---+Opus Dei+---

แบ่งปัน คำพยาน ประสบการณ์ชีวิตกับพระเจ้า และการอัศจรรย์ ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำต่อชีวิตของเราแต่ละคน
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พฤหัสฯ. ก.ย. 27, 2007 7:29 pm

หลายคนรู้จักชื่อ Opus Dei จากนวนิยายลวงโลก ดาวินชี่ปะติโค้ด ในทางเลวร้ายและใส่ความ ยิ่งหนังด้วยแล้ว ทำโทนออกมาเหมือนองค์กรนักฆ่า ทั้งที่จริงมันไม่ได้เป้นแบบนั้นเลย

ในขณะที่ผู้แต่งนิยายลวงโลกรับทรัพย์กับการให้ร้ายคนอื่น บรรดาผู้สนับสนุนจำนวนไม่น้อยก็หลงเชื่อว่า องค์กรนี้คงเลวร้ายจริง

แต่คนที่ดี และมีสมอง สามารถศึกษาหาความจริงได้ไม่ยาก และนี่คือความจริงที่ไม่ใช่นิยาย ของ นักบุญผู้ก่อตั้งองค์กรนี้

หมายเหตุ-บทความนี้เขียนเมื่อสมัยพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่2 ยังดำรงตำแหน่ง และพระสันตะปาปาคนปัจจุบันยังเป็นพระคาลดินัล รัสซิงเกอร์




รูปภาพ

นักบุญโฮเซมารีอา เอสกรีวา เดอ บาละเกวอ

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม ค.ศ.2002 ที่ลานหน้ามหาวิหารนักบุญเปโตร สมเด็จพระสันตะปาปายอนห์นปอล ที่ 2 ทรงประกอบพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณแต่งตั้งนักบุญองค์ใหม่คือ นักบุญโฮเซมารีอา เอสกรีวา เดอ บาละเกวอ (St.Josemaria escriva de Balaguer) ผู้สถาปนาคณะพันธกิจของพระเจ้า (Opus Dei) การแต่งตั้งนักบุญครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากการเสียชีวิตของท่าน 27 ปี ก่อนหน้านี้ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นบุญราศีเมื่อปี 1992 การได้รับแต่งตั้งเป็นนักบุญครั้งนี้สืบเนื่องมาจากที่พระสันตะปาปาทรงยอมรับอัสจรรย์ที่เกิดขึ้นจากการวอนขอบุญราศีโฮเซมาเรีย ในปี 1992 ของนายแพทย์ มานูเอลเนวาโดเรย์ (ปัจจุบันอายุ 70 ปี) ที่ได้รับทรมานจากโรคทางผิวหนังที่เกิดจากการถูกรังสีเอ็กซ์-เรย์มากไปในช่วงทศวรรษ 1950-1960 แต่ที่สุดนายแพทย์ท่านนี้ก็หายจากโรคอย่างที่ทางการแพทย์ไม่สามารถอธิบายได้ (และอัศจรรย์อื่นๆ อีก 2 เหตุการณ์ที่รับรองอย่างเป็นทางการ)

รูปภาพ

ในวันประกาศตั้งนักบุญองค์ล่าสุดของพระศาสนจักรครั้งที่มีสัตบุรุษมาร่วมพิธีถึง 300,000 คน และมีตัวแทนระดับสูงของรัฐบาลสเปน, อิตาลี, เคนยา, หลายประเทศในอเมริกาใต้ มีผู้แสวงบุญกลุ่มใหญ่จากสเปนและอิตาลีรวมไปถึงเม็กซิโก จากอเมริกาใต้, เยอรมัน, สหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศส

นักบุญโอเซมารีอาเอสกรีวา นับเป็นนักบุญองค์ที่ 48 ที่พระสันตะปาปาองค์ปัจจุบันประกาศให้เป็นนักบุญโดยผู้ได้รับประกาศเป็นนักบุญขณะนี้มีทั้งสิ้น 465 องค์
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ พฤหัสฯ. ก.ย. 27, 2007 11:09 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พฤหัสฯ. ก.ย. 27, 2007 7:30 pm

นักบุญโฮเซมารีอา :พระเจ้ายังคงทำงานอยู่ในโลกทุกวันนี้ของเรา

โดย พระคาร์ดินัลโจเซฟ รัตซิงเกอร์
สมณกระทรวงสัจธรรมและความเชื่อ


ข้าพเจ้าประทับใจอย่างมากกับคำอธิบายของโฮเซมารีอา เอสกรีวาถึงที่มาของคำว่า “Opus Dei” ทำให้เราเข้าใจความคิดทางจิตวิญญาณของผู้ก่อตั้งคณะนี้ เอสกรีวารู้ว่าท่านต้องค้นพบบางสิ่ง แต่ก็สำนึกดีว่าสิ่งที่ท่านพบไม่ใช่ผลงานของท่านไม่ได้คิดประดิษฐ์สิ่งใดขึ้นมาด้วยตัวเอง แต่เป็นพระเป็นเจ้าเป็นผู้ใช้งานท่านเพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เป็นผลงานของทานแต่เป็น Opus Dei (God’s Work) ท่านเป็นเพียงเครื่องมือสำหรับปฏิบัติงานของพระเจ้าเท่านั้น

ด้วยการคิดถึงสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าจดจำได้ถึงพระวาจาของพระเจ้าจากพระวรสารนักบุญยอห์นที่ว่า “พระบิดาของเราทรงทำงานเสมอ เราจึงต้องทำงานด้วย” (ยน 5:17) เป็นพระวาจาของพระเยซูเจ้าทรงถกเถียงกับหัวหน้าชาวยิวที่ไม่เชื่อว่าพระเจ้ายังคงทำงานของพระองค์แม้จะเป็นวันพรเจ้าก็ตาม ประเด็นดังกล่าวยังคงเป็นเรื่องถกเถียงกันในยุคสมัยของเรานี้ด้วย มีหลายคนที่คิดว่าหลังจากพระเป็นเจ้าทรงสร้างโลกแล้วพระองค์ได้ทรง “ถอน” ตัวเองออกไปและไม่ได้ให้ความสนใจในชีวิตประจำวันของมนุษย์เราอีกแล้ว แต่เราได้รับคำยืนยันจากพระวาจาของพระเยซูเจ้าว่า มนุษย์ที่เปิดใจรับการดำรงอยู่ของพระเจ้า จะรู้ดีว่าพระเจ้าคงทำงานอยู่เสมอและยังคงทำงานอยู่ทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นแล้วเราต้องให้พระองค์เสด็จเข้ามาในตัวเราและให้พระองค์ทำงาน สิ่งนี้ทำให้มนุษยชาติมีอนาคตและเกิดขึ้นใหม่

