เมื่อวิทยาศาสตร์พิสูจน์ว่าคำภาวนารักษาโรคได้จริง...

แบ่งปัน คำพยาน ประสบการณ์ชีวิตกับพระเจ้า และการอัศจรรย์ ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำต่อชีวิตของเราแต่ละคน
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พฤหัสฯ. ส.ค. 11, 2005 1:20 am

" If Jesus, Muhammad , and Buddha had penicillin , they probably would have used it - along with prayer , " LARRY DOSSEY , M.D.

ถ้า พระเยซู พระมหมัด และพระพุทธเจ้า จะใช้ยาแพนนิสซิลิน พวกท่านคงใช้มันควบคู่กับการสวดภาวนา


ผมได้เขียนถึง " การสวดมนต์ " มาครั้งหนึ่งแล้ว และพอจะอธิบายคร่าว ๆคร่าว ๆได้ว่า คลื่นพลังงานของการสวดมนต์นั้น เป็นคลื่นพลังงานที่มีผลต่อการทำงานระบบต่าง ๆ ในร่างกายมนุษย์ได้โดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับระยะทาง ( NonLocal )

โดยที่ผมได้เขียนถึงงานวิจัยชิ้นสำคัญ คืองานของคุณหมอ Randolf Byrd M.D.ที่สรุปได้ว่าการสวดมนต์สามารถทำให้ผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดที่มีอาการหนักมีภาวะแทรกซ้อนน้อยลงอย่างชัดเจน ถือได้ว่างานวิจัยชิ้นนี้เป็นงานวิจัยที่ประวัติศาสตร์จะต้องจารึกไว้เลยทีเดียว หนังสือเกี่ยวกับสุขภาพแบบใหม่เกือบทุกเล่มอ้างถึงงานวิจัยชิ้นนี้

แม้ว่าจะเป็นที่ฮือฮา และถือว่าเขย่าวงการแพทย์ค่อนข้างมากแค่ไหนก็ตาม งานวิจัยขิ้นนี้ยังเป็นที่กังขาของบรรดาแพทย์จำนวนมากที่ " ไม่เชื่อ " และหลายคนก็พยายามอธิบายว่า อาจจะเป็นผลทางอ้อมในแง่ของจิตวิทยา ของผู้เข้าร่วมการทดลองมากกว่า ที่เกิดอาการ" ใจขึ้น " เมื่อมีผู้มาคอยสวดมนต์ให้ก็เลยทำให้เกิดการรักษาที่ดีกว่าแบบนั้น

คุณหมอ Elisabeth targ M. D.จิตแพทย์ในระบบและเป็นหนึ่งในแพทย์ที่ " ไม่เชื่อ "และ " สงสัย " ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในงานทดลองของคุณหมอ Byrd เธอเติบโตมาในครอบครัวนักวิทยาศาสตร์ที่คุณพ่อเป็นนักออกแบบงานวิจัยที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง เรียนมาในกรอบในระบบของการแพทย์ที่จะเชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นได้ และ " พระเจ้า"ที่ครอบครัวนี้เชื่อว่ามีจริงก็คือ " วิทยาศาสตร์" เท่านั้น แต่ด้วยความ "สงสัย" และมีเหตุการณ์พอเหมาะพอเจาะหลายเรื่องในช่วงนั้น ( 1980 ' s ) ที่ทำให้เธออยากติดตามในประเด็นนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พฤหัสฯ. ส.ค. 11, 2005 1:26 am

หนึ่งคือเพื่อนสนิทของเธอคนหนึ่งเป็นมะเร็งเต้านมได้โทรมาปรึกษาเธอถึงเรื่องทำนองนี้

สองคือประเด็นเรื่องสาขาวิชา Psychoneuroimmunology เริ่มกำลังเป็นที่สนใจ

สามคือคุณพ่อของเธอที่เป็นนักออกแบบงานวิจัยวิยทาศาสตร์ก็เริ่มมีความเชื่อเรื่องของ " พลังงานพิเศษ "เหล่านี้จากงานที่เขาทำ

