- - ..หรือเราไม่เหมาะที่จะเป็นข้ารับใช้พระองค์..- -

ปรับทุกข์ หนุนใจ ขอคำภาวนา
ตอบกลับโพส
Little Puppet
โพสต์: 100
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มี.ค. 18, 2005 12:25 pm
ที่อยู่: กรุงเทพ

จันทร์ ก.ค. 07, 2008 10:22 pm

สวัสดีพี่น้องอีกครั้งครับ

วันนี้เกิดความรู้สึกลึกๆ ในใจ ...ว่ามันสับสนอย่างไรไม่รู้...หลังจากผ่านวันเกิดไปแค่ 1 วัน...อายุเราจะเลข 3 แล้วอีกไม่กี่ปี..
จริงๆ มันเป็นมานานแล้วหละ แต่ไม่เคยบอกกับใคร...

ทั้งๆ ที่เพิ่งฉลองกับคุณแม่ไป.. เพื่อนๆ ที่ทำงานก็ฉลองให้ หลายคนอวยพรวันเกิดให้.. ก็น่าจะมีความสุขดีนะ
ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งเป็นเครื่องมีอให้ใครสักคนรอบๆ กายเรามีความสุขผ่านทางชีวิตเรา..
แต่ลึกๆ ในใจกลับไม่มีความสุขเท่าไรนัก ..กลับมีความรู้สึกถามตัวเองขึ้นมาว่า... แล้วเราจะเป็นอะไรต่อไปละ..
พระให้เราเกิดมาทำอะไรเพื่อพระองค์กันแน่ .. ฉันไม่ได้อยากเป็นอย่างนี้..

แปลกดีนะครับ ผมเรียนปรัชญาจบแล้วแท้ๆ... แต่ดังตั้งคำถามนี้กับตัวเองอีก  ทำไมน่ะเหรอครับ
ก็รู้สึกว่าชีวิตมันไร้แก่นสารมากน่ะสิ ทุกวันนี้ อยู่เพื่ออะไร.. โดยที่ไม่มีความสุขเลย..อยู่มาได้ไง..
ชีวิตผมจะเรียกว่าประสบความสำเร็จเหรอ ...มันก็คงไม่หรอก..

หลายคนชื่นชมว่าเราเป็นคนดี เก่งมีความสามารถ ทั้งๆ ที่ใจเราขัดแย้งตลอดว่าไม่น่ะ เราไม่ได้มีดีอะไรเลย
สิ่งที่ทำลงไปมันล้มเหลวด้วยซ้ำ..ทุกครั้งที่พยามทำอะไรด้วยแรงกำลังของเราเอง ...แต่เพราะพระข่วยอุ้มช่วยขูตลอดต่างหาก
เราขอบคุณพระเสมอที่ยังเมตตาแกะดื้อๆ ตัวนี้เสมอ

เคยคิดว่าตัวเองมีกระแสเรียกเป็นคุณพ่อ ...เอาเข้าจริง แม้แต่เป็นนักบวชก็ยังไม่เห็นทาง..
เคยคิดว่าจะต้องรอให้ตัวเองพร้อม ..มีเงินสักก้อน..พอให้แม่ดูแลตัวเองได้ ...แล้วจะไปบวช
แต่กลับรู้สึกลึกๆ ว่ามันไม่ใช่... นักบุญหลายๆ ท่าน สาวกสมัยแรก ท่านได้ยินพระตรัสเรียก ท่านก็ไปเลยไม่ใช่เหรอ

ผู้ใดยังไม่ละทิ้งบิดามารดา พี่น้อง ทรัพย์สมบัติ ก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้ติดตามเรา ..โอพระเจ้า...แล้วลูกจะทำอย่างไร..
ลูกรักแม่มากและลูกก็รักพระองค์... ลูกอยากรับใช้พระองค์แต่ลูกก็ไม่กล้าก้าวเดินไปเพราะเป็นห่วงเค้า..
เคยคุยกับคุณพ่อวิญญาณท่านบอกว่า ให้รอเวลาอีก 2 ปี สักระยะแล้วค่อยเลือกทางตัดสินใจ...
นี่ก้อครบไปนานแล้วสินะ ....แต่เราก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี ....ในสิ่งที่ไม่เคยแน่ใจว่าจะเป็นไปได้... หรือนี่ไม่ใช่กระแสเรียกที่แท้จริงกันแน่

เมื่อก่อน...เราเคยมีความสุขที่ได้ร่วมกับพี่น้องรับใช้พระเกือบๆ จะ 3 ปี ในสภาภิบาล  มีความสุขที่ได้นำมิสซา ได้รับใช้พระด้วยเสียงเพลง.. รู้สึกว่านี่แหละคือตัวเราจริงๆ  แต่เราไม่เคยมีความสุขเลยที่กลับมาบ้าน... ต้องมาสวดให้แม่ด้วยใจที่เจ็บช้ำจนไม่มีน้ำตว่าอภัยให้แม่ลูกและอภัยให้ลูกด้วย เค้าไม่รู้จักพระองค์เหมือนที่ลูกรู้จัก...ได้แต่รอวันอาทิตย์ที่จะได้ใกล้ๆ พระ.. อยากรับใช้พระองค์อยากอยุ่กับแม่พระใกล้ๆ ตลอดเวลาไม่ไปไหนจริงๆ

