหาร
ได้เลย
แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระนะ
- -*-St.GrEGoRY-*-
- โพสต์: 309
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 15, 2005 2:06 pm
อย่าเสียใจไปเลยครับ ต่อไปนี้ก็พยายามรักษาของๆตนให้มากกว่าเดิมละกันครับ
อย่าเสียใจเลยค่ะ พระจะจัดสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่เราเองนะ
-
- โพสต์: 1946
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มิ.ย. 01, 2005 8:23 pm
- ที่อยู่: On this earth obviously
ใจเย็นๆงับ
-
- โพสต์: 141
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ค. 03, 2006 12:17 pm
โห...แม่พระเผลอลืมพระกุมาร เนี่ยนะฮับ....Phulasso เขียน: ถ้าหนูอายุมากขึ้น
ของหนูก็จะหายมากขึ้น
เป็นเรื่องปกติ ใครไม่เคยทำของหายบ้างล่ะ
ในไบเบิ้ล แม่พระยังเผลอลืมพระกุมารไว้ในพระวิหาร
ได้เลย
แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระนะ
PeterCartoon เขียน:โห...แม่พระเผลอลืมพระกุมาร เนี่ยนะฮับ....Phulasso เขียน: ถ้าหนูอายุมากขึ้น
ของหนูก็จะหายมากขึ้น
เป็นเรื่องปกติ ใครไม่เคยทำของหายบ้างล่ะ
ในไบเบิ้ล แม่พระยังเผลอลืมพระกุมารไว้ในพระวิหาร
ได้เลย
แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระนะ
ถ้าศึกษาใน commentary ของพระคัมภีร์ดีๆ และมองถึงเรื่อง
สังคมวัฒนธรรมของคนในสมัยนั้น มันคงไม่ใช่เรื่องของการเผลอลืมหรอกนะ
Phulasso คงยกขึ้นมาอ้างเล่นๆมากกว่ามั๊ง
Q เขียน:PeterCartoon เขียน:โห...แม่พระเผลอลืมพระกุมาร เนี่ยนะฮับ....Phulasso เขียน: ถ้าหนูอายุมากขึ้น
ของหนูก็จะหายมากขึ้น
เป็นเรื่องปกติ ใครไม่เคยทำของหายบ้างล่ะ
ในไบเบิ้ล แม่พระยังเผลอลืมพระกุมารไว้ในพระวิหาร
ได้เลย
แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระนะ
ถ้าศึกษาใน commentary ของพระคัมภีร์ดีๆ และมองถึงเรื่อง
สังคมวัฒนธรรมของคนในสมัยนั้น มันคงไม่ใช่เรื่องของการเผลอลืมหรอกนะ
Phulasso คงยกขึ้นมาอ้างเล่นๆมากกว่ามั๊ง
เคยได้ยินพ่อปลัดท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า
สมัยที่ท่านเป็นเณรใหญ่ กำลังจะบวช มีโอกาสขับรถพาสัตบุรุษ
ไปร้องเพลงและนำพระกุมารมาอวยพรตามบ้านช่วงคริสตมาส
จำได้ว่ามีอยู่คืนหนึ่ง ต้องขับรถตู้ไปถึงแถวบางนา ไกลมาก
ร่วมชั่วโมงได้ บนรถตู้มีทั้งพ่อเจ้าวัด และสัตบุรุษอีกนับสิบ
เมื่อไปถึงบ้านเป้าหมาย ทุกคนก็ทะยอยลงมาทักทายเจ้าของบ้าน
แล้วสิ่งที่น่าตกใจก็เกิดขึ้นกับทุกคนในค่ำคืนนั้น