ทั้งหมดนี้ช่วยเราเข้าใจว่าทำไมโฮเซมารีอา เอสกรีวาจึงบอกกว่าท่านไม่ได้เป็น “ผู้ก่อตั้ง” สิ่งใด เพียงแต่เป็นบุคคลหนึ่งที่ต้องการทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า การปฏิบัติและงานของท่านก็ล้วนแต่เป็นของพระเจ้าทั้งสิ้น ความคิดทางเทววิทยาของเอสกรีวาตรงกับพระวาจาของพระเยซูเจ้า ที่ให้เชื่อมั่นว่าพระเจ้าจะไม่ถอนตัวไปจากโลกของเรา ยังคงทำงานอยู่ในทุกวันนี้ทั้งหมดที่เราต้องทำคือให้พระองค์เป็นผู้ใช้เราไป ให้ตัวของเราเองเหมาะสมกับพระองค์ และตอบเสียงเรียกของพระองค์ นี้คือถ้อยคำที่สำคัญจริงๆ เป็นถ้อยคำที่ทำให้เราเอาชนะสิ่งยั่วยวนใจในยุคสมัยนี้ โดยเฉพาะความเชื่อที่ว่าหลังจากโลกกำเนิดขึ้นมาแล้ว พระเจ้าก็ได้ถอนตัวออกไปจากประวัติศาสตร์ แต่แท้ที่จริงพระเจ้ายังคงอยู่ทั้งในธรรมชาติและในโลกมนุษย์

รูปภาพ

ผู้สถาปนาคณะพันธกิจของพระเจ้ากล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่ได้ประดิษฐ์สิ่งใดขึ้นมาเลยแต่เป็นพระเจ้าเป็นผู้ทำงาน ข้าพเจ้าก็แค่ผู้พร้อมที่จะรับใช้พระองค์ในฐานะเครื่องมือของพระองค์” สิ่งนี้ทำให้เราเข้าใจคำว่า Opus Dei ได้ดียิ่งขึ้น เรายังคงติดต่อกับพระเจ้าผู้ทรงสร้างเราขึ้นมาทำงานเพื่อเราและประทับอยู่กับเรา ดังที่เราอ่านพบในพระคัมภีร์ฉบับอพยพ (33:11) “พระเจ้าจะเสด็จมาสนทนากับโมเสสสองต่อสองเหมือนเพื่อนคุยกัน” คำว่า “คุยกับเพื่อน” เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนำมาใช้กับโฮเซมารีอา เอสกรีวา เพราะท่านเป็นผู้เปิดประตูของโลกให้พระเจ้าเสด็จเข้ามา ทรงทำงานและเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง

ด้วยแสงสว่างเช่นนี้ทำให้ง่ายยิ่งขึ้นที่จะเข้าใจคำว่า “ศักดิ์สิทธิ์” และ “กระแสเรียกสากลสู่ความศักดิ์สิทธิ์” ถ้าเราไม่ค่อยทราบความเป็นมาของนักบุญทั้งหลายหรือรู้เพียงแค่ต้องสืบสวนคุณธรรมฤทธิ์กุศลที่ยิ่งใหญ่มากมายกว่าจะได้รับการแต่งตั้งเป็นนักบุญ เราอาจจะเข้าใจคำว่า “ความศักดิ์สิทธิ์” อย่างผิดๆ ก็เป็นได้ เช่นอาจจะบอกว่าความศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่เรื่องของฉัน เพราะฉันไม่มีทางที่จะบรรลุถึงความศักดิ์สิทธิ์ได้ หรือเป็นคุณธรรมที่สูงส่งเกินไปสำหรับฉัน ความศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์ผู้นั้นทำสิ่งยิ่งใหญ่ด้วยตัวของเขาเอง แต่ในสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้นสิ่งใดก็ตามที่เขาทำ ขอให้เป็นงานของพระเจ้า หรือพูดได้ว่า การเป็นคนศักดิ์สิทธิ์ไม่มีอะไรมากไปกว่าการพูดคุยกับพระเจ้าเหมือนเพื่อนคุยกับเพื่อน นั่นแหละคือความศักดิ์สิทธิ์

การเป็นคนศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเป็นคนดีเหนือคนอื่น นักบุญอาจจะเป็นคนที่อ่อนแอมากและทำผิดมากมายในชีวิตก็เป็นได้ แต่ความศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่การติดต่อสัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างลึกซึ้ง เป็นเพื่อนกับพระเจ้า ปล่อยให้เป็นการกระทำของพรเจ้าผู้รับรองได้ว่าโลกนี้ยังดีงามและเป็นโลกแห่งความสุขที่นักบุญโฮเซมารีอาพูดถึงกระแสเรียกสู่ความสักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ ก็คือนักบุญไม่จำเป็นต้องทำสิ่งเหลือเชื่อ แต่ปล่อยให้เป็นงานของพระเจ้า เพราะฉะนั้นพลังแห่งความดีงามจะเกิดขึ้นใหม่ได้เสมอแม้ความอ่อนแอของมนุษย์จะยังคงอยู่ตลอดเวลาก็ตาม เราแต่ละคนต่างได้รับเรียกมาให้เปิดตัวเองสู่มิตรภาพของพระเจ้า อย่าได้ปล่อยมือจากพระองค์ อย่าย่อท้อ จงหันมาและกลับมาหาพระเจ้า พูดคุยกับพระองค์เช่นเราคุยกับเพื่อน เรารู้ดีว่าพระเจ้าเป็นเพื่อนแท้ของเราทุกคน แม้แต่ผู้ที่ไม่สามารถทำสิ่งยิ่งใหญ่ด้วยตัวของเขาเองก็ตาม

ทั้งหมดนี้ทำให้ข้าพเจ้ามองเห็นอย่างชัดเจนขึ้นถึงประวัติของคณะพันธกิจของพระเจ้า (Opus Dei) ซึ่งเชื่อมโยงได้อย่างดีระหว่างความซื่อตรงอย่างสมบูรณ์ต่อธรรมเนียมของพระศาสนจักรกับความเชื่อของท่านนักบุญในเรื่องของความเรียบง่ายและและการเปิดหัวใจอย่างไร้เงื่อนไข ในโลกทุกวันนี้ที่เป็นโลกแห่งวิชาการความรู้ โลกของการทำงาน โลกของเศรษฐกิจ ฯลฯ ไม่ว่าใครก็ตามที่เชื่อมโยงตัวเองเข้ากับพระเจ้า ผู้ที่ภาวนาอย่างสม่ำเสมอกับพระองค์ ก็จะกล้าที่จะเผชิญกับการท้าทายทั้งหลาย และไม่กลัวสิ่งใดอีกต่อไปเพราะผู้ที่อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าแม้จะตกลงมาก็ยังมีพระหัตถ์รองรับอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ความกลัวก็จะหายไป ความกล้าจะเกิดขึ้นเพื่อเผชิญกับโลกทุกวันนี้ต่อไป

(ภูมินทร์พงษ์ไกรกิตติแปลและเรียบเรียงจาก L’OSSERVATORE ROMANO-weekly editionin English n.41 (1763)-9 October 2002)
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ พฤหัสฯ. ก.ย. 27, 2007 9:48 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พฤหัสฯ. ก.ย. 27, 2007 7:31 pm

รู้จักนักบุญโฮเซมารีอาและ Opus Dei กับคุณพ่ออัลฟอนโซ แด ยวง, เอส.เจ.