ตอนนี้เหรอ.. เราไม่ได้ทำอย่างนั้นแล้ว .. เราลาออกจากสภา ...เราเลิกเป็นนักขับ.. เพราะเราตามใจแม่ที่อยากมาโบสถ์ใหม่ที่ใกล้บ้านกว่า..
แต่เราไม่มีความสุขเท่าไรเลยเมื่อออกมาจากโบสถ์เดิม ..ทั้งๆ ที่รู้ว่าที่ไหนพระก็สถิตเหมือนกัน  รุ้สึกเหมือนว่าเราทรยศพระองค์ยังไงไม่รู้ที่ทิ้งหน้าที่ที่พระองค์มอบหมายมา  แต่พระก็ยังให้กำลังใจในการทำงาน ...ให้พระพรให้ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ให้ผุ้ใหญ่เมตตา มีเงินเดือนสูงๆ มาให้แม่ใช้จ่าย...จนตัวเองแทบจะไม่ได้ซื้ออะไรที่ตัวเองอยากได้  คิดดูแล้วเราไม่ได้อยากได้ตำแหน่งสูงๆ หรือเงินดีๆ เลย.. ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกันนะ...เหมือนมันไม่ใช้ตัวผมเองเลย...

สับสนตัวเองแล้ว...
บอกตรงๆ ไม่อยากจะเป็นเหมือนคนอื่นเขาที่ทำงานเก็บเงินเยอะๆ แต่งงาน มีลูกมีครอบครัว แล้วก็ตาย...กลับไปเฝ้าพระองค์
บอกตรงๆ ในใจอยากดูแลรับใช้พระองค์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น.. แต่ขากลับไม่กล้าออกไป พอจะก้าวออกไป ก็สับสนในใจ

แล้วเราจะทำได้ไหม...แล้วเราจะทิ้งแม่ไปได้ยังไง เรามีกันอยู่สองคนไม่ใช่เหรอ..
แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น...พระจะให้ลูกทำอย่างไร..ความรู้สึกสับสนนี้จะหายไปไหม...หรือจะต้องรู้สึกอย่างนี้ตลอดชึวิต..
กางเขนของพระองค์หนักเกินไป หรือใจลูกมันอ่อนแอเกินจะแบกกันแน่...

ถ้าเป็นไปไม่ได้ ลูกไม่อยากจะเลือกสักทาง...แต่ถ้าเป็นไปได้ ลูกก็อยากจะเป็นได้ทั้งสองทาง...
แต่ให้เป็นไปแล้วแต่พระองค์จะทรงนำ

แต่ตอนนี้...ขอคำภาวนาและคำแนะนำด้วยครับ..
รักและคิดถึงพี่น้องในพระคริสต์ทุกคนเสมอ...

TPP
:-)
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

จันทร์ ก.ค. 07, 2008 10:50 pm

เป็นกำลังใจให้กับพี่นะครับ ขอพระอวยพรและส่องสว่างทางเดินข้างหน้านะครับ ::001::

จากน้องคนนี้ที่โบสถ์เดิม
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ring A Bell
โพสต์: 28
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร พ.ค. 27, 2008 6:50 pm
ที่อยู่: 263 ถ.ศรีธรรมโศก ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช

จันทร์ ก.ค. 07, 2008 11:03 pm

นั้นสิค่ะ ชีวิตนี้อยู่มาได้ไงโดยไม่มีความสุข
สำหรับฉันแล้วบางที่คิดมากก็ไม่ดี
คิดแล้วปวดหัว คิดอะไรง่ายๆบ้างก็ได้
จะได้มองมุมกว้างขึ้น มองได้ทั่วๆ
การลงมือทำสิสำคัญที่สุด
เล็งเป้าหมาย..แล้วโฟกัส..ก่อนลงมือทำ

ก็คงให้ได้แค่กำลังใจนะคะ พยายามเข้านะคะ
Dis volentibus

อังคาร ก.ค. 08, 2008 1:01 am

วางใจค่ะ...เเล้วพระจะจัดการที่เหลือเอง
ยิ่งเราคิดไปเองมากเท่าไหร่ เรายิ่งเขวนา : xemo016 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
blue_sky
โพสต์: 83
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ส.ค. 20, 2006 2:04 pm
ที่อยู่: Chonburi,Thailand

อังคาร ก.ค. 08, 2008 3:43 am

ในเวลาที่เขาเหล่านั้นเป็นทุกข์ โปรดหยิบยื่นพระให้ในฐานะอีกหนึ่งทางเลือก
เฉกเช่นเดียวกับอาหารอย่างอื่น สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อ
ด้วยในเวลาเช่นนั้นเขากลับยิ่งทวีความหิวกระหาย

แต่ในเวลาที่เขายังคงเป็นสุข โปรดพึงเก็บเอาไว้เถิด
ด้วยที่ว่าเขาจะมองข้ามไป ดังเช่นอาหารทั้งหลายในสายตาของเขา เมื่อยามที่เขานั้นอิ่ม

