ผู้ที่ทำความดีแต่ถูกผู้อื่นเหยียบย่ำความดี ท้อใจ หมดกำลังใจ

แบ่งปัน คำพยาน ประสบการณ์ชีวิตกับพระเจ้า และการอัศจรรย์ ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำต่อชีวิตของเราแต่ละคน
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
salvation7
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 522
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 31, 2010 1:05 am
ติดต่อ:

อังคาร ก.ย. 18, 2012 5:22 pm

นี่คงเป็นแผนการของพระเป็นเจ้าที่แยบยลจริง ๆ :s030:

ปกติจะตื่นเช้าไปวันเซนต์หลุยส์ ตอนเช้า 6 โมง ตั้งนาฬิกาปลุกไว้แล้ว...พอสัญญาณนาฬิกาปลุก ดังขึ้น เงี่ยหูฟัง ได้ยินเสียงฝนตก ไปไม่ได้เปียกแน่....เลยนอนต่อกะว่าจะตื่นไป 8 โมงแทน
สรุป....ตื่นสาย จึงได้ไปวัดนักบุญยอแซฟ ตรอกจันทร์ แทน เวลา 8:30 น.
ฟังบทอ่านพระวาจาในบทสดุดี 116:1-3 , 4-7, 8-9
ตามด้วยบทอ่านจากจดหมายนักบุญยากอบ ยก 2:14-18
เกี่ยวกับความเชื่อ ที่ต้องตามด้วยการกระทำ
ตามด้วยบทเทศน์ของคุณพ่อ

ฟังแล้วรู้สึกดี จึงนำมาแบ่งปันกัน....เหมาะสำหรับผู้ที่ทำความดีแต่ถูกผู้อื่นเหยียบย่ำความดี...ท้อใจ หมดกำลังใจ ผู้ที่ไม่มีใครเข้าใจ พบปัญหาที่ตกต่ำ เพิ่มพลัง ด้วยความเชื่อในพระเป็นเจ้า

======================================

วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน 2012
สัปดาห์ที่ 24 เทศกาลธรรมดา
บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 50:5-9ก
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดหูให้ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ไม่ต่อต้าน ไม่หันหลังหนีไป ข้าพเจ้าหันหลังให้แก่ผู้โบยตีข้าพเจ้า และหันแก้มให้แก่ผู้ที่ดึงเคราข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ซ่อนหน้าแก่ผู้สบประมาทและถ่มน้ำลายรด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ต้องละอาย ข้าพเจ้าทำหน้าของข้าพเจ้าให้ด้านเหมือนหิน ข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าจะไม่อับอาย พระองค์ผู้ทรงแก้ต่างให้ข้าพเจ้าทรงอยู่ใกล้ข้าพเจ้า ใครจะสู้คดีกับข้าพเจ้า เราจงยืนขึ้นเผชิญหน้ากันเถิด ใครจะกล่าวหาข้าพเจ้า ก็จงเข้ามาใกล้ข้าพเจ้าเถิด ดูซิ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า ใครจะกล่าวโทษข้าพเจ้าเล่า

===================

เพลงสดุดี อสย 116:1-3, 4-7,8-9
ก) ข้าพเจ้ารักองค์พระผู้เป็นเจ้า
เพราะพระองค์ทรงฟังเสียงของข้าพเจ้าที่วอนขอพระกรุณา
พระองค์ทรงเอียงพระกรรณฟังข้าพเจ้า
ยามข้าพเจ้าเรียกหาพระองค์
บ่วงแร้วแห่งความตายรัดรอบตัวข้าพเจ้า
กับดักแห่งแดนมรณะมัดข้าพเจ้าไว้แน่นหนา
ควาทุกข์ร้อนและความปวดร้าวบีบข้าพเจ้าไว้

ข) ข้าพเจ้าจึงเรียกขานพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นด้วยเถิด
องค์พระผู้เป็นเจ้าโปรอดปรานและทรงเที่ยงธรรม
พระเจ้าของเราทรงเมตตากรุณา
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปกป้องคุ้มครองคนซื่อ
เมื่อข้าพเจ้าตกต่ำ พระองค์ก็ทรงช่วยให้รอดพ้น
วิญญาณข้าพเจ้าเอ๋ย จงสงบอีกครั้งหนึ่งเถิด
เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดีต่อเจ้า


