คริสตังยืน พลังศรัทธา และความร้อนรน
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
อ่านอิสระเล่มล่าสุด ปีที่ 32 ฉบับที่ 8 สิงหาคม 2009 สกู๊ป วรพจน์ สิงหา คริสตังยืน พลังศรัทธา และความร้อนรน เห็นน้องสาว และพี่สาว เดาว่า รวิพรรณ หรือ เท็น /พี่โอ๋ วชิรวไล / ลลิตา หรือ เล็ก แบบว่า ใช่สาวสวยประจำบอร์ดนิวมานาใช่ป่ะ แบบว่า ขี้เกียจพิมพ์รายละเอียด ใครอยากทราบให้ 3 สาวมาช่วยพิมพ์ลงเองเด้อ..... จะถามแค่ว่า เดี๋ยวนี้เด็กวัดอัสสัม ดังขนาดนี้เลยหรือ หมั่นไส้อ่ะ
- เลย์
- โพสต์: 1845
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ส.ค. 05, 2009 12:27 am
- ที่อยู่: ในอ้อมพระหัตถ์พระเป็นเจ้า
- ติดต่อ:
เลย์ได้ยินสัตบุรุษหลายๆท่านพูดว่า " คริสตังยืนจะมีความศรัทธามากกว่าคริสตังนอน "
แต่สำหรับเลย์แล้ว คริสตังนอนหลายๆท่านก็มีความเชื่อ ศรัทธา และร้อนรนในการแพร่ธรรม มากเช่นกัน : emo045 :
เพราะการดำเนินชีวิตที่ดีของคริสตังนอน เลย์จึงศรัทธาในคำสอนของพระเป็นเจ้า และล้างบาปเป็นลูกของพระองค์ในที่สุดครับ : xemo026 :
แต่สำหรับเลย์แล้ว คริสตังนอนหลายๆท่านก็มีความเชื่อ ศรัทธา และร้อนรนในการแพร่ธรรม มากเช่นกัน : emo045 :
เพราะการดำเนินชีวิตที่ดีของคริสตังนอน เลย์จึงศรัทธาในคำสอนของพระเป็นเจ้า และล้างบาปเป็นลูกของพระองค์ในที่สุดครับ : xemo026 :
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ พฤหัสฯ. ก.ย. 10, 2009 4:48 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- โพสต์: 1413
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 02, 2008 11:18 am
- ที่อยู่: ต.กรอกสมบูรณ์ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี
1. คริสตังนอนหน่ะ มันซึมอยู่ในสายเลือดเลยนะจะบอกให้ เพราะได้รับความรู้ความเข้าใจในพระคัมภีร์มาตั้งแต่เด็ก ซึมซับอยู่ในวิถีชีวิตแล้วค่ะวอ เขียน: งืม คิดว่าคริสตังนอน ความเชือ่ไม่เท่าคริสตังยืนส่วนใหญ่เพราะ
1. ถูกบังคับให้นับถือศาสนาโดยไม่เต็มใจมาแต่เด็ก
2. คริสตังยืนมักจะเกิดจากความสมัครใจ ความเชื่อความศรัทธาที่ไม่มีใครบังคับเหมือนคริสตังยืน
2. คริสตังยืนหน่ะ เค้าเรียกว่า มาใหม่ไฟแรงเต็มร้อย ก็เลยดูว่าร้อนรักในพระมากกว่า
อย่างงี้ต้องใช้เวลาพิสูจน์ ดูกันนานๆ ว่าเราจะได้พบกันในบ้านแท้นิรันดรหรือเปล่า?
- antoinetty*
- โพสต์: 451
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 04, 2007 9:39 pm
ประสบการณ์ส่วนตัวนะครับ ,,
เห็น พี่ๆเพื่อนๆ คริสตังยืน บางคน ,,
ตอนแรกๆ ก็ศรัทธา จริงจัง ร้อนรนมาก ,,
แต่พอรับศีลล้างบาปแล้ว ,,
ก็เริ่มขาดวัด ห่างวัดไป ,,
สุดท้าย ,, ก็หมดไฟ ,,
,, ,, ,, ,, ,, ,,
อาจจะผิดกับคริสตังนอนนะครับ ,,
คือ ถึงตัวเค้าจะขี้เกียจไปวัด ,,
แต่สภาพแวดล้อม ,, คนรอบข้าง ,, ครอบครัว ,,
ก็จะเป็นตัวผลักดันให้เขาอยู่ในลู่ทางของพระด้วยนะครับ ,,
,, ,, ,, ,, ,, ,,
เล่าให้ฟังเฉยๆ ครับ ,,
เห็น พี่ๆเพื่อนๆ คริสตังยืน บางคน ,,
ตอนแรกๆ ก็ศรัทธา จริงจัง ร้อนรนมาก ,,
แต่พอรับศีลล้างบาปแล้ว ,,
ก็เริ่มขาดวัด ห่างวัดไป ,,
สุดท้าย ,, ก็หมดไฟ ,,
,, ,, ,, ,, ,, ,,
อาจจะผิดกับคริสตังนอนนะครับ ,,
คือ ถึงตัวเค้าจะขี้เกียจไปวัด ,,
แต่สภาพแวดล้อม ,, คนรอบข้าง ,, ครอบครัว ,,
ก็จะเป็นตัวผลักดันให้เขาอยู่ในลู่ทางของพระด้วยนะครับ ,,
,, ,, ,, ,, ,, ,,
เล่าให้ฟังเฉยๆ ครับ ,,
กรอกสมบูรณ์ เขียน:1. คริสตังนอนหน่ะ มันซึมอยู่ในสายเลือดเลยนะจะบอกให้ เพราะได้รับความรู้ความเข้าใจในพระคัมภีร์มาตั้งแต่เด็ก ซึมซับอยู่ในวิถีชีวิตแล้วค่ะวอ เขียน: งืม คิดว่าคริสตังนอน ความเชือ่ไม่เท่าคริสตังยืนส่วนใหญ่เพราะ
1. ถูกบังคับให้นับถือศาสนาโดยไม่เต็มใจมาแต่เด็ก
2. คริสตังยืนมักจะเกิดจากความสมัครใจ ความเชื่อความศรัทธาที่ไม่มีใครบังคับเหมือนคริสตังยืน
2. คริสตังยืนหน่ะ เค้าเรียกว่า มาใหม่ไฟแรงเต็มร้อย ก็เลยดูว่าร้อนรักในพระมากกว่า
อย่างงี้ต้องใช้เวลาพิสูจน์ ดูกันนานๆ ว่าเราจะได้พบกันในบ้านแท้นิรันดรหรือเปล่า?
อันนี้เห็นด้วยค่ะ ตอนที่รับศีลล้างบาป ก็กลัวตัวเองเหมือนกัน ไม่มั่นใจแบบสุดๆว่า เป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบรึเปล่า กลัวมากว่า จะอยู่ได้ไม่นาน กลัวมากว่าจะทิ้งวัด แต่ก็สวดขอพระ ให้คอยดึงเราเอาไว้ ....-AnToiNetty- เขียน: ประสบการณ์ส่วนตัวนะครับ ,,
เห็น พี่ๆเพื่อนๆ คริสตังยืน บางคน ,,
ตอนแรกๆ ก็ศรัทธา จริงจัง ร้อนรนมาก ,,
แต่พอรับศีลล้างบาปแล้ว ,,
ก็เริ่มขาดวัด ห่างวัดไป ,,
สุดท้าย ,, ก็หมดไฟ ,,
,, ,, ,, ,, ,, ,,
อาจจะผิดกับคริสตังนอนนะครับ ,,
คือ ถึงตัวเค้าจะขี้เกียจไปวัด ,,
แต่สภาพแวดล้อม ,, คนรอบข้าง ,, ครอบครัว ,,
ก็จะเป็นตัวผลักดันให้เขาอยู่ในลู่ทางของพระด้วยนะครับ ,,
,, ,, ,, ,, ,, ,,
เล่าให้ฟังเฉยๆ ครับ ,,
และเราก็มาคิดได้ว่า ที่จริงแล้ว คนในพระคัมภีร์ทุกคน เค้าก็เป็นคริสตังยืนทั้งนั้นนี่นา อัครสาวกทุกคนก็คริสตังยืน เป็นยิวหรือต่างศาสนากันมาก่อนทั้งนั้น ไม่มีใครโตมาในครอบครัวคาทอลิกซักคน เค้าก็ยังอยู่กันได้เลย
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
Holy เขียน: ว่าจะให้คนพิมพ์แล้วแสกนรูปลงด้วย
ไม่ต้องพิมพ์จ้า... พี่ขอให้แอดมินอิสระส่งต้นฉบับมาให้แล้ว เห็นว่า จะส่งวันนี้ เพราะพ่อที่เมกาขอไปเป็นบทเทศน์ 3 สาวจะโกอินเตอร์ในบทเทศน์ขอพ่อว่าแต่ว่า ทำไมเงียบจัง ไม่มาแสดงตัวกันหน่อยเหรอตะเอง
- ~@Little lamb@~
- Defender of lawS
- โพสต์: 9396
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
- ติดต่อ:
เห้นแล้ว อ่านแล้ว ครุ ครุ คริ คริ
- (⊙△⊙)คุณxuู๓้uxoม(⊙△⊙)
- โพสต์: 892
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ต.ค. 10, 2008 12:38 am
กรี๊ดด พี่เท็นนนน