ให้คุณพ่อช่วยแนะนำให้เรารู้จักนักบุญองค์นี้เพราะเมืองไทยังไม่รู้จัก
นักบุญโฮเซมารีอา บอกว่าความศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ชีวิตประจำวันของแต่ละคนไม่ว่าอยู่ในสถานภาพใดผู้ชายผู้หญิง เป็นคนใช้คนงาน เป็นกรรมกร เป็นหมอ เป็นทนาย เป็นนักเขียน เป็นนักการเมือง เป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวสมาชิกในอาชีพ ทั้งหมดนี้คุณสามารถดำเนินชีวิตอย่างครบครันได้ขึ้นกับว่าคุณซื่อสัตย์กับชีวิต ทำงานให้ดีที่สุด ในเวลาเดียวกันก็ให้ภาวนาดำเนินชีวิตศักดิ์สิทธิ์ในการแก้บาปรับศีลไปร่วมมิสซา สวดภาวนาเท่าที่มีเวลาอย่าให้งานแย่งเวลาทั้งหมด สำหรับหล่อเลี้ยงจิตใจ อันนี้เป็นจุดเด่นของโฮเซมารีอา

ถ้าจะถามว่านักบุญองค์นี้มีอะไรเด่นพิเศษไหม ต้องตอบว่าไม่มี นักบุญองค์นี้ปฏิรูปอะไรของพระศาสนจักรท่านก็ตอบเองว่าไม่ได้ปฏิรูปอะไร นักบุญนี้สร้างอะไรใหม่ก็ไม่ใช่ แต่ก็มีความหมายสำหรับพระศาสนจักรเพราะนักบุญเน้นว่าเรามีความหมายต่อพระศาสนจักรบอกว่าเราศักดิ์สิทธิ์ เต็มไปด้วยบุญได้โดยไม่ต้องทำอะไรพิเศษ แต่ให้ทำหน้าที่ที่เรามีในสถานภาพของเรามีให้ดีที่สุด

นักบุญโฮเซมารีอานำคำสอนนี้มาสอนผู้คนในสังคมของสเปนทั้งก่อนสงครามกลางเมืองและยังช่วยให้คนสบายใจได้เยอะ ให้คนที่มีอายุแล้วจะเป็นพระสงฆ์นักบวชก็ไม่ได้จะทำอะไรมากก็ไม่ได้เพราะมีลูก 5 คน 7 คน นักบุญโฮเซมารีอาก็เลยนำคำสอนมาบอกกับชาวบ้านธรรดาเหล่านี้

คณะนี้ก็มีทั้งพระสงฆ์และฆราวาส มีพระสงฆ์เป็นสมาชิกของคณะและอภิบาลสมาชิกของเขาด้วยนอกจากนั้นก็มีพระสงฆ์ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกแต่เป็น associatedmember เป็นเพื่อนยินดีทำงานด้วยกัน แล้วก็มีสมาชิกที่เป็นฆราวาสทั้งที่แต่งงานและไม่ได้แต่งงาน สำหรับฆราวาสที่เป็นสมาชิกกลุ่มนี้ก็ถือด้านจิตใจของคณะ มีโอกาสไปปรึกษากับคุณพ่อ ไปเข้าเงียบกับสมาชิกคณะนี้อ่านหนังสือที่เป็นจิตตารมณ์ของคณะ เอาจิตตารมณ์ของคณะมาใช้ในชีวิตประจำวันและนำจิตตารมณ์มาใช้ในงานอาชีพด้วยและมีส่วนบริจาคทรัพย์สินเพื่องานของกลุ่มทำให้บางครั้งเกิดปัญหาขึ้นเพราะฆราวาสแต่ละคนก็มีอาชีพอิสระ คณะไม่ได้เข้าไปยุ่ง บางครอบครัวสามีเป็น ลูกไม่เป็น สามีภรรยาเป็นลูกไม่เป็น เราก็ต้องเข้าใจเขา สมาชิกคณะบางคนเป็นนักเขียนเขาก็เขียนเรื่องการเมืองเรื่องสังคม ก็เป็นความคิดของคนหนึ่ง ถ้าเราไม่เห็นด้วยก็ไม่เห็นด้วย จะมาบอกว่าความคิดของเขาเป็นความคิดของคณะนี้ก็ไม่ใช่ เพียงแต่ว่าความคิดการกระทำของเขาต้องอยู่ในขอบเขตศีลธรรมจริยธรรมก็เท่านั้น เราต้องมีใจกว้างก็เหมือนกับที่เมืองไทยมีหมอคนหนึ่งฆ่าแฟนของเขา เราจะมาโทษหมอทุกคนก็ไม่ได้ จะมาโทษสถาบันหรือมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้


รูปภาพ

ปัญหาก็คือส่วนใหญ่คนมักจะไปโยงชีวิตส่วนตัวของสมาชิกคณะกับคณะทั้งหมด
ครับ แล้วบางครั้งก็มาบอกว่าทำไมสมาชิกคณะใช้อิทธิพลของนักการเมืองคนนี้คนนั้นเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มเขา ทุกยุคทุกสมัยก็เป็นแบบนี้ เยสุอิตเองก็เคยโดนเรื่องนี้เหมือนกัน ก็ถูกหาว่าเข้าออกพระราชวังของกษัตริย์สเปนไปฟังแก้บาปราชินีแล้วใช้อิทธิพลเพื่อผลประโยชน์อย่างนี้อย่างนั้น แต่เมื่อเรามาศึกษาประวัติศาสตร์ ราชินีก็เป็นคาทอลิกก็ต้องแก้บาปรับศีล เมื่อคุณพ่อเยสุอิตรู้จักราชินีก็แนะนำเรื่องดีๆ หรือให้ช่วยเหลือกบางอย่างส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องดี แต่ก็มีบ้างที่อาจสร้างปัญหา ช่วงหลังเยสุอิตก็พยายามช่วยคนยากคนจนให้มากที่สุดเช่นในละตินอเมริกา ก็ถูกหาว่าเยสุอิตมายุ่งกับการเมืองเป็นพวกซ้าย พวกคอมมิวนิสต์   
               
                   ในชีวติของนักบุญโฮเซมารีอาทำให้ฆราวาสบวชเป็นพระสงฆ์ประมาณ1,000 คน เป็นจิตตารมณ์ของคณะสำหรับฆราวาสผู้ชายที่อายุยังไม่มากมีอาชีพ ยังไม่ได้แต่งงานและฝ่ายผู้ใหญ่ของคณะก็เห็นว่าเขาเหมาะสมที่เป็นพระสงฆ์ จะรับใช้พระศาสนจักรได้ในอีกรูปแบบหนึ่งหลังจากเรียนเทวศาสตร์จบก็จะได้บวชคือมาบวชตอนเป็นผู้ใหญ่แล้ว

ในประเทศสเปนคณะนี้คนทั่วไปรู้จักดี
รู้จักครับ เราทุกคนรู้จักมานานเพราะคณะนี้ก็เกิดในสเปน แล้วโอเซมารีอาเขียนหนังสือเล่มหนึ่งทำให้คนรู้จักทั่วโลกที่แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า A Way พิมพ์มาแล้ว 372 ครั้งใน 42 ภาษา 5 ล้านเล่ม พ่อโซ่เองตอนอายุ 13-14 ก็อ่านหนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือที่มีพลัง เราต้องเข้าใจสเปนสมัยนั้น เพราะคณะนี้เกิดก่อนสงครามกลางเมืองไม่นานสมัยนั้นต้องต่อสู้เพื่อเป็นสเปนเดียวกันก็มีกลุ่มพวก anti-church ด้วย หลังสงครามกลางเมืองสเปนก็มีชนชั้นกลางมากขึ้นพวกนี้ก็แสวงหาความหมายของชีวิตอีกครั้ง คนที่รู้จักโฮเซมารีอาจะบอกว่าท่านเป็นคนที่มีบุคลิกภาพดี และเป็นคนรักลูกน้องมากเหมือนพ่อรักลูก คณะของเขาสนับสนุนพระศาสนจักรพระสันตะปาปา สนับสนุนนโยบายของพระศาสนจักรและเดินทางสายกลาง ชนชั้นกลางก็เลยรับคณะนี้ได้ง่ายและทำให้ชีวิตของเขาก็มีความหมาย ชีวิตของนักบุญผู้นี้ไม่มีอะไรพิเศษมากๆ เป็นพระสงฆ์ที่ศรัทธาซื่อสัตย์ทำให้ทุกอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ทั้งชีวิตพระสงฆ์ งานการบริหาร จุดเด่นก็อยู่ในสิ่งที่ไม่เป็นจุดเด่น ให้ชีวิตธรรมดามีคุณภาพ เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีของคนธรรมดา

รูปภาพ



จุดเด่นของคณะนี้อยู่ที่สมาชิกแต่ละคนขึ้นอยู่กับพระสังฆราชอธิการคณะคนเดียว
ใช่สำหรับพ่อเรื่องนี้ก็ไม่เป็นปัญหาตรงไหน ก็เหมือนกับว่าเราเป็นคนไทยเป็นคาทอลิกมีประมุขคือพระสันตะปาปาอยู่ที่กรุงโรม เป็นเรื่องของจิตใจ จิตตารมณ์ความเชื่อของเรามากกว่า พ่อคิดว่าถ้าพระเยซูชาวนาซาเร็ธเสียชีวิตก่อนออกเทศนาสั่งสอน 3 ปี จะไม่มีใครรู้จักไม่มีร่องรอยในโลกเลย แล้วถามว่าถ้าเสียชีวิตก่อน 3 ปี พระเยซูได้ไถ่บาปมนุษย์ไหมก็ได้ไถ่บาปให้เราเป็นลูกพระเจ้าทุกอย่างสมบูรณ์แบบ เพราะชีวิตของพระเยซูในโลกนี้แม้แต่วินาทีเดียวก็มีค่าไม่มีขอบเขต พระบุตรของพระเจ้าวันเดียวในโลกพอแล้ว แล้วถามว่าทำไมต้องมีอีก 3 ปี ก็เพราะว่าพระองค์ต้องหาลูกศิษย์ต้องตั้งพระศาสนจักร เพื่อจะได้สืบต่อไปให้มนุษย์รู้เรื่อง และพระองค์ใช้เวลาแค่ 3 ปี เร็วมากต้องการลูกศิษย์แค่ 12 คน และหนึ่งในนั้นยังทรยศอีก แต่ที่สำคัญคือพระเยซูก่อนหน้านั้นก็ดำเนินชีวิตธรรมดา ชีวิตของพระนางมารีย์ก็ธรรมดา ชีวิตของนักบุญโยเซฟก็ธรรดา

คุณพ่อคิดว่าคณะนี้จะมีโอกาสเข้ามาในประเทศไทยบ้างหรือเปล่า
ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร เพราะเขาก็ขึ้นกับพระศาสนจักรอยู่แล้ว ในประเทศไทยมีคณะนักบวชต่างๆ รวมกันน่าจะประมาณ 20-30 คณะ แต่ในพระศาสนจักรทั้งหมดมีคณะต่างๆ หลายร้อย จะมาเมื่อไรอย่างไรก็แล้วแต่ ตอนนี้พระศาสนจักรในประเทศไทยก็มีคณะใหม่อีกคณะอยู่แล้วคือ อิเดนเตส (Identes) มีพระสงฆ์ไทยคนแรกคือ พ่อคมกฤช (อนามนารถ) เพิ่งบวชเป็นพรงสงฆ์ปี 2001 เขาก็ทำงานเป็นครูมาก่อน บวชเสร็จก็ไปอยู่ที่เวียงป่าเป้า และมิสซังเชียงใหม่มอบวัดและโรงเรียนให้ดูแล คณะนี้ก็ก่อตั้งใกล้ๆ กับ Opus Dei คนก่อตั้งก็เป็นชาวสเปนเหมือนกัน เขาก็มีสมาชิกที่เป็นพระสงฆ์และฆราวาส และมีสมาชิกฆราวาสเป็นอาจารย์ที่จุฬาอยู่
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ พฤหัสฯ. ก.ย. 27, 2007 10:14 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พฤหัสฯ. ก.ย. 27, 2007 7:33 pm

ประวัติย่อ

นักบุญโฮเซมารีอา เอสกรีวา ผู้ก่อตั้ง พระพันธกิจแห่งพระเป็นเจ้า (Opus Dei)ได้เสนอแนวทางใหม่อันเป็นหนทางสู่ความศักดิ์สิทธิ์แก่พระศาสนจักร ขึ้นแนะหนทางบรรลุสู่ความศักดิ์สิทธิ์แก่บรรดาชายหญิงโดยการปฏิบัติภารกิจและกิจวัตรประจำวันด้วยจิตวิญญาณแห่งคริสตชน พระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ทรงเรียกท่านว่า “หนึ่งในบรรดาพยานผู้ยิ่งใหญ่ของคริสตชน” และผู้ปูทางให้กับการสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2

ประวัตวัยเยาว์

โฮเซมารีอา เอสกรีวาเกิดที่เมืองบารบาสโตร ประเทศสเปน เมื่อวันที่ 9 มกราคม ค.ศ.1902 (พ.ศ.2445) มีพี่สาว 1 คนชื่อ คาร์เมน ส่วนน้องสาวอีก 3 คนเสียชีวิตตั้งแต่วัยเยาว์ มีน้องชาย 1 คนชื่อ ซานติอาโก บิดาของท่านชื่อ โฮเซ และมารดาชื่อ โดโลเรส ให้การอบรมอย่างลึกซึ้งในแบบคริสตชน

เมื่ออายุได้ 2 ขวบ หนูน้อยโฮเซมารีอาล้มป่วยอย่างหนักแพทย์ผู้ดูและคือ คุณหมอแคมป์ส และ คณะหมอโกเมซ ได้ใช้ความพยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้อาการของหนูน้อยดีขึ้น แต่ก็ไม่เป็นผล อย่างไรก็ตามบิดามารดาของท่านก็ยังไม่เลิกล้มความหวัง ท่านทั้งสองสวดอ้อนวอนขอให้พระเป็นเจ้าทรงช่วยคืนสุขภาพที่ดีให้แก่ลูก มารดาสัญญาต่อพระนางพรหมจารีมารีอา หากบุตรชายอาการทุเลาขึ้น นางจะพาบุตรชายไปยังสักการสถานพระมารดาแห่งตอร์เรชิอูดาด (Torreciudad) เช้าวันรุ่งขึ้น คุณหมอแคมป์เดินทางมาเยี่ยมครอบครัวเอสกรีวาและถามว่า “หนูน้อยเสียชีวิตเวลาเท่าไร?” แต่เด็กน้อยกลับมีสุขภาพดีหลังจากนั้นไม่นาน นางเอสกรีวากับสามีก็ออกเดินทางโดยมีม้าเป็นพาหนะไปยังสักการสถานดังที่สัญญาไว้กับแม่พระ โดยมีหนูน้อยโฮเซอยู่ในอ้อมแขนของนาง นับเป็นครั้งแรกที่พระแม่ได้แสดงถึงความรักที่ทรงมีต่อหนูน้อยให้เป็นที่ประจักษ์หลายปีต่อมามารดากล่าวกับท่านว่า “ ลูกเอ๋ย แม่พระทรงให้ลูกมีชีวิตยืนยาวต่อไปก็เพื่อบางสิ่งบางอย่างที่พิเศษ เพราะเจ้าเกือบเอาชีวิตไม่รอดเสียแล้ว”

