พระเจ้าให้ผมเลิกบุหรี่และอบายมุข

แบ่งปัน คำพยาน ประสบการณ์ชีวิตกับพระเจ้า และการอัศจรรย์ ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำต่อชีวิตของเราแต่ละคน
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร ก.ค. 18, 2006 3:16 am

" พระเจ้าให้ผมเลิกบุหรี่และอบายมุข"
เขียนโดย คุณวิรัตน์ พรมลี


ผมชื่อวิรัตน์ พรมลี ปัจจุบันอายุ 39 ปี เป็นพนักงานธุรการของสมาคมพระคริสตธรรมไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2539 ผมเป็นคริสเตียนมา14 ปีแล้ว เป็นสมาชิกของคริสตจักรชีวิตใหม่สวนพลู ถนนสาทร กรุงเทพฯ ผมขอให้เรื่องราวของผมเป็นการตอบสนองพระคุณของพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด เป็นการแสดงความเคารพแก่ปู่ย่าและอา 2 คนผู้เลี้ยงดูผมตอนเป็นเด็ก และที่สำคัญที่สุดเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าผู้ทรงตามหาและฉุดผมขึ้นมาจากปลักแห่งความหายนะอย่างอัศจรรย์

ผมเกิดที่กรุงเทพฯ พ่อกับแม่เป็นชาวอีสานทั้งคู่และแยกทางกันตั้งแต่ผมอายุ 2 ขวบเพราะพ่อเป็นคนที่ชอบเล่นการพนันและดื่มเหล้ามาก และมักจะอยู่กับเพื่อน ๆ มากกว่าครอบครัว ซึ่งแม่ไม่ชอบนิสัยของพ่อตรงนี้ก็เลยเลิกร้างกันไป ผมมีน้องชายอีกคนหนึ่ง เมื่อพ่อแม่เลิกกันก็แบ่งลูกกันไปคนละคน แม่บอกว่าผมเป็นคนที่รักพ่อมากตั้งแต่เด็กมาแล้ว มักจะกอดและเล่นกับพ่อเป็นประจำ วันที่พ่อแม่เลิกกันผมร้องไห้ตามพ่อก็เลยได้ไปอยู่กับพ่อ และไม่ได้เจอกับแม่อีกเลยจนผมโตเป็นหนุ่ม พ่อได้พาผมไปอยู่บ้านอาที่ชลบุรีจนถึงอายุ 6 ขวบ ปู่ก็มารับกลับไปอยู่ที่จังหวัดอุบลราชธานี ผมอยู่กับปู่ย่า อาผู้หญิงสองคนและแฟนของอาอีกสองคน และลูกชายของอาคนที่ 3 ซึ่งพ่อแม่ของเขาก็เลิกร้างกันไปเหมือนกัน

ชีวิตของผมเริ่มต้นด้วยความทุกข์ยากที่นี่ เมื่อปู่รับผมมาแล้ว พ่อก็แทบจะลืมผมไปเลย พ่อทำงานเป็นกรรมกรอยู่ที่ท่าเรือคลองเตยในกรุงเทพฯ นานๆ จะกลับบ้านที่อุบลฯ สักครั้ง และไม่เคยซื้อของหรือส่งเงินหรือส่งข่าวอะไรมาบ้านเลย จนปู่กับย่าบอกผมว่าพ่อเอ็งตายไปแล้วมั้ง ผมเฝ้าถามตัวเองว่าเมื่อไหร่พ่อจะกลับเสียที ผมคิดถึงพ่อเหลือเกิน ผมจะดูรูปของพ่อหรือกระเป๋าเสื้อผ้าของพ่อที่ได้ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าเป็นประจำ หรือเวลาไปเลี้ยงควายก็จะขึ้นไปบนเนินสูงๆ ชะเง้อคอมองไปทางกรุงเทพฯ เห็นแต่เสาไฟฟ้าแรงสูงที่วิ่งผ่านทุ่งนา ซึ่งก็แปลกที่สิ่งเหล่านั้นช่วยคลายความคิดถึงพ่อได้ดีทีเดียว