ค) พระองค์ทรงช่วยชีวิตข้าพเจ้าให้พ้นจากความตาย
ทรงเช็ดน้ำตาจากตาข้าพเจ้า
ทรงช่วยข้าพเจ้ามิให้เท้าสะดุด
ข้าพเจ้าจะได้ดำเนินเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า
ในแผ่นดินแห่งผู้เป็น

=============================================
บทอ่านจากจดหมายนักบุญยากอบ ยก 2:14-18

พี่น้องทั้งหลาย จะมีประโยชน์อันใดหากผู้หนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อแต่ไม่มีการกระทำ?
ความเชื่อเช่นนี้จะช่วยให้เขารอดพ้นได้หรือ?
ถ้าพี่น้องชายหญิงคนใดขัดสนเครื่องนุ่งห่ม และไม่มีอาหารประจำวัน แล้วท่านคนหนึ่งกล่าวกับเขาว่า “เชิญไปเป็นสุขเถิด ขอให้อบอุ่นและอิ่มเถิด”
แต่มิได้ให้สิ่งที่จำเป็นสำหรับร่างกายแก่เขา จะมีประโยชน์อันใดเล่า?
ความเชื่อก็เช่นเดียวกัน หากไม่มีการกระทำก็เป็นความเชื่อที่ตายแล้ว
แต่บางคนจะกล่าวว่า ท่านมีความเชื่อ ข้าพเจ้ามีการกระทำ
จงแสดงความเชื่อที่ไม่มีการกระทำของท่านให้ข้าพเจ้าเห็นเถิด!
แล้วข้าพเจ้าจะแสดงความเชื่อของข้าพเจ้าให้ท่านเห็นด้วยการกระทำ

=============================================

พระวรสารนักบุญมาระโก มก 8:27-35
เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จพร้อมกับบรรดาศิษย์ไปตามหมู่บ้านต่างๆในบริเวณเมืองซีซารียาแห่งฟีลิป ขณะทรงพระดำเนิน พระองค์ตรัสถามบรรดาศิษย์ว่า ‘คนทั้งหลายว่าเราเป็นใคร?’ เขาทูลตอบว่า ‘บ้างว่าเป็นยอห์นผู้ทำพิธีล้าง บ้างว่าเป็นประกาศกเอลียาห์ บ้างก็ว่าเป็นประกาศกองค์หนึ่ง’ พระองค์ตรัสถามอีกว่า ‘ท่านล่ะ ว่าเราเป็นใคร?’ เปโตรทูลตอบว่า ‘พระองค์คือพระคริสตเจ้า’ พระองค์ทรงกำชับบรรดาศิษย์มิให้กล่าวเรื่องเกี่ยวกับพระองค์แก่ผู้ใด
พระเยซูเจ้าทรงเริ่มสอนบรรดาศิษย์ว่า บุตรแห่งมนุษย์จะต้องรับการทรมานเป็นอันมาก จะถูกบรรดาผู้อาวุโส มหาสมณะ และธรรมาจารย์ปฏิเสธไม่ยอมรับ และจะถูกประหารชีวิต แต่สามวันต่อมา จะกลับคืนชีพ พระองค์ทรงประกาศพระวาจานี้อย่างเปิดเผย เปโตรได้นำพระองค์แยกออกไป ทูลทัดทาน แต่พระเยซูเจ้าทรงหันไปมองบรรดาศิษย์ ทรงตำหนิเปโตรว่า ‘เจ้าซาตาน! ไปให้พ้น เจ้าไม่คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์’
พระเยซูเจ้าทรงเรียกประชาชนและบรรดาศิษย์เข้ามา แล้วตรัสว่า ‘ถ้าผู้ใดอยากติดตามเรา ก็ให้เขาเลิกนึกถึงตนเอง แบกไม้กางเขนของตน และติดตามเรา ผู้ใดใคร่รักษาชีวิตของตนให้รอดพ้น จะต้องสูญเสียชีวิตนั้น แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตของตนเพราะเรา และเพราะข่าวดี ก็จะรักษาชีวิตได้

============================================

แบ่งปันบทเทศน์ มีรายละเอียดประมาณนี้ ขาดหายบ้างเพราะจำไม่หมด...

