** อิทธิพลอย่างสร้างสรรค์**

รวม ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับพระคัมภีร์ไบเบิ้ล
เข้าใจ พระคัมภีร์ ชีวิต และคำสั่งสอนของพระเยซูคริสต์ ตามลำดับ อย่างง่ายๆ
ตอบกลับโพส
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

เสาร์ ก.พ. 13, 2010 10:17 am

                                         อิทธิพลอย่างสร้างสรรค์
   
                                          โปรดปราน (พีพี )


ปัจจุบันมีคำศัพท์ใหม่ๆใช้มากมาย  เช่น เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  เศรษฐกิจแบบสร้างสรรค์ การเมืองอย่างสร้างสรรค์  มีชีวิตแบบชาว โมโซ  เป็นต้น แล้วโมโซ...คืออะไร คำแรก  โม (MO) มาจาก “Moderation” หมายถึง ความพอประมาณ ไม่มากไป...ไม่น้อยไป ส่วน โซ (SO) มาจากคำว่า “Society” ที่หมายถึง สังคมเมื่อรวมคำว่า “MO” และ “SO” เข้าด้วยกัน จึงหมายถึง “สังคมพอประมาณ” (Moderation Society) ท่ามกลางกระแสสังคมบริโภคนิยมมีสิ่งยั่วยุทางวัตถุมากมายกลายเป็นปัจจัยผลักดันให้เกิดความ อยากมี อยากได้ อยากแข่งขันกัน มากขึ้น ดังนั้นสังคมโมโซจึงเป็นสังคมอันพึงปรารถนา เพราะเอกลักษณ์ คือ ความจริง ความดีงาม และความสุข ให้ผู้คนใช้ชีวิตอย่างพอดีๆ  ชาวโมโซ เป็น กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตในรูปแบบพอดีๆ ยึดหลักความพอประมาณ การเป็นคนมีเหตุผล มีภูมิคุ้มกันทางความคิด ในการดำเนินชีวิตตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว        

             อีกคำคือสร้างสรรค์  หมายถึงสร้างความสุขความเจริญให้สังคม หรือลักษณะริเริ่มในทางที่ดี  ที่เพิ่มพลังและศรัทธา และทำให้ผู้อื่นอยากทำตาม  ดังนั้นเมื่อพูดว่าเป็นสาวกพระเยซูคริสต์เราต้องมีอิทธิพลอย่างสร้างสรรค์ ให้กับสังคม เช่นพฤติกรรมที่แสดงออกในการดำเนินชีวิต ต้องเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ต้องดำเนินชีวิตแบบชาว “โมโซ” (คือพอประมาณ) ไม่ฟุ้งเฟ้อ แต่ต้องแบ่งปัน เช่นแบ่งปันความจริง ความดีงาม ความสุข/สันติสุข และทรัพย์สิ่งของ เป็นต้น   ส่วนอิทธิพลอย่างสร้างสรรค์ ของคริสตชน คือพฤติกรรมเป็นเงาของความคิดในการดำเนินชีวิตตามแบบพระเยซูเจ้าเพื่อให้มีอิทธิพลต่อผู้อื่นและสังคม

รูปภาพ


บทความนี้ขอนำจดหมายของนักบุญยากอบ บทที่ 5 มาเรียนรู้ด้วยกัน ดังนี้

1.อิทธิพลอย่างสร้างสรรค์ด้านฐานะ ( ดูยากอบ 5.1-6 )                                              

       นักบุญยากอบไม่ได้พิพากษาคนร่ำรวย เพราะคนร่ำรวยแบบสร้างสรรค์ คือรวยจากการประกอบอาชีพสุจริต เขาทำให้สังคมน่าอยู่  นักบุญยากอบตักเตือนคนร่ำรวยในการใช้ชีวิต ท่าทีในการคิด เพราะ ทรัพย์สิน เงินทองโดยตัวของมันเองไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย ทุกคนจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อการดำรงชีวิต เช่นเพื่อการศึกษา เพื่อสร้างบ้าน เพื่อซื้อรถ และอื่นๆจิปาถะ ยิ่งกว่านั้นสำหรับ คริสตชนต้องใช้เงินเพื่อพันธกิจของวัด สนับสนุนองค์กรหรือสถาบันของคริสต์ ช่วยเหลือสาธารณะกุศลต่างๆ เป็นต้น พระเจ้าทรงอวยพรชาวคริสต์มากมาย พระพรที่ผ่านในชีวิตของพวกเราพระองค์มีพระประสงค์ให้เรามีโอกาสแบ่งปัน ได้สำแดงออกถึงความรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ดังนั้นเมื่อเราจัดคริสต์มาสปีแล้วปีเล่า เราต้องสวมบทบาทของผู้ให้ “การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ” (กิจการ 20.35 )            