รูปภาพ

การตอบรับกระแสเรียก
ปีค.ศ.1915 ครอบครัวเอสกรีวาย้ายถิ่นฐานไปพำนักอยู่ที่เมืองโลโกรโนเนื่องจากบิดาของท่านนักบุญได้งานใหม่ที่เมืองนี้ ก่อนที่ท่านจะจบการศึกษาอีกเพียงแค่ 6 เดือน ขณะนั้นอายุ 16 ปี มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นซึ่งส่งผลกระทบอันใหญ่หลวงต่อท่าน ในเวลาเช้าของวันหนึ่งซึ่งหิมะกำลังตกหนัก ท่านได้ออกไปข้างนอกบ้านแลเห็นรอยเท้าเป็นทางยาวอยู่ที่พื้นซึ่งปกคลุมไปด้วยหิมะรอยเท้านี้เป็นของภราดาคาร์เมไลท์ท่านหนึ่งซึ่งเดินด้วยเท้าเปล่า ภราดาท่านนี้มีนามว่า คุณพ่อโฮเซ มิเกล การที่ท่านได้เห็นการพลีกรรมของบุรุษผู้ศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ โฮเซมารีอาก็สัมผัสได้ถึงการดลใจของพระจิตเจ้าและรับรู้ได้ถึงพระกระแสเรียกเป็นครั้งแรก “หากคนอื่นยังสามารถทำพลีกรรมถวายแด่พระเป็นเจ้า เพื่อเห็นแก่ความรักของพระองค์ได้แล้วไฉนฉันจึงจะอยู่เฉยเสียโดยไม่ทำอะไรสักสิ่งหนึ่งเพื่อถวายแด่พระองค์บ้างเชียวหรือ?”

นับจากนั้นเป็นต้นมา ท่านก็เริ่มมีความคิดที่จะเป็นสถาปนิก แต่อย่างไรก็ตาม ท่านก็มีความเห็นว่า ควรให้ทุกสิ่งเป็นไปตามพระประสงค์ของพระเป็นเจ้า ท่านจึงได้ตัดสินใจที่จะบวชเป็นพระสงฆ์ เริ่มเข้าศึกษาต่อในสามเณราลัยที่โลโกรโน และต่อมาที่ซารากอสซา ได้รับปริญญาทางกฎหมายด้วย บิดาถึงแก่กรรมในปีค.ศ.1924 ท่านจึงต้องรับหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัวด้วยท่านได้รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ.1925 เริ่มงานอภิบาลที่วัดแห่งหนึ่งในชนบทและต่อมาที่ซารากอสซา ได้รับปริญญาทางกฎหมายด้วย

ในปีค.ศ.1927 โดยความเห็นชอบของพระสังฆราชที่ปกครอง คุณพ่อโฮเซมารีอา ย้ายมาที่กรุงมาดริด เพื่อศึกษาวิชากฎหมายในระดับปริญญาเอก ในระหว่างที่ยังศึกษาอยู่ท่านก็ได้ทำหน้าที่จิตตาภิบาลขององค์กรการกุศลที่ดำเนินงานโดยนักบวชหญิงที่มีชื่อว่า “มูลนิธิเพื่อผู้ป่วย” (The Foundation of the Sick)

รูปภาพ

การก่อตั้งคณะพันธกิจแห่งพระเป็นเจ้า
วันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ.1928 ระหว่างการเข้าเงียบพระเป็นเจ้าทรงสำแดงให้ท่านนักบุญทราบอย่างแน่ชัดถึงภารกิจที่ท่านใคร่ครวญกับตนเอง มาตั้งแต่ครั้งยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น ท่านตระหนักอย่างมั่นใจว่า นี่เป็นภารกิจที่ท่านจะต้องอุทิศชีวิตทั้งหมดเพื่อการนี้ แม้นว่าจะยังไม่มีชื่อเรียกในขณะนั้น แต่คณะพันธกิจแห่งพระเป็นเจ้า (Opus Dei) ก็ถือกำเนิดขึ้น จากวันนั้นเป็นต้นมา ท่านปฏิบัติงานทุ่มเทเต็มกำลังความสามารถเพื่อกระทำตามพระประสงค์ของพระเป็นเจ้า ท่านเป็นเครื่องมือที่สัตย์ซื่อในการเริ่มหนทางสู่ความศักดิ์สิทธิ์ของคริสตชนโดยอาศัยภารกิจการงานของเขา กล่าวว่า “หนทางบนโลกที่จะนำพาไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์เปิดไว้สำหรับเราอยู่แล้วด้วยความเรียบง่ายของการดำเนินชีวิตธรรมดาสามัญของคริสตชน, การเป็นประดุจเชื้อแป้งในโลก สิ่งที่เราทำเรื่องธรรมดาสามัญขอให้กระทำต่อไปตามวิถีทางปกติ วิถีทางของเราก็คืองานประจำวันของเรานี่เอง ทุกๆ คน ก็สามารถจะเป็นนักบุญได้!


รูปภาพ

ในช่วงที่ทำหน้าที่ต่างๆ ที่ได้รับมอบหมายในฐานะพระสงฆ์ทุกๆ วันท่านได้ไปสัมผัสกับคนยากไร้และคนป่วยไข้ตามโรงพยาบาลและชุมชนของผู้ยากไร้ในกรุงมาดริด วันหนึ่งในช่วงต้นปีค.ศ.1930 พระสงฆ์ผู้ทำหน้าที่เป็นวิญญาณารักษ์ของท่านได้ถามว่า “แล้วงานของพระเป็นเจ้า จะเป็นไปในหนทางใด?” คุณพ่อโฮเซมารีอารู้สึกประทับใจด้วยนามที่เหมาะสมของภารกิจในความรับผิดชอบของท่าน “งานของพระเป็นเจ้า” (The Work of God) หรือในภาษาละติน “Opus Dei” เป็นชื่อที่แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดถึงสิ่งที่ท่านกำลังจะดำเนินงานต่อไป จากเวลานั้นเป็นต้นมา ท่านก็ถือเอานามนี้เป็นชื่อของภารกิจ “พันธกิจ” เป็นชื่อที่เรียบง่าย

รูปภาพ
คุณพ่อโฮเซมารีอาได้แนะนำแนวทางเกี่ยวกับชีวิตภายในแก่ชายหนุ่มเป็นจำนวนยิ่งวันยิ่งทวีมากขึ้นบางคนในจำนวนนี้ก็รับรู้ถึงกระแสเรียกและทำการตอบรับที่จะอุทิศชีวิตของพวกเขาให้กับคณะพันธกิจแห่งพระเป็นเจ้าท่านให้การฝึกอบรมแก่พวกเขาให้มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงความหมายของการเสาะแสวงหาความศักดิ์สิทธิ์ในโลก และเริ่มฝึกฝนพวกเขาเกี่ยวกับการเจริญชีวิตภายในโดยแสดงให้เห็นถึงวิธีที่จะสนทนากับพระเป็นเจ้าในทุกๆ ขณะของวันในความสัมพันธ์ส่วนตัวซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ พฤหัสฯ. ก.ย. 27, 2007 10:27 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พฤหัสฯ. ก.ย. 27, 2007 7:34 pm