มีเพื่อนเป็นคริสตังนอน ค่ะแต่ เขาบอกว่ารู้สึกเฉยๆกับพระ และยังบอกอีกว่าทางพุทธ มีเหตุผลกว่าน่าเชื่อถือกว่า แล้วยังไปร่วมทำบุญตักบาตและไปไหว้พระพุทธรูปในวัดอีก แต่เขาก็ยังบอกว่าตัวเขาเป็น catholic กับเพื่อนชาวพุทธอีก แปลกมากๆ ครอบครัวเป็น คริสต์ตัง และจบจากโรงเรียน คริสตัง อย่างมาแตร์อีกด้วย น่าเสียดายที่ไม่ได้รู้ซึ้งถึงความรักของพระ และ พระมารดาเจ้า
-
- โพสต์: 1413
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 02, 2008 11:18 am
- ที่อยู่: ต.กรอกสมบูรณ์ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี
โดนจังๆ เลยค่ะ ตอนเป็นเด็ก ถูกเคี่ยวเข็ญให้ไปวัดเป็นประจำ ทุกวันนี้ ต้องมาเคี่ยวเข็ญลูกๆ ให้ไปวัด โอ้...เวรกรรมมีจริง-AnToiNetty- เขียน:
อาจจะผิดกับคริสตังนอนนะครับ ,,
คือ ถึงตัวเค้าจะขี้เกียจไปวัด ,,
แต่สภาพแวดล้อม ,, คนรอบข้าง ,, ครอบครัว ,,
ก็จะเป็นตัวผลักดันให้เขาอยู่ในลู่ทางของพระด้วยนะครับ ,,
,, ,, ,, ,, ,, ,,
เล่าให้ฟังเฉยๆ ครับ ,,
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
สงสัยต้องพิมพ์เองอ่ะ แอดมินบอกว่า ต้นฉบับอยู่กับพี่อีกคน
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
“คริสตังยืน” พลังศรัทธา และความร้อนรน
วรพจน์ สิงหา
ในพระศาสนจักรคาทอลิก เมื่อเอ่ยถึงคำว่า[font=Verdana] “คริสตังยืน”[/font] ทุกคนรู้ว่าหมายถึงพี่น้องคริสตชนที่รับศีลล้างบาปเมื่อตอนเป็นผู้ใหญ่ หรือกล่าวง่ายๆ ว่าไม่ได้เป็นคาทอลิกตั้งแต่เกิด
ผมมีโอกาสพูดคุยกับพี่น้องคริสตชนใหม่หลายท่าน ได้รับประสบการณ์ มุมมอง รวมทั้งได้รับรู้ถึงความยากลำบาก และความอึดอัดใจของพวกเขาเหล่านั้น เพราะเมื่อเอ่ยถึง [font=Verdana]“การเปลี่ยนศาสนา”[/font] ในครอบครัวของตนเอง บางคนถึงกับโดนดุโดนว่า และเกิดความขัดแย้งกันในครอบครัวอย่างรุนแรง
บางคนต้องแอบอ่านพระคัมภีร์ ต้องแอบสวดสายประคำ ต้องแอบอ่านหนังสือศรัทธา และต้องแอบมาวัด โดยไม่ให้ทางบ้านรับรู้ หรือบางคนเมื่อเอ่ยถึงการเปลี่ยนศาสนามาเป็นคาทอลิก ก็ทำให้ต้องเผชิญกับอคติบางอย่างที่ทำให้ต้องเสียใจ และต้องทะเลาะกันระหว่างคนในครอบครัว
หลังจากพูดคุยกับพวกเขาแล้ว ทำให้ผมได้รับว่า คริสตังยืนกลับมีความเคร่งครัดศรัทธา และร้อนรนมากกว่าคนที่เรียกตนเองว่า คริสตังนอนมากมายหลายร้อยเท่า
ขณะที่พูดคุยกับพวกเขา ตัวผมเองได้ทบทวนความเชื่อของตนเองพร้อมกันไปด้วย และผมได้พบว่า ขณะที่อายุความเป็นคริสตชนของผมเพิ่มมากขึ้น แต่ความเชื่อ และความศรัทธาของผมกลับลดน้อยลง.....
และถ้าจะให้พูดจากความในใจส่วนตัว ผมอยากจะบอกให้ทุกคนได้รับรู้ว่า[font=Verdana] “คริสตังยืน” [/font] กลับกลายเป็นคนที่สมควรถูกเรียกว่า [font=Verdana]“คาทอลิก”[/font] มากกว่าคริสตังนอนอย่างเราๆ ท่านๆ อีกหลายคน.... เพราะคนที่เรียกตนเองว่าคาทอลิกจำนวนมากไม่เคยยืนยันถึงวามศรัทธาของตนเอง เราไม่เคยเชื่อมั่นว่า พระเจ้ามีอยู่จริง และเราไม่เคยประพฤติปฏิบัติตัวให้สมกับคำว่าคาทอลิกเลยแม้แต่นิดเดียว
[font=Verdana]รวิพรรณ [/font] หรือเท็น วัย 25 ปี นักศึกษาปริญญาโทจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ล้างบาปเมื่อเดือนเมษายน ปี 2552 กล่าวว่า “ การที่เรามาเป็นคาทอลิก เราได้สัมผัสกับความรักของพระ เราเชื่อว่าคริสตชนเป็นคนมองโลกในแง่ดี คริสตชนมองว่าสิ่งที่เป็นความทุกข์คือ สิ่งที่เป็นพระพรที่พระเป็นเจ้าประทานให้กับเรา เป็นสิ่งที่ฝึกฝนทำให้เราเติบโตไปอีกขั้นหนึ่งไม่ใช่ปล่อยชีวิตไปตามน้ำ”
รวิพรรณเป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อแม่ เริ่มสนใจความเชื่อคาทอลิกเมื่อหลายปีที่ผ่านมา กระทั่งเริ่มเรียนคำสอนเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2551 และรับศีลล้างบาปที่อาสนวิหารอัสสัมเมื่อวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ผ่านมา
“แม่บอกหนูว่า หนึ่งในเรื่องที่ทำให้เขาเสียใจมากที่สุดคือ เรื่องที่หนูเปลี่ยนศาสนา คำพูดนั้นทำให้หนูเสียใจมาก หนูว่าเป็นคำพูดที่แรงมาก มีครั้งหนึ่งแม่บอกว่า รอให้เขาตายก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนศาสนา ขนาดนี้เลย หนูเสียใจมาก” รวิพรรณพูดถึงเรื่องราวครั้งนั้นแล้วน้ำตาไหลออกมาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ เธอต้องหยุดพูดเป็นพักๆ พยายามฝืนความรู้สึก และพูดออกมาอีกครั้งหนึ่ง
เธอบอกว่า “พระให้เราเจอความลำบากเยอะๆ แต่หนูดีใจนะ เพราะทำให้ความเชื่อของเราแข็งแกร่งมากขึ้น”
หนึ่งปีก่อนที่รวิพรรณจะเข้าเรียนคำสอน เธอมีปัญหากับแม่ค่อนข้างมากในประเด็นของการเปลี่ยนศาสนา “ช่วงแรกๆ หนูบอกแม่ แต่แม่รับไม่ได้ เราก็ค่อยๆ เงียบไป ไม่อยากให้มีปัญหา แม่ถามเหตุผลเหมือนกัน หนูก็บอกว่าเป็นความศรัทธาของเรา เรารู้สึกว่าทุกศาสนาเป็นศาสนาที่ดี ก็เหมือนเสื้อแต่ละตัว มันไม่เหมาะกับทุกคนที่จะสวมใส่ เราอาจจะเหมาะสมกับศาสนาคริสต์มากกว่า เราใส่เสื้อตัวไหนแล้วสวย เหมาะสมกับเรามากกว่า”
เธอกล่าวถึงความหลังครั้งนั้นแล้วน้ำตาไหลออกมา “ตอนแรกๆ ต้องแอบทุกอย่าง แอบสวด แอบมาวัด อย่างแอบสวด ต้องแอบสวดอยู่ในห้อง ครั้งหนึ่งหนูปิดประตูห้องสวดสายประคำ แม่มาเคาะประตู หนูก็เอาสายประคำให้แม่เห็นเลย คือไม่ได้ประชดอะไร แต่อยากให้แม่รู้ว่าเราศรัทธาจริงๆ และเอาไม้กางเขนเข้าบ้านครั้งแรกช่วงพิธีเลือกสรร ก่อนเข้าพิธีรับศีลล้างบาป”
รวิพรรณบอกว่า ช่วงแรกที่ยังไม่รู้ว่าการเข้ามิสซาคืออะไร เธอชอบมาอาสนวิหารอัสสัมชัญในวันธรรมดา “หนูชอบมาเงียบๆ ชอบมานั่งเฝ้าศีล เป็นสิ่งที่ชอบมาก เพราะเงียบสงบ เราได้คุยกับพระ และเราได้รับความรักจากพระในความเงียบนั้น”