คำตอบนั้นง่ายมาก ก็เพราะว่า "คุณยังไม่เห็นความหิวโหยในดวงตาของพี่น้องนั่นเอง"
เมื่อคุณเห็นความหิวโหยในดวงตาของพี่น้องแล้ว ก็โปรดหยิบยื่นสิ่งเหล่านั้นเถิด
แก้ไขล่าสุดโดย blue_sky เมื่อ อังคาร ก.ค. 08, 2008 4:25 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
francisco xavier
โพสต์: 300
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 19, 2007 11:40 am

อังคาร ก.ค. 08, 2008 11:29 am

ผมก็เคยรู้สึกสับสนอย่างนี้เหมือนกัน
ผมเป็นโปร ฯ มาก่อน แต่หันมาเป็นคาทอลิกเพราะว่าอยากเป็นคุณพ่อ ทั้ง ๆ ที่ครอบครัวซึ่งเป็นโปร ฯ ไม่เห็นด้วย แต่ผมก็เปลี่ยนเป็นคาทอลิกโดยไม่ได้บอกกับทางบ้าน (เป็นตัวอย่างที่ไม่ค่อยดีนักนะครับ)
หลังจากที่ผมรับศีลล้างเป็นคาทอลิกแล้ว ผมก็เรียนคุณพ่อเจ้าวัดว่าผมอยากเข้าบ้านเณร คุณพ่อเจ้าวัดท่านก็นำเรื่องของผมปรึกษากับพระสังฆราช ท่านได้ให้แนวทางว่า ให้ผมรอ 3 ปี ผมก็รอ ตอนนี้ก็ครบเวลาแล้ว คุณพ่อเจ้าวัดท่านก็ถามผมอีกว่า อยากจะเข้าบ้านเณรอยู่หรือเปล่า ผมก็เรียนท่านว่าอยากเข้าเหมือนเดิมครับ ท่านก็นำเรื่องของผมแจ้งไปยังคุณพ่อที่ท่านดูแลเกี่ยวกับการส่งคนเข้าบ้านเณร ท่านก็บอกให้ผมรอก่อน เพื่อที่จะหาแนวทางสำหรับผมว่าจะต้องไปฝึกชีวิตนักบวชที่ไหน อย่างไร เป็นระยะเวลาเท่าไหร่ และหากผมพบว่าไม่ใช่เป็นกระแสเรียกที่จะให้ผมเป็นคุณพ่อ จะมีแผนสำรองสำหรับชีวิตผมอย่างไรเพื่อไม่ให้ผมต้องตกงาน ซึ่งเวลาก็ล่วงเลยมานานพอสมควรแล้ว แต่คำตอบก็เงียบหายไปพร้อมกับเวลาที่ค่อย ๆ ผ่านเลยไป
ผมจึงมีคำถามขึ้นในใจเหมือนกันว่า ..หรือเราไม่เหมาะที่จะเป็นข้ารับใช้พระองค์..
ผมคิดว่า..พระเป็นเจ้าถ้าหากว่าข้าพระองค์ไม่ได้เป็นคุณพ่อ ก็ขอให้ข้าพระองค์ตายเสียดีกว่า..ข้าพระองค์มองไม่เห็นหนทางเลยว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร เพราะข้าพระองค์ปราถนาเหลือเกินที่ได้เป็นข้ารับใช้พระองค์..  ::008::
ผมสวดภาวนา เฝ้าศีล และพยายามหาคำตอบว่า..เหตุใดพระองค์จึงให้ข้าพระองค์รอนานเหลือเกิน พระองค์ประสงค์สิ่งใดที่ให้ข้าพระองค์ทนรอ และมองไม่เห็นเลยว่าจะสิ้นสุดการรอคอยเมื่อไหร่..

จริง ๆ แล้วการที่เรามีองค์พระเยซูคริสต์ ก็เพียงพอสำหรับทุกสิ่ง
ชีวิตเรามีความสุขได้ ไม่ใช่เพราะว่าเราได้ในทุกสิ่งที่เราปราถนา หรือเพราะว่าคำภาวนาของเราได้รับคำตอบ หรือเพราะว่าเราได้เป็นในสิ่งที่เราอยากจะเป็น แต่เรามีความสุขเพราะว่าเรามีองค์พระเยซูคริสต์
ชีวิตของเรามีความหมายได้ ไม่ใช่เพราะเราได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ หรือเพราะว่าเราได้ทำกิจการแห่งความดีมากมาย แต่ชีวิตเรามีความหมายเพราะว่าเรามีองค์พระเยซูคริสต์เป็นศูนย์กลางแห่งการดำเนินชีวิต
ดังนั้น ผมได้ตายไปแล้วจริง ๆ มีแต่เพียงพระคริสตเจ้าเท่านั้นที่มีชีวิตอยู่ในผม ผมจะต้องเล็กลง  แต่พระเยซูจะต้องใหญ่ขึ้น
ทุกวันนี้ผมยังคงทำงาน แต่ผมทำงานไม่ใช่เพื่อเงินทอง ความมั่นคงมั่งคั่ง หรือเพื่อลาภยศสรรเสริญ แต่ผมทำงานเพื่อถวายเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า
และผมก็ยังคงรอคอยว่าวันหนึ่งหากเป็นที่พอพระทัย ผมก็จะได้เข้าบ้านเณร และได้เป็นคุณพ่อในที่สุด

ขอพระเป็นเจ้าโปรดทรงช่วยเรา ที่เราจะดำเนินชีวิตอย่างศักดิ์สิทธิ์ และดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ต่อไป
Little Puppet
โพสต์: 100
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มี.ค. 18, 2005 12:25 pm
ที่อยู่: กรุงเทพ

อังคาร ก.ค. 08, 2008 12:07 pm

คุณ francisco xavier คิดเหมือนผมเลย...