สี่คืองานวิจัยของคุณหมอ David S pigel ที่ Standford ที่พบว่าการรักษาแบบกลุ่มทำให้คนไข้มะเร็งเต้านมดีขึ้น

ห้าคืองานวิจัยชิ้นแรก ๆของเธอเองเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าเพียงแค่การรวมกลุ่มกันของคนไข้ก็เกิดผลต่อจิตใจที่ให้ผลดีเท่ากับการให้ยาลดการซึมเศร้าชื่อดังอย่าง Prozac

ต่าง ๆเหล่านี้ทำให้จิตแพทย์อย่าง Elisabeth targ เริ่มสงสัยถึง " พลังงานพิเศษ " บางอย่างที่ยังไม่สามารถอธิบายได้ (ด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ "แบบเก่า" ที่มีอยู่เดิม)ว่าเกิดปรากฏการณ์ต่าง ๆ เหล่านั้นกับคนไข้ได้อย่างไร เธอจึงได้พยายามคิดค้นการออกแบบงานทดลองทำนองนี้เพื่อค้นหาคำตอบมาหลายปี จนกระทั่งคุณหมอ targ ได้ออกแบบงานวิจัยขึ้นมาชิ้นหนึ่งเพื่อศึกษาดูว่า การสวดมนต์นั้นมีผลอย่างไรกับคนไข้ได้บ้างการทดลองครั้งนี้ได้ออกแบบมาเพื่ออุด รอยโหว่บางอย่างที่งานวิจัยของคุณหมอ Byrd ได้ทำไว้ โดยที่การทดลองครั้งนี้......

ตัดองค์ประกอบในเรื่องความเป็นศาสนาออกโดยที่เธอใช้เวลาหลายเดือนในการคัดเลือก " ผู้มีอำนาจพิเศษ " ในการสวดมนต์จำนวน 40 คนทั่วสหรัฐอเมริกา โดยที่ในกลุ่มนี้มีทุกศาสนารวมทั้งผู้พิเศษที่ไม่มีศาสนา และมีประสบการณ์ในการทำงานเรื่องเกี่ยวกับ " อำนาจพิเศษ "ต่าง ๆมาแล้ว

ตัดองค์ประกอบเรื่อง " การรู้ถึงงานวิจัย " ว่าอาจจะทำให้เกิดผลทางด้านจิตใจ คืองานวิจัยชิ้นที่มีความเป็น Double -Blind Study ตามที่มาตราฐานงานวิจัยนิยมกันคือ ไม่บอกกับคนไข้ที่เข้าร่วมโครงการเลยว่า มีงานวิจัยแบบนี้อยู่ คือคนไข้จะไม่ทราบว่ากำลังอยู่ในงานวิจัย ไม่ทราบว่าตนเองจะได้รับการสวดมนต์ให้หรือไม่และคุณหมอที่ดูแลคนไข้ก็ไม่ทราบอีกเช่นกันว่าคนไข้คนไหนที่ได้รับการสวดมนต์

โดยที่ในขั้นแรกเธอเลือกผู้ป่วยเอดส์ระยะสุดท้ายที่มีอาการใกล้เคียงกันจำวนเพียง 20 ราย เท่านั้น นำรายชื่อ , รูปถ่าย , อาการทางคลินิกและจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิด T ( T - cell count ) มาใส่ซองให้นักวิจัยคนหนึ่งเรียงเลขหมายไว้ ส่งให้นักวิจัยคนที่สองเพื่อสลับเลขทั้งหมดจดไว้แล้วส่งให้นักวิจัยคนที่สามสลับตำแหน่งซองอีก แล้วแบ่งกลุ่มคนไข้เป็นสองกลุ่มโดยการสุ่ม แล้วเก็บรายชื่อนั้นไว้ในล็อกเกอร์ที่ใส่กุญแจไว้สำหรับรายชื่อและเอกสารฉบับก๊อปปี้ของกลุ่มแรกนั้นถูกส่งให้ " ผู้สวดมนต์ "โดยที่ให้สวดวันละอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง หกวันต่อสัปดาห์เป็นเวลา 10 สัปดาห์ติดต่อกันโดยการจัดให้คนไข้แต่ละคนจะได้รับการสวดจาก " ผู้สวด "10 คน โดยสุ่ม และ ผู้สวดแต่ละคนจะสวดให้คนไข้ 5 คน โดยการสุ่มสลับ