ผู้ที่เลี้ยงดูผมในขณะที่พ่อไม่อยู่ด้วยก็คือปู่ย่าและอาทั้งหลาย ผมกับลูกของอาที่พ่อเขาเลิกไปต้องทำงานหนักมากในแต่ละวัน คือตื่นแต่เช้ามืดมาตำข้าวด้วยครกกระเดื่อง ถึงจะมีโรงสีในหมู่บ้านเราก็จะไม่ค่อยใช้เพราะโรงสีเขาจะให้แต่ข้าวกลับมาเท่านั้น แต่เราต้องการแกลบและรำเพื่อมาใช้งานด้วย ตำข้าวเสร็จก็ต้องไปตักน้ำมารดผักสวนครัวซึ่งแต่ละบ้านจะปลูกไว้กินเอง แล้วก็ตักน้ำบ่อและน้ำบาดาลมาใส่ตุ่มให้เต็มไว้กินและใช้ กว่าจะเต็มแต่ละตุ่มก็ประมาณ 5 - 6 หาบขึ้นไป แล้วจึงจะได้อาบน้ำแต่งตัวกินข้าวไปโรงเรียน ผมรู้สึกว่ามันเป็นงานที่หนักมากเพราะผมอายุ 6 - 7 ขวบเท่านั้น ชาวบ้านเขาสงสารผมสองคนมากที่ต้องทำงานหนักขนาดนี้ แต่ก็ต้องทำก็เพราะอาและย่าดุมาก ถ้าทำอะไรไม่ได้อย่างใจของเขา เขาก็จะลงโทษดุด่า แล้วก็ใช้มะเหงกสับลงไปบนหัวของเราสองคนอย่างเต็มแรงของเขา ถ้าร้องไห้ก็จะยิ่งโดนหนัก ผมกลัวมากเมื่อต้องถูกทำโทษแบบนี้ เวลากินข้าวพวกอาจะปั้นข้าวเหนียวให้คนละปั้นและให้กินนอกวงของผู้ใหญ่ เมื่อกินหมดปั้นที่เขาให้ ไม่อิ่มก็ต้องบอกว่าอิ่มเพราะไม่อยากเจ็บตัว แต่ถ้าไม่อิ่มจริงๆ ก็จะขอข้าวอีกปั้นโดยเสี่ยงเจ็บตัวด้วยมะเหงกและคำดุด่าอย่างเสียหายอีกหนึ่งชุด อย่างนี้เป็นประจำ ผมไม่รู้ว่าพวกเขาโกรธแค้นผมสองคนมาแต่ชาติไหนถึงได้ทำรุนแรงเหลือเกิน ทุกครั้งที่ถูกลงโทษ ผมจะคิดถึงพ่อมากๆ เพราะถ้าพ่อกลับมาจากกรุงเทพฯ พวกอาจะทำเป็นดีกับผมมาก ทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้หลุดพ้นจากปีศาจร้ายและพันธนาการของความทุกข์ยากลำบากชั่วคราว ตอนนั้นผมคิดว่าพวกเขาเป็น “คอมมูนิด” เสียด้วยซ้ำ แม้มีเรื่องที่จะพูดถึงบรรดาอาของผมมากมาย แต่ผมก็ต้องขอบคุณพวกเขาที่มีพระคุณเลี้ยงดูผมอยู่หลายปี
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร ก.ค. 18, 2006 3:19 am

ได้ยินเรื่องของพระเยซูครั้งแรก

ผมเรียนหนังสือที่โรงเรียนบ้านแก้งซาว จ. อุบลราชธานี ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำหมู่บ้าน ผมชอบเรียนหนังสือมาก แต่ไปโรงเรียนไม่ค่อยทันเพราะต้องทำงานที่บ้านให้เสร็จก่อน มิฉะนั้น จะโดนย่าและอาดุหรือทำโทษ ผมมักจะยืนเข้าแถวตรงประตูทางเข้าโรงเรียนเป็นประจำ ทั้งๆ ที่บ้านก็ไม่ไกลจากโรงเรียนเท่าไหร่ แต่กระนั้นการเรียนของผมก็ดีมากเพราะผมขยันเรียน ผมจะสอบได้ที่ 1 หรือที่ 2 เสมอ เพราะผมชอบเรียนแข่งกับคนที่เก่ง ๆ บางทีคุณครูก็ให้ผมช่วยตรวจการบ้านกับท่านด้วย วิชาที่ผมชอบมากคือภาษาอังกฤษ ต่างกับเพื่อนๆ ซึ่งไม่ชอบเรียนภาษาอังกฤษเอาเสียเลย พวกเขามักจะให้ผมช่วยทำการบ้านให้ บางทีคุณครูเห็นก็โดนทำโทษทั้งคู่ แต่ผมก็เต็มใจที่จะช่วยเขา เสร็จแล้วเขาก็จะให้ขนมหรือของกินอื่นๆ หรือเงินเป็นค่าจ้างบ้าง

ในวันที่ไปโรงเรียน ผมจะไม่ได้กินข้าวกลางวัน เพราะย่าและอาห้ามไม่ให้กลับไปกินข้าวกลางวันที่บ้าน ถ้ารู้จะต้องเจ็บตัวโดยการลงโทษตามแบบฉบับของพวกเขา คุณครูที่โรงเรียนท่านรู้ ท่านก็จะซื้อก๋วยเตี๋ยวหรือข้าวให้ผมกินบ้าง และบางครั้งเพื่อนๆ ก็ชวนกินข้าวกับพวกเขาด้วย

