ด้วยความเชื่อและวางใจในพระวาจา...หายจากมะเร็ง

แบ่งปัน คำพยาน ประสบการณ์ชีวิตกับพระเจ้า และการอัศจรรย์ ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำต่อชีวิตของเราแต่ละคน
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nicolas.Not
โพสต์: 306
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ย. 30, 2007 1:47 pm
ติดต่อ:

จันทร์ พ.ค. 10, 2010 1:26 pm

Dr. Tom Wu แพทย์ชาวไต้หวัน ชวนคนไทยดูแลสุขภาพด้วยวิธีธรรมชาติ

มะเร็ง ความดันโลหิต คอเลสเตอรอล อ้วน เบาหวาน หลอดเลือดหัวใจและสมอง ทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นโรคร้ายที่กำลังคุกคามคนเมืองอันเนื่องมาจาก วิถีการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป อีกทั้งยังละเลยการดูแลสุขภาพของตนเอง โดยเฉพาะในเรื่องของการเลือกรับประทานอาหาร และการออกกำลังกาย
เมื่อไม่นานมานี้ DNA มีโอกาสได้พูดคุยกับ ดร.ทอม อู๋ (Dr. Tom Wu) ดอกเตอร์ด้านโภชนาการและการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติบำบัด และการรักษาด้วยธรรมชาติจากสหรัฐอเมริกา และเจ้าของผลงานการเขียนเรื่อง ‘ธรรมชาติช่วยชีวิต’ ของสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คพับลิเคชั่นส์ ที่ได้เดินทางมาร่วมแบ่งปันประสบการณ์จริงในการดูแลสุขภาพของตนเองเป็นอย่าง ดีมาเป็นเวลาหลายปี โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนความเคยชินด้านอาหารการกินและการใช้ชีวิต หลังจากที่ทราบว่าตนเองป่วยด้วยโรคมะเร็งปอดระยะที่สาม
ดร.ทอม อู๋ เล่าว่า "เมื่อตอนอายุ 30 ปี ป่วยเป็นโรคมะเร็งปอดระยะที่สาม หลายคนอาจจะคิดว่าเกิดจากการสูบบุหรี่ แต่ผมไม่สูบบุหรี่ เมื่อพิจารณาถึงสาเหตุก็เลยคิดว่าน่าจะมาจากการทำงาน ซึ่งขณะที่เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทรวงอก (ปอด) อยู่ในขณะนั้นได้ทำการรักษาและคลุกคลีกับคนไข้ที่เป็นโรคมะเร็งปอดเสียเป็น ส่วนใหญ่ จึงทำให้เกิดอาการป่วยขึ้นมา ซึ่งน่าจะมีความคล้ายคลึงกับจิตแพทย์ที่รักษาผู้ป่วยทางจิตเวช เมื่อได้รับฟังปัญหาจากคนไข้ในหลายเคสการรักษา ก็อาจทำให้มีโอกาสป่วยทางจิตเวชได้เช่นเดียวกัน ซึ่งอันนี้เป็นความเข้าใจของผม"
อาการของโรค มะเร็งปอดนั้นจะมีอาการเหมือนกับผู้ป่วยมะเร็งชนิดอื่น ๆ ทั่วไป ที่ตอนแรกจะไม่รู้ตัวว่าเป็น มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มีอาการไอและมีเสมหะเป็นเลือด จึงไปตรวจซึ่งก็พบว่าเป็นถึงระยะที่สามแล้ว โดยอาการร่วมกันของโรคมะเร็ง อย่างมะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ จะคล้ายคลึงกันคือ มีอาการอ่อนล้า อ่อนเพลีย อยากนอนแต่กลับนอนไม่หลับ ต่างจากคนปรกติทั่วไปที่เวลาทำงานมาเหนื่อย รู้สึกอ่อนเพลีย อยากนอนก็จะหลับไปเลย เป็นต้น
หลังจากรักษา ด้วยวิธีของแพทย์แผนปัจจุบัน ทั้งใช้ยาใหม่ที่สุดและมีฤทธิ์แรงที่สุดหลายขนานแล้วก็ไม่หาย หมอจึงแนะนำให้เข้ารับการผ่าตัดเพื่อตัดปอดข้างขวาสองกลีบบนทิ้งไป แต่เมื่ออยู่บนเตียงผ่าตัดพบว่ามะเร็งลุกลามไปยังอวัยวะอื่นแล้ว จึงจำเป็นต้องเย็บปิดแผล จากนั้นก็ได้รับแจ้งว่าจะมีชีวิตอยู่อีกเพียงไม่กี่เดือน วิธีเดียวที่เหลืออยู่คือ การทำเคมีบำบัด แต่ก็เป็นแค่การยืดชีวิตเท่านั้น
