+++เรื่องจริงของนักโทษประหาร โคลด์ นิวแมน (1944)+++
เรื่องจริงของนักโทษประหาร โคลด์ นิวแมน (1944)
โดย จอห์น เวนนัน. ลงใน"คาทอลิก แฟมีลี่ นิวส์" มีนาคม 2001
มิสซิปปีในปี ค.ศ. 1944
เรื่องจริงของ โคลด์ นิวแมน เกิดขึ้นที่ มิสซิปปีในปี 1944, เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถูกเล่าโดยคุณพ่อ โอ ลิลรี่, พระสงฆ์ประจำสังฆมณฑล, ท่านเป็นผู้ที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์นี้โดยตลอด, และได้เล่าเรื่องโดยบันทึกเทปมอบเป็นอนุสรณ์แก่พวกเราที่เป็นชนรุ่นหลังได้รู้..
โดย จอห์น เวนนัน. ลงใน"คาทอลิก แฟมีลี่ นิวส์" มีนาคม 2001
มิสซิปปีในปี ค.ศ. 1944
เรื่องจริงของ โคลด์ นิวแมน เกิดขึ้นที่ มิสซิปปีในปี 1944, เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถูกเล่าโดยคุณพ่อ โอ ลิลรี่, พระสงฆ์ประจำสังฆมณฑล, ท่านเป็นผู้ที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์นี้โดยตลอด, และได้เล่าเรื่องโดยบันทึกเทปมอบเป็นอนุสรณ์แก่พวกเราที่เป็นชนรุ่นหลังได้รู้..
โคลด์ นิวแมน:
โคลด์ นิวแมนเป็นชายผิวดำทำงานในไร่ของเจ้าของที่ดินรายหนึ่ง, เมื่ออายุได้ 17 ปี เขาได้แต่งงานกับสตรีซึ่งมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน. สองปีต่อมา, ในวันหนึ่ง, เขาได้ออกไปทำงานในไร่ มีเพื่อนคนงานวิ่งมาแจ้งแก่เขาว่า ภรรยาของเขากำลังร้องขอความช่วยเหลืออกมาจากบ้าน. โคลด์ รีบวิ่งไปที่บ้านทันทีและก็ได้ห็นชายคนหนึ่งกำลังปลุกปล้ำภรรยาของเขา โคลด์เหลือบไปเห็นขวานวางอยู่จึงจับด้ามขวานขึ้นมาแล้วจามเข้าที่ศีรษะชายคนนั้นจนหมอบราบลงกับพื้น เขาพบว่าผู้ตายก็คือลูกจ้างซึ่งทำงานให้กับเจ้าของที่ดินรายเดียวกันและรู้จักมักคุ้นกันดี โคลด์ถูกจับและถูกพิพากษาตัดสินว่าเป็นฆาตกรมีโทษต้องถูกประหารชีวิตด้วยการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า.
ระหว่างที่ต้องโทษในคุกเพื่อรอเวลาที่จะถูกประหารอยู่นั้น, เขาถูกขังรวมกับนักโทษอื่นอีก 4 คน. คืนวันหนึ่ง, นักโทษทั้งห้าคนนั่งล้อมวงพูดคุยกัน เมื่อเลิกจากการพูดคุย, โคลด์สังเกตว่านักโทษคนหนึ่งห้อยเหรียญอย่างหนึ่งไว้ที่คอ. เขาถามชายหนุ่มคนนั้นว่า นั่นคืออะไร? เด็กหนุ่มคนนี้เป็นคาทอลิกบอกกับเขาว่าเป็นเหรียญอย่างหนึ่ง. โคลด์ถามต่อว่า "มันเป็นเหรียญอะไรล่ะ?" หนุ่มคาทอลิกนั้นอธิบายไม่ได้ว่าเป็นเหรียญอะไรและมีไว้เพื่อจุดประสงค์อะไร. ถึงตรงนี้เด็กหนุ่มรู้สึกโมโหและกระชากสร้อยและเหรียญออกจากคอขว้างทิ้งลงบนพื้นแทบเท้าของโคลด์ทั้งยังพูดสบถสาปแช่ง, และบอกกับโคลด์ให้เก็บเอาสิ่งนั้นไปเสีย.
โคลด์จึงเก็บเหรียญขึ้นมาสวมที่คอของเขา,เมื่อได้รับอนุญาตจากนักโทษผู้นั้น. สำหรับเขาแล้วมันเป็นเพียงสิ่งของธรรมดาชิ้นหนึ่ง,แต่เขาอยากจะสวมมันไว้.
โคลด์ นิวแมนเป็นชายผิวดำทำงานในไร่ของเจ้าของที่ดินรายหนึ่ง, เมื่ออายุได้ 17 ปี เขาได้แต่งงานกับสตรีซึ่งมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน. สองปีต่อมา, ในวันหนึ่ง, เขาได้ออกไปทำงานในไร่ มีเพื่อนคนงานวิ่งมาแจ้งแก่เขาว่า ภรรยาของเขากำลังร้องขอความช่วยเหลืออกมาจากบ้าน. โคลด์ รีบวิ่งไปที่บ้านทันทีและก็ได้ห็นชายคนหนึ่งกำลังปลุกปล้ำภรรยาของเขา โคลด์เหลือบไปเห็นขวานวางอยู่จึงจับด้ามขวานขึ้นมาแล้วจามเข้าที่ศีรษะชายคนนั้นจนหมอบราบลงกับพื้น เขาพบว่าผู้ตายก็คือลูกจ้างซึ่งทำงานให้กับเจ้าของที่ดินรายเดียวกันและรู้จักมักคุ้นกันดี โคลด์ถูกจับและถูกพิพากษาตัดสินว่าเป็นฆาตกรมีโทษต้องถูกประหารชีวิตด้วยการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า.
ระหว่างที่ต้องโทษในคุกเพื่อรอเวลาที่จะถูกประหารอยู่นั้น, เขาถูกขังรวมกับนักโทษอื่นอีก 4 คน. คืนวันหนึ่ง, นักโทษทั้งห้าคนนั่งล้อมวงพูดคุยกัน เมื่อเลิกจากการพูดคุย, โคลด์สังเกตว่านักโทษคนหนึ่งห้อยเหรียญอย่างหนึ่งไว้ที่คอ. เขาถามชายหนุ่มคนนั้นว่า นั่นคืออะไร? เด็กหนุ่มคนนี้เป็นคาทอลิกบอกกับเขาว่าเป็นเหรียญอย่างหนึ่ง. โคลด์ถามต่อว่า "มันเป็นเหรียญอะไรล่ะ?" หนุ่มคาทอลิกนั้นอธิบายไม่ได้ว่าเป็นเหรียญอะไรและมีไว้เพื่อจุดประสงค์อะไร. ถึงตรงนี้เด็กหนุ่มรู้สึกโมโหและกระชากสร้อยและเหรียญออกจากคอขว้างทิ้งลงบนพื้นแทบเท้าของโคลด์ทั้งยังพูดสบถสาปแช่ง, และบอกกับโคลด์ให้เก็บเอาสิ่งนั้นไปเสีย.
โคลด์จึงเก็บเหรียญขึ้นมาสวมที่คอของเขา,เมื่อได้รับอนุญาตจากนักโทษผู้นั้น. สำหรับเขาแล้วมันเป็นเพียงสิ่งของธรรมดาชิ้นหนึ่ง,แต่เขาอยากจะสวมมันไว้.