สงครามกลางเมืองในมาตุภูมิ
งานต่างๆ เริ่มจะดำเนินไปได้ครึ่งทางในช่วงระหว่างปีค.ศ.1930 สงครามกลางเมืองก็อุบัติขึ้นในปีค.ศ.1936 การเบียดเบียนทางศาสนาส่งผลให้คุณพ่อโฮเซมารีอา ซึ่งขณะนั้นอยู่ที่กรุงมาดริดต้องลี้ภัยไปตามสถานที่ต่างๆ ท่านปฏิบัติหน้าที่ในการแพร่ธรรมในฐานะพระสงฆ์อย่างลับๆ จนกระทั้งในที่สุดสามารถหลบหนีออกจากกรุงมาดริดได้ ครั้งหนึ่งท่านพักอาศัยอยู่ในแฟลตแห่งหนึ่งร่วมกับกลุ่มผู้ลี้ภัย มีชายผู้หนึงซึ่งขณะนั้นก็ยังไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร แต่ในหลายปีต่อมาชายผู้นี้หวนระลึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น เล่าให้ฟังว่า “กำลังทหารกองหนุนได้ตรวจค้นหาทั่วทุกซอกทุกมุม ตั้งแต่ห้องใต้ดินจนถึงห้องใต้หลังคา.. ในสถานการณ์เช่นนี้ คุณพ่อโฮเซมารีอาไม่ประสงค์จะให้เหล่าผู้ลี้ภัยต้องเสียชีวิตโดยปราศจากแม้แต่โอกาสที่จะได้รับศีลอภัยบาป จึงแอบกระซิบว่า “ผมเป็นกระสงฆ์ เรากำลังตกที่นั่งลำบาก ถ้าหากพวกคุณต้องการจะสารภาพบาปผมก็จะโปรดบาปให้” น่าประหลาดใจยิ่งหลังจากที่พวกทหารตรวจค้นทั่วทั้งอาคาร พวกเขาไม่ได้เข้ามาในห้องที่พวกเราอยู่ นับเป็นความกล้าหาญอย่างยิ่งของท่านที่มาบอกให้ผมทราบว่าท่านเป็นพระสงฆ์ เพราะผมอาจจะหักหลังท่านก็ได้ โดยอาจจะบอกให้พวกทหารทราบถึงฐานะของท่าน หากพวกเขาเข้ามาตรวจค้น ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะรักษาชีวิตของตัวผมเอง”

รูปภาพ

เมื่อสงครามยุติลงในปี ค.ศ.1939 ท่านบุญราศีเดินทางกลับมายังกรุงมาดริด และหลายปีต่อมาท่านก็ได้เทศน์อบรมฟื้นฟูจิตใจให้กับบรรดาฆราวาสพระสงฆ์และสมาชิกของคณะ และในปีเดียวกัน ท่านก็สำเร็จปริญญาเอกทางกฎหมาย

พัฒนาการของคณะพันธกิจแห่งพระเป็นเจ้า
ในปีค.ศ.1946 ท่านบุญราศีย้ายถิ่นพำนักมาที่กรุงโรม ณ ที่นี้ท่านสำเร็จปริญญาเอกทางเทวศาสตร์จากมหาวิทยาลัยลาเตรัน และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาของสภาวาติกัน 2 แห่ง ได้รับเกียรติให้เป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของสถาบันเทววิทยาแห่งสันตะสำนักและเป็นพระสงฆ์ผู้ใหญ่ใกล้ชิด (Prelate of Honour) ของสมเด็จพระสันตะปาปาปีโอ ที่ 12 ท่านติดตามการเตรียมการเพื่อการสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 อย่างใกล้ชิดรวมถึงได้เข้าร่วมประชุมอีกหลายครั้งในช่วงระหว่างปี ค.ศ.1962-1965 ท่านร่วมปรึกษาหารือกับคุณพ่ออีกหลายท่านที่เป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษา

คุณพ่อโฮเซมารีอาเป็นผู้มีวิสัยทัศน์อันกว้างไกลเป็นเลิศ ทัศนคติของท่านในด้านกิจกรรมต่างๆ ของคณะท่านจะคำนึงถึงชนจากทุกวิถี คริสชนนิกายต่างๆ และผู้ที่นับถือศาสนาอื่นหรือแม้กระทั่งผู้ไม่มีศาสนาท่านเริ่มขยายงานของคณะอย่างจริงจังและส่งผู้แทนไปก่อตั้งศูนย์ทำงานซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นประเทศในแถบยุโรปตะวันตกได้แก่อิตาลี, โปรตุเกส, อังกฤษและไอร์แลนด์ และประเทศที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือ กลางและใต้ของทวีปอเมริกา และภายหลังในประเทศเคนยา, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, ฟิลิปปินส์และไนจีเรีย

รูปภาพ

ท่านมักเดินทางจากกรุงโรมเพื่อไปยังประเทศต่างๆ ในแถบยุโรปซึ่งรวมถึงสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์ ทั้งนี้ก็เพื่อนที่จะปูทางเพื่อการขยายงานของคณะในดินแดนเหล่านี้ และด้วยเหตุผลอันเดียวกันนี้เอง ในช่วงปีค.ศ.1970-1975 ท่านออกเดินทางไกลทั่วทั้งประเทศเม็กซิโก สเปน, โปรตุเกส, อเมริกาใต้และกัวเตมาลา เทศน์สอนคำสอนให้ชนกลุ่มใหญ่ทั้งหญิงและชาย กล่าวถึงความจริงขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับความเชื่อให้พวกเขาฟังซึ่งเป็นสิ่งเดียวกับที่ท่านปฏิบัติมาโดยตลอด อธิบายถึงคุณค่าของการงาน และความจำเป็นของผู้คนในเรื่องศีลศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพราะอย่างยิ่งศีลศักด์สิทธิ์แห่งการคืนดีกับพระเป็นเจ้า ความหมายของการแต่งงานและชีวิตครอบครัว และหน้าที่รับผิดชอบของคริสตชนที่จะเกื้อกูลระหว่างผู้มีความเชื่อเดียวกันที่จะทำให้เกิดผลจริงในภาคปฏิบัติ ท่านปราศรัยอย่างจับใจเรื่องที่เกี่ยวกับการปกป้องพระศาสนจักรและไม่เกรงกลัวที่จะพูดถึงการแบกกางเขนการพลีกรรมและการละจากกิเลสต่างๆ
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ พฤหัสฯ. ก.ย. 27, 2007 10:26 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พฤหัสฯ. ก.ย. 27, 2007 7:35 pm

วาระสุดท้ายของท่าน
ท่านถึงแก่มรณกรรมในวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ.1975 ด้วยอาการหัวใจล้มเหลว ภายในหน้องหนึ่งใสสำนักงานศูนย์กลางของคณะพันธกิจแห่งพระเป็นเจ้าในกรุงโรมที่ท่านมักจะใช้เวลาทำงานวันละหลายๆ ชั่วโมงทุกๆ วันที่ห้องนี้ทุกคราวที่ก้าวเข้ามาในห้องนี้ท่านมักจะชำเลืองมองภาพพระแม่เจ้าแห่งกวาดาลูป (Our Lady of Guadalupe) และก่อนที่จะล้มลงที่พื้น ท่านก็ได้แสดงการทักทายด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความรักต่อภาพนี้อีกเป็นครั้งสุดท้ายพระเป็นเจ้าทรงโปรดประทานให้ตามคำวิงวอนของท่านคือ ให้ท่านสิ้นลมขณะสายตาจับจ้องไปยังภาพของพระแม่