เพราะเมื่อเจ้าของบ้านสะกิดถามบราเดอร์ซึ่งเป็นคนสุดท้ายที่เดินลงจากรถตู้ว่า
"ไหนล่ะพระกุมาร"
ทุกคนในรถเลยพึ่งจะรู้ตัวว่า ดันลืมพระกุมารกันไว้ในวัด
สุดท้ายก็เลยต้องเอารูปปั้นพระกุมารของเจ้าของบ้านนั่นล่ะแทน
หลังจากสวด และร้องเพลงอวยพรกันแล้ว
เจ้าของบ้านก็นำขนมนมเนยมาเลี้ยงคนที่มาร่วมสวด
ขากลับ ก็อดขำกันไม่ได้ กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกคนในรถ
เพราะไม่มีใครนึกถึงพระกุมารที่ต้องนำมาด้วยเลยซักคน
อันนี้ล่ะมั๊ง ที่เรียกว่า ลืมพระกุมารจริงๆ
แก้ไขล่าสุดโดย Q เมื่อ พฤหัสฯ. ก.ค. 27, 2006 8:38 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- โพสต์: 1159
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มิ.ย. 13, 2005 2:03 pm
อยากรู้อีกแล้วอ่ะ มันเป็นไงคะ สังคมและวัฒนธรรมสมัยนั้น อยากรู้อ่ะค่ะQ เขียน:PeterCartoon เขียน:โห...แม่พระเผลอลืมพระกุมาร เนี่ยนะฮับ....Phulasso เขียน: ถ้าหนูอายุมากขึ้น
ของหนูก็จะหายมากขึ้น
เป็นเรื่องปกติ ใครไม่เคยทำของหายบ้างล่ะ
ในไบเบิ้ล แม่พระยังเผลอลืมพระกุมารไว้ในพระวิหาร
ได้เลย
แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระนะ
ถ้าศึกษาใน commentary ของพระคัมภีร์ดีๆ และมองถึงเรื่อง
สังคมวัฒนธรรมของคนในสมัยนั้น มันคงไม่ใช่เรื่องของการเผลอลืมหรอกนะ
Phulasso คงยกขึ้นมาอ้างเล่นๆมากกว่ามั๊ง
จอมนางกระบี่เดี่ยว เขียน:อยากรู้อีกแล้วอ่ะ มันเป็นไงคะ สังคมและวัฒนธรรมสมัยนั้น อยากรู้อ่ะค่ะQ เขียน:PeterCartoon เขียน: โห...แม่พระเผลอลืมพระกุมาร เนี่ยนะฮับ....
ถ้าศึกษาใน commentary ของพระคัมภีร์ดีๆ และมองถึงเรื่อง
สังคมวัฒนธรรมของคนในสมัยนั้น มันคงไม่ใช่เรื่องของการเผลอลืมหรอกนะ
Phulasso คงยกขึ้นมาอ้างเล่นๆมากกว่ามั๊ง
ขอตอบแบบคร่าวๆแล้วกันนะครับ
สิ่งที่ควรต้องคำนึงถึงด้วยกับเหตุการณ์ในพระวรสารตอนนี้ก็คือ
เรื่องของการเดินทางมายังกรุงเยรูซาเล็ม
ก็คงไม่สะดวกสบายเหมือนสมัยเรา
นอกจากจะใช้เวลาที่ยาวนานแล้ว
ยังเต็มไปด้วยอันตรายมากมายระหว่างทาง
ทั้งโจรผู้ร้าย และสัตว์ป่า
พวกเค้าจึงต้องเดินทางกันมาเป็นแบบกองคาราวาน
ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือคนในหมู่บ้านนั่นล่ะ
ซึ่งต่างก็รู้จักชอบพอกันดี หรืออาจจะเป็นญาติๆกัน
เป็นไปไม่ได้หรอกที่ น.ยอแซฟ และแม่พระ
จะเดินทางกลับทั้งที แล้วไม่ได้คิดถึงพระเยซูเจ้าเลย
แต่เป็นเพราะ คงจะเข้าใจว่าพระเยซูเจ้า
