+++ อัศจรรย์แห่งพระเมตตา +++

แบ่งปัน คำพยาน ประสบการณ์ชีวิตกับพระเจ้า และการอัศจรรย์ ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำต่อชีวิตของเราแต่ละคน
ตอบกลับโพส
Cho
โพสต์: 744
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ เม.ย. 15, 2005 6:27 pm
ที่อยู่: Rayong

เสาร์ มิ.ย. 13, 2009 10:17 am

(กระทู้ภาคต่อของ http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=11023.0 ครับ)

ที่มา : คณะพระเมตตาแห่งประเทศไทย  http://www.thai-divinemercy.com/index_divine_13.html

พระเมตตาต่อบ้านสองหลังในเหตุสลดที่ออร์ม็อก

   ปี 1992 เกิดเหตุน้ำป่าโหมเข้าซัดบ้านเรือนพังพินาศจำนวนนับไม่ถ้วนในเมืองออร์ม็อก เลย์เต้
ฟิลิปปินส์ คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 11,000 คน ทางผู้ว่าฯ ต้องขุดหลุมฝังศพหมู่ขนาดใหญ่หนึ่งหลุมเพื่อฝัง
ร่างเหยื่อภัยพิบัติครั้งนี้ไว้ด้วยกัน เนื่องจากศพอยู่ในสภาพขึ้นอืดจนไม่สามารถยืนยันได้

   หลังเหตุการณ์สงบลง ปรากฏว่าที่ริมฝั่งแม่น้ำอานิเลา มีบ้านผนังไม้อัดหลังคามุงจากอยู่สองหลังที่ไม่
เสียหายแม้แต่น้อยและคนที่อาศัยอยู่ในบ้านก็มิได้รับอันตรายใดๆ

   เมื่อมอนสิญอร์จิมมี่ วิลลานิววาไปสนทนากับคนที่อาศัยอยู่ในบ้านสองหลังนั้น พวกเขาได้เล่าให้ฟังทั้ง
น้ำตาเพราะยังเศร้าสลดกับการเสียชีวิตของเพื่อนบ้านอยู่ “มอนสิญอร์คะ พระเยซูเจ้า องค์พระเมตตาทรง
เมตตาเราอย่างเหลือล้นทีเดียว น้ำป่าซัดเข้ามาแต่เหลือบ้านของเราสองหลังไว้ น้ำท่วมบ้านก็จริงแต่สูงแค่
เข่าเท่านั้น” บ้านแรกเล่าให้ฟังว่าทำไมลูกชายวัยสามขวบของเธอถึงรอดชีวิตมาได้ “ลูกเล่นอยู่นอกบ้าน
ตอนที่เพื่อนบ้านได้ยินเสียงน้ำป่าซัดเข้ามา เขาวิ่งเข้าไปคว้าตัวลูกของฉันไว้ เพราะนึกว่าเป็นลูกเขา เขาสั่งให้
ลูกฉันคล้องแขนไว้รอบคอเขาตอนปีนหนีขึ้นต้นไม้ ชั่วประเดี๋ยวเดียวพอรู้สึกเหมือนแขนลูกลื่นหลุดจากคอ
เขาจึงรีบฉวยไว้ ตอนนั้นแหละค่ะเขาถึงได้รู้ว่าเขาคว้าเด็กมาผิดคน ... เขาช่วยชีวิตลูกฉันไว้ แต่ไม่ได้ช่วย
ครอบครัวเขา”

มีบ้านสองหลังนี้เท่านั้นที่รับพระรูปพระเมตตาไว้

   มอนสิญอร์จิมมี่เหลียวมองไปรอบห้อง เห็นพระรูปพระเมตตาขนาดใหญ่ติดไว้ที่ประตูไม้อัด ตอนนั้น
เองท่านถึงได้รู้ว่าพวกเธอเลื่อมใสศรัทธาในพระเมตตา พวกเธอบอกมอนสิญอร์ว่าพวกเธอต้องการตั้ง ‘กลุ่ม
พระเมตตาบารังไกย์’ อัญเชิญพระรูปพระเมตตาขนาดใหญ่ไปประทับตามบ้านโดยทำนพวารพระเมตตาบ้าน
ละเก้าวัน แต่เพื่อนบ้านหลังอื่นๆปฏิเสธที่จะเข้าร่วม ชาวบ้านพากันส่งรูปพระเมตตาคืนมาที่บ้านของพวกเธอ
หมด มอนสิญอร์จึงถ่ายรูปบ้านสองหลังนี้ตรงที่มีพระรูปพระเมตตาติดไว้ที่บานประตู

   พระเยซูเจ้าได้ทรงทำตามสัญญาที่พระองค์ให้ไว้ผ่านทางนักบุญโฟสตินาแล้ว...“เราจักปกป้องคนเหล่า
นั้นที่ให้เกียรติรูปสัญลักษณ์พระเมตตาของเรา และผู้ที่สวดบทภาวนาเวลาสามโมงและสวดสายประคำ
พระเมตตา”
Cho
โพสต์: 744
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ เม.ย. 15, 2005 6:27 pm
ที่อยู่: Rayong

เสาร์ มิ.ย. 13, 2009 10:19 am

พระรูปพระเมตตาแผ่รังสีออกมารักษาโทนี่ ที่อิลลินอยส์ ในพริบตาเดียว

สแตนเล่ย์ วิลลาวีเซ็นซีโอเล่าเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นรายหนึ่งหลังเดินทางกลับจากงานธรรมทูตที่สหรัฐอเมริกา แคนาดาและเม็กซิโก
(กันยายน-ธันวาคม 2000) เพื่อไปให้คำพยานเรื่องการพบกับพระคริสตเยซูในปี 1993 ของเขา