ย่าชอบให้ผมขาดเรียนเพื่อจะได้ไปเลี้ยงควาย ถ้าวันไหนย่าให้ทำแบบนี้ ผมจะเสียใจมากแต่ก็ไม่กล้าขัด กลัวโดนตี ผมแทบจะไม่เคยลาป่วยเลยเพราะผมชอบเรียนหนังสือและมีความสุขกับการเรียนและการทำกิจกรรมของโรงเรียนมาก เท่าที่จำได้ตั้งแต่เรียนชั้นประถมฯ 1 - 5 ผมตั้งใจขาดเรียนอยู่เพียงวันเดียวเท่านั้น นอกนั้นจะเป็นการถูกบังคับให้ขาดเรียนโดยย่าและอา คุณครูท่านก็ชอบความตั้งใจเรียนของผมและเคยชวนผมไปอยู่ด้วย ซึ่งผมก็อยากไปแต่ย่าไม่อนุญาต

วันหนึ่งเมื่อผมเรียนอยู่ชั้นประถมฯ 3 มีฝรั่งเข้ามาในโรงเรียนนั่งร้องเพลงเล่นกีตาร์ตามภาษาของเขา ผมยืนแหงนคอมองเขาอย่างสนใจแม้จะไม่เข้าใจภาษาก็ตาม แล้วเขาก็แจกหนังสือและใบปลิวด้วย ผมยังจำได้ดีแม้เวลาจะล่วงเลยมาถึง 30 ปีแล้ว หนังสือนั้นเป็นเรื่องที่พระเยซูช่วยให้ชายที่ชื่อลาซารัสฟื้นขึ้นมาจากความตาย และใบปลิวชื่อว่า “เราพบแล้วท่านพบหรือยัง” ผมเชื่อว่าพระเจ้ามีพระประสงค์อะไรบางอย่างกับชีวิตของผม ผมจึงจดจำเหตุการณ์นั้นได้เสมอ แต่ตอนนั้น ผมไม่ได้สนใจอะไรมาก รู้แต่ว่าชอบเรื่องพระเยซูในหนังสือนั้นเพราะผมชอบอ่านหนังสือ

ผมเรียนที่โรงเรียนบ้านแก้งซาวจนถึงชั้นประถมฯ 5 พ่อก็ไปรับมาอยู่ด้วยที่ชลบุรีเพื่อต่อชั้นประถมฯ 6 แต่ปรากฏว่าโรงเรียนของหมู่บ้านเขาไม้แก้ว อ. บางละมุง จ. ชลบุรี ยังไม่มีชั้นประถมฯ 6 ผมก็เลยไม่ได้เรียนหนังสืออีกเลย เมื่อไม่เรียนหนังสือก็ต้องทำงานรับจ้างทำไร่ช่วยพ่อทำมาหากิน ค่าแรงเวลานั้นคือวันละ 20 บาท แม้จะเป็นงานหนักและเหนื่อยแต่ดีอย่างที่ได้มาอยู่กับพ่อ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร ก.ค. 18, 2006 3:22 am

เข้าสู่อบายมุข

เมื่อมาอยู่กับพ่อ ผมเริ่มรู้จักเล่นการพนัน ดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ ผมสูบครั้งแรกเมื่อเพื่อนพาไปเป่าผึ้งตามลำห้วยและพุ่มไม้ โดยใช้มวนยาเส้นหรือยาฉุนหรือใช้ใบตองกล้วยมวนด้วยใบของต้นดอกขาวหรือต้นเสือหมอบที่ผึ้งชอบอาศัยทำรังอยู่ ไม่นานผมก็ติดบุหรี่ไปโดยปริยาย ชีวิตคนส่วนใหญ่ในท้องถิ่นนี้เริ่มต้นแต่ละวันด้วยการทำงานในไร่มันสำปะหลัง เย็นก็ตั้งวงกินเหล้าและเล่นไพ่กัน พ่อผมเองก็เล่นและกินดื่มตามสไตล์ของเขา มิหนำซ้ำ เราพ่อลูกยังดื่มเหล้าด้วยกันและเล่นการพนันวงเดียวกันโดยพ่อเป็นเจ้ามือและผมก็เป็นคนแทงมันเสียอย่างนั้น ตอนนั้นผมชอบเล่นการพนันมากและส่วนใหญ่เป็นการเล่นไพ่