คงยังอยู่เล่นพูดคุยกับเพื่อนฝูง หรือญาติคนใดใน
หมู่คนที่มาด้วยกันซะมากกว่า
(อย่าไปคิดถึงภาพการแสวงบุญ ที่นั่งรถบัสไปคันเดียวกันนะ
แต่เป็นภาพกองคาราวาน ที่มีทั้งผู้คน ฝูงลาฝูงสัตว์ที่
เดินกันเป็นขบวนยาวๆ จะเห็นชัดกว่า
แล้วพระเยซูเจ้า ตอนนั้นก็คือเด็กอายุ 12 ปีเองนะ
มีเหรอจะนั่งเป็นใบ้ หมกตัว ไม่พูดไม่จากับใครเดินตามพ่อแม่ต้อยๆ)
แก้ไขล่าสุดโดย Q เมื่อ ศุกร์ ก.ค. 28, 2006 1:57 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ไม่ได้อ้างเล่นๆQ เขียน:PeterCartoon เขียน:โห...แม่พระเผลอลืมพระกุมาร เนี่ยนะฮับ....Phulasso เขียน: ถ้าหนูอายุมากขึ้น
ของหนูก็จะหายมากขึ้น
เป็นเรื่องปกติ ใครไม่เคยทำของหายบ้างล่ะ
ในไบเบิ้ล แม่พระยังเผลอลืมพระกุมารไว้ในพระวิหาร
ได้เลย
แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระนะ
ถ้าศึกษาใน commentary ของพระคัมภีร์ดีๆ และมองถึงเรื่อง
สังคมวัฒนธรรมของคนในสมัยนั้น มันคงไม่ใช่เรื่องของการเผลอลืมหรอกนะ
Phulasso คงยกขึ้นมาอ้างเล่นๆมากกว่ามั๊ง
แต่อ้างเพราะข้อความในพระวรสารนี้แสดงความเป็นมนุษย็ของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์
มนุษย์ที่บกพร่อง ลืม เผลอเรอ
ธรรมเนียมในสมัยนั้น
การเดินทางจะเป็นคาราวาน โดยหญิงจะเดินในกลุ่มหญิง
ชายจะเดินในกลุ่มชาย
แม่พระ คาดหวังว่า พระเยซูน่าจะอยู่กับพ่อ (เลี้ยง)
และ นักบุญยอแซฟ คาดหวังว่า พระเยซูน่าจะอยู่กับ แม่
ท่านทั้งสองคิดเอาว่า คาดเอาว่า แต่ไม่ได้พศูจน์ให้แน่ชัด
เห็นความเป็นมนุษย์ของท่านทั้งสองไหม
ถ้าเป็น Guide Tour ปัจจุบัน ที่ลูกทัวร์หายประจำ มีประสบการณ์จะตรวจเช็คลูกทัวร์เสมอ
แต่ท่านทั้งสองเป็นมนุษย์ที่คาดหวังว่าลูกจะเดินตามมา เลยหลงลืมที่จะตรวจให้แน่นอน
และเห็นความเป็นมนุษย์อีกประการของแม่พระคือ
ท่านได้ต่อว่าพระเยซูด้วยว่า ลูกทำอย่างนี้ ทำให้แม่เป็นห่วงนะ
แต่ท่านก็ลืมไปว่า ท่านน่าจะต้องดูแลลูกอย่างใกล้ชิดก่อนออกเดินทางด้วย
ยิ่งอ่านบทนี้ยิ่งนึกถึง ความน่ารักของครอบครัวศักดิ์สิทธิ๋
แก้ไขล่าสุดโดย Phulasso เมื่อ เสาร์ ก.ค. 29, 2006 10:15 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Phulasso เขียน:
ไม่ได้อ้างเล่นๆ
แต่อ้างเพราะข้อความในพระวรสารนี้แสดงความเป็นมนุษย็ของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์
มนุษย์ที่บกพร่อง ลืม เผลอเรอ
ธรรมเนียมในสมัยนั้น
การเดินทางจะเป็นคาราวาน โดยหญิงจะเดินในกลุ่มหญิง
ชายจะเดินในกลุ่มชาย