“ก่อนที่จะมาเรียนคำสอน หนูศึกษาเองก่อน ไม่มีทางเลือกมากนัก ต้องศึกษาเอง เข้าเว็บไซต์ “[font=Verdana] นิวมานาบ้าง (http:www.newmana.com) [/font] ซื้อหนังสืออ่านเองบ้าง หนังสือนี่ก็ต้องซ่อนหมด เข้าตู้ซ่อนหมดเลย พระคัมภีร์ ประวัตินักบุญ หรือหนังสือศรัทธาอย่างเช่น ขุมทรัพย์ในภาชนะดินเผาซึ่งเป็นหนังสือเล่มแรกที่เพื่อนแนะนำให้อ่าน หรือหนังสือชีวิตจิต บทสวดต่างๆ ก็ซ่อนทั้งหมด เก็บทุกอย่าง เป็นอย่างนี้ยาวนานประมาณหนึ่งปี”
“คนเราพอถึงจุดหนึ่ง ความร้อนรนมันทำให้เราไม่สามารถทนได้ เราคิดว่าสักวันเขาก็ต้องรู้ความจริง เราไม่สามารถปิดบังในชีวิตได้ตลอดเวลา หนูไม่สามารถปิดบังได้ว่า ในใจเรามีพระ แต่เราต้องปิดบังในความเชื่อของเรา หนูไม่สามารถทำได้ มันฝืนเกินไปสำหรับหนู หนูเลยไม่ทนดีกว่า ก็เลยทะเลาะกัน”
รวิพรรณบอกว่า “ช่วงนั้นเครียดมาก คือเราบอกแม่ แต่แม่รับไม่ได้ เราก็กลัวว่าคนอื่นจะรับไม่ได้ไปด้วย ก็เป็นเวลานานมากกว่าจะกล้าบอกพ่อ พอบอกพ่อ พ่อโอเครับได้ หนูน้ำตาร่วงใส่จานข้าวเลย และเรากล้าบอกญาติคนอื่น ซึ่งตอนแรกหนูลังเล และกลัวไม่กล้าบอกใคร”
“หนูบอกว่าแม่ไม่ยอมรับในสิ่งที่หนูเป็น หนูอยากให้ใครสักคนรักเราในสิ่งที่เราเป็น ไม่ใช่รักเราเพราะว่าเขาอยากให้เราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อยู่ๆ แม่ก็มาบอกว่า จริงๆ เขารับได้ตั้งนานแล้ว”
รวิพรรณกล่าวถึงเส้นทางกว่าจะมาเป็นคาทอลิกด้วยน้ำตา แม้เหตุการณ์ครั้งนั้นจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ความรู้สึกในขณะนั้นคงสร้างความเสียใจ และอึดอัดใจให้กับเธออยู่ไม่น้อย
ความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวของรวิพรรณดีขึ้นเรื่อยๆ ตามวันเวลา และขณะนี้ครอบครัวของเธอยอมรับในสิ่งที่เธอยึดมั่น และตั้งใจ “ตอนนี้แม่ไม่มีปัญหาแล้ว ทำได้ทุกอย่าง ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเราดีเหมือนเดิม ดีมากเป็นการเปิดกว้างจริงๆ ไม่มีอคติอะไร” รวิพรรณยิ้มทั้งน้ำตาที่กำลังเอ่อคลอออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
มองเห็นรอยยิ้ม และหยาดน้ำตาของรวิพรรณแล้ว ได้แต่บอกกับตัวเองว่า เส้นทางคาทอลิกใหม่ไม่ได้เรียบง่าย และราบรื่น ขณะที่คริสตังนอนอย่างผมมีแต่ความเรียบง่าย และสะดวกสบาย ไม่ต้องแอบอ่านพระคัมภีร์ ไม่ต้องแอบสวดภาวนา ไม่ต้องขัดแย้งกับใครเรื่องการนับถือศาสนา แต่น้อยครั้งนักที่เราจะทำสิ่งเหล่านี้ด้วยความร้อนรน และศรัทธาอย่างแท้จริง
[font=Verdana]วชิรวไล [/font] หรือพี่โอ๋ อายุ 42 ปี อาชีพสถาปนิก ล้างบาปเมื่อปี พ.ศ. 2549 บอกเล่าเรื่องราวก่อนที่จะมาสนใจความเชื่อคาทอลิกไว้อย่างน่าสนใจว่า “มีอยู่ช่วงหนึ่ง เราเจอปัญหาชีวิตทางด้านธุรกิจกับเพื่อน และโดนเพื่อนโกง เงินมันก็เยอะ เพราะลงทุนคนละสามแสน เราก็โกรธที่ว่าทำไมเพื่อนถึงทำเราได้ คือเรามีความรู้สึกเสียใจ และโกรธจากข้างใน จิตใจไม่สงบ พอดีมีเพื่อนคนหนึ่งเขาเป็นคาทอลิก เขาก็บอกว่าทิ้งกรุงเทพฯ ไปเลย ไปอยู่บ้านเขา เราก็ไป ทีนี้ครอบครัวนี้เป็นคาทอลิก ตื่นมาเขาก็สวดสายประคำร่วมกันทุกวัน เรารู้สึกว่าดีมาก เราเห็นทุกวัน”
“คุณแม่เขาอายุมากแล้ว ประมาณ 70 กว่า ตอนช่วงบ่ายเขาจะนั่งอ่านพระคัมภีร์ นั่งอ่านไป แกก็น้ำตาไหล เราก็เข้าใจว่าแกอายุมากแล้ว อ่านหนังสือแล้วน้ำตาไหล พอเห็นอย่างนั้น เราก็บอกว่าเดี๋ยวเราอ่านพระคัมภีร์ให้ฟัง พอเราอ่านพระคัมภีร์ปั๊บ อ่านไปประโยคหนึ่ง ใจเราสงบ ก็เลยอ่านไปเรื่อยๆ อ่านไปได้ประมาณสี่ห้าประโยค แม่เขาก็บอกว่าให้หยุด เดี๋ยวแม่รำพึงตรงนี้คือเอาถ้อยคำตรงนั้นมาคิด และไตร่ตรองไม่ใช่แค่อ่านไปเรื่อยๆ เราก็ว่าดีๆ เราก็อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเรา ก็อ่านให้ฟังทุกวัน”
เธอบอกว่าตอนนั้นอ่านพระคัมภีร์อยู่ประมาณสองอาทิตย์ “ เท่าที่จำได้น่าจะเป็นพระคัมภีร์ นักบุญยอห์น ที่บอกว่าพระองค์จะอยู่กับเราตราบจนสิ้นพิภพ เรามีความรู้สึกว่าทำไมพูดตรงนี้แล้ว เรารู้สึกสงบเหลือเกิน เรารู้สึกดีเหลือเกิน อ่านพระคัมภีร์อยู่ประมาณสองอาทิตย์ สงบทุกครั้งที่ได้อ่าน เราก็รู้สึกว่านี่เป็นจุดๆ หนึ่งที่ทำให้เราศรัทธา หลังจากนั้น ก็ไปปรึกษาพี่สาวของเพื่อนที่เขาเป็นครูคำสอน เขาก็บอกว่าหนังสือในบ้านอยากอ่านเล่นไหนก็อ่าน เราก็อ่าน ยิ่งอ่านก็ยิ่งสงบ ยิ่งอ่านยิ่งอยากรู้มากขึ้นเรื่อยๆ และมีความรู้สึกมีกำลังใจที่จะกลับมาสู้มาแก้ไขปัญหาของตัวเอง ก็ถามพี่สาวที่เป็นครูคำสอนคนนั้นว่าอยากศึกษาเพิ่มเติมมากกว่านี้ได้ที่ไหน เขาก็บอกว่า ต้องมาที่อัสสัมฯ นะ มาเรียนคำสอนกับคุณพ่อวีระ (พระคุณเจ้าวีระ อาภรณ์รัตน์ ในปัจจุบัน) ตอนนั้นประมาณปี พ.ศ.2547 สองปีก่อนล้างบาป”
การที่จะบอกตนเองจะเปลี่ยนศาสนาไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะประเด็นศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งเธอต้องเผชิญกับถาม และการไม่ยอมรับจากพี่สาวของตนเอง
“ตอนจะเปลี่ยนศาสนาเป็นคาทอลิก ค่อยๆ บอกครอบครัวมาตั้งแต่แรก แต่พี่สาวเขารับไม่ได้ แต่เราก็เสี่ยงไปเรื่อยๆ เขาพูดแรงมาก หลังจากบาปมาแล้ว ประมาณปีที่แล้ว พี่สาวคนนี้เขาเพิ่งรู้ พี่สาวคนอื่นเขาก็รู้กันหมดแล้ว ทุกคนก็โอเคถ้าน้องมีความสุขก็ไม่ได้ว่าอะไร แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่พี่สาวคนนี้เขารับไม่ได้ เขาไม่ยอม เขาพูดแรงมาก เขาบอกว่า “ไอ้ลัทธิที่กินเลือดกินเนื้อใช่ไหม” วันนั้นเป็นวันเกิดน้อง เราก็สงสัยว่าทำไมไม่ถามสักนิดว่าเราคิดอย่างไร เพราะที่บ้าน คุณพ่อจะบอกเสมอว่า ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงศาสนา ลูกต้องเลือกเองในการนับถือศาสนา แต่มีข้อแม้ว่าถ้าเปลี่ยนศาสนาแล้ว ห้ามกลับมานับถือศาสนาเดิม และห้ามทำศาสนาของเขาเสื่อม อันนี้ห้ามเด็ดขาด”
“วันนั้นเถียงกันกับพี่สาวตั้งแต่เช้ายันเย็น เขาก็ว่ามาตลอด แต่เราโกรธ และเสียใจที่เขาไม่ฟังเราเลย ทำไมไม่ถามเราบ้าง เพราะกว่าที่เราจะมานับถือศาสนาคาทอลิก เราศึกษามาก่อน สองเกือบสามปี และคุณพ่อเสียชีวิตก่อนที่จะล้างบาป แต่คุณพ่อก็ทำใจส่วนหนึ่งแล้ว เพราะไปเรียนเมืองนอกประมาณ 13 ปี เขาก็เลยคิดว่าไปอยู่ทางนู้นก็อาจจะเปลี่ยนศาสนาเป็นคาทอลิกตลอดเวลาที่อยู่ที่นู่น แต่ก็ไม่ได้ศึกษา เพิ่งมาศึกษาจริงจังที่เมืองไทย”