ประมาณปี 2523.เมื่อผมอายุ 16 ปี ผมเริ่มมาทำงานในกรุงเทพฯ งานแรกเป็นโรงงานขนมในซอยสุทธิพร แถวดินแดง ได้เงินเดือน 600 บาทต่อเดือน อยู่ได้ประมาณ 2-3 เดือนก็กลับไปอยู่บ้านนอกอีก ปี 2524 กลับเข้ามากรุงเทพฯ อีกครั้ง ไปทำงานเป็นคนสวนอยู่บ้านผู้มีอันจะกินแถวราชวัตรได้เงินเดือน 300บาทต่อเดือน อยู่เดือนเดียวก็ลาออก จากนั้นในปี 2525 ไปทำงานที่โรงงานเฟอร์นิเจอร์แถวดาวคะนองซึ่งเป็นของญาติห่างๆ ซึ่งผมเรียกเขาว่าน้า เขาให้เป็นเด็กกวาดขี้กบ ขี้เลื่อย ซื้อกาแฟ ซื้อของให้กับช่างในโรงงาน น้าตั้งเงินเดือนให้ 900 บาทต่อเดือน แต่เขาให้อาหารที่พักและให้เงินพิเศษใช้ น้าค่อนข้างเป็นกันเอง ผมจึงอยู่อย่างสบายแต่ก็ไม่มีเงินเก็บ ผมทำงานอยู่ที่นี่แบบเข้า ๆ ออกๆ อยู่นานหลายปี จนได้เป็นช่างสีเฟอร์นิเจอร์ซึ่งรายได้ก็ดีขึ้น จนกระทั่งเป็นผู้รับเหมาเอง ที่นี่ผมเล่นการพนันและติดการพนันหนักกว่าตอนอยู่บ้านนอกเสียอีกเพราะรายได้ดีหาเงินง่าย ไม่ต้องส่งเสียทางบ้าน ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น ปล่อยชีวิตเต็มที่ ทั้งเที่ยวทั้งดื่มทั้งเล่น แต่ลึกๆ แล้ว ผมไม่อยากเป็นคนอย่างนี้เลย อยากเก็บเงินแต่เก็บไม่อยู่ ผมถูกผีการพนันเข้าสิงอย่างหนัก ผมเล่นหมดตัวทุกครั้ง จำนำแม้กระทั่งหม้อหุงข้าวที่ใช้อยู่ทุกวัน ได้แค่ 200 – 300 บาทก็เอามาเล่นการพนันหมด ปี 2530 – 2531 โรงงานเฟอร์นิเจอร์ของน้าเริ่มไม่คอยมีงาน มีคนชวนผมไปทำงานที่ภูเก็ต ผมรีบสมัครไปเพราะอยากไปมาก นายจ้างก็รีบรับทันทีเพราะเขาจะไปบุกเบิกการทำเฟอร์นิเจอร์ที่นั่น ทำงานที่ภูเก็ตสนุกมาก เงินดี ออเดอร์เยอะ เงินออกตรงเวลามีอาหารมีที่พักให้ นายจ้างก็แฟร์มากทั้งเครื่องดื่ม เหล้า บุหรี่ ซื้อมาให้ดื่ม กิน สูบไม่อั้น ขอให้ทำงานให้เขาเท่านั้น ชีวิตสนุกสนานเต็มที่ เที่ยวบาร์รำวงแทบทุกคืนเพราะภูเก็ตมีบาร์รำวงเยอะมาก

ผมเคยคิดอยากจะเลิกอบายมุขทั้งหมด อยากเป็นคนดีและสร้างเนื้อสร้างตัว แต่ก็ต้องแพ้ใจตัวเองและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งเป็นช่วงวัยหนุ่มด้วย ก็ยิ่งมีความลำบากในการต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้ มีช่วงหนึ่งที่ผมพยายามต่อสู้กับความต้องการของตัวเอง ผมวิ่งออกกำลังกายวันละเกือบ10 กิโลเมตร ทำได้เดือนกว่าๆ แต่แล้วก็เอาชนะใจตัวเองไม่ได้อีกเช่นเคย

ผมพยายามทำตามคำแนะนำของสื่อที่ว่าดีๆ ทุกอย่าง แต่ก็ล้มเหลว ผมยังใช้ชีวิตอย่างย่ำแย่ต่อไป และยังเริ่มคิดการใหญ่ขึ้นอีก อยากทำงานรับเหมากับเขาบ้างเพราะเห็นเขาได้เงินกันเยอะ ผมเริ่มเบื่อโรงงานที่ทำอยู่ทั้งๆ ที่ดีทุกอย่างยกเว้นตัวผมเอง เมื่ออยู่ได้ปีกว่าก็ออกไปเฉยๆ โดยไม่บอกนายจ้าง เพราะกลัวเขาไม่ให้ออก แล้วก็ไปรับงานกับเพื่อนที่โรงงานใหม่แถวอ่าวฉลองในภูเก็ตนั่นเอง แต่ไม่เป็นอย่างที่นึกฝันเอาไว้ มันแย่กว่าที่เก่ามาก ที่โรงงานใหม่นี้มีแต่คนกินเหล้าหนักๆ สูบกัญชาหนักๆ กันทั้งนั้น แม้เขาจะไม่ค่อยเล่นการพนันกัน ผมนึกเสียดายงานเก่าแต่ไม่กล้ากลับไป กลัวเสียศักดิ์ศรี ผมผิดหวังและรู้สึกว่าชีวิตมีแต่จมลงๆ ทุกที และเริ่มเบื่อชีวิตแบบนี้ เมื่อคิดถึงพ่อแม่ ก็ไม่รู้จะกลับไปหาท่านทำไมถ้าไม่มีเงิน มีแต่จะทำให้ท่านต้องเดือดร้อนเปล่าๆ ผมจึงไม่ค่อยส่งข่าวให้พ่อแม่ได้รู้ว่าผมทำอะไรอยู่ที่ไหน ผมก็คงเหมือนกับพ่อสมัยหนุ่มๆ เช่นกัน หลังจากอยู่โรงงานใหม่ไม่กี่เดือน ผมก็ตัดสินใจลาภูเก็ตในปี 2532 กลับมาอยู่โรงงานของน้าที่ดาวคะนองในกรุงเทพฯ อีกครั้งหนึ่ง แต่ชีวิตผมก็เข้าอีหรอบเดิมทุกประการ ไม่มีเปลี่ยนแปลง
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร ก.ค. 18, 2006 3:24 am