แม่พระ คาดหวังว่า พระเยซูน่าจะอยู่กับพ่อ (เลี้ยง)
และ นักบุญยอแซฟ คาดหวังว่า พระเยซูน่าจะอยู่กับ แม่
ท่านทั้งสองคิดเอาว่า คาดเอาว่า แต่ไม่ได้พศูจน์ให้แน่ชัด
เห็นความเป็นมนุษย์ของท่านทั้งสองไหม
ถ้าเป็น Guide Tour ปัจจุบัน ที่ลูกทัวร์หายประจำ มีประสบการณ์จะตรวจเช็คลูกทัวร์เสมอ
แต่ท่านทั้งสองเป็นมนุษย์ที่คาดหวังว่าลูกจะเดินตามมา เลยหลงลืมที่จะตรวจให้แน่นอน
และเห็นความเป็นมนุษย์อีกประการของแม่พระคือ
ท่านได้ต่อว่าพระเยซูด้วยว่า ลูกทำอย่างนี้ ทำให้แม่เป็นห่วงนะ
แต่ท่านก็ลืมไปว่า ท่านน่าจะต้องดูแลลูกอย่างใกล้ชิดก่อนออกเดินทางด้วย
ยิ่งอ่านบทนี้ยิ่งนึกถึง ความน่ารักของครอบครัวศักดิ์สิทธิ๋
น่าจะเป็นการตีความไปเองแล้วล่ะ
ไม่ใช่จุดนี้หรอก ที่พระวรสารตอนนี้ต้องการจะสื่อ
อย่างไรก็ตาม อันว่าพระจิต ทำงาน ในจิตใจแต่ละคนต่างกัน
ผมก็คงจะไม่ไปห้ามล่ะ ถ้าใครจะอ่านพระวรสารตอนไหน แล้วอยากจะ
ได้ข้อคิด ข้อรำพึงส่วนตัว ไปในแบบไหน หรือจะคิดต่างกันอย่างไร
เพียงแต่เสนอว่า บางครั้ง ก็จะเป็นประโยชน์มากขึ้น ถ้าจะ
มีโอกาสได้ศึกษา คำอธิบายอย่างชัดเจนจากผู้รู้ ผู้เขียนที่
ศึกษามาด้านพระคัมภีร์โดยตรง เป็นต้น หาอ่านจากหนังสือ
commentary ต่างๆ หรือ งานเขียนของบรรดานักเทววิทยา
เสริมด้วยก็จะเป็นการดี
หรืออย่างน้อยถามจากพระสงฆ์ หรือศาสนจารย์ที่เค้าเรียนมาก็ยังดี
ไม่เช่นนั้นแล้ว เราก็อาจจะตีความพระคัมภีร์ตอนใดตอนหนึ่ง
ไปอย่างคลาดเคลื่อน หรือตีความไปเองก็เป็นได้
อย่างในพระวรสารตอนนี้
ควรสงสัยไว้ก่อนได้เลยว่า เหตุใดจึงมีลูกาคนเดียวที่
ได้บันทึกเอาไว้ ขณะที่เราไม่พบเลยใน มัทธิว กับ มาร์โก
เจตนาของผู้เขียนไม่ได้ต้องการจะสื่อเลยเรื่องความสะเพร่าเลินเล่อ
ของน.ยอแซฟ และแม่พระ หรือสอนเรื่องการเป็นพ่อเป็นแม่ที่ดี
นักเทววิทยาหลายท่านชี้ให้เห็นว่า จุดสำคัญน่าจะอยู่ที่
การที่ท่านทั้งสอง มาพบองค์พระเยซูเจ้า หลังจากตามหาอยู่ 3 วันต่างหาก
"เที่ยวตามหาฉันทำไม ไม่ทราบหรือ ฉัน ต้อง........ "
เพราะเหตุการณ์ตอนนี้ เป็นแค่การบอกการณ์ล่วงหน้าถึง
สิ่งที่จะเกิดกับพระเยซูเจ้า หลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์
และการกลับคืนชีพของพระองค์ในวันที่สาม
ส่วนเรื่องคำพูดที่พระเยซูเจ้าพูดกับแม่พระ
ผู้เขียนก็ไม่ได้ต้องการสื่อว่า พระองค์ตำหนิแม่พระ หรือ
แม่พระตำหนิพระองค์แต่อย่างใด หากแต่ต้องการ
สื่อให้เห็นถึงการเติบโตทางความเชื่อของแม่พระต่างหาก
ว่าทรงพบในลัษณะแบบใด และเป็นไปในรูปแบบไหน