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ จันทร์ เม.ย. 04, 2005 7:03 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ในคืนนั้น,ขณะที่กำลังนอนหลับอยู่ในเตียงซึ่งสร้างเป็นชั้น, เขาก็ต้องตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกว่ามีใครมาสัมผัสที่ข้อมือของเขา. ในภายหลัง,โคลด์ได้เล่าเรื่องให้แก่พระสงฆ์ว่า - มีสตรีคนหนึ่งสวยงามยิ่งกว่าสตรีใดๆที่พระเป็นเจ้าทรงสร้างมา, ยืนอยู่เบื้องหน้า. เขาตกใจมาก. สตรีนั้นได้ทำให้เขาสงบใจลง,และพูดกับเขาว่า "ถ้าเธอต้องการให้เราเป็นแม่ของเธอ, และถ้าเธอต้องการเป็นลูกของเรา, จงไปหาพระสงฆ์จากพระศาสนาจักรคาทอลิก" แล้วสตรีนั้นก็หายไป.
โคลด์ตกใจกลัวเป็นอย่างยิ่งร้องเอ็ดตะโรว่า "ผี , ผี " พร้อมทั้งกระโจนไปหาเพื่อนนักโทษคนอื่น. เขายังร้องเอะอะอีกว่าต้องการพบกับพระสงฆ์คาทอลิก
คุณพ่อโอลิลรี่, พระสงฆ์ผู้เล่าเรื่องนี้, ถูกเรียกให้ไปที่คุมขังในตอนเช้า. ท่านมาถึงและพบกับโคลด์ซึ่งได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนวันก่อน. แล้วโคลด์พร้อมด้วยนักโทษร่วมห้องขังอีกสี่คนได้ขอเรียนคำสอนจากท่าน.
นักโทษร่วมห้องได้ยืนยันแก่ท่านว่าเรื่องทั้งหมดนั้นเป็นความจริง, แต่แน่นอนละ, พวกเขาไม่ได้ยินหรือได้เห็นภาพประจักษ์ของสตรีนั้น.
โคลด์ตกใจกลัวเป็นอย่างยิ่งร้องเอ็ดตะโรว่า "ผี , ผี " พร้อมทั้งกระโจนไปหาเพื่อนนักโทษคนอื่น. เขายังร้องเอะอะอีกว่าต้องการพบกับพระสงฆ์คาทอลิก
คุณพ่อโอลิลรี่, พระสงฆ์ผู้เล่าเรื่องนี้, ถูกเรียกให้ไปที่คุมขังในตอนเช้า. ท่านมาถึงและพบกับโคลด์ซึ่งได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนวันก่อน. แล้วโคลด์พร้อมด้วยนักโทษร่วมห้องขังอีกสี่คนได้ขอเรียนคำสอนจากท่าน.
นักโทษร่วมห้องได้ยืนยันแก่ท่านว่าเรื่องทั้งหมดนั้นเป็นความจริง, แต่แน่นอนละ, พวกเขาไม่ได้ยินหรือได้เห็นภาพประจักษ์ของสตรีนั้น.
คุณพ่อโอลิลรี่สัญญากับพวกเขาว่าจะสอนคำสอนให้ตามที่พวกเขาร้องขอ ท่านได้กลับไปที่โบสถ์และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้แก่คุณพ่ออธิการ. ในวันต่อมาท่านได้มาที่คุกเพื่อสอนคำสอน.
เวลานั้นเองคุณพ่อก็ได้รู้ว่า โคลด์ นิวแมนไม่สามารถอ่านหรือเขียนได้เลย. วิธีเดียวที่ท่านจะสอนคำสอนจากหนังสือได้ก็โดยที่หนังสือนั้นจะต้องมีรูปภาพประกอบ โคลด์ไม่เคยไปโรงเรียนและเขาไม่มีความรู้เรื่องเกี่ยวกับศาสนาเลยแม้แต่น้อย. เขาไม่รู้ว่าพระเยซูเจ้าเป็นใคร. เขาไม่รู้อะไรเลยเว้นแต่สิ่งเดียวคือ รู้ว่า มีพระเป็นเจ้า.
อย่างไรก็ตาม, โคลด์เริ่มได้เรียนรู้เรื่องคำสอน, และเพื่อนๆก็พยายามช่วยเขา. หลังจากนั้นสองสามวัน. มีซิสเตอร์อีกสองคนมาจากโรงเรียนของสังฆมณฑลของคุณพ่อโอลิลรี่และได้รับมอบหมายจากอารามที่สังกัดอยู่ให้มาที่คุกนี้. ซิสเตอร์ต้องการพบกับโคลด์, และนักโทษหญิงในคุกนั้นด้วย ซิสเตอร์มาช่วยสอนคำสอนให้แก่นักโทษหญิงในคุกนั้นบริเวณชั้นบนของคุกนั้นด้วยเช่นกัน.
หลายสัปดาห์ผ่านไป, ถึงเวลาที่คุณพ่อโอลิลรี่จะสอนเรื่องศีลอภัยบาป. ซิสเตอร์ทั้งสองก็นั่งอยู่ในชั้นเรียนด้วย. คุณพ่อเริ่มพูดกับนักโทษว่า "เอาละ , วันนี้พ่อจะสอนพวกเธอเกี่ยวกับศีลอภัยบาปนะ"
โคลด์พูดขึ้นว่า " โอ, ผมรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้! ".
"สตรีท่านนั้นได้บอกผม" โคลด์พูด "เมื่อเราไปสารภาพบาปเรากำลังคุกเข่าอยู่ มิใช่ต่อหน้าพระสงฆ์, แต่เรากำลังคุกเข่าต่อหน้ากางเขนของพระบุตรของพระนาง, และเมื่อเรามีความทุกข์เสียใจต่อบาปที่เราทำไปอย่างจริงใจ, และสารภาพบาปนั้น, พระโลหิตที่พระองค์ทรงหลั่งจะตกมาเหนือเราและชำระล้างทำให้เราพ้นจากบาปทั้งหมด."
คุณพ่อโอลิลรี่และซิสเตอร์ทั้งสองนั่งด้วยความงุงงง, อ้าปากค้าง โคลด์คิดว่าพวกเขากำลังโกรธจึงพูดว่า "โอ อย่าโกรธผมเลยครับ, กรุณาอย่าโกรธ, ผมไม่ตั้งใจทำให้ท่านโกรธเลย"
คุณพ่อพูดว่า "เราไม่ได้โกรธเธอหรอก. เราเพียงแต่ประหลาดใจ. เธอได้เห็นพระนางอีกแล้วหรือ ? ".
"คุณพ่อมาที่ห้องขังซิครับ ออกมาห่างจากคนอื่นๆ" โคลด์พูด
เมื่ออยู่ด้วยกันเพียงลำพัง, โคลด์พูดกับคุณพ่อ "พระนางบอกกับผมว่า ถ้าคุณพ่อสงสัยผมหรือแสดงความไม่แน่ใจละก็ ให้ผมเตือนคุณพ่อให้ระลึกถึงเวลาที่คุณพ่ออยู่ที่ฮอลแลนด์,ในปี ค.ศ. 1940. คุณพ่อได้ทำสินบนต่อพระนางไว้ และพระนางกำลังรอคุณพ่อให้ทำตามที่สาบาน" คุณพ่อโอลิลรี่กล่าวว่า "โคลด์สามารถบอกกับพ่อได้อย่างถูกต้องว่าสินบนนั้นคืออะไร"
เหตุนี้เองคุณพ่อโอลิลรี่จึงเชื่อแน่ว่า เรื่องที่โคลด์เล่ามาทั้งหมดเกี่ยวกับการประจักษ์ของแม่พระนั้นเป็นความจริง.