         น่าเสียดายที่เราคนไทยถูกสอนให้เป็นผู้รับมากกว่าการเป็นผู้ให้ (นี่คือคำพูดของหลายๆคนระดับผู้นำ) สำหรับเราชาวคริสต์ถือว่าเป็นพระพรเหลือเกินที่พระเจ้าทรงสอนเราให้เป็นผู้ให้ ผู้แบ่งปัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้คริสตชนที่มั่งคั่งนั้นมีอิทธิพลต่อผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ พระเจ้าจะอวยพรกิจการทุกอย่างที่เขาทำ พระองค์ทรงประสงค์ที่จะอวยพรลูกหลานของเขา  ( ดู เฉลยธรรมบัญญัติ บทที่ 28:1-12 ) ซึ่งเป็นพระสัญญาของพระเจ้า                                                                                                                    
   
               ความร่ำรวยที่ไม่สร้างสรรค์ คือคนที่มั่งคั่งเพราะการทำผิดกฎหมาย  เช่นค้าหวยเถื่อน ค้ายาเสพติด เอาเปรียบค่าจ้างโกงแรงงาน รับสินบน  (อย่างเช่นตอนนี้โครงการไทยเข้มแข็ง ของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ มีเรื่องคอร์รัปชั่นหนาหู โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุข   เป็นต้น ) มีผลประโยชน์ทับซ้อน เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เอาเปรียบสังคม และเบียดเบียนประเทศชาติ                                  

               ตัวอย่างเศรษฐีในพระคัมภีร์ คือ โยบ โยบบทที่ 1.1 บันทึกว่าเขาเป็นคนดีรอบคอบและเที่ยงธรรม เป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้าและหันเสียจากความชั่ว  เขาเป็นเศรษฐีที่เป็นแบบอย่างสร้างสรรค์ต่อคริสตชนทุกยุค ทุกเชื้อชาติ แม้ฉันรับฟังคริสตชนหลายคนชอบบอกว่าตัวเองเป็นเหมือนโยบ คือว่าคงเป็นเรื่องของความทุกข์ที่โหมกระหน่ำในชีวิต   ฉันมักถามว่า “คุณแน่ใจว่าเป็นคนดีรอบคอบเป็นคนเที่ยงธรรมเป็นผู้เกรงกลัวพระเจ้าและหันจากความชั่ว เหมือนโยบจริงหรือ” ส่วนมากมักอึ้ง เศรษฐีโยบสามารถฝันฝ่าอุปสรรคไปได้โดยไม่ได้แช่งด่าพระเจ้า ตั้งแต่บทที่ 42.11 เป็นต้นไปเขากลับสู่สภาพดี และพระเจ้าทรงอวยพรชีวิตอย่างมาก “พระเจ้าทรงอำนวยพระพรชีวิตบั้นปลายของโยบมากยิ่งกว่าบั้นต้นของท่าน”(42.12)      
         
             คริสตชนที่ร่ำรวยไม่สร้างสรรค์พระเจ้าทรงเตือนเพราะว่าเขาใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยเกินความพอเพียง ใช้เพื่อตัวเองและครอบครัวเท่านั้น นั่นเป็นการเห็นแก่ตัว ไม่ได้หยิบยื่นให้ผู้ขัดสน ซึ่งขัดต่อคำสอนของทุกศาสนา นักบุญยากอบเลยบอกว่าผลที่พวกเขาจะได้รับคือความวิบัติ ทรัพย์สินต้องผุพัง แมลงกัดกินเสื้อผ้า เงินทองเกิดสนิม นั่นคือบาปที่เขาทำลายตัวเอง ดังนั้นชีวิตของเขาไม่ได้มีอิทธิพลให้ใครมารู้จักกับพระเจ้าอีกเลย
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ จันทร์ ก.พ. 15, 2010 6:16 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