   เมื่อสแตนเล่ย์กลับมาถึงบ้านพักในเซบู ฟิลิปปินส์ ได้สองอาทิตย์หลังคริสต์มาส เขาก็ได้รับโทรศัพท์
จากโทนี่ ฟีลโล จากอิลลินอยส์ โทนี่วัย 50 เศษ สมรสแล้ว เป็นผู้เล่าประสบการณ์นี้ให้สแตนเล่ย์ฟัง โทนี่
ยังส่งจดหมายและภาพถ่ายที่มีรังสีจากพระรูปพระเมตตาปกคลุมบ่าทั้งสองข้างของเขามาให้ดูด้วย

   “ผมป่วยหนักมากตอนที่ไปฟังคุณพูดที่โบสถ์เซนต์แร็กโกออราโทรี่ ชิคาโกไฮทส์ อิลลินอยส์เมื่อวันที่
12 ตุลาคม ตอนนั้นผมเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากที่กระจายไปถึงตับและหัวใจแล้ว ร่างกายทุกส่วนของผม
หมดความรู้สึกไปแล้วและหมอบอกว่าผมมีชีวิตอยู่ได้อีกสามเดือนเท่านั้น”

   “พอคุณพูดจบ ผมก็ค่อยๆเดินไปเข้าแถวเพื่อคารวะพระรูปพระเยซูเจ้า องค์พระเมตตา พอผมมาถึง
พระรูป ผมคุกเข่าลงเบื้องหน้าพระรูป พูดกับพระเยซูเจ้าอย่างเปิดใจ วอนขอให้พระองค์ทรงอภัยบาป
ทั้งหมดที่ผมเคยทำมาในอดีตและอ้อนวอนพระองค์ให้เมตตารักษาผมด้วย แล้วโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว มี
ลำแสงแรงกล้าสาดออกมาจากพระรูปพระเมตตาของพระเยซูเจ้าพุ่งเข้ามาหาผม โอบคลุมผมไว้ด้วยแสงแห่ง
ความเบิกบานยินดีและความรัก และผมรับรู้ได้ทันทีว่าโรคภัยไข้เจ็บของผมหายเป็นปลิดทิ้ง!”

   โทนี่เล่าต่อว่าวันรุ่งขึ้นหลังวันภาวนาเพื่อการรักษา เขาได้ไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล น่าอัศจรรย์ใจ
มาก หมอบอกเขาว่าเขาพบปาฏิหาริย์เข้าให้แล้ว! ผลตรวจทางการแพทย์แสดงว่าร่างกายทั้งหมดของผม
ปลอดจากเซลล์มะเร็ง! โทนี่ยังบอกสแตนเล่ย์อีกว่าด้วยความสำนึกรู้คุณในพระเมตตาขององค์พระผู้เป็นเจ้า
เขาได้เริ่มเผยแพร่กิจศรัทธาต่อพระเมตตา ทั้งยังให้คำพยานยืนยันในเรื่องที่พระเมตตารักษาเขาครั้งนี้ด้วย
แก้ไขล่าสุดโดย Cho เมื่อ เสาร์ มิ.ย. 13, 2009 10:31 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Cho
โพสต์: 744
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ เม.ย. 15, 2005 6:27 pm
ที่อยู่: Rayong

เสาร์ มิ.ย. 13, 2009 10:19 am

สายประคำพระเมตตาส่งฝนมาดับไฟ

เวอร์จิเนีย มาโครฮอนเล่าเรื่องอัศจรรย์ที่เมืองซัมโบอังกาให้ฟัง

   เดือนพฤษภาคมปี 1998 ชุมชนแออัดติดบ้านของเราเกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ รถดับเพลิงเข้ามาไม่
ถึงเพราะตรอกแคบมาก พอถึงสี่ทุ่ม เพลิงได้ลุกลามเผาผลาญบ้านในละแวกนั้นวอดวายไปเกือบทุกหลังแล้ว
เราไม่ได้อยู่บ้านในช่วงเกิดเหตุ เลยรีบกลับมา แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปถึงตัวบ้านได้เพราะตำรวจปิดถนน

   ฉันกับเพื่อนเริ่มสวดสายประคำพระเมตตาอย่างร้อนรนศรัทธาโดยใช้วิธีนับนิ้วต่างลูกประคำ พอเรา
สวดเสร็จ ฝนได้เทลงมาอย่างหนักจนเราทุกคนเปียกปอน ฝนนั้นดับไฟ! เหลือบ้านของเราไว้! มีคนมาบอก
ฉันในเวลาต่อมาว่าในวันนั้นไม่มีฝนตกที่ไหนสักแห่งเว้นแต่แถวบ้านเรา ไม่มีใครคาดว่าฝนจะตกเพราะไม่มี
เค้าเลยสักนิดแถมท้องฟ้าก็ไม่มีเมฆฝนด้วย แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งความรักและความเมตตาต่างหากที่
บันดาลให้ฝนตกหนักเพื่อตอบคำภาวนาของเรา!
แก้ไขล่าสุดโดย Cho เมื่อ เสาร์ มิ.ย. 13, 2009 10:31 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Cho
โพสต์: 744
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ เม.ย. 15, 2005 6:27 pm
ที่อยู่: Rayong

เสาร์ มิ.ย. 13, 2009 10:21 am

อัศจรรย์เรื่องนิโคล

  แมรี่แอนน์ อาเซนซีโอ ลูกสาวคนโตของเราที่ตั้งรกรากอยู่ในอเมริกาได้สมรสในวัย 33 กับเดวิด สมุห์
บัญชีและนักเขียนหนุ่มที่สุภาพ จิตใจดีเหมือนพ่อพระและขยันขันแข็ง พิธีสมรสได้จัดขึ้นอย่างงดงามใน
ลอสแองเจลิสในปี 1991 หลายเดือนต่อมา แมรี่แอนน์เริ่มตั้งครรภ์ พอครรภ์แก่ หมอก็แจ้งข่าวร้ายที่ทำให้
เราถึงกับช็อก “ทารกในครรภ์มีอาการพิการทางสมองครับ หมายความว่าลูกคุณจะเป็นเด็กสมองช้า! แต่
ก่อนคุณทำแท้ง คุณควรปรึกษาหมออีกคนนะครับ!”