เวลานั้นเองคุณพ่อก็ได้รู้ว่า โคลด์ นิวแมนไม่สามารถอ่านหรือเขียนได้เลย. วิธีเดียวที่ท่านจะสอนคำสอนจากหนังสือได้ก็โดยที่หนังสือนั้นจะต้องมีรูปภาพประกอบ โคลด์ไม่เคยไปโรงเรียนและเขาไม่มีความรู้เรื่องเกี่ยวกับศาสนาเลยแม้แต่น้อย. เขาไม่รู้ว่าพระเยซูเจ้าเป็นใคร. เขาไม่รู้อะไรเลยเว้นแต่สิ่งเดียวคือ รู้ว่า มีพระเป็นเจ้า.
อย่างไรก็ตาม, โคลด์เริ่มได้เรียนรู้เรื่องคำสอน, และเพื่อนๆก็พยายามช่วยเขา. หลังจากนั้นสองสามวัน. มีซิสเตอร์อีกสองคนมาจากโรงเรียนของสังฆมณฑลของคุณพ่อโอลิลรี่และได้รับมอบหมายจากอารามที่สังกัดอยู่ให้มาที่คุกนี้. ซิสเตอร์ต้องการพบกับโคลด์, และนักโทษหญิงในคุกนั้นด้วย ซิสเตอร์มาช่วยสอนคำสอนให้แก่นักโทษหญิงในคุกนั้นบริเวณชั้นบนของคุกนั้นด้วยเช่นกัน.
หลายสัปดาห์ผ่านไป, ถึงเวลาที่คุณพ่อโอลิลรี่จะสอนเรื่องศีลอภัยบาป. ซิสเตอร์ทั้งสองก็นั่งอยู่ในชั้นเรียนด้วย. คุณพ่อเริ่มพูดกับนักโทษว่า "เอาละ , วันนี้พ่อจะสอนพวกเธอเกี่ยวกับศีลอภัยบาปนะ"
โคลด์พูดขึ้นว่า " โอ, ผมรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้! ".
"สตรีท่านนั้นได้บอกผม" โคลด์พูด "เมื่อเราไปสารภาพบาปเรากำลังคุกเข่าอยู่ มิใช่ต่อหน้าพระสงฆ์, แต่เรากำลังคุกเข่าต่อหน้ากางเขนของพระบุตรของพระนาง, และเมื่อเรามีความทุกข์เสียใจต่อบาปที่เราทำไปอย่างจริงใจ, และสารภาพบาปนั้น, พระโลหิตที่พระองค์ทรงหลั่งจะตกมาเหนือเราและชำระล้างทำให้เราพ้นจากบาปทั้งหมด."
คุณพ่อโอลิลรี่และซิสเตอร์ทั้งสองนั่งด้วยความงุงงง, อ้าปากค้าง โคลด์คิดว่าพวกเขากำลังโกรธจึงพูดว่า "โอ อย่าโกรธผมเลยครับ, กรุณาอย่าโกรธ, ผมไม่ตั้งใจทำให้ท่านโกรธเลย"
คุณพ่อพูดว่า "เราไม่ได้โกรธเธอหรอก. เราเพียงแต่ประหลาดใจ. เธอได้เห็นพระนางอีกแล้วหรือ ? ".
"คุณพ่อมาที่ห้องขังซิครับ ออกมาห่างจากคนอื่นๆ" โคลด์พูด
เมื่ออยู่ด้วยกันเพียงลำพัง, โคลด์พูดกับคุณพ่อ "พระนางบอกกับผมว่า ถ้าคุณพ่อสงสัยผมหรือแสดงความไม่แน่ใจละก็ ให้ผมเตือนคุณพ่อให้ระลึกถึงเวลาที่คุณพ่ออยู่ที่ฮอลแลนด์,ในปี ค.ศ. 1940. คุณพ่อได้ทำสินบนต่อพระนางไว้ และพระนางกำลังรอคุณพ่อให้ทำตามที่สาบาน" คุณพ่อโอลิลรี่กล่าวว่า "โคลด์สามารถบอกกับพ่อได้อย่างถูกต้องว่าสินบนนั้นคืออะไร"
เหตุนี้เองคุณพ่อโอลิลรี่จึงเชื่อแน่ว่า เรื่องที่โคลด์เล่ามาทั้งหมดเกี่ยวกับการประจักษ์ของแม่พระนั้นเป็นความจริง.
พวกเขา กลับมาเรียนคำสอนว่าด้วยเรื่องการสารภาพบาปต่อไป. และโคลด์บอกกับเพื่อนนักโทษว่า "พวกคุณไม่ต้องกลัวเวลาไปสารภาพบาป. พวกคุณกำลังสารภาพต่อพระเป็นเจ้า, ไม่ใช่พระสงฆ์องค์นี้หรือพระสงฆ์องค์ได..เรากำลังสารภาพกับพระเป็นเจ้าจริงๆ" โคลด์พูดต่อว่า "รู้ไหม, สตรีผู้นั้นบอกว่า การสารภาพบาปนั้นก็เหมือนกับการพูดโทรศัพท์. เราพูดกับพระเป็นเจ้าผ่านทางพระสงฆ์ และพระเป็นเจ้าทรงตรัสกลับมาผ่านทางพระสงฆ์เช่นกัน"
อีกสัปดาห์ถัดมา,คุณพ่อโอลิลรี่เตรียมที่จะสอนเรื่องศีลศักดิ์สิทธิ์ในชั้นเรียน ซิสเตอร์ก็อยู่ในห้องด้วย. โคลด์ได้เล่าให้ฟังว่าสตรีผู้นั้นได้สอนเขาเกี่ยวกับศีลมหาสนิท,เขาถามว่า-เขาจะบอกเล่าเกี่ยวกับสิ่งที่สตรีนั้นพูดได้ไหม คุณพ่ออนุญาตทันที, โคลด์จึงพูดว่า "สตรีผู้นั้นบอกกับผมว่า ในศีลมหาสนิท, เราเห็นแต่เพียงแผ่นปัง แต่พระนางบอกว่า สิ่งนั่นแหละคือพระบุตรของพระนางอย่างแท้จริง. และพระองค์จะทรงอยู่กับผมชั่วระยะหนึ่งเช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงประทับอยู่ในพระครรภ์ของพระนางก่อนที่จะทรงบังเกิดมาที่เบธเลเฮ็ม. และผมควรจะใช้เวลากับพระองค์เช่นเดียวกับพระนางกระทำตลอดเวลาที่พระองค์อยู่กับพระนาง, โดยรักพระองค์, นมัสการพระองค์, ขอบพระคุณพระองค์, สรรเสริญพระองค์และขอให้พระองค์ทรงอวยพระพร. เราไม่ควรสนใจคนอื่นหรือสิ่งอื่น แต่ควรใช้เวลาสั้นๆนั้นกับพระองค์"
เมื่อครบหลักสูตร, โคลด์ได้รับศีลล้างบาปเข้าสู่พระศาสนาจักรคาทอลิก,และถึงเวลาที่โคลด์จะถูกประหารชีวิตด้วยเช่นกัน เวลาประหารชีวิตคือ 12.05 น. เที่ยงคืน !
นายอำเภอถามเขาว่า "โคลด์, คุณมีสิทธิที่จะร้องขอเป็นครั้งสุดท้าย, คุณต้องการอะไร ?"
โคลด์ตอบ "พวกคุณคงจะรู้สึกสงสารหรือตื่นเต้นกับเรื่องนี้, แต่คุณไม่เข้าใจ, ผมไม่ได้กำลังไปสู่ความตาย. ผมกำลังไปอยู่กับพระนาง. ดังนั้น,ผมขออนุญาติให้จัดงานเลี้ยงจะได้ไหม?"
"หมายความว่ายังไง?" นายอำเภอถาม
"งานเลี้ยงฉลองครับ" โคลด์พูด "คุณจะกรุณาอนุญาตให้คุณพ่อนำเค็กและไอศกรีมและให้นักโทษอื่นในชั้นที่สองมารวมอยู่ในห้องใหญ่เพื่อที่พวกเราจะมีงานเลี้ยงฉลองได้ไหมครับ?"