ผมคงไม่สามารถจะใส่รายละเอียดได้ทั้งหมดในกระทู้นี้
ด้วยเนื้อที่อันจำกัด และก็รู้สึกเกรงใจเจ้าของกระทู้
แก้ไขล่าสุดโดย Q เมื่อ อาทิตย์ ก.ค. 30, 2006 12:10 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ที่ลูกาเขียนคนเดียว เพราะนักบุญลูกาเขียนพระคัมภีร์โดยไปสัมภาษณ์แม่พระมา และเน้นประวัติ เลยได้เหตุการณ์ตอนที่มีแต่แม่พระที่รู้เต็มไปหมด
ลก 1:1-4
1 (1)ท่านเธโอฟีลัสที่เคารพยิ่ง คนจำนวนมากได้เรียบเรียงเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับพวกเรา (2)ผู้ที่เป็นพยานรู้เห็นและประกาศพระวาจามาตั้งแต่แรกได้ถ่ายทอดเหตุการณ์เหล่านี้ให้เรารู้แล้ว (3)ข้าพเจ้าจึงตกลงใจค้นคว้าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นอย่างละเอียด แล้วเรียบเรียงตามลำดับเหตุการณ์อีกครั้งหนึ่งสำหรับท่านด้วย ท่านเธโอฟีลัสที่เคารพ (4)เพื่อท่านจะได้รู้ว่าคำสอนที่ท่านรับมานั้นเป็นความจริง
ปล.บางทีคนเขียนอาจไม่ได้ตั้งใจสื่อ แต่เนื้อหาบางส่วนมันอาจสะท้อนเรื่องเหล่านั้นอยู่แล้ว
ลก 1:1-4
1 (1)ท่านเธโอฟีลัสที่เคารพยิ่ง คนจำนวนมากได้เรียบเรียงเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับพวกเรา (2)ผู้ที่เป็นพยานรู้เห็นและประกาศพระวาจามาตั้งแต่แรกได้ถ่ายทอดเหตุการณ์เหล่านี้ให้เรารู้แล้ว (3)ข้าพเจ้าจึงตกลงใจค้นคว้าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นอย่างละเอียด แล้วเรียบเรียงตามลำดับเหตุการณ์อีกครั้งหนึ่งสำหรับท่านด้วย ท่านเธโอฟีลัสที่เคารพ (4)เพื่อท่านจะได้รู้ว่าคำสอนที่ท่านรับมานั้นเป็นความจริง
ปล.บางทีคนเขียนอาจไม่ได้ตั้งใจสื่อ แต่เนื้อหาบางส่วนมันอาจสะท้อนเรื่องเหล่านั้นอยู่แล้ว
กำลังอ่านเล่มนี้ และก็บังเอิญมีเกี่ยวกับตอนที่พบพระกุมารในวิหารพอดี ก็ขอเอาแบ่งปันนะคะ อาจไม่ค่อยเกี่ยวเท่าไหร่ : xemo017 :
นักบุญอัลฟอนโซพูดถึงพระคัมภีร์ตอนนี้ว่า เป็นความทุกข์ใจของผู้ที่ต้องห่างจากพระเป็นเจ้า กระวนกระวายใจ ตำหนิตัวเอง (ซึ่งพ่อแม่ทุกคนเป็น เมื่อลูกหาย) ผู้ที่รักพระเป็นเจ้าทุกคนก็จะรู้สึกเช่นนี้ ในยามที่พระองค์จู่ๆหายไปจากการภาวนา
แก้ไขล่าสุดโดย Buddy เมื่อ อาทิตย์ ก.ค. 30, 2006 6:16 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- โพสต์: 1159
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มิ.ย. 13, 2005 2:03 pm