  คริสตชนผู้เคร่งศาสนาคู่นี้สวนกลับทันที “เราไม่ต้องการความเห็นจากใครอีก เพราะการทำแท้งไม่ใช่
ทางเลือกของเราอยู่แล้ว! ถ้าพระยอมให้เราหนักใจกับลูกที่มีปมด้อย เราก็น้อมรับ”

  สามีภรรยาคู่นี้เริ่มติดต่อเพื่อนคริสตชนกับญาติๆให้ช่วยสวดภาวนาให้เด็กในครรภ์ทันที พวกเราที่อยู่
ในฟิลิปปินส์เริ่มคร่ำเคร่งภาวนาขอทารกที่ปกติ แข็งแรงและเฉลียวฉลาดให้แอนน์กับเดวิด ซิสเตอร์เทเรซา
คณะเซนต์ปอลเดอชาร์ต ลูกสาวคนรองกับสมาชิกในคณะได้ร่วมอธิษฐานภาวนาให้เด็กในครรภ์ด้วย

อัศจรรย์!

  วันที่ 4 กรกฎาคม 1992 ขณะที่ชาวอเมริกันเฉลิมฉลองวันชาติ นิโคลก็ลืมตาดูโลก เกิดอัศจรรย์ขึ้น
แล้ว! เธอเกิดมาปกติครบ32! แอนน์ร้องไห้ด้วยความดีใจเมื่อหมอบอกเธอ! เธอสรรเสริญพระไม่หยุด! พอ
นิโคล สาวน้อยตาสีน้ำตาลเข้มผมแดง หลานผู้น่ารักของเราอายุได้สองขวบครึ่ง เธอก็แสดงให้เห็นเชาวน์
ปัญญาหลายอย่าง เธอสามารถร้องเพลง ‘Tomorrow’ และ ‘Praised be The Lord’ โดยใช้วิธีจำเอา! พอ
อายุได้สามขวบเธอเริ่มอ่านได้ พอสี่ขวบครูพี่เลี้ยงบอกแอนน์ว่า “ลูกสาวของคุณหัวดีมากนะคะและพัฒนา
เร็วกว่าเพื่อนๆในวันเดียวกัน” จากห้าขวบครึ่ง ครูในเมืองบิลลิงก์ มอนทาน่าก็ส่งเธอเข้าชั้นเรียนวิชาการอ่าน
ขั้นสูง เพราะเธอเรียนรู้ได้เร็วกว่าเพื่อนร่วมชั้น พอเจ็ดขวบเขาก็โอนเธอเข้าชั้นเรียนพิเศษฝึกทักษะการคิด
ขั้นสูง เราเห็นความสามารถพิเศษของเธอได้จากกิจกรรมนอกโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเปียโน สีไวโอลิน
หรือเต้นบัลเล่ต์ ครูของเธอล้วนยกนิ้วให้ ปี 1998 บริษัทคณะบัลเล่ต์ที่เดินทางมาเปิดการแสดงในอเมริกา
ได้เลือกนิโคลให้ร่วมแสดง ‘สวอนเล๊ค’ ในฐานะนักแสดงท้องถิ่นในเมืองบิลลิงก์ จากนั้นปี 1999 เธอได้รับ
เลือกอีกครั้งให้ร่วมแสดง ‘นัทแคร็กเกอร์สวีท’

  งานศิลปะของเธอได้ติดบอร์ดของโรงเรียนและลงข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เธอเรียนอยู่เกรด 1
เองในตอนนั้น เธอเข้าร่วมทีมฟุตบอลของโรงเรียนทั้งๆที่ตัวเล็กสุดในทีม เราเชียร์กันสุดฤทธิ์เมื่อคราวที่เรา
ไปเยี่ยมเธอในปี 2001 บางครั้งเราก็อดชื่นชมความน่ารักของเธอไม่ได้ เรามักหยอกกันว่า “เราคงสวดให้นิ
โคลตอนที่เธออยู่ในท้องแม่หนักไปหน่อย พระเลยบันดาลให้เธอฉลาดเป็นกรดและน่ารักแบบนี้!” อันที่จริง
แล้ว เป็นเพราะคำภาวนาด้วยความเชื่อมั่นศรัทธาต่างหาก ที่ทำให้พระผู้ทรงเปี่ยมด้วยความเมตตามีพระทัย
เวทนาสงสารเรา!
Cho
โพสต์: 744
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ เม.ย. 15, 2005 6:27 pm
ที่อยู่: Rayong

เสาร์ มิ.ย. 13, 2009 10:24 am

พระใช้โรคหัวใจล้มเหลวเรียกจอห์นให้กลับใจ

จอห์น ยูน้อย หนุ่มจีนวัย 26 จากซัมโบอันกาเล่าเรื่องนี้ในงานพระเมตตาเซบู เมื่อ 28 พฤษภาคม 2000

   20 มิถุนายน 1986 พ่อของจอห์นได้ถึงแก่กรรม ทิ้งลูกทั้งหกคนไว้ข้างหลัง แม่ของจอห์นยึดพระ
เมตตาของพระเยซูเจ้าเป็นที่พึ่งทางใจมาโดยตลอดและศรัทธาในพระเมตตามาก จอห์นเล่าให้ฟังว่า “หลัง
จากที่ผมจบวิศวกรรมไฟฟ้าจากวิทยาลัยในซัมโบอันกา ผมทั้งกินเหล้าเมายา เล่นการพนัน สูบบุหรี่ สารพัด
ผมมักมีปากเสียงกับแม่ ผมไม่ศรัทธาในพระ ผมไม่คิดว่าพระเจ้ามีจริง”