“พี่สาวเขาถือว่าพ่อแม่เรานับถือศาสนาหนึ่ง แต่เราทำไมต้องเปลี่ยนศาสนาด้วย เราก็สวดขอให้เขาเข้าใจเรา และให้เขาเห็นว่าเรามีความสุขกับเส้นทางที่เราเลือก ในทิศทางที่เราเดิน เราสวดขอพระทุกวันเลย สวดสายประคำ ก็สวดขอตรงนี้ด้วยพี่เขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ความสัมพันธ์กับพี่สาวคนนี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ความสัมพันธ์กับพี่สาวคนนี้ก็ดีขึ้น เปิดใจรับได้บ้าง เราก็สวดขอพระตลอดเวลา อย่างเมื่อก่อนโทรศัพท์ไป ก่อนวางหูเราจะบอกว่าขอพระอวยพรนะ เขาจะวางหูใส่เลย แต่ตอนนี้พอเราบอกว่าขอพระอวยพรนะ เขาก็ตอบรับว่าค่ะ” พี่โอ๋พูดพร้อมรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสบายใจ
บ้านของพี่โอ๋เป็นเหมือนบ้านของการเสวนาทางศาสนา เพราะมีความเชื่อหลายศาสนารวมอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน
“พี่สาวคนที่สอง ตอนนี้หันมาศรัทธาในความเชื่อมุสลิม เพราะมีความเชื่อ เชื่อเอง ที่บ้านมีครบทั้งพุทธ คริสต์ มุสลิม แต่ก็คุยกันได้ แต่สำหรับพี่สาวคนที่ไม่ค่อยชอบ ก็ยังไม่ได้คุยเรื่องศาสนามาก เพราะเขายังรับไม่ค่อยได้ พี่สาวคนที่สามกับพี่สาวที่นับถือมุสลิม เขาไม่คุยกันเลย เขาตัดเลย แต่กับเรายังคุยบ้าง ”
หากมีใครสนใจไต่ถามถึงเรื่องความเชื่อคาทอลิก พี่โอ๋จะไม่บิดบัง และพร้อมเสมอที่จะประกาศความเชื่อแก่บุคคลอื่น “เพื่อนๆ หลายคนอยากรู้ อยากมาฟังบ้าง หลายคนถามว่า ถ้ายังไม่ได้ล้างบาป เขาสามารถสวดสายประคำได้ไหม เราก็สอนเขาสวดสายประคำ เขาก็สวดทุกวัน เราก็บอกว่าดีเหมือนกัน เขาบอกว่าเวลาเขาไม่สบายใจ เขาก็มาสวดสายประคำเขาก็บอกว่าดี รู้สึกสบายใจขึ้น แต่เขาก็ยังไม่ได้มาศึกษามากกว่านั้น”
“หลายครั้งที่นั่งแท็กซี่มาที่อาสนวิหารอัสสัมชัญคนขับแท็กซี่ถามเราว่าเป็นคริสต์เหรอ เราก็บอกว่าใช่ เขาถามว่าอย่างเขาสามารถเข้ามาบ้างได้ไหม เราก็บอกว่าได้ ก็ชวนเขามานั่งในวัด และบอกเขาในเรื่องต่างๆ ”
พี่โอ๋บอกว่า “ การเป็นคาทอลิกมีอุปสรรค เหมือนพระลองใจ แต่อุปสรรคต่างๆ ยิ่งทำให้เรามีความเชื่อที่มั่นคงมากขึ้น”
ขณะที่คุยกับพี่โอ๋อยู่นั้น ผมถามตัวเองว่า... แล้วคริสตชนคนอื่นๆ รวมทั้งตัวผมเอง ถ้าพระลองใจให้เผชิญกับความยากลำบาก และพบเจออุปสรรคต่างๆ ในชีวิต เราแต่ละคนจะมีความเชื่อที่มั่นคงได้เท่าเธอหรือไม่?
[font=Verdana]ลลิตา[/font] หรือเล็ก อายุ 23 ปี ลูกจ้างชั่วคราวของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย หรือ สกว.ล้างบาปปี 2552 เธอบอกเล่าถึงความสนใจในความเชื่อคาทอลิกในระยะเริ่มแรกว่า “เริ่มจากอยากหาบางอย่างให้กับตัวเอง จากเมื่อก่อน อยากทำก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่อยากทำ รู้สึกว่ามันไม่มีอะไรเป็นสิ่งที่เราต้องทำสำหรับตัวเอง ก็เริ่มอยากจะเรียนรู้ เริ่มเข้ามาเรียนคำสอน รู้สึกว่าเราได้อะไรเยอะมาก เราได้ในสิ่งที่ควรจะทำ เรามีพระเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ไม่ว่าเราจะทำอะไร เราจะคิดถึงพระองค์ก่อนเสมอ”
“ที่บ้านหนูมีทั้ง พระไทย พระจีน เจ้าแม่กวนอิม พระศิวะ ค่อนข้างเปิดกว้าง แต่ไม่ค่อยที่จะยอมรับศาสนาคริสต์”
จนกระทั่งวันหนึ่ง ลลิตามีความรู้สึกอยากเห็นโบสถ์คริสต์สักครั้งหนึ่ง “อยากรู้ว่าเป็นอย่างไร ไม่เคยเข้า ไม่เคยเห็น ก็เลยไปเสิร์ชในอินเตอร์เน็ต ก็เจอเว็บไซด์ [font=Verdana]“นิวมานา”[/font] นั่งอ่านอยู่นานเป็นวันๆ เลย เป็นครั้งแรกที่อ่านทั้งวันเลย จนกระทั่งไปเจอชื่อของน้องคนหนึ่ง เขาเขียนไว้ว่า ถ้าสนใจอยากจะมาเรียนคำสอน สามารถมาเรียนได้ที่อาสนวิหารอัสสัมชัญในวันอาทิตย์ ตอนนั้นอยากรู้มาก่อนว่าเป็นยังไง เพราะตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่าคำสอนคืออะไร ก็ลองติดต่อมา และยังไม่ได้บอกที่บ้าน”
“หลังจากนั้น น้องคนนี้ก็พามาเข้ามิสซาเลย ยังไม่รู้เลยว่าทำอย่างไร แต่น้องเขาก็แนะนำว่าทำอย่างไร มาวันแรกก็เข้าห้องเรียนคำสอนกับคุณพ่อวีระเลย เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2551 ถือว่าเป็นระยะเวลาในการเรียนที่สั้นมาก จนกระทั่งวันที่ล้างบาป ก็ยังถามตัวเองว่า นี่เราจะล้างบาปแล้วเหรอ เพราะรู้สึกว่าเราเพิ่งจะเรียนคำสอนเมื่อเดือนสิงหาคมนี่เอง ประมาณเดือนมกราคม พ.ศ.2552 ก็เริ่มมีการต้อนรับคริสตชนใหม่ ตอนแรกยังไม่ได้คิดว่าจะได้ล้างบาปปีนี้ ช่วงนั้นก็มีเครียดๆ กับที่บ้านนิดหน่อย”
ลลิตามีพี่ชายหนึ่งคน พ่อแม่เป็นคนจีน และแม่ค่อนข้างเคร่งนิดหน่อย “ตอนแรกบอกกับพ่อคนเดียวว่าจะเปลี่ยนศาสนา เพราะสนิทกับพ่อมากว่า เพราะถ้าบอกกับแม่ เดี๋ยวมีเรื่อง ซึ่งปกติหนูจะออกจากบ้านทุกวันอยู่แล้ว เสาร์อาทิตย์ก็จะไปนู่นไปนี่ตามปกติ ก็บอกกับพ่อว่าจะไปลองเรียนคำสอนดูนะ เขาก็ถามว่าจะเรียนทำไม ก็บอกว่าอยากศึกษา เราก็ไปวัดทุกอาทิตย์ มาเรียนคำสอนทุกอาทิตย์”
“กระทั่งประมาณเดือนพฤศจิกายน หรือธันวาคมปีที่แล้ว ก็เริ่มบอกพ่อว่าจะล้างบาป พ่อก็สะดุด แต่ยังไม่ได้บอกแม่ พ่อก็ถามว่าจะเป็นคริสต์เหรอ เราก็เลี่ยง ไม่อยากปะทะ จนกระทั่งวันล้างบาป วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ เดือนเมษายนที่ผ่านมาล้างบาปเรียบร้อยแล้วซึ่งวันนั้นพ่อเป็นคนมารับ เพราะพิธีเลิกดึก พอขึ้นรถหนูเอาใบที่รับศีลล้างบาป ใบประกาศให้พ่อดู เขาถามว่าอะไร หนูบอกว่าล้างบาปเป็นคริสต์แล้วนะ เขาก็ตกใจนิดหน่อย บอก เอ้า! เป็นคริสต์แล้วเหรอ แต่ที่บ้านดีอย่างหนึ่งคือค่อนข้างให้อิสระ โตแล้วให้คิดเอง”