รูปภาพ

การประกาศแต่งตั้งเป็นบุญราศี
ภายหลังการมรณกรรมของท่าน จดหมายจำนวนนับพันฉบับถูกส่งมายังกรุงโรม เพื่อขอให้พระสันตะปาปาพิจารณาสอบสวนแต่งตั้งคุณพ่อโฮเซมารีอาขึ้นเป็นบุญราศีและนักบุญในสารบบ ในจำนวนนี้มีจดหมายจากพระคาร์ดินัล 69 องค์และพระสังฆราชอีก 1,300 องค์ มากกว่าหนึ่งในสามของจำนวนพระสังฆราชทั่วโลก อัศจรรย์มากมายที่ได้รับโดยอาศัยคำเสนอวิงวอนของท่าน รวมถึงการหายจากอาการเจ็บป่วยที่ไม่สามารถอธิบายได้ ในปีค.ศ.1976 ภคินีคณะคาร์เมไลท์ท่านหนึ่งนาม Concepcion Boullon Rubio ขณะอยู่ในขั้นตรีทูตจากการป่วยด้วยโรคที่ไม่ใคร่พบบ่อยคือ โรคไลโปมาโตซิส (Lipomatosis) แต่กลับหายได้อย่างเฉียบพลันและกลับมีสุขภาพสมบูรณ์ หลังจากที่สมาชิกในครอบครัวร่วมกันสวดภาวนาขอให้พระเป็นเจ้าช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยนี้ ทั้งนี้โดยอาศัยคำเสนอวิงวอนของท่านบุญราศีโฮเซมารีอา
รูปภาพ


อัศจรรย์ในครั้งนี้ทำให้คุณพ่อเอสกรีวาได้รับแต่งตั้งให้เป็นบุญราศี โดยความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ของคณะกรรมการตรวจสอบทางกายภาพแห่งสมณกระทรวงเพื่อการแต่งตั้งขึ้นเป็นนักบุญ (The Board of Physicians for the Congregation of the Causes of Saints) การประชุมของสภาที่ปรึกษาทางเทววิทยา (the Theological Consultors) สมณกระทรวงแห่งพระคาร์ดินัลและพระสังฆราช (The Congregation of Cardinals and Bishops) และท้ายที่สุดโดยสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2

ภายหลังการสอบสวนอย่างละเอียดถี่ถ้วน เกี่ยวกับชีวิตและการงานของคุณพ่อเอสกรีวา ซึ่งกระบวนการนี้กินเวลานานถึงเกือบ 10 ปี พระสันตะปาปาทรงประกาศแต่งตั้งท่านขึ้นเป็นบุญราศีในวันที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ.1992 ณ จัตุรัสนักบุญเปโตรพร้อมกันกับ บุญราศีโยเซฟฟินบาคีต้า (Josephine Bakhita) ท่ามกลางฝูงชนซึ่งถือเป็นอีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่มีผู้คนมาร่วมชุมนุมกันเป็นจำนวนมากถึง 300,000 คน รวมถึงพระคาร์ดินัล 46 องค์และพระสังฆราชเกือบ 300 องค์ พระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ทรงมีพระดำรัสว่า “ด้วยความหยั่งรู้เหนือธรรมชาติ บุญราศีโฮเซมารีอาได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่ระย่นย่อต่อความเหนื่อยยากใหนการเทศน์สอนให้ชาวโลกได้ทราบถึงกระแสเรียกให้หันมาสู่ความศักดิ์สิทธิ์และในการปฏิบัติหน้าที่แพร่ธรรม องค์พระคริสต์ทรงมีพระกระแสเรียกชาวเราทุกคนให้หันกลับมาสู่ความศักดิ์สิทธิ์ในความเป็นจริงแห่งชีวิตประจำวันของเรา นับแต่นี้เป็นต้นไป การงานถือเป็นเครื่องมือสำหรับชาวเราที่จะนำไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์และเผยแผ่พระธรรมคำสอน หากว่าเรากระทำด้วยความเป็นหนึ่งเดียวกับองค์พระเยซูคริสต์”

ท่านได้รับประกาศแต่งตั้งเป็นนักบุญ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2002
******************************
*ไลโปมาโตซิสเป็นโรคเกี่ยวกับการสะสมของไขมันที่ผิดปรกติ

(แปลและเรียบเรียงโดย “สิริมาลา”)

อุดมศานต์ นิตยสารคาทอลิกรายเดือน มกราคม 2546/2003 หน้าที่ 26 – 34.
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ พฤหัสฯ. ก.ย. 27, 2007 10:20 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Batholomew
~@
โพสต์: 12724
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 2:28 pm
ที่อยู่: Thailand

ศุกร์ ก.ย. 28, 2007 1:20 am

นัักบุญโฮเซมารีอา ช่วยวิงวอนเทอญ
nasyzus
โพสต์: 28
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 24, 2007 8:01 pm
ที่อยู่: 45/1 ซ.แม่เนี้ยว2 ถ.ประชาสงเคราะห์21 เขตดินแดง แขวงดินแดง กรุงเทพมหานคร 10400

ศุกร์ ก.ย. 28, 2007 7:38 pm

ขอบคุณสำหรับความรู้ค่ะ :cheesy:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อังคาร ต.ค. 02, 2007 4:09 pm

คำสอนของนักบุญโฮเซมารีอา เอสกรีวา เดอ บาละเกวอ

พบพระเจ้าในชีวิตประจำวัน
“จงเข้าใจในสิ่งนี้ให้ดี มีบางสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่สัมพันธ์กับพระเจ้า ซ่อนอยู่สถานการณ์ที่ธรรมดาสามัญที่สุด ขึ้นอยู่กับพวกเราแต่ละคนที่จะต้องค้นพบด้วยตัวเอง เราจะต้องเรียนรู้ที่จะพบพระเจ้าในชีวิตธรรมดาของเรา ไม่มีวิถีทางอื่นอีกแล้ว ไม่เช่นนั้นเราก็จะไม่ได้พบพระองค์อีกเลย การเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ไม่เป็นสิทธิพิเศษของคนไม่กี่คน เพราะพระเจ้าทรงเรียกเราทุกคนให้มาเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ และให้รักพระองค์ ไม่สำคัญเลยว่าพวกเราทุกคนจะอยู่ที่ไหน มีสถานะทางสังคม อาชีพหรือทำงานอะไร ด้วยชีวิตธรรดาของเราแต่ละวัน ที่อาจจะไม่มีเสน่ห์ชวนหลงใหลสำหรับมนุษย์เลยก็ตาม ก็สามารถเป็นหนทางสู่ความศักดิ์สิทธิ์ได้”

การทำงานเป็นหนทางสู่ความศักดิ์สิทธิ์
“กระแสเรียกสู่อาชีพใดก็ตามเป็นส่วนที่จำเป็นและหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับความเป็นคริสตชนของเรา เพราะพระเจ้าต้องการให้เราเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ในสถานที่ที่เราอยู่ ในงานที่เราเลือกทำ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม สำหรับผมแล้ว งานใดก็ตามที่ไม่ขัดกับกฎของพระเจ้าล้วนแต่เป็นงานที่ดีและสูงส่ง สามารถยกระดับจิตใจเราได้ งานนั้นจะต้องสอดแทรกอยุ่ด้วยกระแสธารความรักอันไม่สิ้นสุด ที่เป็นเครื่องกำหนดชีวิตของลูกพระเจ้า”