   เดือนเมษายน ปี 1995 ‘เทส’ แม่ของจอห์นไปร่วมงานพระเมตตาใน
มะนิลา เธอได้รับแรงบันดาลใจจากคำพยานที่เธอได้ฟังมา เธอตัดสินใจเผย
แพร่กิจศรัทธาพระเมตตาในเมืองซัมโบอันกา พอแม่ของจอห์นกลับมาถึงบ้าน
ในซัมโบอันกา จอห์นกับพี่น้องทั้งหมดก็ตื่นเต้น รู้ว่าแม่ต้องมีของฝากติดไม้
ติดมือมาให้แน่ “แต่ของฝากที่พวกเราได้กลับเป็นสายพระเมตตาจำพวกกับ
โปสเตอร์ภาพพระเมตตา นอกจากผิดหวังแล้ว ผมยังถูกบังคับให้สวมไว้ติดตัว
เพื่อจะได้ไม่ต้องขัดใจกับแม่อีกด้วย แต่พูดจริงๆนะ ผมไม่ชอบสวม ที่แย่ยิ่งกว่า
นั้นก็คือเพื่อนๆพากันล้อผมไม่เลิกเวลาเห็นผมสวมสายจำพวกอันนี้”

หัวใจล้มเหลว

   “วันหนึ่ง ผมตัดสินถอดออกเสียก่อนไปเที่ยวเตร่กับเพื่อน และผมจะไม่ยอมสวมอีกแล้ว เช้านั้น ผมขี่
มอเตอร์ไซด์ไปส่งน้องชายวัย 14 ปีที่โรงเรียนเหมือนเคย จู่ๆก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมรู้สึกไม่สู้ดี แน่น
หน้าอก หายใจไม่ออก เหงื่อแตกพลั่กๆ ตาก็พร่ามัว ผมเริ่มรู้ตัวว่าผมมีสิทธิ์ตายกลางทางได้ ผมนึกถึงสาย
พระเมตตาจำพวกขึ้นมา ล้วงออกมากำไว้ในมือซ้ายเสียแน่น วอนขอให้พระยกโทษให้ ผมจูบสายจำพวก
อ้อนวอนพระเยซูเจ้าให้ผมสามารถขี่รถไปให้ถึงโรงพยาบาล ผมย้ำมาตลอดทาง ‘พระเยซู กษัตริย์แห่งความ
เมตตา ลูกวางใจในพระองค์! ลูกวางใจในพระองค์! ลูกวางใจในพระองค์! ช่วยลูกด้วย! ช่วยลูกด้วย!’ ”

   “เคราะห์ดีที่ผมไปถึงโรงพยาบาลได้โดยไม่เกิดอุบัติเหตุกลางทาง หมอรีบรับตัวผมเข้าห้องฉุกเฉินทันที
ความดันโลหิตของผมตอนนั้นวัดได้ 210/110 หมอแปลกใจ ‘อาการขนาดคุณนี่ต้องถือว่าน่าอัศจรรย์มากที่
ประคองรถมาจนถึงมือหมอได้โดยไม่ล้มกลางทาง!’ หมอต่อสายจากตัวผมเข้าเครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
ซึ่งแสดงผลออกมาว่าผมเป็นโรคหัวใจล้มเหลว!”

สำนึกรู้การทรงเรียกของพระ

   “ระหว่างสามวันที่นอนรักษาตัวในโรงพยาบาล ผมเริ่มสำนึกได้ว่าถ้าผมไม่วิงวอนขอพระยกโทษให้ผม
ผมอาจตายกลางทางไปแล้วและผมต้องดิ่งลงนรกแน่! ผมเห็นคุณค่าของสายพระเมตตาจำพวกและพระ
เมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระที่ทรงมีต่อผมแล้ว อันที่จริง ชีวิตของผมอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์!”

   ผมวอนขอพระให้โปรดเมตตายกโทษให้ผมที่ไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง “จากวันนี้ไป ผมขออุทิศชีวิตเผย
แพร่กิจศรัทธาพระเมตตา ผมติดตามสแตนเล่ย์ วิลลาเซนซีโอไปทำงานธรรมทูตที่ลูซอนและฮ่องกงในเดือน
มิถุนายน 1999 อันที่จริงแล้ว ในฮ่องกงผมขึ้นไปประกาศความเชื่อในเรื่องกิจศรัทธาพระเมตตาก่อนที่
สแตนเล่ย์จะให้คำพยานเรื่องการพบกับพระเยซูเจ้า”
แก้ไขล่าสุดโดย Cho เมื่อ เสาร์ มิ.ย. 13, 2009 10:30 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Cho
โพสต์: 744
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ เม.ย. 15, 2005 6:27 pm
ที่อยู่: Rayong

เสาร์ มิ.ย. 13, 2009 10:27 am

อัศจรรย์พระเมตตาในบาซีลัน

ทิมมี่ เซบาสเตียนจากบาซีลันเป็นคนเล่าเรื่องนี้ในงานประชุมพระเมตตาวิซายา-มินดาเนา เมื่อ 27-28 พฤษภาคม 2000

ระเบิดไม่ทำงานตรงหน้าตัวประกัน

   นายรูบีโอ อาจารย์ใหญ่โรงเรียนประถมทูมาโฮบองในบาซีลันเป็นหนึ่งในตัวประกัน 31 คนที่ถูกผู้
ก่อการร้ายมุสลิมอาบูไซยาฟจับตัวไปขังไว้บนเขาในบาซีลันเดือนมีนาคม 2000