พอลลิตากลับไปถึงบ้าน โดยที่เธอถือทั้งเทียน และใบประกาศ เทียนปัสกา น้ำเสก เธอก็บอกแม่ว่า.... เป็นคริสต์แล้วนะ “ก่อนหน้านั้น แม่รู้ว่ามาวัด รู้ว่าเรียนคำสอน แต่ไม่รู้ว่าล้างบาป และไม่คิดว่าจะมาเปลี่ยนเป็นคาทอลิก ก็รู้กันวันนั้นเลย แม่ก็บ่นๆ ว่า อย่างนี้แล้วจะไปไหว้เจ้ายังไง กินเจได้หรือเปล่า เราก็อธิบายว่าอะไรทำได้ หรือไม่ได้ เขาก็ถามทุกอย่าง”
เธอบอกว่า “อุปสรรคที่ผ่านมา เหมือนเป็นการทดสอบจิตใจของเรา ซึ่งความเชื่อของเราจะทำให้เราผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ไปได้ด้วยดี”
ลลิตาพูดพร้อมรอยยิ้มที่สดใสในวันนี้ ซึ่งก่อนที่จะมาถึงวันนี้ วันที่เธอได้เป็นคาทอลิกเต็มตัว เธอได้ผ่านเส้นทางแห่งการทดลองใจจากพระเป็นเจ้า และชีวิตของเธอได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความเชื่อคาทอลิกที่มั่นคง และหยั่งรากลึกอย่างแท้จริง
ขอบคุณพี่โอ๋ เท็น และเล็ก ที่แบ่งปันเรื่องราว และอุปสรรคในชีวิตไว้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจ ทุกคนพร้อมเสมอที่จะเปิดเผยชื่อ นามสกุล และเปิดเผยใบหน้าด้วยความยินดี ไม่มีปิดบังใดๆ ทั้งสิ้น แต่ผู้เขียนขอไม่ลงนามสกุล เพียงแค่ใบหน้าก็เพียงพอแล้วสำหรับการเปิดเผยความรู้สึกลึกๆ ในครั้งนี้
ชีวิตของคริสตังใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งไม่ได้รับการยอมรับ ต้องพบเจออุปสรรคมากมาย ขณะที่เราคริสตังนอนสามารถไปวัดได้ อ่านพระคัมภีร์ได้โดยไม่ต้องหลบซ่อน ผมถามตัวเองว่าที่ผ่านมา เราได้อ่านพระคัมภีร์มากน้อยเพียงใด หรืออ่านหนังสือศรัทธา และประวัตินักบุญบ้างหรือไม่
หากการพูดคุยกันครั้งนี้มีประโยชน์อยู่บ้าง คงสามารถทำให้เราแต่ละคนได้กลับมาทบทวนความศรัทธา และความเป็นคริสตชนของเราได้ไม่มากก็น้อย ซึ่งเราแต่ละคนอาจจะได้รู้ว่า ความเป็นคริสตชนของเรานั้น ยังคงหลงเหลืออยู่ในชีวิต และจิตใจของเรามากน้อยเพียงใด.....
เฮือก.... พิมพ์เสร็จแล้วปอปอจัดการใส่รูปให้หน่อยนะคะ จริงๆ ไม่ได้ขยันนะเนี่ย แต่รับปากบัดดี้ไว้ต้องทำตามที่บอกอ่ะ
วรพจน์ สิงหา
ในพระศาสนจักรคาทอลิก เมื่อเอ่ยถึงคำว่า[font=Verdana] “คริสตังยืน”[/font] ทุกคนรู้ว่าหมายถึงพี่น้องคริสตชนที่รับศีลล้างบาปเมื่อตอนเป็นผู้ใหญ่ หรือกล่าวง่ายๆ ว่าไม่ได้เป็นคาทอลิกตั้งแต่เกิด
ผมมีโอกาสพูดคุยกับพี่น้องคริสตชนใหม่หลายท่าน ได้รับประสบการณ์ มุมมอง รวมทั้งได้รับรู้ถึงความยากลำบาก และความอึดอัดใจของพวกเขาเหล่านั้น เพราะเมื่อเอ่ยถึง [font=Verdana]“การเปลี่ยนศาสนา”[/font] ในครอบครัวของตนเอง บางคนถึงกับโดนดุโดนว่า และเกิดความขัดแย้งกันในครอบครัวอย่างรุนแรง
บางคนต้องแอบอ่านพระคัมภีร์ ต้องแอบสวดสายประคำ ต้องแอบอ่านหนังสือศรัทธา และต้องแอบมาวัด โดยไม่ให้ทางบ้านรับรู้ หรือบางคนเมื่อเอ่ยถึงการเปลี่ยนศาสนามาเป็นคาทอลิก ก็ทำให้ต้องเผชิญกับอคติบางอย่างที่ทำให้ต้องเสียใจ และต้องทะเลาะกันระหว่างคนในครอบครัว
หลังจากพูดคุยกับพวกเขาแล้ว ทำให้ผมได้รับว่า คริสตังยืนกลับมีความเคร่งครัดศรัทธา และร้อนรนมากกว่าคนที่เรียกตนเองว่า คริสตังนอนมากมายหลายร้อยเท่า
ขณะที่พูดคุยกับพวกเขา ตัวผมเองได้ทบทวนความเชื่อของตนเองพร้อมกันไปด้วย และผมได้พบว่า ขณะที่อายุความเป็นคริสตชนของผมเพิ่มมากขึ้น แต่ความเชื่อ และความศรัทธาของผมกลับลดน้อยลง.....
และถ้าจะให้พูดจากความในใจส่วนตัว ผมอยากจะบอกให้ทุกคนได้รับรู้ว่า[font=Verdana] “คริสตังยืน” [/font] กลับกลายเป็นคนที่สมควรถูกเรียกว่า [font=Verdana]“คาทอลิก”[/font] มากกว่าคริสตังนอนอย่างเราๆ ท่านๆ อีกหลายคน.... เพราะคนที่เรียกตนเองว่าคาทอลิกจำนวนมากไม่เคยยืนยันถึงวามศรัทธาของตนเอง เราไม่เคยเชื่อมั่นว่า พระเจ้ามีอยู่จริง และเราไม่เคยประพฤติปฏิบัติตัวให้สมกับคำว่าคาทอลิกเลยแม้แต่นิดเดียว
[font=Verdana]รวิพรรณ [/font] หรือเท็น วัย 25 ปี นักศึกษาปริญญาโทจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ล้างบาปเมื่อเดือนเมษายน ปี 2552 กล่าวว่า “ การที่เรามาเป็นคาทอลิก เราได้สัมผัสกับความรักของพระ เราเชื่อว่าคริสตชนเป็นคนมองโลกในแง่ดี คริสตชนมองว่าสิ่งที่เป็นความทุกข์คือ สิ่งที่เป็นพระพรที่พระเป็นเจ้าประทานให้กับเรา เป็นสิ่งที่ฝึกฝนทำให้เราเติบโตไปอีกขั้นหนึ่งไม่ใช่ปล่อยชีวิตไปตามน้ำ”
รวิพรรณเป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อแม่ เริ่มสนใจความเชื่อคาทอลิกเมื่อหลายปีที่ผ่านมา กระทั่งเริ่มเรียนคำสอนเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2551 และรับศีลล้างบาปที่อาสนวิหารอัสสัมเมื่อวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ผ่านมา
“แม่บอกหนูว่า หนึ่งในเรื่องที่ทำให้เขาเสียใจมากที่สุดคือ เรื่องที่หนูเปลี่ยนศาสนา คำพูดนั้นทำให้หนูเสียใจมาก หนูว่าเป็นคำพูดที่แรงมาก มีครั้งหนึ่งแม่บอกว่า รอให้เขาตายก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนศาสนา ขนาดนี้เลย หนูเสียใจมาก” รวิพรรณพูดถึงเรื่องราวครั้งนั้นแล้วน้ำตาไหลออกมาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ เธอต้องหยุดพูดเป็นพักๆ พยายามฝืนความรู้สึก และพูดออกมาอีกครั้งหนึ่ง
เธอบอกว่า “พระให้เราเจอความลำบากเยอะๆ แต่หนูดีใจนะ เพราะทำให้ความเชื่อของเราแข็งแกร่งมากขึ้น”
หนึ่งปีก่อนที่รวิพรรณจะเข้าเรียนคำสอน เธอมีปัญหากับแม่ค่อนข้างมากในประเด็นของการเปลี่ยนศาสนา “ช่วงแรกๆ หนูบอกแม่ แต่แม่รับไม่ได้ เราก็ค่อยๆ เงียบไป ไม่อยากให้มีปัญหา แม่ถามเหตุผลเหมือนกัน หนูก็บอกว่าเป็นความศรัทธาของเรา เรารู้สึกว่าทุกศาสนาเป็นศาสนาที่ดี ก็เหมือนเสื้อแต่ละตัว มันไม่เหมาะกับทุกคนที่จะสวมใส่ เราอาจจะเหมาะสมกับศาสนาคริสต์มากกว่า เราใส่เสื้อตัวไหนแล้วสวย เหมาะสมกับเรามากกว่า”