วันนี้ หลายคนที่เคยร่วมทางด้วยกัน เค้าหายไปทีละคน สองคน..
บางทีก็คิดนะว่า เราก็อาจจะเป็นอย่างพวกเค้าเหล่านั้นก็ได้....แล้วทำไมเราไม่ตามเค้าไปละ...
บ่างทีคิดว่า ..ท้ายที่สุดเราก็คงเป็นฆราวาสทั่วไปแหละดีแล้ว แต่พอจะตัดใจ..หันหลังกลับ
ส่วนลึกกลับตัดสินใจเลือกที่จะรอ...รอคำตอบของพระองค์ต่อไป..
ก็แน่นอนว่า ...ไม่รู้จะได้พบคำตอบเมื่อไร...แต่ก็อยากจะรอ... จนกว่าจะตาย

เห็นบราเดอร์ พี่น้องนักบวชหลายคนที่เค้าบวชแล้วก็ดีใจ แต่ขณะหนึ่งก็กลายเป็นหอกทิ้มแทงเราเองเหมือนกัน
เค้าแบกกางเขนถึงกัลวารีโอแล้ว เราแค่โดนเฆี่ยนไม่กี่ทีเองก็ท้อใจ...

มันก็เลยเป็นคำถามว่า... พระอยากให้เรารับทรมานนี้ เพราะเป็นกางเขนของเรา
หรือว่ามันไม่ใช่กางเขนของเรา เป็นแค่แอกที่เราดันหยิบมาแบกเอง...กันแน่

เฮ้อ...

ขอพระแม่และพระเยซูเจ้าโปรดปลอบประโลมใจคุณและผม... ด้วยคำภาวนาด้วยเทอญ
francisco xavier
โพสต์: 300
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 19, 2007 11:40 am

อังคาร ก.ค. 08, 2008 1:39 pm

ย่างเท้าของมนุษย์นั้นพระเจ้าทรงเป็นผู้สั่ง แล้วคนจะเข้าใจทางของเขาเองได้อย่างไร (สุภาษิต 20:24)
ด้วยว่าพระองค์ทรงทราบทางที่ข้าไป เมื่อพระองค์ทรงทดสอบข้าแล้ว ข้าจะเป็นอย่างทองคำ (โยบ 23:10)

ขอหนุนใจ และเป็นกำลังใจให้ครับ
พระเจ้าสถิตย์กับเราเสมอ
~@
โพสต์: 2546
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 10:54 pm

อังคาร ก.ค. 08, 2008 5:16 pm

จริงๆแล้วอายุผมเป็นน้องพี่ puppet นะครับประสบการ์ณชีวิตอะไรคงจะน้อยกว่า  แต่ผมจะเล่าชีวิตคร่าวๆของผมให้ฟังเผื่อว่ามันจะช่วยอะไรได้บ้างนะครับ

ผมเคยคิดอยากเป็นนักบวชนะครับ แต่จริงๆแล้วเพิ่งมารู้ตัวเองว่าที่อยากเป็นนักบวชนั้นก็เพราะ"อยากรับใช้พระองค์"มากกว่า เพียงแต่ว่าตอนนั้นคิดได้แต่เพียงว่านักบวชสามารถรับใช้พระเจ้าได้มากที่สุดซึ่งจริงๆแล้วผมคิดผิด  อาชีพผมตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นอาชีพที่ดูเหมือนจะห่างไกลจากพระเจ้ามากที่สุด(ผมเป็น Dancer บางทีต้องไปเต้นในผับ ในบาร์ เต้นให้กับศิลปินดังๆ ต้องแต่งตัวดีๆ อยู่ในโลกของแสงสีวัตถุนิยมเต็มตัว)

ซึ่งแรกๆที่เข้ามาทำงานตรงนี้ผมกังวลมากเลยไปปรึกษากับพี่ Holy ว่าการเต้นและอยู่ในเส้นทางของวัตถุนิยมแบบนี้ผมจะสามารถทำให้มันเป็นงานของพระได้อย่างไรและไม่มีความสุขในใจและกายเลยทั้งๆที่มันเป็นงานที่ผมรักและเป็นความฝันของผม(เพราะผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเข้าใจของเราว่า การรับใช้พระต้องเป็นคุณพ่อ ต้องไปช่วยมิซสา ต้องไปเป็นคนถือถุงทาน ฯลฯ)  ไปมาๆผมกลับตระหนักได้ว่านี่เป็นเส้นทางที่พระองค์ต้องการให้ผมมาเองซะด้วยซ้ำ  พระองค์ให้ผมมาพาคนที่อยู่ในเงามืดเหล่านี้ได้รู้จักพระองค์โดยการทำตัวเป็นคริสตชนที่ดี(ซึ่งผมก็ทำได้ไม่ดีนัก - -")แต่ในความบกพร่องตรงนั้นทำให้ผมเห็นชัดว่าเป็นพระองค์ที่ทำผ่านตัวเราไม่ใช่เราทำเอง   