(จำช่วงแรกไม่ได้) ......มโนธรรมของเรามีทั้งความดี ความชั่ว การทำความดี แต่มีความชั่วเข้ามาทำให้มีวิบาก มีความยากลำบาก มีอุปสรรค บางครั้งเราปฏิบัติความดี ในการปฏิบัติในชีวิตจริง ในครอบครัว หน้าที่การงาน ผู้คนในสังคม ล้วนแล้วแต่ทำให้เราท้อถอย

บางทีเราเผลอพลันเก็บผลแอปเปิ้ล แล้วต้องกิน ตามการเผล่อตัวของเรา พอเรารู้ตัว เราก็ทิ้ง แล้วหันกลับมาหาพระผู้เป็นเจ้า

ทุกครั้งที่เราดำเนินชีวิต กลับเข้ามาพระเป็นเจ้า ทุกครั้งพระเจ้าปลอบโยนให้กำลังใจเรา เราค้นพบสัจธรรมว่าน่าเสียดายที่เราไปเด็ดผลแอปเปิ้ล ปล่อยเนื้อปล่อยตัวของเรา ทำตามอำเภอใจของเรา โกรธเกลียดผู้คน มีเล่ห์เหลี่ยมมากมาย เมื่อเรากลับไปหาพระผู้เป็นเจ้า เรารู้สึกว่า การที่รู้สึกโกรธเกลียดผู้คน คนที่มีเล่ห์เหลี่ยม มีศิลปะ สิ่งเหล่านี้ไม่ดีเลย ทำไมเราไม่อดทน อดกลั้นในความดีเอาไว้ เพื่อที่จะได้อยู่กลับพระเป็นเจ้า ทำไมเราถึงกลัว ทำไมเราถึงไม่กล้าอยู่กับพระเป็นเจ้า

ทำไมเราถึงกลัว ?

ทำไมเราถึงถูกผีปิศาจล่อลวงว่า รักษาผลประโยชน์เอาไว้ดีกว่า รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ดีกว่า ทำผิดเลือกพวกดีกว่าอย่าไปเลือกพระเป็นเจ้าเลย

เรากลับรู้สึกว่าอยู่ในพระเป็นเจ้ามีอะไรดี ๆ เยอะ วันนี้พระคัมภีร์ในบทสดุดี บอกกับเราให้การกลับมาหาพระเป็นเจ้า แล้วอดทนในความยากลำบาก เราอดไม่ได้หรือ ที่จะรับพระเป็นเจ้า ทนทุกข์ทรมาน การเป็นคริสตชน เราเป็นลูกพระ เราต้องรู้ว่าพระเป็นเจ้าช่วยเหลือเราได้ อยู่ที่นี่ อยู่ในอ้อมพระหัตถ์ของพระเป็นเจ้า

พระองค์ช่วยเราได้ เราจะต้องไม่ออกจากพระเป็นเจ้า เราจะคิดว่าเราจะทำอะไรก็แล้วแต่ ที่เราคิดว่าเราต้องถูก ที่เราคิดว่าเราต้องดี ที่เราคิดว่าเราต้องปลอดภัย ถูก ดี ปลอดภัย

เราทำให้เราทำถูก ผ่านทางพระเป็นเจ้า เราจะไม่ทำอย่างนั้นอีก เราจะกลับมาหาพระเจ้า ในบทสดุดีพูดเอาไว้ว่า เวลาที่เราอยู่ในความเสียสละ ถึงแม้จะมีความยากลำบากเพียงใดก็ตาม เราต้องรักษา ต้องมีสมาธิ เราต้องกวดขันต่อตัวเอง ในเรื่องที่ดี พึงระมัดระวังความคิด วาจา กิจการที่ออกมาเพราะฉะนั้นต้องกวดขัน ทำให้มันหนักแน่นในอยู่พระเป็นเจ้า เพราะว่าเรารู้แล้วว่าพระเป็นเจ้าทรงฟัง คำร้องขอ เวลาที่เราฟังเพลงสดุดี อยากให้เราทราบเวลาเจอปัญหา ความกังวลใจ ความเรียบ ความไม่มั่นใจ กลัวปัญหา ความรู้สึกต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