   เรื่องการลักพาตัวนายรูบีโอ ครูของทิมมี่กับพวกนักเรียนพร้อมกับคุณพ่อโรแอล แกลลาร์โด บาทหลวง
คาทอลิกคณะคลาเรเทียนตกเป็นข่าวพาดหัวในหน้าหนังสือพิมพ์ฟิลิปปินส์ตลอดเดือนมีนาคมและซีเอ็นเอ็น
ได้รายงานข่าวไปทั่วโลก มีรายงานในเวลาต่อมาว่าคุณพ่อแกลลาร์โดถูกพวกอาบูไซยาฟทรมานและยิงเสีย
ชีวิต ตัวประกันอีกสี่คนถูกสังหารด้วย ส่วนตัวประกันที่เหลือนั้นทหารของทางการช่วยออกมาได้ในเวลาต่อ
มา เรื่องนี้เป็นตอนหนึ่งของการที่นายรูบีโอและตัวประกันอีก 15 คนหนีรอดจากพวกอาบูไซยาฟมาได้อย่าง
ปาฏิหาริย์

ใส่สายประคำพระเมตตาไว้ในกระเป๋าเสื้อ

   กลุ่มของทอมมี่ เซบาสเตียนไปบรรยายเรื่องกิจศรัทธาต่อพระเมตตาและได้แจกสายประคำพระเมตตา
ให้ครอบครัวเหยื่อลักพาตัวซึ่งมารอฟังข่าวที่ศูนย์คาทอลิกฟอร์เมชั่นในอีซาเบลา บาซีลัน ทุกวัน

   วันต่อมา ภรรยาของนายรูบีโอ อาจารย์ใหญ่ได้ซุกสายประคำพระเมตตาไปกับเสื้อผ้าและอาหารที่จะนำ
ไปให้เหยื่อลักพาตัวบนภูเขา นายรูบีโอเจอสายประคำเข้าและเริ่มแอบสวดทันทีตอนบ่ายสามโมงของวัน
เดียวกันนั้น ถ้าผู้ก่อการร้ายตรวจค้นข้าวของแล้วเจอศาสนภัณฑ์ เช่นสายประคำ หรือหนังสือภาวนาเมื่อไหร่
ก็จะยึดไปเผาทิ้งหมด เคราะห์ยังดีที่นายรูบีโอใส่สายประคำไว้ในเสื้อยืดที่ใส่อยู่และไม่ถูกตรวจค้น

   ขณะที่นายรูบีโอสวดสายประคำพระเมตตาในวันต่อมาเกิดมีการตรวจค้นโดยไม่ทันตั้งตัวอีก เขาเลย
ซ่อนไว้ในรูข้างตัวเขาแล้วใช้ไม้สอยขึ้นมาทีหลัง

ระเบิดไม่ทำงาน!

   ตอนที่พวกทหารเริ่มยิงระเบิดโจมตีขุมกำลังของพวกกบฏที่ค่ายอาบูบาการ์นั้น นายรูบีโอกำลังแอบสวด
สายประคำพระเมตตาอยู่ ขณะที่พวกเขาหลบหนีกัน ระเบิดลูกหนึ่งตกลงตรงหน้าเขาพอดี! ระเบิดลูกนั้นไม่
ทำงานด้วยเดชะพระเมตตาของพระเป็นเจ้า พวกเขาจึงรอดตายมาได้ แล้วพวกกบฏอาบูไซยาฟก็จับพวกเขา
แยกออกเป็นสองกลุ่ม นายรูบีโอกับกลุ่มของเขาถูกบังคับให้ไปซ่อนอีกที่หนึ่ง

   ระหว่างที่พวกกบฏปะทะกับทหารที่บุกเข้าพื้นที่นั้น นายรูบีโอเรียกหาพระเยซูเจ้าองค์ความเมตตา
ตลอดเวลาเพราะพวกเขาต้องคอยหลบกระสุนปืนที่ระดมยิงเข้าใส่กัน กระสุนเฉียดร่างตัวประกันตลอดแต่
น่าอัศจรรย์ที่ไม่มีใครถูกยิงเลย! แล้วพวกเขาก็ถูกนำวิ่งขึ้นไปบนเขา จนพวกทหารบุกเข้ามาช่วยสำเร็จ ตัว
ประกันที่รอดชีวิต15คนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเซาท์คอมในบาซีลัน ทอมมี่ เซบาสเตียน คนเล่าเรื่องนี้ได้ไปเยี่ยม
พวกเขา พอนายรูบีโอเห็นรูปพระเมตตาที่เสื้อยืดของทอมมี่ เขาก็อุทานทั้งน้ำตาว่า “พระเยซู องค์พระเมตตา
ช่วยชีวิตเราไว้! พระองค์ปกป้องเราตอนปะทะกันที่ภูเขา!”
แก้ไขล่าสุดโดย Cho เมื่อ เสาร์ มิ.ย. 13, 2009 10:30 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Cho
โพสต์: 744
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ เม.ย. 15, 2005 6:27 pm
ที่อยู่: Rayong

เสาร์ มิ.ย. 13, 2009 10:30 am

เรมอนถูกลักพาตัว

เรมอน ฉั่ว ชาวจีนวัย 40 จากบาซีลันถูกกบฏมุสลิมจับตัวไปในปี 1986 เขาถูกนำตัวขึ้นเขาซัมพีนิค บาซีลัน ที่นั่นพวกลักพา
ตัวเขาไปบอกเรมอนว่าพวกเขาไม่สนเรื่องค่าไถ่หรอก แต่ตั้งใจฆ่าเขามากกว่า สาเหตุความเกลียดชังเกิดจากความขัดแย้งเรื่องที่ดินกับ
ผู้เช่าที่ดินของเรมอนในคาปายาวัน บาซีลัน