พอผมเห็นตรงนี้ปุ๊ปผมก็เกิดความสุขในจิตใจ มันเหมือนเป็นความมั่นใจมากกกว่าว่า เออ เนี๊ยะพระองค์เป็นคนพาเรามาเองนะ เราไม่ได้ทำตามอำเภอใจที่เต็มไปด้วยความบาปของเรา  แต่พระองค์ทรงเป็นคนดลใจให้เรามาเอง  และสิ่งที่ทำให้ผมมั่นใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ  ผมเคยท้อแท้ในเส้นทางนี้และเคยคิดจะล้มเลิกหลายครั้ง  แต่แล้วก็จะต้องมีเหตุบางอย่างเข้ามาช่วยเหลือ หรือเหตุบางอย่างที่จะขัดขวางการเลิกกลางคันนี้ของผมไป   ทำให้ผมเห็นว่าพระองค์ทรงมองผมอยู่และทรงช่วยเหลือผม และทรงสนับสนุนและให้กำลังใจผม

ตรงกันข้าม ย้อนไปสมัยตอนเรียน ม.6 ผมใฝ่ฝั่นอย่างมากว่าจะเข้าสัตว์แพทย์ และพยายามทุกทางที่จะเข้าให้ได้  แต่แล้วก็ไม่ติดเลยเลือกเรียน คณิตศาสตร์-คอมพิวเตอร์ ของ พระจอมเกล้าแทน(ตอนนั้นผมถนัดอยู่ 3 ตัวคือ เลข ฟิสิกส์ และ ชีวะ)พอเรียนมาสักพักก็เริ่มชอบการทำ Programming ชอบจนถึงขนาดซื้อหนังสือนอกบทเรียนมาเรียนรู้และหัดทำเอง โปรเจกต์คอมก็ได้ A ทุกครั้ง(แต่วิชาอื่น D ,C , C+  - -")ก็เริ่มคิดว่าเราจะมาเอาดีทางด้านนี้ดีกว่า  ตอนเรียนจะจบปี 4 ผมกำลังทำโปรเจกต์จบอยู่(seminar)ก็ดันเหลือบไปเห็นคนกำลังเต้นอยู่ใน TV ก็รู้สึกว่า เออน่าสนุกดีจัง   ก็เลยลองไปเรียนเต้นดู พอลองไปเรียนแล้วเกิดรู้ว่านี่แหละคือตัวตนของเราอย่างแท้จริงเราทำแล้วมีความสุขทำแล้วรู้สึกว่าเราอยากทำไปตลอดชีวิต  ทำให้ผมคิดได้ว่า "บางอย่างที่เราทำได้ดีไม่ได้หมายความว่าเราจะชอบ" ดังนั้นผมเลยเลือกที่จะ "ทำในสิ่งที่ชอบแม้ว่ามันอาจจะไม่ได้ดี" ดีกว่าเพราะมันคือตัวตนของเรา  แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือความเป็นจริงที่ว่า "หากเรามีความสุขในสิ่งที่ทำ สิ่งนั้นย่อมประสบความสำเร็จมากกว่าการทำในสิ่งที่เราไม่ได้มีความสุขกับมัน"  ดังนั้น "การชอบในสิ่งที่ทำ" กับ " มีความสุขในสิ่งที่ทำ" ความสุขและความสำเร็จที่ได้รับมันต่างกัน

มันเลยเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งที่ผมมีในตอนนี้(ซึ่งมาจากการดลใจ และการชี้นำของพระองค์)  สำหรับผมแล้วหากเรากำลังเดินทางผิด พระองค์จะมีสัญญาณที่อยู่ในรูปของเสียงร้องเรียกหรือเหตุการ์ณบางอย่างเพื่อเป็นสัญญาณบอกเราว่าเออ ทางนี้ผิดนะ แล้วพระองค์ก็จะมีอีกหนทางตระตเรียมใว้ให้  แต่ถ้าเรามาถูกทางแล้วพระองค์ก็จะมีสัญญาณที่อยู่ในรูปของการช่วยเหลือครับ