พระเจ้าเรียกผมอีก

หลังจากที่พระเจ้าทักทายผมเมื่ออายุ 9 ขวบโดยฝรั่งที่มาเล่นกีต้าร์และแจกหนังสือที่โรงเรียนที่อุบลฯ ตอนนี้ผมอายุ 25 ปีพอดี คนไทยเชื่อว่าวัยเบญจเพสถ้าดีก็จะดีตลอด แต่ถ้าไม่ดีก็จะไม่ดีตลอดเช่นกัน ขณะที่กำลังรู้สึกเบื่อชีวิตเดิมเหลือเกิน ผมคิดจะไปบวชเรียนแบบไม่สึกอีกเลย ที่วัดดอนหายโศก จังหวัดอุดรธานี เป็นวัดป่าที่ผมเคยไปพัฒนากับเพื่อนๆ สมัยเป็นทหารเกณฑ์ แต่แล้วพระเจ้าคงรู้ทันความคิดของผมและให้ผมเจอสิ่งที่ดีจากพระองค์ก่อน

ผมไม่คิดว่าจะมีพระเจ้าที่สนใจใยดีอะไรกับคนอย่างผม เพราะผมก็ไม่ได้สนใจเรื่องของพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย แล้ววันแห่งชีวิตใหม่ ฟ้าใหม่ วันแห่งความรอด (จากบาป) ก็มาถึงผม

วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ในเดือนมีนาคมปี 2534 เป็นธรรมดาของหนุ่มบ้านนอกอย่างผมที่นึกไม่ออกว่าจะไปไหนก็ต้องไปเดินเล่นที่สวนลุมพินี ถนนพระราม 4 ในกรุงเทพฯ ไปพักผ่อน ไปจีบสาว ไปดูอะไรต่อมิอะไรในวันหยุด เที่ยวอยู่จนกระทั่งเย็น กำลังจะกลับบ้านจึงเดินมาที่ทางออกด้านถนนสีลม เห็นมีคนยืนร้องเพลงกันอยู่ก็เลยหยุดฟัง นึกว่าเขาร้องเพลงหาเงินเหมือนที่เคยเห็น มารู้ทีหลังว่าเป็นพี่น้องคริสเตียนจากคริสตจักรอิมมานูเอลย่านประตูน้ำและคริสตจักรชีวิตใหม่สวนพลูแถวสาทร พวกเขามาร้องเพลงแจกใบปลิวประกาศเรื่องของพระเจ้าอย่างนี้เป็นประจำ (จนถึงปัจจุบัน)

จริงๆ แล้วผมก็ไปที่สวนลุมฯ บ่อยแต่แปลกใจที่ไม่เคยเห็นคริสเตียนกลุ่มนี้เลย พอเห็นเป็นครั้งแรกก็สนใจและทำให้ผมนึกย้อนกลับไปเมื่ออายุ 9 ขวบตอนเรียนอยู่ชั้นประถมฯ 3 ที่ได้อ่านเรื่องของพระเยซูเป็นครั้งแรก ผมยังรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างว่าทำไมผมจึงมาได้ยินเรื่องนี้อีก ผมไม่เข้าใจแต่ก็ยืนฟังเขาร้องเพลง แล้วก็มีคนหนุ่มสาวมาแจกใบปลิวและคุยกับผมพร้อมทั้งชวนผมไปที่คริสตจักรของเขาในอีกหนึ่งอาทิตย์ถัดไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร ก.ค. 18, 2006 3:32 am

เลิกบุหรี่

ในวันอาทิตย์ที่นัดไว้ มีอนุชนหนุ่มคนหนึ่งมารับผมไปที่คริสตจักรชีวิตใหม่สวนพลู แถวถนนสาทร ที่คริสตจักรแห่งนี้มีคนเยอะมากและมีคนทุกวัยตั้งแต่ผู้อาวุโส คนหนุ่มสาว เด็ก และแม้แต่เด็กเล็ก ผมเคยคิดว่าคริสเตียนส่วนใหญ่ต้องเป็นฝรั่งเพราะศาสนาคริสต์เป็นของฝรั่งและคิดว่าเขาจะใช้ภาษาอังกฤษเท่านั้น ซึ่งผมก็ชอบภาษานี้อยู่แล้วและอยากเรียนด้วย แต่ไม่ใช่เลย! ผิดหมด! ทั้งหมดเป็นคนไทยและใช้ภาษาไทยธรรมดาๆ ในการสอนพระคำของพระเจ้า