เธอกล่าวถึงความหลังครั้งนั้นแล้วน้ำตาไหลออกมา “ตอนแรกๆ ต้องแอบทุกอย่าง แอบสวด แอบมาวัด อย่างแอบสวด ต้องแอบสวดอยู่ในห้อง ครั้งหนึ่งหนูปิดประตูห้องสวดสายประคำ แม่มาเคาะประตู หนูก็เอาสายประคำให้แม่เห็นเลย คือไม่ได้ประชดอะไร แต่อยากให้แม่รู้ว่าเราศรัทธาจริงๆ และเอาไม้กางเขนเข้าบ้านครั้งแรกช่วงพิธีเลือกสรร ก่อนเข้าพิธีรับศีลล้างบาป”
รวิพรรณบอกว่า ช่วงแรกที่ยังไม่รู้ว่าการเข้ามิสซาคืออะไร เธอชอบมาอาสนวิหารอัสสัมชัญในวันธรรมดา “หนูชอบมาเงียบๆ ชอบมานั่งเฝ้าศีล เป็นสิ่งที่ชอบมาก เพราะเงียบสงบ เราได้คุยกับพระ และเราได้รับความรักจากพระในความเงียบนั้น”
“ก่อนที่จะมาเรียนคำสอน หนูศึกษาเองก่อน ไม่มีทางเลือกมากนัก ต้องศึกษาเอง เข้าเว็บไซต์ “[font=Verdana] นิวมานาบ้าง (http:www.newmana.com) [/font] ซื้อหนังสืออ่านเองบ้าง หนังสือนี่ก็ต้องซ่อนหมด เข้าตู้ซ่อนหมดเลย พระคัมภีร์ ประวัตินักบุญ หรือหนังสือศรัทธาอย่างเช่น ขุมทรัพย์ในภาชนะดินเผาซึ่งเป็นหนังสือเล่มแรกที่เพื่อนแนะนำให้อ่าน หรือหนังสือชีวิตจิต บทสวดต่างๆ ก็ซ่อนทั้งหมด เก็บทุกอย่าง เป็นอย่างนี้ยาวนานประมาณหนึ่งปี”
“คนเราพอถึงจุดหนึ่ง ความร้อนรนมันทำให้เราไม่สามารถทนได้ เราคิดว่าสักวันเขาก็ต้องรู้ความจริง เราไม่สามารถปิดบังในชีวิตได้ตลอดเวลา หนูไม่สามารถปิดบังได้ว่า ในใจเรามีพระ แต่เราต้องปิดบังในความเชื่อของเรา หนูไม่สามารถทำได้ มันฝืนเกินไปสำหรับหนู หนูเลยไม่ทนดีกว่า ก็เลยทะเลาะกัน”
รวิพรรณบอกว่า “ช่วงนั้นเครียดมาก คือเราบอกแม่ แต่แม่รับไม่ได้ เราก็กลัวว่าคนอื่นจะรับไม่ได้ไปด้วย ก็เป็นเวลานานมากกว่าจะกล้าบอกพ่อ พอบอกพ่อ พ่อโอเครับได้ หนูน้ำตาร่วงใส่จานข้าวเลย และเรากล้าบอกญาติคนอื่น ซึ่งตอนแรกหนูลังเล และกลัวไม่กล้าบอกใคร”
“หนูบอกว่าแม่ไม่ยอมรับในสิ่งที่หนูเป็น หนูอยากให้ใครสักคนรักเราในสิ่งที่เราเป็น ไม่ใช่รักเราเพราะว่าเขาอยากให้เราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ อยู่ๆ แม่ก็มาบอกว่า จริงๆ เขารับได้ตั้งนานแล้ว”
รวิพรรณกล่าวถึงเส้นทางกว่าจะมาเป็นคาทอลิกด้วยน้ำตา แม้เหตุการณ์ครั้งนั้นจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ความรู้สึกในขณะนั้นคงสร้างความเสียใจ และอึดอัดใจให้กับเธออยู่ไม่น้อย
ความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวของรวิพรรณดีขึ้นเรื่อยๆ ตามวันเวลา และขณะนี้ครอบครัวของเธอยอมรับในสิ่งที่เธอยึดมั่น และตั้งใจ “ตอนนี้แม่ไม่มีปัญหาแล้ว ทำได้ทุกอย่าง ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเราดีเหมือนเดิม ดีมากเป็นการเปิดกว้างจริงๆ ไม่มีอคติอะไร” รวิพรรณยิ้มทั้งน้ำตาที่กำลังเอ่อคลอออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
มองเห็นรอยยิ้ม และหยาดน้ำตาของรวิพรรณแล้ว ได้แต่บอกกับตัวเองว่า เส้นทางคาทอลิกใหม่ไม่ได้เรียบง่าย และราบรื่น ขณะที่คริสตังนอนอย่างผมมีแต่ความเรียบง่าย และสะดวกสบาย ไม่ต้องแอบอ่านพระคัมภีร์ ไม่ต้องแอบสวดภาวนา ไม่ต้องขัดแย้งกับใครเรื่องการนับถือศาสนา แต่น้อยครั้งนักที่เราจะทำสิ่งเหล่านี้ด้วยความร้อนรน และศรัทธาอย่างแท้จริง
[font=Verdana]วชิรวไล [/font] หรือพี่โอ๋ อายุ 42 ปี อาชีพสถาปนิก ล้างบาปเมื่อปี พ.ศ. 2549 บอกเล่าเรื่องราวก่อนที่จะมาสนใจความเชื่อคาทอลิกไว้อย่างน่าสนใจว่า “มีอยู่ช่วงหนึ่ง เราเจอปัญหาชีวิตทางด้านธุรกิจกับเพื่อน และโดนเพื่อนโกง เงินมันก็เยอะ เพราะลงทุนคนละสามแสน เราก็โกรธที่ว่าทำไมเพื่อนถึงทำเราได้ คือเรามีความรู้สึกเสียใจ และโกรธจากข้างใน จิตใจไม่สงบ พอดีมีเพื่อนคนหนึ่งเขาเป็นคาทอลิก เขาก็บอกว่าทิ้งกรุงเทพฯ ไปเลย ไปอยู่บ้านเขา เราก็ไป ทีนี้ครอบครัวนี้เป็นคาทอลิก ตื่นมาเขาก็สวดสายประคำร่วมกันทุกวัน เรารู้สึกว่าดีมาก เราเห็นทุกวัน”
“คุณแม่เขาอายุมากแล้ว ประมาณ 70 กว่า ตอนช่วงบ่ายเขาจะนั่งอ่านพระคัมภีร์ นั่งอ่านไป แกก็น้ำตาไหล เราก็เข้าใจว่าแกอายุมากแล้ว อ่านหนังสือแล้วน้ำตาไหล พอเห็นอย่างนั้น เราก็บอกว่าเดี๋ยวเราอ่านพระคัมภีร์ให้ฟัง พอเราอ่านพระคัมภีร์ปั๊บ อ่านไปประโยคหนึ่ง ใจเราสงบ ก็เลยอ่านไปเรื่อยๆ อ่านไปได้ประมาณสี่ห้าประโยค แม่เขาก็บอกว่าให้หยุด เดี๋ยวแม่รำพึงตรงนี้คือเอาถ้อยคำตรงนั้นมาคิด และไตร่ตรองไม่ใช่แค่อ่านไปเรื่อยๆ เราก็ว่าดีๆ เราก็อยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเรา ก็อ่านให้ฟังทุกวัน”
เธอบอกว่าตอนนั้นอ่านพระคัมภีร์อยู่ประมาณสองอาทิตย์ “ เท่าที่จำได้น่าจะเป็นพระคัมภีร์ นักบุญยอห์น ที่บอกว่าพระองค์จะอยู่กับเราตราบจนสิ้นพิภพ เรามีความรู้สึกว่าทำไมพูดตรงนี้แล้ว เรารู้สึกสงบเหลือเกิน เรารู้สึกดีเหลือเกิน อ่านพระคัมภีร์อยู่ประมาณสองอาทิตย์ สงบทุกครั้งที่ได้อ่าน เราก็รู้สึกว่านี่เป็นจุดๆ หนึ่งที่ทำให้เราศรัทธา หลังจากนั้น ก็ไปปรึกษาพี่สาวของเพื่อนที่เขาเป็นครูคำสอน เขาก็บอกว่าหนังสือในบ้านอยากอ่านเล่นไหนก็อ่าน เราก็อ่าน ยิ่งอ่านก็ยิ่งสงบ ยิ่งอ่านยิ่งอยากรู้มากขึ้นเรื่อยๆ และมีความรู้สึกมีกำลังใจที่จะกลับมาสู้มาแก้ไขปัญหาของตัวเอง ก็ถามพี่สาวที่เป็นครูคำสอนคนนั้นว่าอยากศึกษาเพิ่มเติมมากกว่านี้ได้ที่ไหน เขาก็บอกว่า ต้องมาที่อัสสัมฯ นะ มาเรียนคำสอนกับคุณพ่อวีระ (พระคุณเจ้าวีระ อาภรณ์รัตน์ ในปัจจุบัน) ตอนนั้นประมาณปี พ.ศ.2547 สองปีก่อนล้างบาป”
การที่จะบอกตนเองจะเปลี่ยนศาสนาไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะประเด็นศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งเธอต้องเผชิญกับถาม และการไม่ยอมรับจากพี่สาวของตนเอง