คุณพ่ออาจถูกทำร้ายก็ได้นะ" ผู้คุมเตือนให้ระวัง
โคลด์หันไปที่ชายคนนั้นซึ่งอยู่ไม่ไกลและพูดว่า "โอ,ไม่หรอก, พวกเขาจะไม่ทำอย่างนั้น, เป็นคุณคุณจะทำไหม?"
เมื่อครบหลักสูตร, โคลด์ได้รับศีลล้างบาปเข้าสู่พระศาสนาจักรคาทอลิก,และถึงเวลาที่โคลด์จะถูกประหารชีวิตด้วยเช่นกัน เวลาประหารชีวิตคือ 12.05 น. เที่ยงคืน !
นายอำเภอถามเขาว่า "โคลด์, คุณมีสิทธิที่จะร้องขอเป็นครั้งสุดท้าย, คุณต้องการอะไร ?"
โคลด์ตอบ "พวกคุณคงจะรู้สึกสงสารหรือตื่นเต้นกับเรื่องนี้, แต่คุณไม่เข้าใจ, ผมไม่ได้กำลังไปสู่ความตาย. ผมกำลังไปอยู่กับพระนาง. ดังนั้น,ผมขออนุญาติให้จัดงานเลี้ยงจะได้ไหม?"
"หมายความว่ายังไง?" นายอำเภอถาม
"งานเลี้ยงฉลองครับ" โคลด์พูด "คุณจะกรุณาอนุญาตให้คุณพ่อนำเค็กและไอศกรีมและให้นักโทษอื่นในชั้นที่สองมารวมอยู่ในห้องใหญ่เพื่อที่พวกเราจะมีงานเลี้ยงฉลองได้ไหมครับ?"
คุณพ่ออาจถูกทำร้ายก็ได้นะ" ผู้คุมเตือนให้ระวัง
โคลด์หันไปที่ชายคนนั้นซึ่งอยู่ไม่ไกลและพูดว่า "โอ,ไม่หรอก, พวกเขาจะไม่ทำอย่างนั้น, เป็นคุณคุณจะทำไหม?"
ดังนั้น, คุณพ่อจึงไปขอความอนุเคราะห์จากอารามชีของสังฆมณฑล, และก็ได้รับอนุเคราะห์ไอศกรีมและเค้กเพื่อจัดงานเลี้ยง.
ในงานเลี้ยง, โคลด์ขอให้จัดเวลาชั่วโมงศักดิ์สิทธิ์ คุณพ่อได้นำหนังสือสวดจากโบสถ์มาและพวกเขาก็เดินรูปสิบสี่ภาคพร้อมกันและตามด้วยการเฝ้าศีลโดยไม่มีศีลมหาสนิท.
เมื่องานเลี้ยงเสร็จสิ้นลง, นักโทษถูกส่งกลับเข้าห้องขังของตน. คุณพ่อกลับไปยังโบสถ์เพื่อไปนำศีลมหาสนิทมาให้แก่โคลด์
คุณพ่อโอลิลรี่กลับมาที่ห้องขังของโคลด์อีกครั้ง. โคลด์คุกเข่าลงและคุณพ่อก็คุกเข่าด้วย พวกเขาสวดภาวนาด้วยกันขณะที่นาฬิกากำลังเดินไปสู่เวลาประหารชีวิต.
สิบห้านาทีก่อนถึงเวลาประหาร, นายอำเภอวิ่งมายังห้องขังตะโกนว่า "เลื่อนการประหารชิวิต, เลื่อนเวลาประหาร, ผู้ว่าการรัฐสั่งให้เลื่อนการประหารชีวิตไปอีกสองสัปดาห์" โคลด์ไม่รู้มาก่อนว่านายอำเภอและทนายความประจำท้องถิ่นได้พยายามที่ระงับการประหารเพื่อช่วยชีวิตของโคลด์. เมื่อโคลด์รู้เรื่อง,เขาก็ร้องไห้. คุณพ่อและนายอำเภอคิดว่าเขาคงดีใจที่ไม่ต้องถูกประหารชีวิต. แต่โคลด์พูดว่า "โอ, พวกคุณไม่รู้ และคุณพ่อก็ไม่รู้ ถ้าคุณพ่อได้เห็นพระพักตร์ของพระนางและได้เห็นพระเนตรของพระนางแล้วละก็ คุณพ่อจะไม่ต้องการมีชีวิตต่อไปแม้แต่วันเดียว"
โคลด์ร้องไห้พลางพูดว่า "สองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ผมได้ทำอะไรผิดไปหรือ พระเป็นเจ้าจึงทรงปฏิเสธผมไม่ให้กลับสู่บ้านในสวรรค์?" คุณพ่อเล่าว่า โคลด์ร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนกับคนอกหัก.
ในงานเลี้ยง, โคลด์ขอให้จัดเวลาชั่วโมงศักดิ์สิทธิ์ คุณพ่อได้นำหนังสือสวดจากโบสถ์มาและพวกเขาก็เดินรูปสิบสี่ภาคพร้อมกันและตามด้วยการเฝ้าศีลโดยไม่มีศีลมหาสนิท.
เมื่องานเลี้ยงเสร็จสิ้นลง, นักโทษถูกส่งกลับเข้าห้องขังของตน. คุณพ่อกลับไปยังโบสถ์เพื่อไปนำศีลมหาสนิทมาให้แก่โคลด์
คุณพ่อโอลิลรี่กลับมาที่ห้องขังของโคลด์อีกครั้ง. โคลด์คุกเข่าลงและคุณพ่อก็คุกเข่าด้วย พวกเขาสวดภาวนาด้วยกันขณะที่นาฬิกากำลังเดินไปสู่เวลาประหารชีวิต.
สิบห้านาทีก่อนถึงเวลาประหาร, นายอำเภอวิ่งมายังห้องขังตะโกนว่า "เลื่อนการประหารชิวิต, เลื่อนเวลาประหาร, ผู้ว่าการรัฐสั่งให้เลื่อนการประหารชีวิตไปอีกสองสัปดาห์" โคลด์ไม่รู้มาก่อนว่านายอำเภอและทนายความประจำท้องถิ่นได้พยายามที่ระงับการประหารเพื่อช่วยชีวิตของโคลด์. เมื่อโคลด์รู้เรื่อง,เขาก็ร้องไห้. คุณพ่อและนายอำเภอคิดว่าเขาคงดีใจที่ไม่ต้องถูกประหารชีวิต. แต่โคลด์พูดว่า "โอ, พวกคุณไม่รู้ และคุณพ่อก็ไม่รู้ ถ้าคุณพ่อได้เห็นพระพักตร์ของพระนางและได้เห็นพระเนตรของพระนางแล้วละก็ คุณพ่อจะไม่ต้องการมีชีวิตต่อไปแม้แต่วันเดียว"
โคลด์ร้องไห้พลางพูดว่า "สองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ผมได้ทำอะไรผิดไปหรือ พระเป็นเจ้าจึงทรงปฏิเสธผมไม่ให้กลับสู่บ้านในสวรรค์?" คุณพ่อเล่าว่า โคลด์ร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนกับคนอกหัก.
นายอำเภอเดินจากไป คุณพ่อยังคงอยู่ในห้องและส่งศีลมหาสนิทให้แก่โคลด์ ใจของโคลด์เริ่มสงบลง. และพูดว่า "ทำไม, ทำไมผมจึงต้องอยู่ที่นี่ต่อไปอีกสองสัปดาห์?"