ผลการทดลองในช่วงเวลา 6 เดือนที่ผ่านไปพบว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับการสวดตายไป 40 % กลุ่มที่ได้รับการสวดมนต์ไม่มีคนไข้รายไหนที่เสียชีวิตเลย ทั้งยังพบว่าแต่ละคนมีสุขภาพที่ดีขึ้นด้วย คุณหมอ targ แทบจะไม่เชื่อผลการทดลองครั้งนี้ที่ทำมากับมือตัวเอง ได้กลับไปทบทวนดูทุกขั้นตอนของการวิจัยว่ามีอะไรผิดพลาดในกระบวนการวิจัยหรือไม ่

ในปี1998 เธอได้ทำการทดลองใหม่ ครั้งนี้เพิ่มคนไข้ขึ้นเป็นจำนวน 40 คนและในช่วงนี้มีการผลิตยาต้านไวรัสขึ้นมา 3 ตัวมาใช้ในวงการแพทย์แล้ว ( Protease inhibitors + 2 Antiretrovirus เช่น AZT ) ในกลุ่มคนไข้ระยะสุดท้ายทำให้อัตราตายของคนไข้ลดน้อยลง เธอจึงต้องหาตัววัดผลใหม่ซึ่งได้แก่ระดับของเม็ดเลือดขาวชนิด T, โรคแทรกซ้อนชนิดอื่น ๆของเอดส์ , การใช้ยาที่เกี่ยวกับภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆของโรคเอดส์ สุขภาพจิตและอื่น ๆผลการทดลองออกมาให้เป็นผลที่ชัดเจนว่า กลุ่มที่ได้รับการสวดมนต์นั้นมีผลการรักษาที่ดีกว่า กลุ่มที่ไม่ได้รับการสวดมนต์อย่างเห็นได้ชัดเจนในการวัดผลทุกชนิด อีกเช่นเดิม

คุณหมอ Larry Dossey , M.D. ซึ่งเป็นคุณหมอที่สำคัญมากคนหนึ่งในเรื่องของการสวดมนต์ เขียนหนังสือไว้หลายเล่มมาก ที่โด่งดังมากได้แก่หนังสือที่ชื่อ Healing W ords และ Prayer is goodMedicine บอกไว้ว่าเท่าที่ตัวเขารวบรวมงานทดลองวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ " การสวดมนต์ " นี้ ( นับถึงปี 1996 ) มีถึง 130 การทดลอง และพบว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของการวิจัยเหล่านี้ เชื่อถือได้ว่าการสวดมนต์นั้นมีผลดีต่อสุขภาพของคนไข้

ที่ผมนำมาเขียนและอ้างถึงเหล่านี้ มิได้ต้องการให้เชื่อแบบ " เหลวไหลงมงาย " หากแต่ต้องการชี้ให้ท่านผู้อ่านเห็นประเด็นสำคัญว่า เรื่องจิตเรื่องใจเรื่องความเชื่อต่าง ๆ นั้นมีผลเกิดขึ้นอย่างไรกับระบบร่างกายของมนุษย์บ้าง และเรื่องเหล่านี้สามารถอธิบายได้ด้วย " วิทยาศาสตร์ใหม่ " ได้


หากแต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คลื่นพลังงานหรือคลื่นความคิดต่าง ๆเหล่านั้นจะมีผล เกิดปรากฏผลได้จริงต่อร่างกายของมนุษย์ได้หรือไม่นั้น ประเด็นที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากทำความเข้าใจ เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เห็นประเด็นกว้าง ๆก็คือ " ความประสานสอดคล้อง " ของคลื่นความคิดเหล่านี้ที่สามารถทำให้เกิดขึ้นได้ โดยที่ไม่จำเป็นเฉพาะแต่เรื่องของการสวดมนต์เท่านั้นแต่คลื่นความคิดคลื่นพลังงานเหล่านั้นสามรถจะทำให้เกิดขึ้นได้ จาการฝึกฝนตนเอง ในการเข้าสู่ "สภาวะ " หนึ่งที่มีได้หลายชื่อตามแต่จะเลือกใช้ได้ในกรณีต่าง ๆเช่น " สุข - สภาวะ " " มณฑลแห่งพลัง "ความเป็นปกติ " ฯลฯ ดังที่ได้เขียนถึงมาบ้างแล้ว