เสาร์ ก.พ. 13, 2010 10:21 am

2.อิทธิพลอย่างสร้างสรรค์ในชีวิตอธิษฐานภาวนา  (ยากอบ 5.13-18)

    เรื่องการอธิษฐานภาวนานี่ต้องเป็นวิถีชีวิตของคริสตชนทุกคน เพราะการอธิษฐานคือการไขประตูสวรรค์ ลูกา 18.1 “ต้องอธิษฐานภาวนาอยู่เสมอโดยไม่ท้อถอย” นักบุญเปาโล สนับสนุนว่า “จงอธิษฐานภาวนาทุกหนทุกแห่ง” “จงอธิษฐานภาวนาตลอดเวลา” มีคำกล่าวว่า “การล้มเหลวทางจิตใจคือฆาตกรหมายเลข 1” ความท้อแท้คืออาวุธที่ซาตานใช้ทำลายชีวิตคริสตชน ในพระคัมภีร์บันทึกถึงบุคคลต่างๆ ที่เมื่อท้อแท้ ท้อใจ เช่น โมเสส ดาวิด เอลียาห์  เยเรมีย์ ฯลฯ ในแต่ละปีคริสตชนจำนวนมากได้ทิ้งโบสถ์ ทิ้งวัด เพราะขาดความเชื่อเลยพาลเลิกนับถือพระเจ้า เกิดความสงสัยพระผู้ไถ่        

          การอธิษฐานภาวนายังเป็นอุปสรรคต่อคริสตชนจำนวนมาก ในช่วง 10 ปีหลังนี้ ทางผู้นำคริสตจักรโปรเตสแตนต์ 3 ฝ่าย (กปท.) ได้รวมตัวกันทำงานเพื่อเคลื่อนไหวประเทศไทย โดยตั้ง “เครือข่ายอธิษฐานอวยพรประเทศไทย”  โดยการ“อดอาหารอธิษฐานภาวนา 40 วัน” ช่วงเวลา วันที่ 1 ตุลาคม -9 พฤศจิกายน (ทุกปี) เพื่อพลิกฟื้นประเทศไทย การอธิษฐานภาวนาปีนี้จึงเน้นพิเศษแก่ โครงการ My hope “ยังมีหวัง”   เราคริสเตียนยังมีความหวังว่าพระเจ้าจะพลิกฟื้นประเทศไทย อวยพรคนไทย เราอธิษฐานภาวนาเพื่อให้คำเทศนา ช่วงคริสต์มาสปี 2009 จัดขึ้น ระหว่างวันที่ 17-19 ธันวาคม จะมีการเทศนาโดยนักเทศน์ประกาศที่มีชื่อเสียงมากในศตวรรษที่ 20 คือ ศาสนาจารย์   ดร.บิลลี่  เกรแฮม (ปัจจุบันอายุ 90 ปี) จะมีคนไทยได้ฟัง/ดู แล้วพวกเขาได้ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด

                เพราะ การแพร่ธรรมในประเทศไทย นิกายโรมันคาทอลิก เข้ามา ปี ค.ศ. 1567 และโปรเตสแตนต์เข้ามา ปี ค.ศ.1828 บัดนี้จากประชากรไทยทั้งคาทอลิกและโปรเตสแตนต์มี ประมาณเกือบ 7 แสนคน ที่เป็นผู้เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ คือประมาณ 1% แล้ว อีก 99%ล่ะ นั่นคือลูกแกะที่หลงฝูง ซึ่งเป็นหน้าที่ของพวกเราตามพระมหาบัญชาของพระเยซูเจ้าให้ประกาศและสั่งสอนคนทั้งโลกให้เป็นสาวกของพระองค์ (ดูมัทธิว 28.19-20)  ศาสนาจารย์ ดร.บิลลี่ เกรแฮม ไม่ใช่นักเทศน์ที่หวือหวา บทเทศน์ธรรมดามาก แต่เป็นฤทธิ์เดช เพราะการอธิษฐานภาวนาอย่างสร้างสรรค์ของท่านและทีมสนับสนุนอธิษฐานเผื่อพันธกิจการแพร่ธรรมของท่านนั่นเอง                                                                                                                            
     