ได้ยินเสียงขณะสวดสายประคำพระเมตตา

  เรมอนถูกจับตัวมาย่างเข้าวันที่ 33 แล้ว เขาล้วงสายประคำออกมาจากกระเป๋าเงิน สวดพระเมตตา
และบทสวดตอนบ่ายสามโมง แล้วเรมอนก็ได้ยินเสียง “วิ่งหนีเร็ว!” เรมอนคิดแล้วคิดอีก เขากลัวถูกยิงถ้า
หลบหนี เสียงนั้นย้ำอีก “วิ่งหนีเร็ว!” คราวนี้เรมอนตัดสินใจหลบหนีออกจากค่ายกบฏ เขาออกวิ่ง แต่พอ
เห็นยามเฝ้าประตู เขาก็ใช้เดินเอา โบกมือทักทายยาม และมีเสียงขอบคุณเป็นคำมุสลิม “ซาลามเมคอม”
หลุดจากปากเขา เขางงมากที่ยามเฝ้าทางออกยิ้มให้เขา โบกมือตอบและยอมให้เขาผ่านไปได้ พอออกพ้น
ค่ายได้ เรมอนก็แจวอ้าวหาทางลงเขาที่กบฏกบดานอยู่ กบฏสองคนเห็นเขาเข้าก็เลยยิงใส่เขาเป็นชุด แต่
พลาดเป้าหมด เขาไม่โดนยิงทั้งๆที่กระสุนเฉียดร่างไปตลอดทาง เขากำสายประคำพระเมตตาไว้แน่น วิ่งไม่
คิดชีวิตขณะที่พวกกบฏวิ่งไล่กวดมาติดๆ

ซ่อนตัวจากกบฏที่ตามล่าเขา

  ในที่สุดเรมอนก็หมดแรงวิ่ง เข่าอ่อน ทรุดลงพิงต้นไม้ พวกกบฏกวดตามเขาทันแต่กลับวิ่งเลยไปโดยมองไม่
เห็นเขา หรือว่าเทวดาช่วยพรางตัวเขาไว้ หลังจากนั้นสักอึดใจ เรมอนก็ออกเดินต่อไปเรื่อยๆจนถึงด่านตรวจของ
ทหาร เขาแจ้งเรื่องที่เขาถูกลักพาตัวและกลับถึงบ้านได้อย่างปลอดภัย

  เมื่อปลอดภัยแล้วเรมอนก็ย้อนระลึกถึงถ้อยคำที่พระเยซูเจ้าตรัสกับนักบุญโฟสตินา ธรรมทูตพระเมตตา ที่
เขาไปฟังมาจากงานสัมมนาพระเมตตา “เราจะปกป้องผู้ที่แสดงความศรัทธาภักดีต่อพระเมตตาของเราจากศัตรู
ของเขาตลอดชีวิต”
หัวใจของเขาเต็มตื้นไปด้วยความสำนึกรู้คุณต่อพระเยซูเจ้า องค์พระเมตตา!
Cho
โพสต์: 744
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ เม.ย. 15, 2005 6:27 pm
ที่อยู่: Rayong

เสาร์ มิ.ย. 13, 2009 10:34 am

สี่อัศจรรย์ในชีวิตของคุณพ่อซีรีโล นาคอร์ดา (พ่อลอย)

คุณพ่อซีรีโล นาคอร์ดา (พ่อลอย) เล่าเหตุการณ์เหล่านี้ในงานประชุมพระเมตตาที่เมืองเซบู ฟิลิปปินส์ เมื่อ11-12 พฤษภาคม 2002

ถวายเด็กใกล้ตายให้แม่พระ

  พ่อลอยมีอันต้องเข้าโรงพยาบาลในเมืองบาซีลันตอนท่านอายุราวหนึ่งขวบ หลังนอนซมมาได้ 2-3 วัน
หมอก็บอกแม่ว่าหมดทางเยียวยาแล้วให้พาลูกกลับบ้าน แต่แม่ของท่านต้องการยื้อชีวิตท่านไว้ จึงอุ้มร่างที่
อ่อนแรงนั้นข้ามเรือไปโรงพยาบาลในเมืองซัมโบอันกา หมอที่นั่นตรวจดูอาการแล้วก็แจ้งว่าเด็กมีชีวิตอยู่ได้
อีกไม่นาน ให้แม่พาลูกกลับบ้านเถอะ

  แม่ของท่านนำท่านไปยังที่พึ่งสุดท้าย คือ สักการสถานพระนางพรหมจารีมารีย์ในฟอร์ตพิลล่าร์ เมือง
ซัมโบอันกา แม่ถวายท่านต่อพระชนนีของพระเป็นเจ้า แล้วแม่ก็นำเด็กใกล้ตายข้ามฟากกลับมาบาซีลัน แม่
ประกบอยู่ข้างกายลูกที่นอนรอความตาย แต่พอกลับถึงบาซีลัน เด็กก็ลุกขึ้นได้และหายเป็นปกติ เมื่อพ่อของ
ท่านมาพบ คิดว่าเจอข่าวร้ายแน่ แต่กลายเป็นข่าวดีที่ลูกยังไม่ตายแล้วก็แข็งแรงดี!