ศักดิ์ศรีแห่งความสำนึกผิดชอบ
“ผมมักจะปกป้องเสรีภาพแห่งความสำนึกส่วนบุคคล ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องใช้ความรุนแรง และไม่เห็นว่าความรุนแรงจะเป็นวิธีการเหมาะสมที่จะชักจูงหรือเอาชนะใคร เราจะเอาชนะความผิดพลาดด้วยการภาวนา, พระหรรษทานของพระเจ้าและโดยการศึกษาเรียนรู้ ไม่มีทางเอาชนะด้วยการใช้กำลัง แต่ด้วยความกรุณาที่จะต้องมีอยู่เสมอ”

บทบาทผู้หญิงในสังคม
“คู่ชีวิตที่เป็นคริสตชนจะต้องตระหนักว่าเราได้รับเรียกมาสู่ความศักดิ์สิทธิ์ด้วยตัวของเราเองและทำให้คนอื่นศักดิ์สิทธิ์ด้วย นั้นคือพวกเขาได้รับเรียกมาให้เป็นสาวกของพระเยซูเจ้า และการแพร่ธรรมขั้นแรกก็คือที่บ้าน ประสิทธภาพและความสำเร็จของคู่สมรสหรือความสุขของพวกเขา ขึ้นอยู่กับความสำนึกรับรู้พันธกิจที่เฉพาะเจาะจงนี้”

ข้าวของเงินทอง
“สิ่งของทางโลกไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่สิ่งนั้นจะทำให้เราต่ำลงเมื่อมนุษย์ยกย่องบูชาสิ่งของ แต่จะทำให้เราสูงขึ้น เมื่อเราใช้สิ่งเหล่านั้นเป็นเครื่องมือทำสิ่งที่ดี สำหรับสร้างความยุติธรรมและงานกุศลของคริสชน เราไม่ควรแสวงหาสิ่งของวัตถุราวกับว่าเป็นสมบัติล้ำค่า เพราะทรัพย์สมบัติของเราก็คือพระคริสตเจ้า เพราะฉะนั้นความรักและความปรารถนาของเราทั้งหมดต้องมีศูนย์กลางอยู่ที่พระองค์ ‘ทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน. จิตใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย’ (มธ 6:21)”
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

พุธ ก.ค. 09, 2008 7:23 pm

อยากให้หลายๆคนได้อ่านครับ : emo010 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
ignatius
.
.
โพสต์: 2597
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. ก.พ. 07, 2008 12:48 pm

พุธ ก.ค. 09, 2008 10:53 pm

Jeab Agape เขียน:
อยากให้หลายๆคนได้อ่านครับ : emo010 :
ขอบคุณทั้งคุณ Holy และน้องเจี๊ยบนะคร๊าบ...บ  : emo038 :
ดีใจที่ได้อ่านคะ : emo027 :
Rakkypoko!
โพสต์: 960
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ส.ค. 31, 2007 2:35 pm

พฤหัสฯ. ก.ค. 10, 2008 2:25 am

ส่งอีเมล์ไปที่สำนักงาน ที่อินโด หรือ สิงค์โปร์(จำไม่ได้) เขาตอบกลับมาว่า ให้ช่วยภาวนา ในการเข้าสู่ประเทศไทย
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

พฤหัสฯ. ก.ค. 10, 2008 5:33 am

Rakkypoko! เขียน: ส่งอีเมล์ไปที่สำนักงาน ที่อินโด หรือ สิงค์โปร์(จำไม่ได้) เขาตอบกลับมาว่า ให้ช่วยภาวนา ในการเข้าสู่ประเทศไทย
เข้าสู่อย่างไรคะ :cheesy:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พฤหัสฯ. ก.ค. 10, 2008 10:40 am

ได้ข่าวว่าคณะนี้เริ่มดำเนินการเข้ามาเมืองไทยแล้ว ทางคณะพระมหาไถ่ และทางคุณพอล แม่รี่ สุวิทย์
oata_kung
~@
โพสต์: 75
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.พ. 16, 2005 10:36 pm
ที่อยู่: Bangkok, Thailand

ศุกร์ ก.ค. 11, 2008 5:19 pm

"การทำงานเป็นหนทางสู่ความศักดิ์สิทธิ์"

พระเจ้าต้องการให้เราเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ในสถานที่ที่เราอยู่ ในงานที่เราเลือกทำ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม สำหรับผมแล้ว งานใดก็ตามที่ไม่ขัดกับกฎของพระเจ้าล้วนแต่เป็นงานที่ดีและสูงส่ง สามารถยกระดับจิตใจเราได้

ถ้อยคำตรงนี้ ทำให้โอ๊ตรู้สึกว่า สิ่งที่ตัวเองคิดและสาละวนอยู่ตลอดเวลาว่า อีกสองปีจะจบแล้วจะไปทำงานอะไรดี
มันผิดโดยสิ้นเชิง เพราะโอ๊ตคิดเสมอว่า จะทำอะไรที่จะรวย มีตังค์มากๆจะได้ซื้อความสุขได้เยอะๆ เช่น เที่ยวรอบโลก
หรืออะไรเทือกนั้น  หรือไม่ก็จะทำงานอะไรดีที่จะได้รับความนับหน้าถือตาในวงสังคม ซึ่งในความเป็นจริงแล้วอาชีพที่โอ๊ตจะเลือกทำได้
ซึ่งมีอยู่ไม่กี่อาชีพนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่คนในสายงานนั้นๆต้องไม่นับถือเงินทองเป็นใหญ่  หากแต่ต้องนับถือศีลธรรมและความสัตย์ซื่อเป็นหลักใหญ่กว่าอื่นใดทั้งสิ้น

เมื่อได้อ่านข้อความข้างต้นทำให้รู้ว่า การสงบและรับฟังเสียงของพระเจ้า ว่าพระองค์จะจัดวางเราไป ณ ที่แห่งใดนั้น
น่าจะดีที่สุด เพราะพระองค์สร้างเรามา ย่อมทรงรู้ดีที่สุดว่าเราจะเหมาะสมที่จะอยู่ ณ ที่ใด

และเหนืออื่นใดก็คือ งานั้นต้องไม่ขัดกับกฎของพระเจ้าด้วย

แต่คงต้องใช้เวลาบ้างสำหรับโอ๊ตในการที่จะรับฟังเสียงของพระองค์     
Rakkypoko!
โพสต์: 960
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ส.ค. 31, 2007 2:35 pm

อาทิตย์ ก.ค. 13, 2008 10:24 am

Prod Pran เขียน:
Rakkypoko! เขียน: ส่งอีเมล์ไปที่สำนักงาน ที่อินโด หรือ สิงค์โปร์(จำไม่ได้) เขาตอบกลับมาว่า ให้ช่วยภาวนา ในการเข้าสู่ประเทศไทย
เข้าสู่อย่างไรคะ :cheesy:
ก็มาเผยแพร่มั่งอะ น่าจะแนวๆนี้
AjCha
โพสต์: 87
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 29, 2008 10:47 am
ที่อยู่: กรุงเทพฯ

อังคาร ก.ค. 15, 2008 7:45 pm

ได้ร่วมมิสซา ระลึกถึงท่านนักบุญองค์นี้ ที่มหาไถ่ เมื่อ 26 มิย. 08 รอบ 08:00 น. ด้วยค่ะ

::017::
ตอบกลับโพส