"ตอนนั้นกังวลใจ มาก เพราะไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหน เพราะมะเร็งลุกลามไปเรื่อย ๆ และในความรู้สึกของผม ผมคิดว่าการที่คนเราป่วยเป็นมะเร็งเพราะในร่างกายมีสารพิษมากเกินไป ดังนั้น การทำเคมีบำบัดจึงเท่ากับส่งพิษเข้าไปในร่างกายมากยิ่งขึ้น เพื่อใช้พิษฆ่าเซลล์มะเร็งให้ตาย แต่ก็เท่ากับว่าได้ฆ่าเซลล์ปรกติด้วย และแน่นอนว่าต้องทุกข์ทรมานมาก สู้ปล่อยให้ตัวเองตายไปตามธรรมชาติคงจะดีกว่า ซึ่งมันเป็นความคิดจากการพิจารณาสภาพร่างกายและจิตใจของตัวเองในขณะนั้น ต่างจากปัจจุบันที่การแพทย์ก้าวหน้าไปมาก เคมีบำบัดสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยมะเร็งขั้นรุนแรงได้ไม่น้อย"
เมื่อการรักษาด้วยการแพทย์ แผนปัจจุบันไม่เป็นผล จึงหันมาทดลองใช้วิธีการรักษาแบบธรรมชาติ โดยเน้นเรื่องอาหารธรรมชาติเป็นหลัก หลังจากผ่านไป 9 เดือน ผลการตรวจร่างกายเป็นปรกติทุกรายการ คือไม่มีเซลล์มะเร็งหลงเหลืออยู่เลย
สำหรับจุดหักเห ที่ทำให้หันมาสนใจการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติบำบัดทั้งที่เป็นแพทย์แผน ปัจจุบัน ดร.ทอม อู๋ กล่าวว่า "เป็นเพราะตอนที่รู้สึกสิ้นหวังและสับสนกับชีวิตจึงได้มองหาที่พึ่งทางใจ และเนื่องจากตนเองนั้นนับถือศาสนาคริสต์ ประกอบกับมีความศรัทธาในพระเจ้ามาก จึงได้นำคัมภีร์ไบเบิลมาอ่าน จู่ ๆ คัมภีร์ไบเบิลที่ถืออยู่ในมือก็ร่วงลงที่พื้น เปิดให้เห็นบทหนึ่งของตอนที่ว่าด้วยการสร้างโลก ก็เลยคิดว่าอาจจะเป็นการชี้นำของพระเจ้าจึงได้อ่านอย่างตั้งใจ ซึ่งใจความคือ พระเจ้าทรงสร้างโลกที่สวยสดงดงาม และสร้างทุกอย่างที่มนุษย์ต้องการ หลังจากนั้นทรงสร้างอาดัมกับอีฟ และตรัสกับคนทั้งสองว่า "ดูสิ! ดอกไม้ หญ้า และผักที่มีเมล็ดบนพื้นกับผลไม้ที่มีเมล็ดบนต้นไม้ ทั้งหมดนี้คืออาหารของพวกเจ้า"
หลังจากได้อ่าน จึงได้นึกทบทวนตามว่าเคยกินแต่เนื้อสัตว์ เนื้อปลา และอาหารทอด ผัด ย่าง แต่พระเจ้าต้องการให้กินแต่ผักผลไม้ จึงเกิดความแคลงใจว่าจะทำให้ขาดสารมากขึ้นหรือไม่ และจะทำให้ตายเร็วขึ้นหรือไม่ เพราะในสภาพร่างกายที่เจ็บป่วยเช่นนี้น่าจะต้องได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน และยิ่งต้องกินเนื้อสัตว์ให้มาก ๆ เพื่อจะได้มีกำลังวังชา แต่ในที่สุดแล้วก็ตัดสินใจกินอาหารตามที่พระเจ้าทรงชี้นำ โดยทุกวันจะกินผักผลไม้ ดื่มน้ำสะอาด พักผ่อนให้เพียงพอ สูดอากาศบริสุทธิ์ และออกกำลังกาย
จากที่ปรับ เปลี่ยนความเคยชินในการกินอาหารและการใช้ชีวิตได้ประมาณ 6 เดือน ก็รู้สึกจิตใจเบิกบาน หน้าตาสดใส กำลังวังชาฟื้นฟูเหมือนตอนก่อนป่วย ทำให้มีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าจะกลับมามีสุขภาพดีได้ จึงกินผักเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว โดยเฉพาะขิง กระเพรา ใบสะระแหน่ มะนาว พริกไทยดำ นอกจากนี้ยังกินผลไม้ที่มีเส้นใยอาหารสูงเพื่อให้เกิดการขับถ่ายของเสีย จนผ่านไป 9 เดือนไปตรวจร่างกายก็พบว่ามีอาการดีขึ้นและหายจากโรคดังที่กล่าวมาข้างต้น แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะหายจากโรคแล้ว แต่ก็ยังคงยืนหยัดในการดูแลสุขภาพของตนเองอยู่เช่นเดิม