ขอบคุณทั้ง phulaaso, คุณ Q , คุณ โฮลี่ และน้องบัดดี้ มากเลย ก็มีความรู้ความเข้าใจกันทุกคน อ่ะนะ ก็น่าสนใจดีค่ะ ความคิดหลากหลาย เรา ก็เห็นภาพบุคคลศักดิ์สิทธิได้หลายแง่มุม ซึ่งก็ดีออก เนื่องจากมนุษย์แท้อย่างเราๆ ล้วนแล้วแต่มีความซับซ้อนอยู่ในตัว
ว่าง ๆ เรามาตั้งประเด็นศึกษาพระคัมภีร์กันมั่งดีกว่า น่าจะดีนะ
ว่าง ๆ เรามาตั้งประเด็นศึกษาพระคัมภีร์กันมั่งดีกว่า น่าจะดีนะ
สุดยอดทั้งคุณ Q, HOLY, Buddy ที่กล่าวมาถูกต้องทุกประการ
และ และการประนีประนอมของ จอมนางกระบี่เดียว
แต่ขอแย้งคำที่ว่า เป็นการตีความไปเอง
จุดหมายของ Bilble ตามที่ร่ำเรียนมาก็เป็นตามที่ Qว่าไว้
และที่น้อง Buddy กล่าวถึงนักบุญอัลฟองโซ ผู้รับใช้เรืองนามของแม่พระ
ต้องการสื่อในความหมายของเทววิทยา
แต่ในความเป็นมนุษย์ ที่มีตัวตนอยู่
ขอยกตัวอย่างการที่จิตรกร Leonardo
จะวาดภาพ Madonna of the Rocks
ไม่ใช่เพียงในภาพมีรูป แม่พระ พระกุมาร น.จอห์น และเทวทูต นั่งเรียงแถวเท่านั้น
บุคคลทั้งสี่ต้องมีความสัมพันธ์กัน
มือของแม่พระปกอยู่เหนือพระกุมาร แปลว่าพิทักษ์คุ้มครอง ฯลฯ
ก็จำเป็นต้องเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลด้วย
มีวิจารณ์มากในเรื่อง ดาวินชี โค็ด ในนิวมานานี่ก็ว่าไว้เยอะ
สรุปให้ K Q ทราบว่า นอกจากความหมายทางเทววิทยาแล้ว
ยังมีนัยของ Social-Humanism อีกด้วยใน Bible ทุกเล่ม
และ และการประนีประนอมของ จอมนางกระบี่เดียว
แต่ขอแย้งคำที่ว่า เป็นการตีความไปเอง
จุดหมายของ Bilble ตามที่ร่ำเรียนมาก็เป็นตามที่ Qว่าไว้
และที่น้อง Buddy กล่าวถึงนักบุญอัลฟองโซ ผู้รับใช้เรืองนามของแม่พระ
ต้องการสื่อในความหมายของเทววิทยา
แต่ในความเป็นมนุษย์ ที่มีตัวตนอยู่
ขอยกตัวอย่างการที่จิตรกร Leonardo
จะวาดภาพ Madonna of the Rocks
ไม่ใช่เพียงในภาพมีรูป แม่พระ พระกุมาร น.จอห์น และเทวทูต นั่งเรียงแถวเท่านั้น
บุคคลทั้งสี่ต้องมีความสัมพันธ์กัน
มือของแม่พระปกอยู่เหนือพระกุมาร แปลว่าพิทักษ์คุ้มครอง ฯลฯ
ก็จำเป็นต้องเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลด้วย
มีวิจารณ์มากในเรื่อง ดาวินชี โค็ด ในนิวมานานี่ก็ว่าไว้เยอะ
สรุปให้ K Q ทราบว่า นอกจากความหมายทางเทววิทยาแล้ว
ยังมีนัยของ Social-Humanism อีกด้วยใน Bible ทุกเล่ม
-
- โพสต์: 1159
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มิ.ย. 13, 2005 2:03 pm
อ้าว ถ้างั้น ก็ช่วยวิพากษ์ เอ้ วิเคราะห์ หรือช่วยแถลงไขมาด้วยสิคะ ว่าบุคคล ใน madonna of the rock สัมพันธ์กันอย่างไร
ไหน ๆก็ไหน ๆแล้ว ขออนุญาตเจ้าของกระทู้นะคะ