คุณพ่อมีความคิดขึ้นมาแวบหนึ่ง
ท่านได้เตือนโคลด์เกี่ยวกับนักโทษในห้องขังหนึ่งซึ่งเกลียดโคลด์อย่างมาก. นักโทษคนนี้มีชีวิตที่เหลวแหลก, และต้องโทษประหารชีวิตเช่นเดียวกัน
คุณพ่อพูดว่า "บางที, พระมารดาอาจต้องการให้เธอทำให้นักโทษคนนี้กลับใจเช่นเดียวกับที่พระนางทรงกระทำก็ได้" ท่านพูดต่อ "ทำไมเธอไม่ทำพลีกรรมโดยมอบเวลาที่เธอต้องแยกห่างจากพระนางนี้แด่พระเป็นเจ้าสำหรับนักโทษคนนี้เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องแยกห่างจากพระเป็นเจ้าตลอดนิรันดรเล่า"
โคลด์เห็นด้วย และขอให้คุณพ่อสอนบทสวดที่เขาจะได้มอบการพลีกรรมนี้แด่พระองค์ คุณพ่อสอนบทสวดง่ายๆให้เขา เวลานั้นมีเพียงสองคนที่รู้เรื่องการพลีกรรมนี้คือโคลด์กับคุณพ่อโอลิลรี่.
วันต่อมาโคลด์บอกกับคุณพ่อว่า "เมื่อก่อนนักโทษคนนี้เกลียดผมมาก. แต่เวลานี้เขายังคงเกลียดผมอยู่หรือเปล่า" คุณพ่อตอบว่า "นั่นจะเป็นสัญญาณที่ดี"
สองสัปดาห์ต่อมา โคลด์ถูกประหารชีวิต
คุณพ่อโอลิลรี่ให้ความเห็นว่า "ผมไม่เคยเห็นนักโทษคนไหนมีความสุขเวลาตายเช่นนี้มาก่อนเลย" แม้แต่เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นพยานการประหารและนักหนังสือพิมพ์ก็รู้สึกประหลาดใจด้วย พวกเขาบอกว่า ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงมีคนที่นั่งเก้าอี้ไฟฟ้าและยังมีความสุขเช่นนั้นได้.
คำพูดสุดท้ายของโคลด์ต่อคุณพ่อโอลิลรี่คือ "คุณพ่อครับ. ผมจะระลึกถึงคุณพ่อ และเมื่อคุณพ่อต้องการสิ่งใด บอกกับผมแล้วผมจะขอต่อพระนางให้"
คุณพ่อมีความคิดขึ้นมาแวบหนึ่ง
ท่านได้เตือนโคลด์เกี่ยวกับนักโทษในห้องขังหนึ่งซึ่งเกลียดโคลด์อย่างมาก. นักโทษคนนี้มีชีวิตที่เหลวแหลก, และต้องโทษประหารชีวิตเช่นเดียวกัน
คุณพ่อพูดว่า "บางที, พระมารดาอาจต้องการให้เธอทำให้นักโทษคนนี้กลับใจเช่นเดียวกับที่พระนางทรงกระทำก็ได้" ท่านพูดต่อ "ทำไมเธอไม่ทำพลีกรรมโดยมอบเวลาที่เธอต้องแยกห่างจากพระนางนี้แด่พระเป็นเจ้าสำหรับนักโทษคนนี้เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องแยกห่างจากพระเป็นเจ้าตลอดนิรันดรเล่า"
โคลด์เห็นด้วย และขอให้คุณพ่อสอนบทสวดที่เขาจะได้มอบการพลีกรรมนี้แด่พระองค์ คุณพ่อสอนบทสวดง่ายๆให้เขา เวลานั้นมีเพียงสองคนที่รู้เรื่องการพลีกรรมนี้คือโคลด์กับคุณพ่อโอลิลรี่.
วันต่อมาโคลด์บอกกับคุณพ่อว่า "เมื่อก่อนนักโทษคนนี้เกลียดผมมาก. แต่เวลานี้เขายังคงเกลียดผมอยู่หรือเปล่า" คุณพ่อตอบว่า "นั่นจะเป็นสัญญาณที่ดี"
สองสัปดาห์ต่อมา โคลด์ถูกประหารชีวิต
คุณพ่อโอลิลรี่ให้ความเห็นว่า "ผมไม่เคยเห็นนักโทษคนไหนมีความสุขเวลาตายเช่นนี้มาก่อนเลย" แม้แต่เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นพยานการประหารและนักหนังสือพิมพ์ก็รู้สึกประหลาดใจด้วย พวกเขาบอกว่า ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงมีคนที่นั่งเก้าอี้ไฟฟ้าและยังมีความสุขเช่นนั้นได้.
คำพูดสุดท้ายของโคลด์ต่อคุณพ่อโอลิลรี่คือ "คุณพ่อครับ. ผมจะระลึกถึงคุณพ่อ และเมื่อคุณพ่อต้องการสิ่งใด บอกกับผมแล้วผมจะขอต่อพระนางให้"
สองเดือนต่อมา, ถึงเวลาที่นักโทษผิวขาวซึ่งเกลียดโคลด์, ถูกประหารชีวิต. คุณพ่อโอลิลรี่บอกว่า "ชายคนนี้ หยาบช้าลามกที่สุด, เป็นคนที่เหลียวแหลกที่สุดที่ผมไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนเลย เขาเกลียดพระเป็นเจ้าและทุกสิ่งที่เกี่ยวกับชีวิตจิต" คุณพ่อกล่าว "เลวจนสุดจะบรรยาย"
ก่อนที่เขาจะถูกประหาร นายแพทย์ท้องถิ่นได้อ้อนวอนชายคนนี้ให้คุกเข่าลงและสวดบทข้าแต่พระบิดาก่อนที่นายอำเภอจะมานำตัวเขาไป.
นักโทษก็ถ่มน้ำลายรดใบหน้านายแพทย์.
เมื่อเขาถูกมัดเข้ากับเก้าอี้ไฟฟ้า, นายอำเภอพูดกับเขาว่า "ถ้านายมีอะไรจะพูด ก็ให้พูดเสียเดี๋ยวนี้"
นักโทษเริ่มพูดสบถสาบานผรุสวาท.
ทันทีทันใด นักโทษก็หยุด,และนัยน์ตาของเขาก็จ้องไปยังมุมหนึ่งของห้อง, ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปด้วยความกลัวสุดขีด.
เขาหวีดร้อง.
หันไปหานายอำเภอ, พูดว่า "นายอำเภอ, โปรดนำพระสงฆ์มาพบผมที"
คุณพ่อโอลิลรี่อยู่ที่ห้องนั้นด้วยเพราะกฎหมายระบุให้มีพระสงฆ์อยู่ด้วยเวลาประหาร. แต่คุณพ่อหลบอยู่ข้างหลังนักข่าวบางคนเพราะนักโทษอาจจะพูดจาบจ้วงต่อพระเป็นเจ้าถ้าเขาเห็นพระสงฆ์.
คุณพ่อรีบไปพบนักโทษ. ผู้ไม่เกี่ยวข้องถูกขอร้องให้ออกไปข้างนอก และคุณพ่อก็ฟังนักโทษสารภาพบาป เขาสารภาพว่าเขาเคยเป็นคาทอลิก, แต่ได้หันหลังให้กับศาสนาเมื่อเขาอายุ 18 ปี เพราะชีวิตที่เหลวแหลกของเขา.
เมื่อทุกคนกลับเข้ามาที่ห้อง, นายอำเภอถามคุณพ่อ "อะไรที่ทำให้เขาเปลี่ยนใจไปได้?"
"ผมไม่รู้" คุณพ่อตอบ "ผมไม่ได้ถามเขา"
"ผมคงนอนไม่หลับแน่ถ้ายังไม่รู้เรื่องนี้"นายอำเภอพูด
นายอำเภอหันไปหานักโทษและถามว่า "เจ้าลูกชาย, อะไรทำให้เธอเปลี่ยนใจ?"