จากนั้นจึงได้ ศึกษาค้นคว้าการแพทย์แนวธรรมชาติอย่างจริงจังที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งได้ปริญญาดุษฎีบัณฑิตในสาขาการแพทย์แนวธรรมชาติ โภชนาการและเวชศาสตร์ทางเลือก
"ที่ศึกษาเพิ่ม เติมเป็นการศึกษาเพื่อนำไปใช้สำหรับช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ จะได้เป็นการทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมบ้าง เพราะคิดอยู่เสมอว่าปริญญาบัตรเป็นเพียงแค่เศษกระดาษแผ่นหนึ่งเท่านั้น แต่ที่ศึกษาค้นคว้ามาตลอดก็เพราะต้องการรับเอาความรู้และแนวคิดใหม่ ๆ มาเพิ่มเติมให้ตนเอง เนื่องจากความรู้เป็นเหมือนการพายเรือทวนน้ำ หากไม่มุ่งไปข้างหน้าก็จะถอยหลัง ขณะเดียวกันก็อยากพิสูจน์ให้ทุกคนรู้ว่าการเจ็บป่วยและความชราเป็นสิ่งที่ เปลี่ยนแปลงได้ การย้อนอายุไม่ใช่เพียงจินตนาการอีกต่อไป ขอแต่ยอมปรับเปลี่ยนความเคยชินในการกินอาหารและการใช้ชีวิต ก็สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพที่ดำรงอยู่ได้"
ดร.ทอม อู๋ กล่าวอีกว่า "ได้เดินทางร่วมกับ เฝิ้งรุ่นอวี้ ภรรยาซึ่งก็เป็นดอกเตอร์ด้านโภชนาการและจิตวิทยาไปตามรัฐและเมืองต่าง ๆ ในอเมริกา เพื่อแนะนำผู้ป่วย แพทย์ และผู้ที่สนใจดูแลสุขภาพ สอนให้รู้จักใช้ผักผลไม้ที่ธรรมดาที่สุด และวิธีที่ธรรมชาติที่สุด เพื่อเอาชนะโรคภัยไข้เจ็บและการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอย่างยั่งยืน โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้เดินทางไปบรรยายมากว่า 20 ประเทศทั่วโลก โดยได้รับคำเชิญจากบุคคลสำคัญของประเทศต่าง ๆ ให้ช่วยกำหนดเมนูอาหารบำบัดอาการป่วยเรื้อรังเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ลำไส้ คอเลสเตอรอลสูง โรคอ้วน โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคเกาต์ และโรคมะเร็ง ส่งผลให้อาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนกระทั่งได้รับการยอมรับและยกย่องทั้งในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก"
จากการทำ งานอย่างทุ่มเทตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทำให้ได้รับการยอมรับจากองค์กรต่าง ๆ และได้รับรางวัลมากมาย ไม่ว่าจะเป็น รางวัลการดูแลสุขภาพทั้งกายและใจของมูลนิธิสันติภาพโลกของลามะกังเซน โดยการสนับสนุนขององค์การสหประชาชาติ (Lama Gangchen World Peace Foundation in support of the United Nations) รางวัลผู้อุทิศตนเพื่อโรคอัลไซเมอร์จากโรงพยาบาลเมโย สหรัฐอเมริกา รางวัลสาขาการแพทย์จากมูลนิธิอัลเบิร์ต ชไวท์เซอร์ รางวัลผู้อุทิศตนของมหาวิทยาลัยเปิดนานาชาติเพื่อการแพทย์ทางเลือก (The Open International University for Alternative Medicines) ในประเทศอินเดีย รางวัลผู้อุทิศตนเพื่อมวลมนุษย์ของสมาคมการแพทย์ที่รักษาด้วยการฝังเข็มแห่ง ปากีสถาน (Pakistan Association of Medical Acupuncture) และรางวัลผู้อุทิศตนของสมาคมการแพทย์แนวธรรมชาติแห่งอเมริกา (American Naturopathic Medical Association) ซึ่งทุกรางวัลล้วนแต่ภาคภูมิใจทั้งสิ้น และถึงแม้ว่าจะได้รับรางวัลมากมาย แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ยึดถือมาโดยตลอดคือการได้ช่วยเหลือคนอื่นที่เจ็บป่วย ให้รู้จักวิธีการดูแลตนเองอย่างถูกวิธีและกลับมามีสุขภาพดีได้อีกครั้ง