ไหน ๆก็ไหน ๆแล้ว ขออนุญาตเจ้าของกระทู้นะคะ
ไหนๆ ก็ไหน ลองใช้วิชาประวัติศาสตร์ศิลป มาตอบก็แล้วกัน
ที่ยกภาพนี้มาเป็นตัวอย่างเพราะ
มี Madonna of the Rocks 2 ภาพที่วาดโดย Leonardo
ภาพแรกวาดเมื่อ ค.ศ. 1473 อยู่ที่ลูฟร์ ปารีส
อีกภาพวาดเมื่อ ค.ศ. 1496 อยู่ที่หอศิลป ลอนดอน
รายละเอียดต่างกันเล็กน้อย ชนิดมองเห็นได้
เช่นการใส่รัศมีเหนือทุกองค์เว้น เทวทูต ฯลฯในภาพที่ 2
แต่ เน้น ตรงนี้ องค์ประกอบคือ น.ยอห์น แม่พระอยู่ตรงกลาง พระกุมารและเทวทูต เหมือนกันทุกประการ
การยกมือยกไม้ของแต่ละบุคคลจะละไว้ เพราะมีพูดถึงแล้วใน Da Vinci Codes
ที่ยกภาพนี้มาเป็นตัวอย่างเพราะ
มี Madonna of the Rocks 2 ภาพที่วาดโดย Leonardo
ภาพแรกวาดเมื่อ ค.ศ. 1473 อยู่ที่ลูฟร์ ปารีส
อีกภาพวาดเมื่อ ค.ศ. 1496 อยู่ที่หอศิลป ลอนดอน
รายละเอียดต่างกันเล็กน้อย ชนิดมองเห็นได้
เช่นการใส่รัศมีเหนือทุกองค์เว้น เทวทูต ฯลฯในภาพที่ 2
แต่ เน้น ตรงนี้ องค์ประกอบคือ น.ยอห์น แม่พระอยู่ตรงกลาง พระกุมารและเทวทูต เหมือนกันทุกประการ
การยกมือยกไม้ของแต่ละบุคคลจะละไว้ เพราะมีพูดถึงแล้วใน Da Vinci Codes
แก้ไขล่าสุดโดย Phulasso เมื่อ อาทิตย์ ก.ค. 30, 2006 11:53 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
แต่จะว่าถึงการมีบุคคลในภาพ
ภาพที่มีแม่พระและพระกุมาร เป็นภาพยอดฮิตเสมอ
ความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก เป็นภาพอมตะตลอดกาล
เป็นภาพที่ใครเห็นก็เข้าใจ ความรักที่แม่มีต่อลูก
แต่เมื่อเพิ่ม น.ยอห์น เข้ามา
เป็นภาพที่สื่อถึง "ภารกิจของพระผู้ไถ่ โดยมีเสียงผู้ร้องในถิ่นทุรกันดารนบไหว้พระองค์"
แต่ขณะเดียวกัน แม่พระก็มีภารกิจในการพิทักษ์คุ้มครอง น.ยอห์น นับแต่ท่านไปเยี่ยม น.เอลิซาเบท ลูกา 1:39-45
และหน้าที่คุ้มครองพระกุมารเป็นพิเศษ นับแต่ทรงครรภ์มาจนถึงที่ตีนกางเขนที่ตรึงพระองค์
ส่วนเทวดา ที่มาเฝ้าพระกุมาร แสดงความเป็นพระเจ้า ของพระองค์
ในอีกความนัยหนึ่ง คือความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดของเครือญาติของแม่พระ ลูกา 1:36, 1:56
พระกุมารมีวัยเด็ก แต่ก็มีหน้าที่ติดตัวพระองค์มา และพระองค์ก็รู้อยู่ตลอด ลูกา 3:49
นี่คือการวิจารณ์เพียงการกำหนดบุคคลในภาพ
ไม่ได้พูดถึง การให้สี และรหัสที่แอบซ่อนไว้ เช่น ความเป็นสามเหลี่ยมของตำแหน่งภาพ
ซึ่งหมายถึงพระตรีเอกภาพ ฯลฯ
ภาพที่มีแม่พระและพระกุมาร เป็นภาพยอดฮิตเสมอ
ความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก เป็นภาพอมตะตลอดกาล