เมื่อเราเป็นคนดี ถูกกระทำ ถูกคนกระทำ ความเข้าใจง่าย ๆ ว่า “ถูกกระทำ” ทั้ง ๆ ที่เค้าไม่เป็นคนเลวอะไร แต่ว่าผลของความเป็นไป กลับส่งผลร้ายในชีวิต
เราต้องรักษา ไม่พูดอะไรไม่ดี
ไม่คิดอะไรไม่ดี
ไม่ทำอะไรไม่ดี
เพื่อที่จะรักษาอันนี้ไว้ มันยากลำบากมาก เพราะเราเจอ หมู่ผู้คนไม่เข้าใจ เราถูกปัญหาต่าง ๆ นานา ลุ่มเร้า แล้วเราเกิดมาหมดแรงที่จะเป็นคนดี บางที่หมดแรงไปก่อนแล้วด้วยซ้ำ เคยเห็นไหม บางทีก็โยนมันทิ้ง สลัดทิ้ง แล้วก็กลับเข้ามา

เวลาเรากลับมาหาพระเป็นเจ้า อดทน ทำความดีอย่างมีความสุข อย่างเต็มใจน๊ะ เวลากลับมาหาพระเป็นเจ้า เราต้องมั่นใจในการหาพระเป็นเจ้า พระองค์ทรงเปี่ยมไปด้วยความยินดี พระองค์ทรงรับคำร้องทูลของเรา พระองค์ทรงเงี่ยพระกรรณ ในพระคัมภีร์ “เงี่ยพระทัย” คือ พระองค์ฟัง ไม่ทิ้ง

พี่น้องเวลาเจอปัญหาในชีวิตมากมาย ทูลขอ ว่ากำลังหนักใจเรื่องอะไร แบบชีวิตเหมือนตรงนี้อยู่นิ่ง ๆ ในพระเป็นเจ้า แต่มันร้อนลุ่ม มันร้อนจน เราอยากสบายเนื้อสบายตัว
เราอยากทำดีในพระองค์ แต่ว่าการอยู่ในพระเป็นเจ้าในความดี มันกลับร้อนลุ่ม มันทรมาน เพราะการทำความดีมันยาก
ความรู้สึก ทุกข์ลำบากนี้ เป็นสิ่งร้องทูลพระเจ้า แล้วพระองค์ก็ทรงสดับฟัง ไม่ต้องทำตามภัยพิบัติ มารผจญล่อลวงเรา ทำให้เราหลุดไป ความตายเข้ามาใกล้ ๆ เป็นเหมือนหลุมพราง ทำคนดีอย่างเราตกลงไป แล้วเราก็มีแต่ความเศร้า มีความยากลำบาก แต่พระเป็นเจ้าของเรา ในขณะที่เราอดทนทำความดี มีความเศร้า เหมือนกับเราจมลงไปในเรื่องราวของพระเยซู พระเป็นเจ้าทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา พระองค์ทรงคอยอยู่ใกล้ ๆ เหมือนเราเป็นเล็ดรอด คนต่ำต้อย เป็นคนที่อ่อนแอ พระเป็นเจ้าทรงกอบกู้เราขึ้นมา เวลาที่เราอยู่บนโลก มีปัญหาการปฏิบัติ กับผู้คนที่ไม่เข้าใจ ก็มากดเราให้ต่ำลง

ถ้าเราสังเกตดู การเป็นคนดีหลายครั้งเราถูกให้กดให้ต่ำลง ถูกเหยียดหยาม เป็นสิ่งที่ความไม่เข้าใจของผู้คน ปฏิบัติต่อเราเหมือนกดเราให้ต่ำลง
เค้าไม่ได้ตั้งใจกดเรา เค้าไม่ได้คิดอะไรกับเรา แต่คำพูดคำจา ท่าทาง การให้ กลไกทางสังคม การเมือง ในที่ทำงาน ในบริษัท ในบ้าน ในหมู่บ้าน มันกดเราให้ต่ำลง เหมือนถูกเยียบย่ำ แต่ว่าพระเป็นเจ้าทรงกอบกู้เราขึ้นมา

พระองค์ทรงกอบกู้อย่างไร?