"10 กว่าปีก่อน ผมหันไปเผยแพร่วิธีรักษาแนวธรรมชาติยังต่างประเทศ โดยเผยแพร่แนะนำในประเทศต่าง ๆ ทั้งไต้หวัน ฮ่องกง มาเลเซีย จีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย รวมถึงหลายประเทศในยุโรปและแอฟริกา ปัจจุบันนักโภชนาการ แพทย์ และนักบำบัดที่มีชื่อเสียงทั่วโลกหลายคนเคยเข้าร่วมฟังการบรรยายและรับคำแนะ นำจากผม และในเวลานั้นมีสำนักพิมพ์หลายแห่งขอร้องให้เขียนหนังสือ แต่ตอนนั้นผมรู้สึกว่าประสบการณ์ยังไม่มากพอ จำเป็นต้องมีตัวอย่างผู้ป่วยที่มากขึ้น เพื่อพิสูจน์ความถูกต้องของการดูแลตนเองตามแนวธรรมชาติ"
"ส่วนที่เดินทาง มาประเทศไทยในครั้งนี้ก็เพื่อต้องการเผยแพร่หนังสือเพื่อให้คนไทยมีสุขภาพ ที่ดีขึ้น โดยมุ่งเน้นที่การป้องกันมากกว่าการรักษา ประกอบกับปัจจุบันมีอายุย่าง 70 ปีแล้ว ไม่สามารถเดินทางไปบรรยายได้ตลอดเหมือนแต่ก่อน จึงเกิดแนวความคิดว่าถ้าหากเขียนหนังสือจะทำให้เข้าถึงกลุ่มคนอ่านได้มาก ขึ้น สามารถนำสิ่งที่ได้จากในหนังสือไปลองปฏิบัติตามกัน เพราะหนังสือจะสามารถเผยแพร่ได้ทั่วไปในหลายประเทศ หลายภาษา โดยเชื่อว่าผู้อ่านจะลองนำไปปฏิบัติตามเพื่อเป็นการดูแลสุขภาพของตนเอง ช่วยเหลือตัวเองได้ด้วยหนังสือเล่มนี้"
"ที่จริงสาเหตุ สำคัญที่สุดที่ทำให้ผมตัดสินใจเขียนหนังสือเล่มนี้ก็คือ การมองเห็นว่าปัจจุบันเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกอยู่ในสภาวะย่ำแย่ อัตราการว่างงานสูงขึ้น มีแรงกดดันในชีวิตเพิ่มขึ้น ภาวะจิตใจตึงเครียดมากขึ้น ผู้เจ็บป่วยมีจำนวนเพิ่มขึ้นแต่ขาดเงินรักษา จึงตัดสินใจตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้เพื่อชี้นำให้ทุกคนช่วยเหลือตนเองและผู้ อื่น ทำให้ทุกคนเข้าใจถึงวิธีดูแลสุขภาพของตนเอง เข้าใจการรักษาสุขภาพและป้องกันโรค เมื่อปฏิบัติเช่นนี้จึงจะแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง"
ดร.ทอม อู๋ กล่าวเพิ่มเติมว่า "กว่าจะออกมาเป็นหนังสือ 1 เล่มใช้เวลาถึง 2 ปี เพราะต้องการให้ภาษาที่ออกมาง่ายต่อการเข้าใจ ซึ่งที่ประเทศไต้หวันได้รับกระแสการตอบรับดีมาก และหวังว่าประเทศไทยก็คงได้รับการตอบรับดีเช่นกัน และตอนนี้มีการซื้อลิขสิทธิ์เป็นภาษาญี่ปุ่นและภาษาอังกฤษตามมาในอนาคต และตอนนี้ได้มีการวางแผนการเขียนไว้ในเล่มต่อไปแล้ว เพราะหลายคนอ่านแล้วอาจเกิดคำถามขึ้นมามากมายในใจ จึงได้เขียนอีกหนึ่งเล่มชื่อว่า ‘100 คำถามเกี่ยวกับธรรมชาติบำบัด’ ลงลึกเฉพาะเจาะลงลงไปในแต่ละโรค โดยมีตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจน นอกจากนี้แล้วก็มีแนวอื่นที่สนใจ แต่ยังไม่มีเวลาเพราะต้องเดินทางไปบรรยายในหลายประเทศอย่างต่อเนื่องอยู่ ตลอดเวลา"
อย่างไรก็ ตาม แม้ว่าหนังสือจะได้รับความนิยม แต่สิ่งที่ ดร.ทอม อู๋ ดีใจที่สุดไม่ใช่เรื่องของยอดขายหนังสือ แต่เป็นการได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันมากกว่า ดังนั้น คนที่อ่านแล้วลองปฏิบัติแล้วได้ผลดี อยากให้นำไปให้เพื่อนหรือญาติพี่น้องอ่านและลองทำตาม เพื่อการมีสุขภาพที่ดีต่อไป