ท้ายสุดขอแถมอีกเรื่องครับ

คุณพ่อผมจริงๆแล้วพอรู้ข่าวว่าผมจะไปเป็นโปแกรมเมอร์(ซึ่งตอนนั้นกำลังจะเข้าทำงานที่ ธ.ไทยพาณิช SCB  )ก็ดีใจมาก แต่พอมารู้ข่าวว่าลูกชายสุดที่รักของตัวเองจะไปเต้นกินรำกินก็แสดงอาการขัดขวางตามธรรมเนียม  ผมก็เครียดมากเพราะใจจริงอยากตอบแทนบุญคุณพ่อแม่แต่เป็นอีหรอบนี้จะตอบแทนได้ไง  แต่คุณแม่ผมกลับบอกว่า "ท้ายสุดแล้วคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องตายไปลูกก็ต้องเหลืออยู่กับตัวเอง    ดังนั้นคนที่ตัดสินใจชีวิตลูกก็คือตัวของลูกเองไม่ใช่พ่อแม่" ทำให้ผมเข้าใจคำสอนของพระเยซูเจ้าไปอีก 1 ขั้นว่าแท้จริงแล้วที่พระองค์ตรัสว่า
"ผู้ใดยังไม่ละทิ้งบิดามารดา พี่น้อง ทรัพย์สมบัติ ก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้ติดตามเรา" นั่นหมายถึงไม่ได้สั่งให้เราทิ้งไม่ให้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ของเรา  แต่พระองค์กำลังบอกถึงวิธีที่ตอบแทนบุญคุณที่ถูกวิธีให้ต่างหาก เพราะหากใจเราปรารถนาสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นการตามพระเยซูเจ้า(ที่เป็นพื้นฐานของคริสตชน) หรืออยากประกอบอาชีพอะไร  อยากทำอะไรในชีวิต(ในสิ่งที่ดี)  เราก็ต้องให้สิ่งนั้นสำคัญที่สุดและต้องทำให้ได้  เพราะถ้าหากเราทำได้แล้วเราถึงจะสามารถไปตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ได้ในภายหลัง   ถ้าผมมัวแต่เกรงใจพ่อผมก็จะไปเป็นโปรแกรมเมอร์ทั่วๆไปไม่ประสบความสำเร็จทำงานเช้าเย็นกลับบ้านนอน  แล้วผมจะตอบแทนคุณคุณพ่อได้อย่างไร ^^
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ อังคาร ก.ค. 08, 2008 5:21 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Little Puppet
โพสต์: 100
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มี.ค. 18, 2005 12:25 pm
ที่อยู่: กรุงเทพ

อังคาร ก.ค. 08, 2008 5:55 pm

คุณพระเจ้าสถิตย์กับเราเสมอครับ

นั่นสินะ ทำในสิ่งที่เราชอบให้เต็มที่ที่สุด แม้ว่ามันจะไม่ได้ดีเด่อะไรก็ตามแต่ใช่มั๊ย....
ผมเคยคิดกลับ่ทางกันนะว่า ทำในสิ่งที่เราทำได้ดี แม้ว่ามันจะไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ... เพราะพระเจ้าให้พรสวรรค์เรามาทางนั้น..

เล่าชีวิตให้ฟังมั่งดีกว่า

ผมเองไม่ได้อยากเป็นโปรแกรมเมอร์เลย...
จริงๆ อยากเป็นนักดนตรี+นักร้อง+นักแต่งเพลง เพราะชอบแต่งกลอน ชอบเขียนเพลงและก็ชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็กๆ ประกวดจนได้รางวัล
และตอนนั้นเนี่ยะ ชือ่ผมดังในแนว popular มากๆ ไม่มีใครในโรงเรียนไม่รู้จักผมในฐานะนักร้องของโรงเรียนอะนะ
แต่พอถึงเวลาตัดสินใจเลือกเรียน เนื่องจากบ้านมีปัญหาทางการเงินเพราะพ่อกับแม่แยกทางกัน เลยตัดสินใจเรียนสายอาชีพ
เรียนการบัญชี ก็ขอบคุณพระเจ้าที่ให้สติปัญญา ต่อปวส. อยากต่อบัญชีแต่เพราะว่าเพื่อนๆ ผู้ชายไม่มีต่อด้วยเลย (มีแต่เพื่อนผุ้หญิงที่ต่อบัญชี) เราเลยตัดสินใจตามเพื่อนผุ้ชายในกลุ่มเดียวกัน ไปเรียนคอมฯธุรกิจ... จริงๆ พ่ออยากให้ต่อบัญชี เราก็อยากแต่กลัวไม่มีเพื่อน (คิดแบบเด็กๆ ติดเพื่อนช่วงนั้น)

เรียนคอมธุรกิจไม่ใช่อะไรหรอก เพราะชอบเล่นเกม 55555 (น่ามั๊ยเนี่ย) เกิดความอยากรู้ว่าเค้าเขียนโปรแกรมกันยังไง ซึ่งก็ขอบคุณพระที่ทำได้ดี
จนถึงขนาดอาจารย์ให้เราสอนและทำงานต่อที่นั่นหลังจากจบ เพราะแม่เราไม่มีทุนให้เรียนต่อมหาวิทยาลัยสูงๆ

ได้สอนเด็กปีนึง เกิดมีความรู้สึกว่า เราชอบที่จะเป็นครูนะ ได้สอนเด็กจนได้เหรียญแข่งกลับมา รุ่นน้องที่สอนก็ได้ทำงานโรงเรียนต่อด้วย จากนั้นโรงเรียนเริ่มโครงการเขียนโปรแกรมนำระบบ mis มาใช้ ก็เลยเริ้มเขียน+เรียนรู้โปรแกรม ตั้งแต่ access/oracle/vb สารพัด สมัย 95 ยังรุ่งเรือง จากนั้นก็ยึดอาชีพโปรแกรมเมอร์เรื่อยมา... พระก็อวยพรงานแต่ละงานเสมอ ให้มีคนช่วยเหลือ โปรเจกต์ต่างๆ ก็เรียบร้อยดี

แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ชอบตจริงๆ  ..และสิ่งที่ทำได้ดีเลย เพราะรู้ว่าแต่ละครั้งที่ทำได้ เพราะพระประทานสติปัญญาให้  ก็มีความสุขนะ
แต่มันไม่มีความสุขเท่ากับตอนได้รับใช้พระนะ ตั้งแต่ตอนเป็นโปรเตสแตนท์... ผมเรียนพระคัมภีร์กับ ศบ. จนได้เป็นผุ้รับใช้ดูแลลูกแกะในละแวกโบสถ์นาน 2 ปี ระหว่างนั้นได้ดูแลกลุ่มเยาวชนแทนพี่คนนึงที่ไปเป็นมิสชั่นนารีของ YWAM ที่อินเดีย ตอนนั้นรู้เลยว่า เราอยากเป็นผู้รับใช้จริงๆ ชอบที่จะสอนพระคัมภีร์ พูดหนุนใจ+ประกาศทางอินเตอร์เน็ตสารพัด.. ไม่อยากที่จะเป็นแค่ฆราวาสหรือสมาชิกอยู่เฉยๆ .แต่ก็รู้สึกขัดแย้งกับพี่น้องหลายคนเรื่องความเชื่อลึกๆ (เรื่องแม่พระน่ะแหละ) พอมีเหตุมาให้เป้นคาทอลิก..พบแม่พระ พระสอนให้เรารู้จักพระองค์มากขึ้น.. ก็รู้สึกลึกๆ ว่า นี่แหละคือทางที่เราอยากเดิน..

ได้แต่ตั้งปณิธานกับพระไว้นะว่า ถ้าเป็นพ่อคาทอลิกไม่ได้จริงๆ  ก็ไม่เป็นไร จะกลับไปเรียนพระคัมภีร์สายโปรฯ เหมือนเดิม แล้วออกพันธกิจในแนวทางศาสนสัมพันธ์ก็ได้ ..เพราะว่า ..พระไม่ได้จำกัดให้เรารับใช้แค่นิกายใดนิกายหนึ่ง แท้จริงเรารับใช้พระองค์ได้เสมอในทุกแห่งบนโลกใบนี้จริงมั๊ยครับ

แต่มันก็แค่ปณิธานน่ะน่ะ...

ขอพระอวยพรคุณเหมือนกันครับ
:)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร ก.ค. 08, 2008 6:30 pm

อ่านแล้วงงๆ อยู่เรื่องนึง

หลายๆคนที่บอกว่าอยากบวชแต่ดูแล้วเหมือนจะติดต่อพ่ออยู่คนเดียว แล้วหวังกะพ่อคนนั้น

ผมไม่รู้ว่าเป็นพ่อพื้นเมืองหรือพ่อคณะ แต่ที่จริง การส่งคนบวช ถ้าไม่ใฃ่พ่อพื้นเมือง แต่ละคณะก็มีสิทธิ์พิจาณารับคนเข้าคณะของเขาเอง กล่าวคือ คณะนักบวชต่างๆมีพ่อเจ้าคณะที่รับนักบวชกันโดยมีระบบระเบียบของตัวเอง ซึ่งเป้นอิสระในการที่ใครจะเข้าไปสัมผัส สมัคร หรือแสดงเจตน์จำนงได้ ซึ่งในเมืองไทยเองมีหลายสิบคณะมาก

น.โรซาแห่งลีมา เมื่อท่านได้รับกระแสเรียกเป้นนักบวช ท่านก็ทราบแค่นั้น แต่ไม่เคยทราบว่าตัวเองต้องเป้นนักบวชคณะไหน ท่านจึงตระเวณไปตามคณะต่างๆ ศึกษาไปทีละแห่งจนมาจบที่สุดท้ายที่ท่านพบว่าที่นี่เองที่พระเจ้าเลือกให้ท่านมา

จะเห้นว่าขนาดนักบุญที่พระเลือกและเรียกให้เป้นนักบวชก้ไม่ได้มีแนวทางในการพบวิธีและสถานที่ๆพระจัดแบบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป

ในพระคัมภีร์ มีประโยคอยู่3ประโยค

ผู้ที่ขอจจะได้รับ
ผู้แสวงหาจะได้พบ
ผู้ที่เคาะประตูจะเปิดรับ

ผมคิดว่า2ประโยคหลังมีคนทำน้อยกว่าอันแรก เพราะคนขยันขอมากกว่าขยันทำ หลายๆครั้งเราไม่เข้าใจว่า พระเจ้าพอพระทัยเพียงไร เมื่อเราพยายามอย่างสุดกำลังในการแสวงหาน้ำพระทัยพระเพราะถ้าเราบอกว่ารักพระองค์สุดจิตใจการแสวงหาพระองค์อย่างสุดฤทธิ์ก็เป้นการพิสูจน์ว่ารักสุดใจของเรานั้นมันแค่ไหน เหมือนหญิงที่ค้นทั่วบ้านที่หาเหรียญ1อัน เหมือนชายเลี้ยงแกะ ที่บุกป่าฝ่าดงขึ้นเขาลงห้วยเพื่อหาแกะที่หาย