“ตอนจะเปลี่ยนศาสนาเป็นคาทอลิก ค่อยๆ บอกครอบครัวมาตั้งแต่แรก แต่พี่สาวเขารับไม่ได้ แต่เราก็เสี่ยงไปเรื่อยๆ เขาพูดแรงมาก หลังจากบาปมาแล้ว ประมาณปีที่แล้ว พี่สาวคนนี้เขาเพิ่งรู้ พี่สาวคนอื่นเขาก็รู้กันหมดแล้ว ทุกคนก็โอเคถ้าน้องมีความสุขก็ไม่ได้ว่าอะไร แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่พี่สาวคนนี้เขารับไม่ได้ เขาไม่ยอม เขาพูดแรงมาก เขาบอกว่า “ไอ้ลัทธิที่กินเลือดกินเนื้อใช่ไหม” วันนั้นเป็นวันเกิดน้อง เราก็สงสัยว่าทำไมไม่ถามสักนิดว่าเราคิดอย่างไร เพราะที่บ้าน คุณพ่อจะบอกเสมอว่า ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงศาสนา ลูกต้องเลือกเองในการนับถือศาสนา แต่มีข้อแม้ว่าถ้าเปลี่ยนศาสนาแล้ว ห้ามกลับมานับถือศาสนาเดิม และห้ามทำศาสนาของเขาเสื่อม อันนี้ห้ามเด็ดขาด”
“วันนั้นเถียงกันกับพี่สาวตั้งแต่เช้ายันเย็น เขาก็ว่ามาตลอด แต่เราโกรธ และเสียใจที่เขาไม่ฟังเราเลย ทำไมไม่ถามเราบ้าง เพราะกว่าที่เราจะมานับถือศาสนาคาทอลิก เราศึกษามาก่อน สองเกือบสามปี และคุณพ่อเสียชีวิตก่อนที่จะล้างบาป แต่คุณพ่อก็ทำใจส่วนหนึ่งแล้ว เพราะไปเรียนเมืองนอกประมาณ 13 ปี เขาก็เลยคิดว่าไปอยู่ทางนู้นก็อาจจะเปลี่ยนศาสนาเป็นคาทอลิกตลอดเวลาที่อยู่ที่นู่น แต่ก็ไม่ได้ศึกษา เพิ่งมาศึกษาจริงจังที่เมืองไทย”
“พี่สาวเขาถือว่าพ่อแม่เรานับถือศาสนาหนึ่ง แต่เราทำไมต้องเปลี่ยนศาสนาด้วย เราก็สวดขอให้เขาเข้าใจเรา และให้เขาเห็นว่าเรามีความสุขกับเส้นทางที่เราเลือก ในทิศทางที่เราเดิน เราสวดขอพระทุกวันเลย สวดสายประคำ ก็สวดขอตรงนี้ด้วยพี่เขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ความสัมพันธ์กับพี่สาวคนนี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ความสัมพันธ์กับพี่สาวคนนี้ก็ดีขึ้น เปิดใจรับได้บ้าง เราก็สวดขอพระตลอดเวลา อย่างเมื่อก่อนโทรศัพท์ไป ก่อนวางหูเราจะบอกว่าขอพระอวยพรนะ เขาจะวางหูใส่เลย แต่ตอนนี้พอเราบอกว่าขอพระอวยพรนะ เขาก็ตอบรับว่าค่ะ” พี่โอ๋พูดพร้อมรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสบายใจ
บ้านของพี่โอ๋เป็นเหมือนบ้านของการเสวนาทางศาสนา เพราะมีความเชื่อหลายศาสนารวมอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน
“พี่สาวคนที่สอง ตอนนี้หันมาศรัทธาในความเชื่อมุสลิม เพราะมีความเชื่อ เชื่อเอง ที่บ้านมีครบทั้งพุทธ คริสต์ มุสลิม แต่ก็คุยกันได้ แต่สำหรับพี่สาวคนที่ไม่ค่อยชอบ ก็ยังไม่ได้คุยเรื่องศาสนามาก เพราะเขายังรับไม่ค่อยได้ พี่สาวคนที่สามกับพี่สาวที่นับถือมุสลิม เขาไม่คุยกันเลย เขาตัดเลย แต่กับเรายังคุยบ้าง ”
หากมีใครสนใจไต่ถามถึงเรื่องความเชื่อคาทอลิก พี่โอ๋จะไม่บิดบัง และพร้อมเสมอที่จะประกาศความเชื่อแก่บุคคลอื่น “เพื่อนๆ หลายคนอยากรู้ อยากมาฟังบ้าง หลายคนถามว่า ถ้ายังไม่ได้ล้างบาป เขาสามารถสวดสายประคำได้ไหม เราก็สอนเขาสวดสายประคำ เขาก็สวดทุกวัน เราก็บอกว่าดีเหมือนกัน เขาบอกว่าเวลาเขาไม่สบายใจ เขาก็มาสวดสายประคำเขาก็บอกว่าดี รู้สึกสบายใจขึ้น แต่เขาก็ยังไม่ได้มาศึกษามากกว่านั้น”
“หลายครั้งที่นั่งแท็กซี่มาที่อาสนวิหารอัสสัมชัญคนขับแท็กซี่ถามเราว่าเป็นคริสต์เหรอ เราก็บอกว่าใช่ เขาถามว่าอย่างเขาสามารถเข้ามาบ้างได้ไหม เราก็บอกว่าได้ ก็ชวนเขามานั่งในวัด และบอกเขาในเรื่องต่างๆ ”
พี่โอ๋บอกว่า “ การเป็นคาทอลิกมีอุปสรรค เหมือนพระลองใจ แต่อุปสรรคต่างๆ ยิ่งทำให้เรามีความเชื่อที่มั่นคงมากขึ้น”
ขณะที่คุยกับพี่โอ๋อยู่นั้น ผมถามตัวเองว่า... แล้วคริสตชนคนอื่นๆ รวมทั้งตัวผมเอง ถ้าพระลองใจให้เผชิญกับความยากลำบาก และพบเจออุปสรรคต่างๆ ในชีวิต เราแต่ละคนจะมีความเชื่อที่มั่นคงได้เท่าเธอหรือไม่?
[font=Verdana]ลลิตา[/font] หรือเล็ก อายุ 23 ปี ลูกจ้างชั่วคราวของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย หรือ สกว.ล้างบาปปี 2552 เธอบอกเล่าถึงความสนใจในความเชื่อคาทอลิกในระยะเริ่มแรกว่า “เริ่มจากอยากหาบางอย่างให้กับตัวเอง จากเมื่อก่อน อยากทำก็ทำ ไม่อยากทำก็ไม่อยากทำ รู้สึกว่ามันไม่มีอะไรเป็นสิ่งที่เราต้องทำสำหรับตัวเอง ก็เริ่มอยากจะเรียนรู้ เริ่มเข้ามาเรียนคำสอน รู้สึกว่าเราได้อะไรเยอะมาก เราได้ในสิ่งที่ควรจะทำ เรามีพระเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ไม่ว่าเราจะทำอะไร เราจะคิดถึงพระองค์ก่อนเสมอ”
“ที่บ้านหนูมีทั้ง พระไทย พระจีน เจ้าแม่กวนอิม พระศิวะ ค่อนข้างเปิดกว้าง แต่ไม่ค่อยที่จะยอมรับศาสนาคริสต์”
จนกระทั่งวันหนึ่ง ลลิตามีความรู้สึกอยากเห็นโบสถ์คริสต์สักครั้งหนึ่ง “อยากรู้ว่าเป็นอย่างไร ไม่เคยเข้า ไม่เคยเห็น ก็เลยไปเสิร์ชในอินเตอร์เน็ต ก็เจอเว็บไซด์ [font=Verdana]“นิวมานา”[/font] นั่งอ่านอยู่นานเป็นวันๆ เลย เป็นครั้งแรกที่อ่านทั้งวันเลย จนกระทั่งไปเจอชื่อของน้องคนหนึ่ง เขาเขียนไว้ว่า ถ้าสนใจอยากจะมาเรียนคำสอน สามารถมาเรียนได้ที่อาสนวิหารอัสสัมชัญในวันอาทิตย์ ตอนนั้นอยากรู้มาก่อนว่าเป็นยังไง เพราะตอนนั้นยังไม่รู้เลยว่าคำสอนคืออะไร ก็ลองติดต่อมา และยังไม่ได้บอกที่บ้าน”
“หลังจากนั้น น้องคนนี้ก็พามาเข้ามิสซาเลย ยังไม่รู้เลยว่าทำอย่างไร แต่น้องเขาก็แนะนำว่าทำอย่างไร มาวันแรกก็เข้าห้องเรียนคำสอนกับคุณพ่อวีระเลย เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2551 ถือว่าเป็นระยะเวลาในการเรียนที่สั้นมาก จนกระทั่งวันที่ล้างบาป ก็ยังถามตัวเองว่า นี่เราจะล้างบาปแล้วเหรอ เพราะรู้สึกว่าเราเพิ่งจะเรียนคำสอนเมื่อเดือนสิงหาคมนี่เอง ประมาณเดือนมกราคม พ.ศ.2552 ก็เริ่มมีการต้อนรับคริสตชนใหม่ ตอนแรกยังไม่ได้คิดว่าจะได้ล้างบาปปีนี้ ช่วงนั้นก็มีเครียดๆ กับที่บ้านนิดหน่อย”
ลลิตามีพี่ชายหนึ่งคน พ่อแม่เป็นคนจีน และแม่ค่อนข้างเคร่งนิดหน่อย “ตอนแรกบอกกับพ่อคนเดียวว่าจะเปลี่ยนศาสนา เพราะสนิทกับพ่อมากว่า เพราะถ้าบอกกับแม่ เดี๋ยวมีเรื่อง ซึ่งปกติหนูจะออกจากบ้านทุกวันอยู่แล้ว เสาร์อาทิตย์ก็จะไปนู่นไปนี่ตามปกติ ก็บอกกับพ่อว่าจะไปลองเรียนคำสอนดูนะ เขาก็ถามว่าจะเรียนทำไม ก็บอกว่าอยากศึกษา เราก็ไปวัดทุกอาทิตย์ มาเรียนคำสอนทุกอาทิตย์”