พระองค์ทรงทำให้พี่น้องภูมิใจ ในความดี ไม่โกรธ ไม่เกลียด ให้อภัย แล้วฟื้นตัวขึ้นมามีพละกำลังทำดีตอบแทนความไม่ดี ยิ้มสู้ในชีวิตขึ้นมา มีสติปัญญา ความคิดหลักแหลม
  • ปราชญ์เปรื่อง
มีน้ำอดน้ำทน เหมือนมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เราภาคภูมิใจ ไม่ใช่จำใจ จำยอม แต่มีความสุขในสิ่งที่เราเป็น มองปัญหาจากสิ่งที่เราพบอยู่ในช่วงแรก ๆ เรามองปัญหา เหมือนปัญหานี้มันหนักหนาสาหัส มันโถมทับ แต่พอเราตัดสินใจที่เราเข้ามาอยู่ในพระเป็นเจ้า พระเป็นเจ้าทรงสถานการณ์ ช่วยเราให้เบิกบานขึ้น เหมือนพระเป็นเจ้าบอกกับเราให้รู้ว่าพระองค์ทรงกอบกู้เราขึ้นมา พระองค์เหมือนบอกกับเราในคำพูดว่า อย่าไปคิดอย่างนั้น อย่าคิดอย่างนั้น อย่าไปคิดว่าคนอื่นทำให้เราแย่ อย่าไปคิดว่าโลกทำให้เราแย่ อย่าไปคิดว่าเราจน ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ เราจน เราถูกคนเค้าเอาเปรียบ เราไม่มีสตางค์กินขนม ไม่มีสตางค์ซื้ออะไร ทั้ง ๆ ที่คนอื่นเค้าพูดถึงเราไม่ดี ทั้ง ๆ ที่เราไม่มีอะไร ไม่ใช่ลืมตา อ้าปากแล้วมีเงิน แต่พระเป็นเจ้าทรงปลุกขวัญกำลังใจ

ในทางจิตวิทยา พูดถึง คนที่สามารถปลุกขวัญกำลังใจขึ้นมาได้ปัญหาร้อยแปดก็จะลื่น ค่อยเป็นค่อยไป มันก็จะผ่านไปได้ อย่าไปตั้งใจอะไรมากเกินไป อย่าไปเครียด ทำไม่รู้ไม่ชี้ แล้วจงทำดีต่อไป ใช้หลักตามจิตวิทยา
แล้วหลักความเชื่อของเราหล่ะ เราต้องมั่นใจให้ได้ว่า พระเป็นเจ้าทรงอยู่กับเรา พระองค์ทรงกอบกู้เรา เป็นพระหรรษทาน เป็นพรของพระ มีลูกบ้าบ้าง คือ ไม่รู้ไม่ชี้ คิดดี เพื่อไม่ต้องการเรื่องอิทธิฤทธิ์ใด ๆ แต่เป็นทางความเชื่อ ว่าเราอยู่ในพระเป็นเจ้า พระเป็นเจ้าทรงโอบอุ้ม พระองค์ช่วยเราพ้นจากภัยพิบัติที่อยู่เหนือความตาย พระองค์ทรงทำให้เกิดขึ้น ตาของเรา ซึ่งคลอด้วยน้ำตา เวลาที่เราถูกกระทำ คิดขึ้นมาที่ไร มันเหมือนกับชีวิตของเรา เดินเหินเหมือนคนซังกะตาย กินอยู่หลับนอน ไม่อร่อย นอนไม่หลับ มีความเครียด ย้ำคิดย้ำทำนี่หล่ะ เหมือนคนที่อมทุกข์ แต่ว่าพระเป็นเจ้าจะทรงโปรดให้หายไป เชื่อในพระเป็นเจ้าเถิดและเมื่อใดเราเชื่อในพระเป็นเจ้า เราจะเดิน เดินในชีวิต อย่างคนอาจหาญ หยิ่งทะนง เราสามารถเติมไฟในโลกซึ่งดูเหมือนเราตาย แต่กลับกลายเป็นไฟดวงเล็กที่อยู่บนโลก เหมือนเรากำลังมีชีวิตรอด เป็นเวลาที่เราค้นพบความสุขแบบนี้ได้เพราะเราไว้ใจในพระเป็นเจ้าก็กลับเข้ามา ทำให้เราปลดเปลื้องได้ ที่จะรักพระเป็นเจ้าของเรา ความรักในพระเป็นเจ้าก็กลายเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่ความรักที่พูดด้วยปากเปล่า แต่กลายเป็นเรื่องจริง เพราะเราเห็นแล้วว่ามีพระเป็นเจ้าช่วยเราได้จริง เพราะฉะนั้นเราต้องปลุก ปลุกความหนักแน่นในความเชื่อนี้ เพราะเรามีความเชื่อนี้ พระคัมภีร์บอก ความเชื่อไม่มีสิ่งใด ถ้าเราไม่ใช้ในชีวิต มันไม่มีความเชื่อ แต่พอเราไปใช้ในชีวิตมาแล้วมันหนักหนาสาหัสได้ เราอยู่ไม่ได้เลย เราเคยพลาดมาแล้ว แต่เรากลับมาหาพระเป็นเจ้า