นักโทษตอบ "จำชายผิวดำที่ชื่อโคลด์ได้ไหม - คนที่ผมเกลียดที่สุด? เขายืนอยู่ที่นั่น (เขาชี้มือ ) . ที่มุมห้อง. และเบื้องหลังของเขาแม่พระทรงประทับยืนอยู่ทรงวางมือไว้บนไหล่ของเขา และโคลด์พูดกับผมว่า 'ฉันได้มอบความตายของฉันรวมกับของพระคริสตเจ้าบนกางเขนเพื่อความรอดของคุณ. พระนางทรงประทานพระหรรษทานนี้แก่คุณ, คือให้คุณได้เห็นสถานที่ในนรกซึ่งคุณจะต้องไปอยู่ถ้าคุณไม่กลับใจ'
ผมได้เห็นที่ของผมในนรกและนั่นเป็นเวลาที่ผมหวีดร้องออกมา"
นี่แหละ, พลังอำนาจของพระมารดา
ก่อนที่เขาจะถูกประหาร นายแพทย์ท้องถิ่นได้อ้อนวอนชายคนนี้ให้คุกเข่าลงและสวดบทข้าแต่พระบิดาก่อนที่นายอำเภอจะมานำตัวเขาไป.
นักโทษก็ถ่มน้ำลายรดใบหน้านายแพทย์.
เมื่อเขาถูกมัดเข้ากับเก้าอี้ไฟฟ้า, นายอำเภอพูดกับเขาว่า "ถ้านายมีอะไรจะพูด ก็ให้พูดเสียเดี๋ยวนี้"
นักโทษเริ่มพูดสบถสาบานผรุสวาท.
ทันทีทันใด นักโทษก็หยุด,และนัยน์ตาของเขาก็จ้องไปยังมุมหนึ่งของห้อง, ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปด้วยความกลัวสุดขีด.
เขาหวีดร้อง.
หันไปหานายอำเภอ, พูดว่า "นายอำเภอ, โปรดนำพระสงฆ์มาพบผมที"
คุณพ่อโอลิลรี่อยู่ที่ห้องนั้นด้วยเพราะกฎหมายระบุให้มีพระสงฆ์อยู่ด้วยเวลาประหาร. แต่คุณพ่อหลบอยู่ข้างหลังนักข่าวบางคนเพราะนักโทษอาจจะพูดจาบจ้วงต่อพระเป็นเจ้าถ้าเขาเห็นพระสงฆ์.
คุณพ่อรีบไปพบนักโทษ. ผู้ไม่เกี่ยวข้องถูกขอร้องให้ออกไปข้างนอก และคุณพ่อก็ฟังนักโทษสารภาพบาป เขาสารภาพว่าเขาเคยเป็นคาทอลิก, แต่ได้หันหลังให้กับศาสนาเมื่อเขาอายุ 18 ปี เพราะชีวิตที่เหลวแหลกของเขา.
เมื่อทุกคนกลับเข้ามาที่ห้อง, นายอำเภอถามคุณพ่อ "อะไรที่ทำให้เขาเปลี่ยนใจไปได้?"
"ผมไม่รู้" คุณพ่อตอบ "ผมไม่ได้ถามเขา"
"ผมคงนอนไม่หลับแน่ถ้ายังไม่รู้เรื่องนี้"นายอำเภอพูด
นายอำเภอหันไปหานักโทษและถามว่า "เจ้าลูกชาย, อะไรทำให้เธอเปลี่ยนใจ?"
นักโทษตอบ "จำชายผิวดำที่ชื่อโคลด์ได้ไหม - คนที่ผมเกลียดที่สุด? เขายืนอยู่ที่นั่น (เขาชี้มือ ) . ที่มุมห้อง. และเบื้องหลังของเขาแม่พระทรงประทับยืนอยู่ทรงวางมือไว้บนไหล่ของเขา และโคลด์พูดกับผมว่า 'ฉันได้มอบความตายของฉันรวมกับของพระคริสตเจ้าบนกางเขนเพื่อความรอดของคุณ. พระนางทรงประทานพระหรรษทานนี้แก่คุณ, คือให้คุณได้เห็นสถานที่ในนรกซึ่งคุณจะต้องไปอยู่ถ้าคุณไม่กลับใจ'
ผมได้เห็นที่ของผมในนรกและนั่นเป็นเวลาที่ผมหวีดร้องออกมา"
นี่แหละ, พลังอำนาจของพระมารดา
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ พฤหัสฯ. พ.ย. 05, 2009 4:25 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
เราได้เห็นสาระที่คล้ายกันระหว่างกรณีของโคลด์ นิวแมนและสาส์นแห่งฟาติมาในปี 1917 ซึ่งได้ย้ำเตือนชาวเราในเรื่อง.
ศีลอภัยบาป,
ศีลมหาสนิท
การพลีกรรมเพื่อช่วยคนบาปกลับใจ
ภาพของนรก
พระมารดาแห่งฟาติมาตรัสว่า "วิญญาณจำนวนมากมายต้องลงนรก เพราะไม่มีใครสวดภาวนาและทำพลีกรรมเพื่อพวกเขา"
http://uk.geocities.com/palangjai2004/
ศีลอภัยบาป,
ศีลมหาสนิท
การพลีกรรมเพื่อช่วยคนบาปกลับใจ
ภาพของนรก
พระมารดาแห่งฟาติมาตรัสว่า "วิญญาณจำนวนมากมายต้องลงนรก เพราะไม่มีใครสวดภาวนาและทำพลีกรรมเพื่อพวกเขา"
http://uk.geocities.com/palangjai2004/
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ จันทร์ เม.ย. 04, 2005 8:01 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
ขอคั่นรายการ NJ คิดถึงเรื่องของ น.เปาโลในพระคัมภีร์ กิจการจังเลย
16:24 นายคุกเมื่อรับคำสั่งอย่างนั้นแล้ว จึงพาเปาโลกับสิลาสไปจำไว้ในห้องชั้นใน เอาเท้าใส่ขื่อไว้แน่นหนา
16:25 ประมาณเที่ยงคืน เปาโลกับสิลาสก็อธิษฐานและร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า นักโทษทั้งหลายในคุกก็ฟังอยู่
16:26 ในทันใดนั้น เกิดแผ่นดินไหวใหญ่จนรากคุกสะเทือนสะท้าน และประตูคุกเปิดหมดทุกบาน เครื่องจำจองก็หลุดจากเขาสิ้นทุกคน
16:27 ฝ่ายนายคุกตื่นขึ้นเห็นประตูคุกเปิดอยู่ คาดว่านักโทษทั้งหลายหนีไปหมดแล้ว จึงชักดาบออกมาหมายว่าจะฆ่าตัวเสีย
16:28 แต่เปาโลได้ร้องเสียงดังว่า "อย่าทำร้ายตัวเองเลยเราทั้งหลายอยู่พร้อมด้วยกันทุกคน"
16:29 นายคุกจึงสั่งให้จุดไฟมา แล้วตัวสั่นวิ่งเข้าไปกราบลงที่เท้าของเปาโลกับสิลาส
16:30 และพาท่านทั้งสองออกมาแล้วว่า "ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะต้องทำอย่างไรจึงจะรอดได้"
16:31 เปาโลกับสิลาสจึงกล่าวว่า "จงเชื่อและวางใจในพระเยซูเจ้า และท่านจะรอดได้ทั้งครอบครัวของท่านด้วย"
16:32 ท่านทั้งสองจึงกล่าวสั่งสอนพระวจนะของพระเจ้า ให้นายคุกและคนทั้งปวงที่อยู่ในบ้านของเขาฟัง