นอกจาก นี้เมื่อมีการเผยแพร่หนังสือและความรู้ทางด้านการดูแลสุขภาพตามแนวธรรมขาติ ออกไป ก็มีปฏิกิริยาตอบรับต่าง ๆ มากมาย แต่ยอมรับว่าความก้าวหน้าจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยเสียงวิจารณ์และคัดค้าน วิทยาศาสตร์และการแพทย์ก็เป็นเช่นนั้น จึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่ขาดสาย ดร.ทอม อู๋ จึงยินดีรับฟังคำวิจารณ์และคำแนะนำที่สร้างสรรค์ เพราะความรู้ความสามารถของคนคนเดียวย่อมจำกัดอยู่ทางด้านเดียวเท่านั้น
ดร.ทอม อู๋ ยังฝากไว้ว่า "สำหรับคนไทยอยากให้ลองไปปฏิบัติตามกันดู เพราะเป็นวิธีที่สามารถทำได้ง่าย ๆ อย่างเช่น การดูแลสุขภาพของตนเองโดยใช้น้ำผักผลไม้ที่ธรรมดาที่สุด รักษาความเป็นหนุ่มสาว และมีกำลังวังชาสมบูรณ์ โดยภายในหนังสือจะมีตำรับน้ำผักผลไม้สามารถไปทำกินเองได้ เพื่อบำรุงสุขภาพ เพิ่มกำลังวังชา เสริมสร้างเส้นเอ็นและกระดูก ช่วยย่อยและบำรุงผิวพรรณ ต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่นและเสริมสุขภาพ ช่วยรักษารูปร่างให้เพรียว ป้องกันมะเร็ง บำรุงรังไข่และต่อมลูกหมาก ลดความดันโลหิตสูง รักษาความดันโลหิตต่ำ บำรุงปอด กระเพาะ ตับและลำไส้ เป็นต้น และหวังว่าทุกคนไม่ว่าคนแก่หรือเด็กจะเริ่มต้นกินอาหารเพื่อสุขภาพเพื่อ ป้องกันการเกิดโรคในวันข้างหน้า"
แม้ว่าตอนนี้ ดร.ทอม อู๋ จะรับบทบาททั้งการเป็นแพทย์และนักเขียน โดยในบทบาทของแพทย์นั้นได้เปิดศูนย์การแพทย์ให้การรักษาคนไข้อยู่ที่แคลิ ฟอร์เนีย เพราะถึงอย่างไรก็ตามด้วยความที่เป็นแพทย์ การรักษาก็ยังมีความสำคัญ โดยในสหรัฐอเมริกามีโรคเกี่ยวกับข้อมือที่ต้องทำการผ่าตัดปีละเป็นล้านคน อีกทั้งยังมีคนไข้ที่ ยากจนอยู่จำนวนไม่น้อยที่ต้องการการรักษา แต่ในบทบาทของการเป็นนักเขียนก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพราะในโลกปัจจุบันหนังสือเป็นเครื่องมือสามารถถ่ายทอดความรู้ให้กระจายไป ได้ในวงกว้าง
ดร.ทอม อู๋ กล่าวอีกว่า "แพทย์ที่เข้าร่วมในการบรรยายเกี่ยวกับธรรมชาติบำบัดไม่ได้มีเฉพาะแพทย์ทาง เลือกที่สนใจเท่านั้น แพทย์แผนปัจจุบันจำนวนไม่น้อยประมาณ 1 ใน 5 ต่างก็ให้ความสนใจด้วยเช่นกัน แต่เวลาที่บรรยายจะบอกแพทย์ที่เข้าร่วมเสมอว่าวิธีการรักษาตามแนวธรรมชาติ นี้ไม่ใช่วิธีการรักษาให้หายจากโรค แต่เป็นการแนะนำวิธีที่จะทำให้ผู้ป่วยรักษาตัวเองได้"
สำหรับคน ไข้มะเร็ง ปัจจุบันการแพทย์ก้าวหน้าไปมาก ดังนั้น จึงควรใช้ทั้งสองวิธีเพื่อเสริมกัน คือต้องร่วมมือกับแพทย์ในการรักษาด้วยการฉายรังสี หรือเคมีบำบัด ส่วนอีกด้านหนึ่งคือ ใช้การดูแลสุขภาพตามแนวทางธรรมชาติ เพื่อเสริมสมรรถภาพของระบบภูมิคุ้มกันและระบบรักษาตัวเอง เพราะทั้งหมดถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการดูแลสุขภาพ
ก่อน จบการพูดคุยกันในครั้งนี้ ทาง DNA ถามถึงในอนาคตว่า ดร.ทอม อู๋ จะมีโอกาสมาบรรยายเกี่ยวกับธรรมชาติช่วยชีวิตที่ประเทศไทยให้แพทย์ไทยที่ สนใจบ้างหรือไม่... "แน่นอน" ดร.ทอม อู๋ ตอบชัดเจน แบบนี้ในอนาคตอันใกล้คงมีโอกาสได้เจอคุณหมอท่านนี้กันอีกครั้งอย่างแน่นอน
Holy Bible
โพสต์: 690
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ มี.ค. 09, 2009 12:00 pm