บางครั้งที่เราเข้าใจว่าทำไมพระองค์ไม่พาเราไปตรงนั้นซะที บางทีพระองค์พาอยู่ แต่เราอาจจะเดินช้าเองก็ได้นะครับ บางทีเราอาจคิดว่าพระองค์ต้องจูงมือเราจึงจะไปทางที่ถูก แต่ที่จริงพระองค์บอกแค่ "ตามเรามา" แล้วเดินนำลิ่วๆไปเลย ให้เราคอยมองตามแผ่นหลังนั้นและรีบตามไปเองก็ได้นะครับ
Little Puppet
โพสต์: 100
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ มี.ค. 18, 2005 12:25 pm
ที่อยู่: กรุงเทพ

อังคาร ก.ค. 08, 2008 6:40 pm

ก็จริงด้วยนะครับคุณปอ..

ตอนนั้นผมยึดติดกับคณะมาก... แบบว่าฉันอยากเข้าคณะนี้จริงๆ คณะนี้เท่านั้น.... ที่ปรารถนา
แต่ไปมาๆ ..พอนานไปฃักรู้สึกเหมือนว่า เออ ใช่เหรอ
เริ้มพอคิดได้ว่า ...จริงๆ แล้ว เรากำลังเลือกเองหรือเปล่า น่าจะปล่อยให้พระเลือกมากกว่า
แต่ก็ไม่ใช่ไม่เดินตามหาอะไรเลย เอาแต่สวดขอๆๆๆพระเปิดทางให้อย่างเดียว ก็เหมือนกับว่า

พระเยซูเจ้าบอกให้เปโตรเดินบนน้ำมาหาพระองค์ เราก็ไม่กล้าสักที แต่สุดท้ายท่านเปโตรก็กล้าๆ ทั้งๆที่ก็กลัวๆ

ผมตอนนี้เป็นยังงั้นแหละ
แต่ไม่กล้า ..เพราะกลัวอยู่ง่ะครับ -*-

เฮ้อออ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ignatius
.
.
โพสต์: 2597
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 12:48 pm

พุธ ก.ค. 09, 2008 7:04 am

ขอหนุนใจและคำภาวนานะคะ
ขอให้พระองค์นำทางให้ชีวิตที่จะรับใช้พระองค์นะคะ
Akira
โพสต์: 101
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ส.ค. 05, 2007 6:51 pm

ศุกร์ ก.ค. 11, 2008 12:30 pm

ผมคิดว่าเราจะเป็นอะไรเราก็ทำงานให้พระได้นาครับ

เป็น web master ดูแลเวปคริสต์
เล่นโปรแกรมแชทอย่าง imvu เข้าไปเผยแพร่อย่างที่เคยเห็นคนต่างประเทศเค้าทำกัน
มีอีกหลากหลายทางเลย ทำธุรกิจหาเงินช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสก็ได้ ยิ่งได้เงินมาเยอะก็ยิ่งได้เงินมาเยอะ ก็ช่วยเหลือได้เยอะ คิดดูว่าคนรวยๆ อย่างบิล เกตต์ ถ้าเอาเงินแค่บางส่วนมาช่วยจะช่วยได้เยอะแค่ไหน

และก็คิดเห็นด้วยกับที่ พระเจ้าสถิตย์กับเราเสมอ เล่ามาครับถึงจะเป็นแดนเซอร์ แต่เราก็สามารถประกาศให้คนในวงนั้นรู้จักพระได้ เหมือนว่าเราก็เป็นธรรมฑูตที่ไปคลุกคลีกับคนกลุ่มนั้น

แต่ละเส้นทางก็มีวิธีต่างกันในการรับใช้
แก้ไขล่าสุดโดย Akira เมื่อ ศุกร์ ก.ค. 11, 2008 12:34 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

อาทิตย์ ก.ค. 13, 2008 10:23 pm

ภายใต้ศีลล้างบาป  เราทุกคนถูกเรียกมาให้ศักดิ์สิทธิ์  และเราทุกคนถูกเรียกมาให้รับใช้พระองค์ทางใดทางหนึ่ง  เราจะรู้น้ำพระทัยได้  ก็ต่อเมื่อเรามีความสัมพันธ์ที่สนิทกับพระเป็นเจ้า  พูดง่ายๆคือ  คนเราสนิทกัน  ก็ย่อมรู้ใจกันเป็นธรรมดา  ::001::

เราต้องหาว่า  พระจะให้เรารับใช้แบบไหน  ไม่มีหรอกค่ะที่ไม่เหมาะสม  พระใช้งานได้ทุกคน  พระองค์รักและไว้ใจเรามาก  หลายครั้ง  ไม่น่าเชื่อว่า  พระองค์ไว้ใจลูกให้ทำเรื่องนี้ไปได้ยังไง  ไม่กลัวพลาดเลยเหรอ  แต่พระองค์ก็ยังอุตส่าห์ใช้  ::001::

สวดมากๆนะคะ  พระอวยพรค่ะ  ::001::
ตอบกลับโพส