16:33 ในกลางคืนชั่วโมงเดียวกันนั้นเอง นายคุกจึงพาเปาโลกับสิลาสไปล้างแผลที่ถูกเฆี่ยน และในขณะนั้น นายคุกก็ได้รับบัพติศมาพร้อมทั้งครัวเรือนของเขา
16:34 แล้วได้พาท่านทั้งสองขึ้นไปในบ้านของเขา จัดโต๊ะเลี้ยงท่านแสดงความยินดีอย่างยิ่งพร้อมกับครอบครัว เพราะตนได้เชื่อถือพระเจ้าแล้ว
16:35 ครั้นเวลาเช้าเจ้าเมืองจึงใช้พวกนักการไป สั่งว่า "จงปล่อยคนทั้งสองนั้นเสีย"
16:36 นายคุกจึงบอกเปาโลว่า "เจ้าเมืองได้ใช้คนมาบอกให้ปล่อยท่านทั้งสอง ฉะนั้นเชิญท่านออกไปตามสบายเถิด"
16:37 แต่เปาโลกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า "เขาได้เฆี่ยนเราผู้เป็นคนสัญชาติโรม ต่อหน้าคนทั้งหลายก่อนได้ตัดสินความ และได้จำเราไว้ในคุก บัดนี้เขาจะเสือกไสให้เราออกไปเป็นการลับหรือ ทำอย่างนั้นไม่ได้ ให้เขาเองมาพาเราออกไปเถิด"
16:38 พวกนักการจึงนำความไปแจ้งแก่เจ้าเมือง เมื่อเจ้าเมืองได้ยินว่าท่านทั้งสองเป็นคนสัญชาติโรมก็ตกใจ
16:39 จึงมาพยายามปรองดองกับท่านทั้งสอง ครั้นพาออกไปแล้วจึงขอให้ออกไปเสียจากเมือง
16:40 ท่านทั้งสองจึงออกจากคุก แล้วได้ไปเยี่ยมนางลิเดีย เมื่อพบพวกพี่น้องก็พูดจาหนุนใจเขาแล้วก็ลาไป
16:24 นายคุกเมื่อรับคำสั่งอย่างนั้นแล้ว จึงพาเปาโลกับสิลาสไปจำไว้ในห้องชั้นใน เอาเท้าใส่ขื่อไว้แน่นหนา
16:25 ประมาณเที่ยงคืน เปาโลกับสิลาสก็อธิษฐานและร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า นักโทษทั้งหลายในคุกก็ฟังอยู่
16:26 ในทันใดนั้น เกิดแผ่นดินไหวใหญ่จนรากคุกสะเทือนสะท้าน และประตูคุกเปิดหมดทุกบาน เครื่องจำจองก็หลุดจากเขาสิ้นทุกคน
16:27 ฝ่ายนายคุกตื่นขึ้นเห็นประตูคุกเปิดอยู่ คาดว่านักโทษทั้งหลายหนีไปหมดแล้ว จึงชักดาบออกมาหมายว่าจะฆ่าตัวเสีย
16:28 แต่เปาโลได้ร้องเสียงดังว่า "อย่าทำร้ายตัวเองเลยเราทั้งหลายอยู่พร้อมด้วยกันทุกคน"
16:29 นายคุกจึงสั่งให้จุดไฟมา แล้วตัวสั่นวิ่งเข้าไปกราบลงที่เท้าของเปาโลกับสิลาส
16:30 และพาท่านทั้งสองออกมาแล้วว่า "ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะต้องทำอย่างไรจึงจะรอดได้"
16:31 เปาโลกับสิลาสจึงกล่าวว่า "จงเชื่อและวางใจในพระเยซูเจ้า และท่านจะรอดได้ทั้งครอบครัวของท่านด้วย"
16:32 ท่านทั้งสองจึงกล่าวสั่งสอนพระวจนะของพระเจ้า ให้นายคุกและคนทั้งปวงที่อยู่ในบ้านของเขาฟัง
16:33 ในกลางคืนชั่วโมงเดียวกันนั้นเอง นายคุกจึงพาเปาโลกับสิลาสไปล้างแผลที่ถูกเฆี่ยน และในขณะนั้น นายคุกก็ได้รับบัพติศมาพร้อมทั้งครัวเรือนของเขา
16:34 แล้วได้พาท่านทั้งสองขึ้นไปในบ้านของเขา จัดโต๊ะเลี้ยงท่านแสดงความยินดีอย่างยิ่งพร้อมกับครอบครัว เพราะตนได้เชื่อถือพระเจ้าแล้ว
16:35 ครั้นเวลาเช้าเจ้าเมืองจึงใช้พวกนักการไป สั่งว่า "จงปล่อยคนทั้งสองนั้นเสีย"
16:36 นายคุกจึงบอกเปาโลว่า "เจ้าเมืองได้ใช้คนมาบอกให้ปล่อยท่านทั้งสอง ฉะนั้นเชิญท่านออกไปตามสบายเถิด"
16:37 แต่เปาโลกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า "เขาได้เฆี่ยนเราผู้เป็นคนสัญชาติโรม ต่อหน้าคนทั้งหลายก่อนได้ตัดสินความ และได้จำเราไว้ในคุก บัดนี้เขาจะเสือกไสให้เราออกไปเป็นการลับหรือ ทำอย่างนั้นไม่ได้ ให้เขาเองมาพาเราออกไปเถิด"
16:38 พวกนักการจึงนำความไปแจ้งแก่เจ้าเมือง เมื่อเจ้าเมืองได้ยินว่าท่านทั้งสองเป็นคนสัญชาติโรมก็ตกใจ
16:39 จึงมาพยายามปรองดองกับท่านทั้งสอง ครั้นพาออกไปแล้วจึงขอให้ออกไปเสียจากเมือง
16:40 ท่านทั้งสองจึงออกจากคุก แล้วได้ไปเยี่ยมนางลิเดีย เมื่อพบพวกพี่น้องก็พูดจาหนุนใจเขาแล้วก็ลาไป
-
- ~@
- โพสต์: 2546
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 10:54 pm
ตอนนี้ทุกคืนผมภาวนาให้ วิญญาน ในไฟชำระมาปีกว่าๆแล้วนะ แต่ไม่ค่อยภาวนาให้คนบาปกลับใจเท่าไหร่เลย :-\ ต้องเริ่มซะแล้ว :o
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
พี่โฮลี่ที่รัก คั๊บ NJ ขอแสดงความเห็นด้วยสมอง อันน้อยนิด ดังนี้ ฮะ
- กับคาทอลิก แม่พระเป็นผู้ทำพันธกิจ เกี่ยวกับพระบุตรด้วยพระองค์เอง เพราะเรื่องที่พระนางสอน ก็ชี้ไปที่ พระบุตร แม่พระไม่เคยเอาชื่อตัวเองเลย ....หนูมองจากเรื่องของลุงโคลด์ นิวแมน แม่พระทำหน้าที่พระครูคำสอน หรือทางคริสเตียนเรียกว่า อาจารย์ สอนวิชา หลักข้อเชื่อเลยล่ะ
-NJ เลยคิดถึงบทความพี่พีพี ที่ นักสตรีนิยม ของคริสเตียนได้ชื้ พระวาทะสุดท้ายที่พระเยซูเจ้าตรัสจากกางเขนนั้น ยิ่งชัดเจนมากขึ้นฮะ เพราะแม่พระยังเป็นเสาหลัก นำคนมาถึงพระบุตรตลอดเวลา