ลองค้นหาพระเป็นเจ้าเพื่อจะเป็นคนดี พระองค์จะทรงช่วยเรา พระองค์ทรงช่วยเหลือเราเยอะแยะ ตอนแรก ๆ นึกว่าไม่มีนึกว่าไม่มีความช่วยเหลือ ในพระเป็นเจ้ามีทุก ๆ อย่าง แล้วจะทำให้เราอดไม่ได้ที่จะรักพระเป็นเจ้า ยิ่งวันยิ่งมากขึ้น ไม่ใช่รักแบบงมงายจอมปลอมที่เราเคยเป็น ซึ่งเป็นความรักแท้ คนที่มีความรักแท้ในพระเป็นเจ้า จะเป็นคนที่สดชื่น เบิกบาน กล้าหาญ ทะนง คนที่มีความรักในพระเป็นเจ้าแท้จะเป็นแบบนี้

ขอให้พระวาจาของพระเป็นเจ้า ขอพระองค์ทรงพระเมตตาทุกคน

บทเทศน์โดยคุณพ่อสุทธิ ปุคะละนันท์
ภาพประจำตัวสมาชิก
sunofgod
โพสต์: 2477
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ย. 18, 2011 8:17 pm

อังคาร ก.ย. 18, 2012 5:36 pm

:s015:
ภาพประจำตัวสมาชิก
tuztiz
โพสต์: 423
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.พ. 19, 2007 7:45 pm

อังคาร ก.ย. 18, 2012 7:34 pm

:s002:
ภาพประจำตัวสมาชิก
sunofgod
โพสต์: 2477
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ย. 18, 2011 8:17 pm

อังคาร ก.ย. 18, 2012 7:38 pm

:s007:
เมจิ
โพสต์: 3257
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 22, 2011 6:44 pm

พุธ ก.ย. 19, 2012 8:30 pm

:s004: :s015: :s005: :s002:
ภาพประจำตัวสมาชิก
sunofgod
โพสต์: 2477
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ย. 18, 2011 8:17 pm

พุธ ก.ย. 19, 2012 8:56 pm

:s004:
เมจิ
โพสต์: 3257
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 22, 2011 6:44 pm

พุธ ก.ย. 19, 2012 9:03 pm

:s002: :s002:
ภาพประจำตัวสมาชิก
sunofgod
โพสต์: 2477
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ก.ย. 18, 2011 8:17 pm

พุธ ก.ย. 19, 2012 9:24 pm

:s005:
ตอบกลับโพส