เป็นภาพที่ใครเห็นก็เข้าใจ ความรักที่แม่มีต่อลูก
แต่เมื่อเพิ่ม น.ยอห์น เข้ามา
เป็นภาพที่สื่อถึง "ภารกิจของพระผู้ไถ่ โดยมีเสียงผู้ร้องในถิ่นทุรกันดารนบไหว้พระองค์"
แต่ขณะเดียวกัน แม่พระก็มีภารกิจในการพิทักษ์คุ้มครอง น.ยอห์น นับแต่ท่านไปเยี่ยม น.เอลิซาเบท ลูกา 1:39-45
และหน้าที่คุ้มครองพระกุมารเป็นพิเศษ นับแต่ทรงครรภ์มาจนถึงที่ตีนกางเขนที่ตรึงพระองค์
ส่วนเทวดา ที่มาเฝ้าพระกุมาร แสดงความเป็นพระเจ้า ของพระองค์
ในอีกความนัยหนึ่ง คือความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดของเครือญาติของแม่พระ ลูกา 1:36, 1:56
พระกุมารมีวัยเด็ก แต่ก็มีหน้าที่ติดตัวพระองค์มา และพระองค์ก็รู้อยู่ตลอด ลูกา 3:49
นี่คือการวิจารณ์เพียงการกำหนดบุคคลในภาพ
ไม่ได้พูดถึง การให้สี และรหัสที่แอบซ่อนไว้ เช่น ความเป็นสามเหลี่ยมของตำแหน่งภาพ
ซึ่งหมายถึงพระตรีเอกภาพ ฯลฯ
แต่ประเด็นทั้งหมดทั้งปวงนี้ ต้องการจะสื่อให้เข้าใจถึง
การที่พระเจ้า ทรงรับเอากาย มาเป็นมนุษย์ มาใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์
เพื่อให้มนุษย์ปฏิบัติได้ ไม่ใช่เป็นแต่พระเจ้าแล้วให้มนุษย์เลียนแบบพระองค์โดยเอาแต่พูด
แต่พระองค์ลงมาทำให้ดู ให้เห็นชัดๆ ว่าพระองค์เป็นมนุษย์ มี ญาติ มีพี่ มีน้อง
มีความบกพร่องแบบมนุษย์ มีความอ่อนแอ ยอห์น 19:28
ไม่ใช่ superman พระองค์ไม่เคยใช้ฤทธิ์มาช่วยตัวเองในการดำเนินชีวิต
มีอด มีเหนื่อย มีกังวล เช่นมนุษย์ทั่วไป
แล้วพระองค์ก็แสดงวิธีแก้ปัญหาด้วยความเป็นมนุษย์ให้เราเลียนแบบ
ขอโทษที่ภาษาไม่แข็งแรงที่จะเล่าให้อย่างที่คิดได้
ถ้าพบสิ่งใดที่เพิ่มเติมหรือ จะวิจารณ์กรุณาให้ความรู้ด้วย
ยอมรับว่ารู้แบบงูๆ ปลาๆ น่ะจ้า
การที่พระเจ้า ทรงรับเอากาย มาเป็นมนุษย์ มาใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์
เพื่อให้มนุษย์ปฏิบัติได้ ไม่ใช่เป็นแต่พระเจ้าแล้วให้มนุษย์เลียนแบบพระองค์โดยเอาแต่พูด
แต่พระองค์ลงมาทำให้ดู ให้เห็นชัดๆ ว่าพระองค์เป็นมนุษย์ มี ญาติ มีพี่ มีน้อง
มีความบกพร่องแบบมนุษย์ มีความอ่อนแอ ยอห์น 19:28
ไม่ใช่ superman พระองค์ไม่เคยใช้ฤทธิ์มาช่วยตัวเองในการดำเนินชีวิต
มีอด มีเหนื่อย มีกังวล เช่นมนุษย์ทั่วไป
แล้วพระองค์ก็แสดงวิธีแก้ปัญหาด้วยความเป็นมนุษย์ให้เราเลียนแบบ
ขอโทษที่ภาษาไม่แข็งแรงที่จะเล่าให้อย่างที่คิดได้
ถ้าพบสิ่งใดที่เพิ่มเติมหรือ จะวิจารณ์กรุณาให้ความรู้ด้วย
ยอมรับว่ารู้แบบงูๆ ปลาๆ น่ะจ้า