การสวดมนต์จึงเป็นเพียงวิธีการหนึ่งในหลายวิธีการที่จะเหนี่ยวนำให้ระบบของร่าง กายเราเข้าไปสู่สภาวะแห่งการสมดุลดังกล่าวได้ ซึ่งผมจะนำมาทยอยเขียนถึงท่านเท่าที่เป็นไปได้ในคอลัมน์นี้

ว่าแต่ว่าคืนนี้เราสวดมนต์กันหรือยัง ?

โดย น.พ. วิธาน ฐานะวุฒ์

ที่มา หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ศาสนา - จิตใจ วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม 2546




รูปภาพ

พระคัมภีร์ตามคำบอกเล่าของนักบุญยากอบ บทที่5:13

ท่านใดทนทุกข์ จงอธิษฐานภาวนาเถิด ท่านใดร่าเริงยินดี จงร้องเพลงสดุดีเถิด ท่านใดเจ็บป่วย จงเชิญบรรดาผู้อาวุโสของพระศาสนจักรให้มาอธิษฐานภาวนาเพื่อผู้ป่วย เจิมน้ำมันผู้นั้นในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า คำอธิษฐานภาวนาด้วยความเชื่อจะช่วยผู้ป่วยให้รอดชีวิต องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงโปรดให้ผู้ป่วยลุกขึ้น และถ้าเขาเคยกระทำบาป เขาก็จะได้รับการอภัย ดังนั้น จงสารภาพบาปแก่กัน และจงอธิษฐานให้กันเพื่อท่านจะหายจากโรค คำอ้อนวอนของผู้ชอบธรรมมีพลังทำให้เกิดผลมากมาย

--------พระเจ้าทรงสอนสิ่งนี้แก่เราก่อนการแพทย์จะพิสูจน์ได้กว่า2000ปี
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nihil
~@
โพสต์: 1763
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 4:36 pm
ที่อยู่: Pax
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. ส.ค. 11, 2005 3:15 am

พึ่งดูสารคดีเรื่องนี้ช่อง discovery มาพอดีเลย
Wasu

พฤหัสฯ. ส.ค. 11, 2005 12:03 pm

พระผู้สร้างและพระผู้ให้ยิ่งใหญเหนือสิ่งอื่นใด :)
ภาพประจำตัวสมาชิก
fizzy vippie
โพสต์: 371
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ม.ค. 26, 2005 10:58 am

พฤหัสฯ. ส.ค. 11, 2005 12:24 pm

เมื่อเช้าเห็นใน ทีวี มีการแนะนำหนังสือด้วย
แบบว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับพวกผู้ป่วยโรคมะเร็ง
คนเขียนเป็นหมอ ยืนยันพลังใจและความเชื่อทางศาสนา
ในหนังสือเขาไม่ระบุ ยกเครดิตรวมให้ทุกศาสนาเลย
มีส่วนช่วยให้คนไข้ปรับตัวเพื่อต่อสู้โรคภัยร้ายๆได้ดีมาก

เอาไว้ต้องไปหาหนังสืออันนี้มาอ่านแล้วล่ะ
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

พฤหัสฯ. ส.ค. 11, 2005 1:38 pm

ต้องหมั่นภาวนาครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Immanuel (MichaelPaul)
~@
โพสต์: 2887
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 8:49 pm
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

พฤหัสฯ. ส.ค. 11, 2005 6:20 pm

พี่ปอว่าถ้าเอาไปลงพันทิพย์จะเกิดไรขึ้น?