อังคาร พ.ค. 11, 2010 4:58 pm

ขอบคุณครับ
poloplow
โพสต์: 402
ลงทะเบียนเมื่อ: เสาร์ มี.ค. 11, 2006 11:01 pm

เสาร์ พ.ค. 15, 2010 12:42 pm

ประเด็นหนึ่งเป็นเรื่องของการกินที่สำคัญมาก

ผมเป็นคนหนึ่งที่เคยมีปัญหาการขับถ่าย การทานผักผลไม้เยอะ ๆ ช่วยได้จริง ๆ(เว้นแต่ช่วงนี้ไม่ค่อยสะดวกทาน) และยังทำให้ร่างกายแข็งแรง

แต่คนเราสนใจแต่ของอร่อย จนลืมทานอาหารให้ครบทุกหมู่

ปล. การแพทย์ทางเลือกนี้น่าสนใจมาก ขอบพระคุณพระเจ้าครับ
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

อังคาร พ.ค. 25, 2010 2:48 pm

ขอบคุณพระเจ้าครับ
Aeyu
โพสต์: 157
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ พ.ย. 27, 2006 12:26 am

พฤหัสฯ. มิ.ย. 03, 2010 11:31 pm

พี่เราก็เป็นมะเร็งปอด และก็กินแบบชีวจิต หายแล้วล่ะ เพราะเนื้อสัตว์เป็นโปรตีน มะเร็งก็เป็นโปรตีน หากกินเนื้อสัตว์มากๆจะไปเพิ่ง cell มะเร็ง
กรอกสมบูรณ์
โพสต์: 1413
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 02, 2008 11:18 am
ที่อยู่: ต.กรอกสมบูรณ์ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี

พุธ ส.ค. 18, 2010 3:00 pm

ขอบคุณค่ะ

หนังสือ 'ธรรมชาติช่วยชีวิต' ของ ดร.ทอม อู๋ หาซื้อได้ที่ไหนบ้างค่ะ?

หนังสือของ สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คพับลิเคชั่นส์ เค้าวางขายกันที่ไหนบ้างค่ะ?
ตอบกลับโพส