ผมรู้สึกประทับใจมากที่พวกเขาทักทายต้อนรับผมอย่างเป็นกันเอง ทั้งๆ ที่ผมไม่เคยรู้จักพวกเขาเหล่านี้มาก่อน และผมก็แปลกใจที่ไม่เห็นใครในคริสตจักรนี้สูบบุหรี่กันเลยสักคน ผมอยากบุหรี่จนน้ำลายไหลแต่เกรงใจไม่กล้าสูบให้ใครเห็น เลยแอบเข้าไปสูบในห้องน้ำของคริสตจักร หลังจากการประชุมในคริสตจักรเลิกแล้ว ก็มีการกินข้าวเที่ยงกันและมีกิจกรรมกลุ่มต่างๆ เสร็จแล้วก็ได้เวลาที่เขาต้องออกไปประกาศเรื่องของพระเจ้าตามที่ต่างๆ เหมือนทุกอาทิตย์ที่ผ่านมา

ผมก็ขึ้นรถออกไปกับพวกเขาด้วย เวลานั้นผมหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ พราะเห็นว่าอยู่นอกคริสตจักรแล้ว พี่คนหนึ่งเห็นเข้าเขาก็ถามผมว่า “น้องติดบุหรี่ด้วยหรือ” ผมบอกว่า “ครับ” เขาก็ถามอีกว่า “อยากเลิกบุหรี่ไหม” เขาบอกว่าก่อนเขามาเชื่อพระเจ้าเขาก็สูบบุหรี่หนักเหมือนกัน แต่พอมาเชื่อพระเจ้าเขาก็เลิกสูบไปเลย ในใจผมก็คิดว่าดีเหมือนกันนะผมก็ตั้งใจจะเลิกอยู่แล้ว

พี่คนนี้จึงชวนให้คนอื่นๆ ที่มาด้วยกันร่วมกันอธิษฐานขอพระเจ้าประทานความเข้มแข็งให้ผมเลิกบุหรี่ ตอนนั้นผมยังไม่เชื่อ แต่เห็นว่ามีบรรยากาศดีๆ หลายอยางที่นี่ก็เลยรับความตั้งใจอันดีของเขาไว้ทั้งที่ไม่เข้าใจ แล้ววันนั้นก็เป็นวันสุดท้ายที่ผมสูบบุหรี่ แต่ด้วยความเสียดายบุหรี่ที่เหลืออยู่ในซองเพราะเพิ่งจุดสูบไปมวนสองมวนเท่านั้น จะทิ้งก็เสียดายจึงเก็บไปฝากเพื่อนที่โรงงาน และวันรุ่งขึ้นผมก็อดบุหรี่ได้เลย ช่วงแรกก็ยังอยากสูบบุหรี่อยู่มากๆ ประมาณ 1 อาทิตย์ ยิ่งช่วงทานข้าวเสร็จเรียกว่าเป็นเวลาที่ทรมานมากที่สุด แต่ครั้งนี้อัศจรรย์กว่าครั้งไหนๆ เพราะผมสามารถเอาชนะใจตัวเองได้ ทำได้ยังไงก็ยังงงอยู่เหมือนกัน ผมเริ่มสูบบุหรี่ตั้งแต่อายุ 12 ปีและสูบวันละซองมาหลายปี จนถึงวันที่เลิกก็อายุ 25 ปีรวมทั้งหมด 13 ปี ผมขอบคุณพระเจ้า นี่เป็นการอัศจรรย์ครั้งแรกที่ผมเริ่มพึ่งพาพระเจ้า

เมื่อผมได้อ่านพระคริสตธรรมคัมภีร์ ผมพบข้อความที่เขียนไว้ว่า พระเยซูทอดพระเนตรดูบรรดาสาวกและตรัสว่า “สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ แต่ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า” (มัทธิว 19:26) และอีกตอนหนึ่งคือ พระเยซูทอดพระเนตรพวกเขาแล้วตรัสว่า “ส่วนมนุษย์ก็เหลือกำลังที่จะทำได้ แต่ไม่เหลือกำลังของพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง” (มาระโก 10:27)

พระเจ้าอวยพรผมมาก ผมตัดสินใจเชื่อพระเจ้ามาตั้งแต่บัดนั้นคือปี 2534 จนกระทั่งเดี๋ยวนี้เข้าปีที่ 14 แล้ว ขอบพระคุณพระเจ้าที่ทุกวันนี้พระองค์ได้เข้ามาอยู่ในชีวิตของผม ช่วยให้ผมเลิกอบายมุขทุกอย่างดังที่ได้เล่ามาข้างต้นไม่ว่าจะเป็นเหล้า บุหรี่ การพนัน การเที่ยวแบบที่ผู้ชายเขาชอบกัน ผมเลิกได้หมดและอย่างเด็ดขาดด้วย ไม่เหมือนตอนที่พึ่งแต่กำลังของตนเอง