แล้วจะเอาไปลงดีไหมอ่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
-Rei-
โพสต์: 1015
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มิ.ย. 09, 2005 8:31 pm
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. ส.ค. 11, 2005 7:07 pm

พระบิดาและพระเยซูทรงเป็นแพทย์ที่ประเสริฐที่สุดค่ะ ^^
Amankris

ศุกร์ ส.ค. 12, 2005 12:26 am

ขอบพระคุณพระเจ้า ที่ได้ทรงประทานยาที่ดีที่สุด ซึ่งก็คือพระองค์เอง มาให้แก่ผู้ที่บาดเจ็บ และเป็นทุกข์ ::)
พระเจ้าสถิตย์กับเราเสมอ
~@
โพสต์: 2546
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 10:54 pm

ศุกร์ ส.ค. 12, 2005 1:05 am

MichaelPaul เขียน: พี่ปอว่าถ้าเอาไปลงพันทิพย์จะเกิดไรขึ้น?

แล้วจะเอาไปลงดีไหมอ่า
ช้าไปแล้ว ผมเอาไปลงแล้ว :P

http://www.pantip.com/cafe/religious/to ... 61958.html

ไม่ได้ตั้งกระทู้ใหม่ แต่เอาไปตอบเค้า อ้างอิงแหล่งที่มาเรียบร้อย
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ ส.ค. 12, 2005 12:11 pm

แก้ไขล่าสุดโดย Jeab Agape เมื่อ ศุกร์ ส.ค. 12, 2005 12:12 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

จันทร์ พ.ย. 03, 2008 4:26 am

มีผลวิจัยเพิ่มเติมอีกนะครับ

กระทู้ที่เกี่ยวข้องครับ


--+ทั้งคำถวายพระพรและคำสาปแช่งล้วนออกมาจากปากเดียวกัน +-- 

http://www.newmana.com/yabb/index.php?topic=9357.0
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ จันทร์ พ.ย. 03, 2008 6:41 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

จันทร์ พ.ย. 03, 2008 7:44 am

จริงๆคนที่ทำเรื่องประมาณนี้ที่เด่นๆอีกคนก็ คือ Dr. Richard J. Davidson ที่ UW- Madison  http://psych.wisc.edu/faculty/bio/davidson.html

เป็นคนที่ศึกษาคลื่นสมองของท่านดาไลลามะด้วยน่ะค่ะ 

รูปภาพ

เป็นคนแรกๆที่มีบทบาทในสาขา psychoimmunology ...  ยิ่งตอนนี้มีเทคนิค fMRI (functional Magnetic Resonance Imaging) ที่ทำให้เราได้สแกนสมองและเห็นการทำงานของสมองในส่วนต่างๆ  งานวิจัยด้านนี้ก็ก้าวเร็วมาก  ...  หน้าตาภาพ fMRI ก็ออกมาประมาณนี้  ตรงสีๆคือ  บริเวณที่เกิดการทำงานของสมอง  ก็จะรู้ได้ว่า  ส่วนไหนกำลังทำงานอยู่  อย่างในรูป  ถ้าสีไปทางแดงมาก  ก็ทำงานมาก  ไปทางฟ้า  ก็ทำงานน้อย

รูปภาพ


เคยฟังอาจารย์พูดครั้งนึง  หัวข้อ Transform the mind to change the brain: Steps towards a neuroscience of well-being  ตอนนั้นอาจารย์เล่าการทดลองง่ายๆอันนึงให้ฟัง  คือเอาคนมา 2 กลุ่ม  ตอนเช้าให้เงินแต่ละคนเท่าๆกัน  แต่กลุ่มแรกบอกว่า  ให้นำไปซื้ออะไรก็ได้ที่ตัวเองอยากได้  ให้ทำเพื่อตัวเอง  กลุ่มที่สองให้นำเงินไปใช้เพื่อผู้อื่น  ใครอยากได้อะไร  ก็ให้เค้าไป  เอาไปทำบุญ  ทำกุศล  กลับมาตอนเย็นมาตรวจเลือด  (จำไม่ได้เหมือนกันว่า  ดูสารอะไรบ้าง  แต่เป็นสารที่เค้าคิดมาว่า  จะหลั่งเมื่อเกิดความสุข  แล้วเค้าเอามาวัดเป็นดัชนีความสุข)  ปรากฎว่า  กลุ่มที่ให้เงินเพื่อไปทำเพื่อคนอื่น  มีความสุขมากกว่า  กลุ่มที่ทำเพื่อตัวเอง   ::001::