“กระทั่งประมาณเดือนพฤศจิกายน หรือธันวาคมปีที่แล้ว ก็เริ่มบอกพ่อว่าจะล้างบาป พ่อก็สะดุด แต่ยังไม่ได้บอกแม่ พ่อก็ถามว่าจะเป็นคริสต์เหรอ เราก็เลี่ยง ไม่อยากปะทะ จนกระทั่งวันล้างบาป วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ เดือนเมษายนที่ผ่านมาล้างบาปเรียบร้อยแล้วซึ่งวันนั้นพ่อเป็นคนมารับ เพราะพิธีเลิกดึก พอขึ้นรถหนูเอาใบที่รับศีลล้างบาป ใบประกาศให้พ่อดู เขาถามว่าอะไร หนูบอกว่าล้างบาปเป็นคริสต์แล้วนะ เขาก็ตกใจนิดหน่อย บอก เอ้า! เป็นคริสต์แล้วเหรอ แต่ที่บ้านดีอย่างหนึ่งคือค่อนข้างให้อิสระ โตแล้วให้คิดเอง”
พอลลิตากลับไปถึงบ้าน โดยที่เธอถือทั้งเทียน และใบประกาศ เทียนปัสกา น้ำเสก เธอก็บอกแม่ว่า.... เป็นคริสต์แล้วนะ “ก่อนหน้านั้น แม่รู้ว่ามาวัด รู้ว่าเรียนคำสอน แต่ไม่รู้ว่าล้างบาป และไม่คิดว่าจะมาเปลี่ยนเป็นคาทอลิก ก็รู้กันวันนั้นเลย แม่ก็บ่นๆ ว่า อย่างนี้แล้วจะไปไหว้เจ้ายังไง กินเจได้หรือเปล่า เราก็อธิบายว่าอะไรทำได้ หรือไม่ได้ เขาก็ถามทุกอย่าง”
เธอบอกว่า “อุปสรรคที่ผ่านมา เหมือนเป็นการทดสอบจิตใจของเรา ซึ่งความเชื่อของเราจะทำให้เราผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ไปได้ด้วยดี”
ลลิตาพูดพร้อมรอยยิ้มที่สดใสในวันนี้ ซึ่งก่อนที่จะมาถึงวันนี้ วันที่เธอได้เป็นคาทอลิกเต็มตัว เธอได้ผ่านเส้นทางแห่งการทดลองใจจากพระเป็นเจ้า และชีวิตของเธอได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความเชื่อคาทอลิกที่มั่นคง และหยั่งรากลึกอย่างแท้จริง
ขอบคุณพี่โอ๋ เท็น และเล็ก ที่แบ่งปันเรื่องราว และอุปสรรคในชีวิตไว้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจ ทุกคนพร้อมเสมอที่จะเปิดเผยชื่อ นามสกุล และเปิดเผยใบหน้าด้วยความยินดี ไม่มีปิดบังใดๆ ทั้งสิ้น แต่ผู้เขียนขอไม่ลงนามสกุล เพียงแค่ใบหน้าก็เพียงพอแล้วสำหรับการเปิดเผยความรู้สึกลึกๆ ในครั้งนี้
ชีวิตของคริสตังใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งไม่ได้รับการยอมรับ ต้องพบเจออุปสรรคมากมาย ขณะที่เราคริสตังนอนสามารถไปวัดได้ อ่านพระคัมภีร์ได้โดยไม่ต้องหลบซ่อน ผมถามตัวเองว่าที่ผ่านมา เราได้อ่านพระคัมภีร์มากน้อยเพียงใด หรืออ่านหนังสือศรัทธา และประวัตินักบุญบ้างหรือไม่
หากการพูดคุยกันครั้งนี้มีประโยชน์อยู่บ้าง คงสามารถทำให้เราแต่ละคนได้กลับมาทบทวนความศรัทธา และความเป็นคริสตชนของเราได้ไม่มากก็น้อย ซึ่งเราแต่ละคนอาจจะได้รู้ว่า ความเป็นคริสตชนของเรานั้น ยังคงหลงเหลืออยู่ในชีวิต และจิตใจของเรามากน้อยเพียงใด.....
เฮือก.... พิมพ์เสร็จแล้วปอปอจัดการใส่รูปให้หน่อยนะคะ จริงๆ ไม่ได้ขยันนะเนี่ย แต่รับปากบัดดี้ไว้ต้องทำตามที่บอกอ่ะ
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
sinner เขียน:สงสัยพี่เราเล่นของแน่ๆ...โอมต้นฉบับ..จงหายไป:+: seraphim :+: เขียน: สงสัยต้องพิมพ์เองอ่ะ แอดมินบอกว่า ต้นฉบับอยู่กับพี่อีกคน
แหมๆๆๆๆ น่ารักจัง กำลังใจดีเยี่ยม
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
sinner เขียน: เหอ เหอ แกล้งแซวหน่อยเดียวอ่ะค่ะ
อิอิ....ไปสวดใช้โทษบาปให้พี่ซะดีดี อย่ารีรอ
มารายงานตัวแล้วจ้า น้องหญิงฟิม..แหม คณะรักสมุทรไพศาลจะดังก็คราวนี้แหละ..อิอิ:+: seraphim :+: เขียน:Holy เขียน: ว่าจะให้คนพิมพ์แล้วแสกนรูปลงด้วย
ไม่ต้องพิมพ์จ้า... พี่ขอให้แอดมินอิสระส่งต้นฉบับมาให้แล้ว เห็นว่า จะส่งวันนี้ เพราะพ่อที่เมกาขอไปเป็นบทเทศน์ 3 สาวจะโกอินเตอร์ในบทเทศน์ขอพ่อว่าแต่ว่า ทำไมเงียบจัง ไม่มาแสดงตัวกันหน่อยเหรอตะเอง
มาช้าดีกว่าไม่มานะคะ น้องจัดการพิมพ์ให้เสร็จเรียบร้อยโรงเรียน ไทย จีน คริสต์ อิสลาม ไปหมดแล้ว..
พี่ก็คงได้แต่บอกว่า "สำเนาถูกต้อง" แหละคะ
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
ไม่ได้เจ้าคะ ดาราสาวทั้งสามต้องมาใช้โทษบาปโดยการสวดให้ข้าพจ้อยบัดเดี๋ยวนี้
ปล.ใครที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิกอิสระ ก็เป็นซะนะเคอะ มีอะไรดีดีในนั้นเยอะแยะมากมาย ดีกว่าไปอ่านการ์ตูนด้วย ปักษ์ต่อไป แว่วเสียงซึงมาว่า จะมาสัมภาษณ์เกี่ยวกะเว็บนิวมานาของหมู่เฮาเจ้าคะ
ปล.ใครที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิกอิสระ ก็เป็นซะนะเคอะ มีอะไรดีดีในนั้นเยอะแยะมากมาย ดีกว่าไปอ่านการ์ตูนด้วย ปักษ์ต่อไป แว่วเสียงซึงมาว่า จะมาสัมภาษณ์เกี่ยวกะเว็บนิวมานาของหมู่เฮาเจ้าคะ
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
มันจะนอกสัมภาษณ์ไปมะ ถ้าอยากบอกว่า อยากฟังของน้องเจนอ่ะ หรือพี่น้องคนอื่นๆ ด้วยก็ได้
- Ecclēsia
- โพสต์: 976
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ พ.ค. 27, 2009 9:25 pm
- ที่อยู่: อาสนวิหารอัสสัมชัญ เขต1 อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ
- ติดต่อ:
คริคริคริ...ม่ายบอก:+: seraphim :+: เขียน: มันจะนอกสัมภาษณ์ไปมะ ถ้าอยากบอกว่า อยากฟังของน้องเจนอ่ะ หรือพี่น้องคนอื่นๆ ด้วยก็ได้
ปล. อ่านเเล้วประทับใจจังค่ะ : xemo026 : : emo038 : : emo010 : (โดยเฉพาะคุณลลิตา วันอาทิตย์นี้เลี้ยงไอติม 555 )
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ ศุกร์ ก.ย. 11, 2009 11:51 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- ~@
- โพสต์: 7624
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
- ที่อยู่: Pattaya Chonburi
†Ecclēsia เขียน:คริคริคริ...ม่ายบอก:+: seraphim :+: เขียน: มันจะนอกสัมภาษณ์ไปมะ ถ้าอยากบอกว่า อยากฟังของน้องเจนอ่ะ หรือพี่น้องคนอื่นๆ ด้วยก็ได้
ปล. อ่านเเล้วประทับใจจังอ่ะ (โดยเฉพาะคุณลลิตา วันอาทิตย์นี้เลี้ยงไอติม 555 )
ใจร้ายอ่ะ
เหอ เหอ ถูกต้องแล้วคร๊าบignatius เขียน:sinner เขียน:สงสัยพี่เราเล่นของแน่ๆ...โอมต้นฉบับ..จงหายไป:+: seraphim :+: เขียน: สงสัยต้องพิมพ์เองอ่ะ แอดมินบอกว่า ต้นฉบับอยู่กับพี่อีกคน
อิอิ ถ้าพี่ของท่าน เป็น "เรา" ...... พี่ป่าวนา...