นักเรียนมัธยมปลายหมดสติ

  พอพ่อลอยขึ้นมัธยมปลายปีที่ 4 ท่านก็เจ็บปางตายอีก ตอนที่ท่านหมดสติไปหนึ่งสัปดาห์ที่โรงพยาบาล
ท่านเห็นตัวเองเดินตัวเบาอยู่บนปุยเมฆ ท่านได้เห็นสัตว์ร้ายรูปร่างน่ากลัวในนรก และต่อมาก็ได้สัมผัสความ
เบิกบานยินดีแห่งสวรรค์! แล้วในทันใดนั้นเอง ในนิมิตของท่าน ท่านก็หล่นตุ๊บลงมากระทบพื้น! ท่านฟื้นขึ้น
มา หายป่วยเป็นปลิดทิ้ง! ตอนนั้นเองที่ท่านเห็นทั้งครูและเพื่อนร่วมชั้นร้องไห้กันระงม นึกว่าท่านไม่รอดแน่

  คุณพ่อซีรีโล นาคอร์ดา (พ่อลอย) บวชเป็นพระสงฆ์คาทอลิกในปี 1992 ท่านเล่าว่า “ในพิธีบรรพชา
พ่อจดจ่อในพระจิตเจ้ามาก ด้วยความดีอกดีใจที่ได้บวช พ่อเลยอธิษฐานภาวนาว่า พระเจ้าข้า ลูกอยากเป็น
มรณสักขี และหากลูกได้อยู่ทำงานอภิบาลสักสองปี ลูกก็ถือว่าเป็นพระคุณยิ่งแล้ว!”


ถูกผู้ก่อการร้ายอาบูไซยาฟจับตัวไป

  ต่อมาในปี 1994 พ่อลอยก็ถูกพวกผู้ก่อการร้ายอาบูไซยาฟในบาซีลันจับตัวไป ระหว่างที่ถูกกักตัวนาน
61 วัน ท่านทรมานมาก ท่านถูกมัดมือมัดเท้าในเวลากลางคืน แล้วก็หาอาหารประทังชีวิตได้แสนยาก ท่าน
ได้เห็นเพื่อนๆที่ถูกจับมารุ่นเดียวกันโดนพวกอาบูไซยาฟสังหารหมู่ไปแล้ว15คน เหลือแต่ครูที่ได้รับการ
ปล่อยตัวกลับไป ต่อมาพ่อลอยก็ได้ยินพวกก่อการร้ายคุยกันเป็นภาษาท้องถิ่นว่าพวกเขาจะตัดหัวท่าน

นิมิตพระเยซูเจ้า องค์พระเมตตา

  พ่อลอยเริ่มกังวลแล้วสิ ทำให้พ่ออดคิดถึงคำพูดที่เคยบอกพระในวันบวชไม่ได้ พ่อจึงภาวนาต่อพระว่า
“ลูกจำได้แล้วพระเจ้าข้า ลูกบวชมาครบสองปีพอดิบพอดี...! พระเจ้าข้า พระองค์คงไม่ถือสาถ้อยคำที่ลูกพรั่ง
พรูออกมาด้วยเดชะพระจิตในวันบวชของลูกเป็นเรื่องจริงจังขนาดนั้น ลูกไม่ได้หมายความแบบที่ว่านั้น
พระเจ้าข้า...อภัยให้ลูกด้วยเถิด! โปรดยื้อชีวิตลูกไว้เพื่อเห็นแก่บรรดาสัตบุรุษของลูกเถิด โปรดช่วยชีวิตลูก
ด้วย พระเจ้าข้า” (ในพื้นที่มุสลิมนั้นมีคริสตชนอยู่เพียง15%และพระสงฆ์องค์อื่นๆไม่ยอมมารับหน้าที่ที่นั่น)

  คืนเดียวกันนั้น พ่อลอยก็หมดเรี่ยวแรงขณะภาวนา แล้วพ่อลอยก็เห็นนิมิตของพระเยซูเจ้า องค์พระ
เมตตา พระองค์ยิ้มให้ “นิมิตนั้นประทานความเข้มแข็ง ความบรรเทาใจและกำลังใจให้พ่อมากทีเดียว จน
หลังจากคืนนั้นแล้ว พ่อก็ไม่กลัวตายอีก!”
Cho
โพสต์: 744
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ เม.ย. 15, 2005 6:27 pm
ที่อยู่: Rayong

เสาร์ มิ.ย. 13, 2009 10:36 am

เผชิญหน้ากับทหาร

  อาทิตย์สุดท้ายที่พ่อลอยถูกกักขัง พวกที่จับพ่อลอยมาเริ่มไว้เนื้อเชื่อใจคุณพ่อและกลายเป็นมิตรกัน
พวกเขาถอดกุญแจมือและปฏิบัติต่อพ่อลอยอย่างนุ่มนวล อันที่จริง คืนนั้น มีผู้ก่อการร้ายคนหนึ่งกระซิบให้
พ่อลอยหนีไปแต่คุณพ่อกลัวถูกยิงทิ้ง พอเข้าวันที่ 57 ที่พ่อลอยถูกกักตัว พวกที่จับพ่อก็มาบอกพ่อลอยว่า
พวกเขาจะปล่อยตัวคุณพ่อในวันรุ่งขึ้น

  “พ่อตื่นแต่เช้ามืด สวดสายประคำอย่างร้อนรนและร้องเพลง ‘Come Holy Spirit’ เบาๆ องค์พระผู้
เป็นเจ้าทรงให้พ่อสำรวมใจสำนึกผิด แล้วพ่อก็ขอโทษพระองค์ที่พ่อชอบบ่นคร่ำครวญเวลาพ่อลำบาก พ่อ
ตระหนักได้แล้วว่าการที่พ่อได้รับการปล่อยตัวนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งในแผนการของพระ”