อาจารย์ยังศึกษาเรื่องการนั่งสมาธิและนำคนที่นั่งสมาธิ  ทั้งแบบพึ่งนั่ง  และนั่งมานาน  มาสแกนสมอง  ซึ่งส่วนมากจะเกิด activation ที่สมองส่วน Insula ซึ่งเป็นส่วนที่เชื่อว่า  เป็น mind-brain-body region ...  Insula มีหน้าที่ควบคุมอวัยวะภายใน  ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเจอเรื่องระดับความดันเลือดลดลง  และเกิดการรักษาของอวัยวะภายใน ...  ::001:: และก็มี activation ที่ Amygdala ซึ่งเป็นส่วนเกี่ยวกับอาราณ์  จะเกี่ยวข้องกับการกำจัดอารมณ์แง่ลบ  และเมื่อดูฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol)  ... ซึ่งจะหลั่งเมื่อเกิดความเครียด  คนปกติในระหว่างวัน Cortisol จะสูงตอนกลางวัน  และควรลดต่ำลงตอนจะนอน  ไม่งั้นจะนอนไม่หลับ (คือถ้าต่ำทั้งวันก็จะไม่กระตือรือร้น  ดังนั้นต้องสูงระดับนึงตอนทำงาน  และลดลงตอนจะนอน) ...  คนที่นั่งสมาธิจะมีความสามารถในการลดระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลเร็วกว่าคนที่ไม่ได้ฝึกสมาธิ   ::001::

ถ้าสนใจลองไปดูที่เวบของอาจารย์ค่ะ  มีเรื่องน่ารู้อีกเยอะเลย  อันนี้เป็นเวบไซต์ของอาจารย์ค่ะ  http://psyphz.psych.wisc.edu/  , http://brainimaging.waisman.wisc.edu/   
แก้ไขล่าสุดโดย Buddy เมื่อ จันทร์ พ.ย. 03, 2008 8:07 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
ignatius
.
.
โพสต์: 2597
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 12:48 pm

จันทร์ พ.ย. 03, 2008 8:45 am

ขอบคุณมากคะที่แบ่งปัน วันนี้ต้องย้อนถามตัวเองว่า
"เราได้ภาวนาอย่างจริงจังแล้วหรือยัง?" : xemo026 :
กรอกสมบูรณ์
โพสต์: 1413
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 02, 2008 11:18 am
ที่อยู่: ต.กรอกสมบูรณ์ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี

อังคาร พ.ย. 04, 2008 1:29 pm

อยากให้ผู้ที่เป็นคุณพ่อคุณแม่..ทั้งมือใหม่มือเก่า  พร้อมใจกันสอนลูก ๆ ให้สวดก่อนนอนจนติดเป็นนิสัยบ้าง

มีอยู่ช่วงนึงที่ลูกชาย(7 ขวบ)กับดิฉัน พูดกันไม่ค่อยเข้าใจ รู้สึกว่าลูกไม่ค่อยฟังที่แม่พูด  แล้วรู้สึกว่าเราเองก็ไม่ค่อยฟังลูกด้วยเหมือนกัน  แล้วก็..เครียด..  เพราะ..จะพูดจะสอนอะไรไป  ก็รู้สึกว่าเขาไม่ฟังเราเลย  และเราก็ไม่สนใจความต้องการของเขาด้วย

เลยพาลูกสวดก่อนนอน  พยายามทำให้บ่อย ๆ เพราะบางครั้งงานยุ่งมาก ก็ลืมไปบ้างเหมือนกัน  ก็พยายามเท่าที่จะทำได้  แล้วก็เกิดผลดีอย่างที่คาดไว้  แต่ก็ใช้เวลาอยู่พอสมควรเหมือนกัน  รู้สึกได้เลยว่า ลูกฟังคำพูดของเราและสนใจในสิ่งที่เราบอกและสอน  ในขณะเดียวกันเราเองก็สนใจในสิ่งที่ลูกพูดกับเรามากขึ้นด้วย