-สำหรับคริสเตียน อย่าง NJ พระเยซูคริสต์เจ้าทรงสอนเอง อิ๊ๆๆ เพราะพวกเราไม่มีประสบการณ์เรื่องแม่พระ แถม ยังโละบทบาทแม่พระออกจากโบสถ์ อีก *sob
ปล. เชิญ อ่าน ส่วนของบทความที่พี่พีพี เขียนเกี่ยวกับแม่พระในฐานะเสาหลักของพระศาสนจักร (คริสตจักรด้วย ฮะ )
- กับคาทอลิก แม่พระเป็นผู้ทำพันธกิจ เกี่ยวกับพระบุตรด้วยพระองค์เอง เพราะเรื่องที่พระนางสอน ก็ชี้ไปที่ พระบุตร แม่พระไม่เคยเอาชื่อตัวเองเลย ....หนูมองจากเรื่องของลุงโคลด์ นิวแมน แม่พระทำหน้าที่พระครูคำสอน หรือทางคริสเตียนเรียกว่า อาจารย์ สอนวิชา หลักข้อเชื่อเลยล่ะ
-NJ เลยคิดถึงบทความพี่พีพี ที่ นักสตรีนิยม ของคริสเตียนได้ชื้ พระวาทะสุดท้ายที่พระเยซูเจ้าตรัสจากกางเขนนั้น ยิ่งชัดเจนมากขึ้นฮะ เพราะแม่พระยังเป็นเสาหลัก นำคนมาถึงพระบุตรตลอดเวลา
-สำหรับคริสเตียน อย่าง NJ พระเยซูคริสต์เจ้าทรงสอนเอง อิ๊ๆๆ เพราะพวกเราไม่มีประสบการณ์เรื่องแม่พระ แถม ยังโละบทบาทแม่พระออกจากโบสถ์ อีก *sob
ปล. เชิญ อ่าน ส่วนของบทความที่พี่พีพี เขียนเกี่ยวกับแม่พระในฐานะเสาหลักของพระศาสนจักร (คริสตจักรด้วย ฮะ )
เห็นด้วยกะน้องเจี๊ยบ คนๆนี้โชคดีมากที่แม่พระสอนคำสอนให้เขาเอง :D
ทำให้นึกถึงคำพูดนึงที่จากบทความที่พูดถึงพระดำรัสบนกางเขนนั้นเคยอ่านเจอว่า งานของสตรีไม่มีหมด เพราะแม่พระได้รับมอบหมายจากพระบุตร ให้เป็นมารดาของบรรดาศิษย์ อีกนานหลายปีที่พระแม่อยู่กับพวกเขา นานถึงสมัยเปาโลและลูกา แสดงว่าหลังพระบุตรขึ้นสวรรค์แม่ต้องอยู่บนโลกนานมากๆ
ทำให้นึกถึงคำพูดนึงที่จากบทความที่พูดถึงพระดำรัสบนกางเขนนั้นเคยอ่านเจอว่า งานของสตรีไม่มีหมด เพราะแม่พระได้รับมอบหมายจากพระบุตร ให้เป็นมารดาของบรรดาศิษย์ อีกนานหลายปีที่พระแม่อยู่กับพวกเขา นานถึงสมัยเปาโลและลูกา แสดงว่าหลังพระบุตรขึ้นสวรรค์แม่ต้องอยู่บนโลกนานมากๆ
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
เป็นเรื่องที่เยี่ยมยอดเลย *no1
อ่านจบแล้วประทับใจมากเลยครับเรื่องนี้ *no1
ประโยคที่ว่า
"โอ, พวกคุณไม่รู้ และคุณพ่อก็ไม่รู้ ถ้าคุณพ่อได้เห็นพระพักตร์ของพระนางและได้เห็นพระเนตรของพระนางแล้วละก็ คุณพ่อจะไม่ต้องการมีชีวิตต่อไปแม้แต่วันเดียว"
นี่เห็นด้วยอย่างแรงเลยครับ ความสุขโลกหน้านี้โลกนี้เทียบไม่ติดจริงๆ เหมือนที่พระคัมภีร์ว่าเลยว่าแดนสวรรค์เปรียบเหมือนไข่มุกล้ำค่าที่เราสมควรสละซึ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้มาจริงๆ
ประโยคที่ว่า
"โอ, พวกคุณไม่รู้ และคุณพ่อก็ไม่รู้ ถ้าคุณพ่อได้เห็นพระพักตร์ของพระนางและได้เห็นพระเนตรของพระนางแล้วละก็ คุณพ่อจะไม่ต้องการมีชีวิตต่อไปแม้แต่วันเดียว"
นี่เห็นด้วยอย่างแรงเลยครับ ความสุขโลกหน้านี้โลกนี้เทียบไม่ติดจริงๆ เหมือนที่พระคัมภีร์ว่าเลยว่าแดนสวรรค์เปรียบเหมือนไข่มุกล้ำค่าที่เราสมควรสละซึ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้มาจริงๆ
ประทับใจมากครับ
- St. AnGeLA MeriCi
- โพสต์: 286
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 05, 2005 12:50 pm
ประทับใจมาก น้ำซึมเลยคะ จริงๆนะ
แถบเชิงไม้กางเขนพระมารดาประทับอยู่ เงยพระพักตร์แลดูพระบุตร รับทรมาน ช่างปวดร้าวเศร้าใจ จะหาใครที่ไหนป่าน ร่วมทนทรมาน ร่วมการไถ่บาปมนุษย์ ก่อนจะสิ้นพระชนม์ พระบุตรได้ตรัสกับพระมารดาและศิษย์ที่พระองค์ทรงรัก "นี่ลูกของท่าน นั้นแม่ของเจ้า" ด้วยพระวาจานี้ เรามนุษย์ทั้งหลายชั่งมีบุญมากมายได้เป็นลูกของพระนาง ขอพระแม่ช่วยลูกทำตามพระทัยพระเจ้าตามแบบอย่างพระแม่ผู้เป็นรูปแบบคริสต์ชน ความหมายของเพลงนี้ได้บอกอะไรมากมายให้แก่ผู้ฟังทุกคน ลองฟังดีดี และคิดภาพตามเนื้อเพลง มันจะทุกสิ่งทุกอย่างกันเราว่า พระเป็นเจ้ารักมนุษย์ทุกคนมากจนกระทั้งของให้พระมารดาของพระองค์เป็นพระมารดาของพวกเราคริสต์ชนทุกคน แม่ผู้ซึ่งอ่อนหวานไม่เคยเลยสักครั้งที่แม่จะไม่ได้ยินเสียงคำวิงวอนของพวกเรา แม่รักพวกเราทุกคน ขออย่าลืมนึกถึงแม่เมื่อเวลาเรามีความสุข หรือ ความทุกข์ แม่จะคอยรับฟังและอยู่กัยเราเสมอ
อยากเห็นแม่พระบ้างจังงง อิดฉาอยากเป็นนักดทษประหารคนนี้จังเลย
จาได้อยู่กับแม่บนสวรรค์~
จาได้อยู่กับแม่บนสวรรค์~
ผมว่าหลังจากพระเยซูขึ้นสวรรค์เเล้วสาวกเเต่ละคนก็ยอมสละชีพเพื่อพระเยซู
เพราะความเชื่ออันเเรงกล้าของแต่ละคน
แล้วเราพร้อมเพื่อพระเยซูไหมท่านอาจารย์เปาโลตอนแรกก็ไม่เชื่อ
ตอนหลังยอมตายเเทนได้ครับ
เรามีความเชื่อพระเยซู
ขอพระเจ้าอวยพรทุกคนครับ
เพราะความเชื่ออันเเรงกล้าของแต่ละคน
แล้วเราพร้อมเพื่อพระเยซูไหมท่านอาจารย์เปาโลตอนแรกก็ไม่เชื่อ
ตอนหลังยอมตายเเทนได้ครับ
เรามีความเชื่อพระเยซู
ขอพระเจ้าอวยพรทุกคนครับ