  “เช้าวันนั้น ทหารกับพวกที่จับพ่อไปปะทะกันอย่างดุเดือด พ่อไม่ได้โกนหนวดโกนเครามานาน แถมคน
ที่จับพ่อมายังให้พ่อโพกหัวแบบมุสลิมอีก แล้วก็มีสะพายแล่งเป็นรหัสมุสลิมอีกด้วย พวกทหารก็เลยคิดว่า
พ่อเป็นหัวหน้าใหญ่กลุ่มอาบูไซยาฟ ชั่วอึดใจนั่นเอง หัวหน้าอาบูตัวจริงที่ยืนอยู่ด้านขวาของพ่อก็ก้าวออกมา
ยืนกันพ่อไว้ เวลาเดียวกับที่ทหารสาดกระสุนใส่เรา หัวหน้าอาบูฟุบลงทันทีอาการปางตาย พ่อกระโจนหาที่
กำบังแม้จะซ่อนไม่ค่อยมิดเท่าไหร่ พ่อเห็นห่ากระสุนสาดเข้าใส่พ่อไม่ยั้ง พ่อไม่คิดหรอกนะว่าพ่อจะรอด พ่อ
จึงหลับตาภาวนาว่า “พระเจ้าข้า โปรดอภัยบาปทั้งหมดของลูกด้วย โปรดรับลูกเข้าสู่พระราชัยสวรรค์ด้วย
เทอญ” คนที่จับพ่อไปส่วนใหญ่บาดเจ็บ พ่อรอดตายมาได้พร้อมกับตัวประกันอีกสอง”

  หลังจากนั้นสี่วัน รองประธานาธิบดีเอสตราดาในขณะนั้นก็ปล่อยตัวพ่อลอยพ้นข้อหาเรียกค่าไถ่ ที่ค่าย
ทหาร พวกทหารบอกพ่อลอยว่า “พ่อนาคอร์ดาครับ ผมต้องขอโทษพ่อจริงๆที่อัดกระสุนใส่พ่อไม่ยั้ง ก็ตอนที่
พ่อลุกขึ้นมาน่ะ ผมนึกว่าพ่อเป็นหัวหน้าผู้ก่อการร้าย! แต่ผมยิงพ่อในระยะเผาขนขนาดนี้แล้วพ่อรอดมาได้
ยังไงกันครับ”

  พ่อลอยชี้นิ้วขึ้นฟ้า มีนัยถึงการปกป้องคุ้มครองของพระเป็นเจ้า

ม่านหมอกกำบัง

  ตอนที่พ่อสำรวมใจอยู่ พ่อก็ต้องประหลาดใจที่เห็นภาพนิมิตแว่บหนึ่ง เป็นมือขนาดใหญ่คลี่ม่านหมอก
เหมือนแผ่นพลาสติกบางๆลงมาคลุมและปกป้องพ่อไว้จากห่ากระสุน พ่อเห็นปลอกกระสุนตกเกลื่อนไปทั่ว
บริเวณที่พ่อหมอบอยู่ พ่อรู้ว่าพระเยซูเจ้า องค์ความเมตตาและแม่พระกำบังพ่อไว้มิให้ได้รับอันตราย!
และพ่อรับรู้ได้เลยว่าหลายๆคนกำลังสวดให้พ่ออยู่ตอนนั้น” (ลินดา จี.โนเบิล ผู้อุปถัมภ์พ่อลอยระหว่าง
ศึกษาอยู่สามเณราลัยและพวกเราในกลุ่มธรรมทูตพระเมตตาได้สวดสายประคำพระเมตตาให้คุณพ่อทุกวัน
ระหว่างที่ท่านถูกจับตัวไป) เราทราบมาว่ามีบริษัทภาพยนตร์เสนอเงินหลายล้านให้พ่อลอยเพื่อนำชีวิตจริงของ
พ่อไปสร้างภาพยนตร์ แต่พ่อลอยปฏิเสธไปทั้งๆที่เงินหลายล้านนั่นล่อใจให้พ่อสึกจากการเป็นพระสงฆ์และ
สามารถสุขสบายไปได้ทั้งชาติ นับว่าพ่อลอยเป็นพระสงฆ์วีรบุรุษที่หาตัวจับยากในสมัยของเราทีเดียว!
กรอกสมบูรณ์
โพสต์: 1413
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 02, 2008 11:18 am
ที่อยู่: ต.กรอกสมบูรณ์ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี

ศุกร์ มิ.ย. 19, 2009 3:25 pm

::022::  พระเยซูเจ้าข้า ลูกวางใจในพระองค์
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ ศุกร์ มิ.ย. 19, 2009 3:32 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
yack
โพสต์: 816
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 11, 2008 11:01 am

ศุกร์ มิ.ย. 19, 2009 3:41 pm

ซึ้งอ่า  ::055::

ดีใจจังได้ไกล้ชิดขนาดนี้
paulvinai
โพสต์: 1
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 24, 2009 10:21 am

ศุกร์ ก.ค. 24, 2009 10:49 am

"จงพากเพียรป่าวประกาศพระเมตตาของเรา
        โลกเหลือเวลาอีกเพียงน้อยนิด
ห้วงเวลาแห่งกิจศริทธานี้จักสิ้นสุดลงในเร็ววัน"

พระเยซูคริสตเจ้าตรัสผ่านสแตนเล่ย์ - เมษายน 1996
คณะพระเมตตาประเทศไทย ขอเชิญทุกท่านมาร่วมสัมผัส
ประสบการณ์การพบพระเยซูเจ้า จากสแตนเล่ย์ ...

วันเสาร์    1 สิงหาคม 2009 บ่ายสองครึ่ง  ที่วัดเซนต์หลุยส์ สาทรใต้
วันอาทิตย์ 2 สิงหาคม 2009 เช้า 9.30 น. ที่วัดพระหฤทัยศรีราชา
วันอาทิตย์ 2 สิงหาคม 2009 บ่ายสามโมง  ที่หอประชุมหลังโบสถ์พระมหาไถ่ ซอยร่วมฤดี

ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้ารับฟังฟรี ไม่ต้องสำรองที่นั่ง บรรยายอังกฤษ แปลไทย

Info.  http://www.thai-divinemercy.com
tan
โพสต์: 390
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ค. 13, 2008 8:47 pm
ติดต่อ:

ศุกร์ ก.ค. 24, 2009 1:45 pm

ลุกวางใจในพระองค์
ขอถวานสรรพสิ่งให้แก่พระองค์
ตอบกลับโพส