พระเจ้าช่วยผมให้เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่มีความสุข แม้ไม่ได้ร่ำรวยหรือมีสิ่งที่ใฝ่ฝันทุกอย่างแต่ผมก็ไม่ขัดสนในสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตในแต่ละวัน ผมเคยเป็นคนใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย มักจะใช้จ่ายเกินกว่าที่หามาได้และไม่เคยมีเงินเก็บ ต้องไปหยิบยืมเงินคนอื่นเป็นหนี้เป็นสินเขาอยู่เป็นประจำ เมื่อผมมาเป็นคริสเตียน มีคำสอนในพระคริสตธรรมคัมภีร์และการเตือนสติจากพี่น้องคริสเตียนให้รู้จักกินและใช้จ่ายกับสิ่งที่จำเป็นอย่างเหมาะสม

เมื่อผมเป็นคนใหม่ ผมสามารถเก็บเงินจำนวนหนึ่งเพื่อซื้อที่ดินและสร้างบ้านหลังเล็กๆ ให้พ่อได้อยู่อาศัยตามอัตภาพที่ชลบุรี ผมมีโอกาสนำน้องสาวต่างพ่อมารับเชื่อพระเจ้า ซึ่งชีวิตแต่งงานของเขาในอดีตก็มีปัญหาจนต้องหย่าร้างกันไป ปัจจุบันเมื่อเขาได้รับชีวิตใหม่ในพระเจ้า เขาก็มีสันติสุขมาก และพระเจ้าได้อวยพรให้เขาได้เข้าทำงานในโรงแรมระดับห้าดาวแห่งหนึ่งในตำหน่งเฟิร์สท์กุ๊กห้องอาหารอิตาเลี่ยนมาเป็นเวลาเกือบสิบปีแล้ว ส่วนพ่อกับแม่ของผมยังไม่เชื่อพระเจ้า แต่ท่านก็ไม่ต่อต้านและยังเห็นดีด้วยที่ชีวิตของผมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ทุกวันนี้ เมื่อมีโอกาส ผมก็จะเป็นพยานและเล่าเรื่องของพระเจ้าให้พ่อแม่ฟังอยู่เสมอ ท่านก็สนใจดีมาก หวังว่าไม่นานนี้ท่านคงตัดสินใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เจ้าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของท่าน นอกจากนั้น ผมได้เรียนรู้ที่จะรักและให้อภัยคนอื่น รู้จักที่จะเคารพรักญาติพี่น้องของผม เหนือสิ่งอื่นใด ขอบคุณพระเจ้าที่ผมได้กลับมาเรียนหนังสืออีกครั้งหนึ่งหลังจากออกจากโรงเรียนแค่ชั้นประถมฯ 5 ซึ่งผ่านมาถึงยี่สิบกว่าปีแล้วและผมเองคิดว่าคงไม่มีโอกาสที่จะได้เรียนหนังสืออีกแล้ว แต่ผมก็ได้เรียนการศึกษานอกโรงเรียนภาคค่ำจนจบชั้นมัธยมปลาย และผมกำลังวางแผนว่าจะเรียนให้ถึงระดับมหาวิทยาลัยต่อไป

ทั้งหมดนี้ ผมอยากจะบอกว่าเป็นการทรงนำของพระเจ้าจริงๆ หากไม่ใช่เป็นเพราะพระคุณและความรักของพระเจ้าแล้ว ชีวิตของผมก็คงลงห้วยลงเหวหรือติดหล่มจนไม่สามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้อีกเลย ขอบคุณพระเจ้าอย่างสุดหัวใจจริงๆ ที่พระองค์ช่วยชี้ทางสว่างให้กับชีวิตของผม หลังจากเดินทางผิดอยู่ในความมืดตั้งหลายปี

นี่คือเรื่องจริงของชีวิตของผม ผมอยากบอกท่านด้วยความรักของพระเจ้าว่าพระองค์รักท่านเหมือนกับที่พระองค์รักผมและมนุษย์ทุกคน พระเจ้าจะช่วยกอบกู้ชีวิตที่เคยผิดพลาดให้สามารถเริ่มต้นใหม่ได้อย่างแน่นอน หากท่านยอมรับพระองค์ด้วยใจจริง ท่านอยากจะมีชีวิตใหม่เหมือนผมไหมครับ?

“เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า ผู้สั่งสอนเจ้าเพื่อประโยชน์ของเจ้า ผู้นำเจ้าในทางที่เจ้าควรจะไป” (อิสยาห์ 48:17)

http://www.thaibible.or.th/index.php?op ... ก็ถามผมว่า
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

อังคาร ก.ค. 18, 2006 7:51 pm

ความรักมั่นคงของพระองค์ ดำรงนิจนิรันดร์
ภาพประจำตัวสมาชิก
yuki
โพสต์: 681
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 01, 2006 5:02 am

พุธ ก.ค. 19, 2006 12:52 am

เมื่อไหร่พระองค์จะทรงนำพาครอบครัวของผมให้เข้าสู่อ้อมกอดของพระองค์เสียที
ภาพประจำตัวสมาชิก
NKL
โพสต์: 189
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 01, 2005 7:32 pm
ติดต่อ:

พุธ ก.ค. 19, 2006 9:00 pm

ตอนนี้ผมยังเป้นท่อนำพระพรที่สนิมกรังอยู่ครับ รอพระองค์ช่วยขัดถูล้างสนิมท่อให้
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

พุธ ก.ค. 19, 2006 9:15 pm

NKL เขียน: ตอนนี้ผมยังเป้นท่อนำพระพรที่สนิมกรังอยู่ครับ รอพระองค์ช่วยขัดถูล้างสนิมท่อให้

เราต้องขัดถูกเองค่ะ  : emo027 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
NKL
โพสต์: 189
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ธ.ค. 01, 2005 7:32 pm
ติดต่อ:

พุธ ก.ค. 19, 2006 9:27 pm

~@Little lamb@~ เขียน:
NKL เขียน: ตอนนี้ผมยังเป้นท่อนำพระพรที่สนิมกรังอยู่ครับ รอพระองค์ช่วยขัดถูล้างสนิมท่อให้

เราต้องขัดถูกเองค่ะ  : emo027 :
ผมทำคนเดียวไม่ไหวครับ ล้มหัวฟาดพื้นทุกที : xemo031 :
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

พฤหัสฯ. ก.ค. 20, 2006 9:48 am

Y u K i เขียน: เมื่อไหร่พระองค์จะทรงนำพาครอบครัวของผมให้เข้าสู่อ้อมกอดของพระองค์เสียที
พระองค์อาจจะทรงเล็งเห็นแล้วว่า คุณอยู่บนโลกนี้ยังสร้างสรรค์โลกได้สวยงามนะครับ : emo045 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. ก.ค. 20, 2006 1:37 pm

เวลาลูกขอปลา  พระเจ้าไม่เคยส่งปลาให้ค่ะ
แต่พระองค์จะสอนวิธีตกปลาให้ค่ะ

แม้ลูกจะตกได้บ้าง  ไม่ได้บ้าง หรือ โดนตะขอตำบ้าง
แต่ที่สุดแล้วลูกจะตกปลาและหาปลากินเองเป็นค่ะ

ดังนั้น....ตอนนี้จะหกล้มบ้าง แต่ถ้าลุกได้ทุกครั้ง  ก็โอเคแล้วค่ะ
พระองค์จะชื่นชมในความพยายามของคุณ
internazionale7

ศุกร์ ก.ค. 21, 2006 4:57 pm

แต่ละคนนั้นย่อมมีประสบการ์ณกับพระบิดา ซึ่งแตกต่างกันไป

พระองค์ท่านทำงานอยู่ตลอดเวลาครับ
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

ศุกร์ ก.ค. 21, 2006 10:58 pm

internazionale7 เขียน: แต่ละคนนั้นย่อมมีประสบการ์ณกับพระบิดา ซึ่งแตกต่างกันไป

พระองค์ท่านทำงานอยู่ตลอดเวลาครับ
ถูกต้องครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
yuki
โพสต์: 681
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 01, 2006 5:02 am

เสาร์ ก.ค. 22, 2006 2:05 am

Batholomew เขียน:
Y u K i เขียน: เมื่อไหร่พระองค์จะทรงนำพาครอบครัวของผมให้เข้าสู่อ้อมกอดของพระองค์เสียที
พระองค์อาจจะทรงเล็งเห็นแล้วว่า คุณอยู่บนโลกนี้ยังสร้างสรรค์โลกได้สวยงามนะครับ : emo045 :
งงครับ ผมหมายถึง อยากให้คนในครอบครัวกลับใจหน่ะ
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

เสาร์ ก.ค. 22, 2006 2:08 am

Y u K i เขียน:
Batholomew เขียน:
Y u K i เขียน: เมื่อไหร่พระองค์จะทรงนำพาครอบครัวของผมให้เข้าสู่อ้อมกอดของพระองค์เสียที
พระองค์อาจจะทรงเล็งเห็นแล้วว่า คุณอยู่บนโลกนี้ยังสร้างสรรค์โลกได้สวยงามนะครับ : emo045 :
งงครับ ผมหมายถึง อยากให้คนในครอบครัวกลับใจหน่ะ
อ่อครับ เข้าใจผิดเองครับ

สวดมาก ๆ นะครับ เพราะผมเองก็กำลังสวดขอพระองค์เรื่องนี้เหมือนกันครับ
ตอบกลับโพส