แล้วความเครียดก็หายไปจากชีวิต  หมายถึง  ความเครียดเรื่องที่ลูกกับเราดูเหมือนจะขัดแย้งและไม่สนใจต่อกัน

และยังได้แนะนำให้เพื่อน ที่มีปัญหากับลูกสาววัย 5 ขวบ ไปทำดูบ้าง เพราะลูกสาวเขาไม่สนใจแม่เลย เอาแต่ใจใช้อารมณ์เอาแต่ใจ ดูเหมือนจะเรียกร้องความสนใจจากแม่  แต่ตัวแม่เขาไม่เข้าใจ บอกแต่ว่า ลูกสาวเขาดื้อกับเขามาก  แต่เพื่อนคนนี้เขานับถือพุทธ  ส่วนลูสาวก็นับถือพุทธแต่เรียนอยู่ที่ รร.มารีวิทยากบินทร์บุรี  เขาก็ไปลองทำดูบ้างแต่ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่  เขามาเล่าให้ฟังว่า  ลูกสาวต้องสวดบท วันทามารีอา ก่อน แล้วถึงจะค่อย สวด นโมตะสะ  พาลูกสาวสวดก่อนนอนซักพักก็รู้สึกดีขึ้น  ทั้งแม่และลูกสาว..ใจเย็นลงด้วยกันทั้งคู่  ต่างคนก็เริ่มฟังกันและกันมากขึ้น  แล้วก็ัรักกันมากขึ้น

ลองทำดูสิค่ะ  แล้วจะรู้ว่า คำภาวนาของเด็ก ๆ มีผลเร็วมากกว่าของผู้ใหญ่อีก.. ไม่ได้อิจฉาเด็กนะ  แต่รู้ว่าพระบิดาเจ้าชื่นชอบความซื่อๆและบริสุทธิ์ใจของเด็ก ๆ (เป็นจุดอ่อนของพระบิดาเจ้าหน่ะ)  ::011::
ภาพประจำตัวสมาชิก
Kichinto
โพสต์: 532
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ต.ค. 17, 2007 7:34 pm
ติดต่อ:

อังคาร พ.ย. 04, 2008 3:46 pm

ขอบคุณครับ มีความรู้เพิ่มเติม
ภาพประจำตัวสมาชิก
My Hope
โพสต์: 735
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.พ. 27, 2009 8:42 am
ติดต่อ:

อาทิตย์ ก.ค. 26, 2009 12:42 pm

ได้ความรู้เพิ่มเติมมากมายเลยครับ ขอบคุณครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Anonymous เมื่อ อาทิตย์ ก.ค. 26, 2009 12:58 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
My Hope
โพสต์: 735
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.พ. 27, 2009 8:42 am
ติดต่อ:

อาทิตย์ ก.ค. 26, 2009 12:59 pm

กระทู้นี้ก็เหมือนกันครับ ถ้าจะปักหมุดเอาไว้น่าจะดีมากมายครับ
sinner
โพสต์: 2246
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มี.ค. 08, 2009 1:24 pm

อาทิตย์ ก.ค. 26, 2009 3:08 pm

-Rei- เขียน: พระบิดาและพระเยซูทรงเป็นแพทย์ที่ประเสริฐที่สุดค่ะ ^^
เห็นด้วยอย่างยิ่งค่า  แล้วก็ขอบคุณ คุณHolyด้วยกับเรื่องดีๆ

จะขยันสวดให้มากกว่าเดิมค่ะ : emo038 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
My Hope
โพสต์: 735
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.พ. 27, 2009 8:42 am
ติดต่อ:

อาทิตย์ ก.ค. 26, 2009 3:13 pm

เห็นด้วยครับ เห็นด้วย  ::042::
ภาพประจำตัวสมาชิก
ชิปโป
โพสต์: 184
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ส.ค. 03, 2006 4:17 am

อาทิตย์ พ.ย. 22, 2009 7:44 am

พระเจ้ายิ่งใหญ่
ตอบกลับโพส