       

รูปภาพ

             การภาวนาให้คนเจ็บป่วยยังเป็นปัญหาถกเถียงกันเสมอ โดยเฉพาะยุคของนักบุญ   ยากอบคริสตชนเชื่อว่าเมื่ออัครสาวกปรกมืออธิษฐานภาวนาพระเจ้าทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บ แต่ถึงยุคนี้มีคำสนับสนุนว่า “ใครก็ได้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ พระองค์ก็ทรงประทานฤทธิ์เดชให้เสมอ” ความเจ็บป่วยอาจจะไม่ใช่ฝ่ายกาย เท่านั้น พบว่าบ่อยครั้งการเจ็บป่วยฝ่ายกายทำให้ จิตวิญญาณอ่อนแอไปด้วย เขาจะรู้สึกเบื่อหน่าย ท้อแท้ สิ้นหวัง เป็นต้น จึงจำเป็นมากที่ต้องมีคนอธิษฐานภาวนา     การอธิษฐานอย่างสร้างสรรค์ ต้องเปิดใจกว้าง แบบนักบุญเปาโลสอนว่า “จงช่วยรับภาระของกันและกัน” ( ๕.๒ก )  เพราะเปาโลเอง เป็นนักอธิษฐานภาวนาและเชื่อฤทธิ์เดชของการภาวนา เช่นท่านอธิษฐานให้ชาว ฟิลิปปีว่า “ทูลขอด้วยความยินดี” ท่านบอก ชาว โคโลสี ว่า “เราไม่ได้หยุด อธิษฐานภาวนา ขอเพื่อท่านทั้งหลาย เพื่อให้ท่านเต็มเปี่ยม ด้วยความรู้เรื่องพระประสงค์ของพระองค์โดยสรรพปัญญาและความเข้าใจฝ่ายจิตวิญญาณ” ( โคโลสี ๑:๙-๑๒ ) แล้วบอกชาวเธสะโลนิกาว่า “เราขอบพระคุณพระเจ้าเพราะท่านทั้งหลาย และเมื่ออธิษฐานภาวนาเราก็เอ่ยถึงท่านเสมอ” (๑ ธส.๑.๒ ) เป็นต้น

3.อิทธิพลสร้างสรรค์เรื่องความรัก (ยากอบ 5.19-20)

ความรักที่สร้างสรรค์คือความรักแท้ของพระบุตรโดยการเสด็จเข้ามาในโลกนี้ ที่เราได้เป็นพยานเล่าเรื่องคริสต์มาสปีแล้วปีเล่า ก็เพราะความรักที่ทำให้พระเจ้าเสด็จมาเกิดอย่างต่ำต้อยในครอบครัวช่างไม้ เพื่อให้ทุกคนมีสิทธิ์เข้าถึงพระองค์ ความรักสร้างสรรค์ที่นักบุญเปาโลบันทึกใน 1โครินธ์ บทที่ 13 เน้นข้อสุดท้ายว่า “จงตั้งอยู่ 3 สิ่ง ความเชื่อ ความหวังใจ ความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด”  เพราะความรักที่สร้างสรรค์นั้นมีพลัง มีฤทธานุภาพ
           
              อิทธิพลสร้างสรรค์เรื่องความรักของพระเยซูเจ้าที่ยอมตายเพื่อมนุษย์ทุกคน ยังมีอิทธิพลต่อคนยุคแล้วยุคเล่า และคนแล้วคนเล่า ที่ออกไปเป็นพยานเรื่องความรักของพระเยซู ยอมทำตามคำสั่งสุดท้ายของพระเยซูเจ้า คือ การประกาศข่าวดีไปสุดปลายแผ่นดินโลก คริสตชนยอมทุ่มเงินอย่างมหาศาล นักบวชชาย-หญิง ยอมออกจากบ้านเกิดเมืองนอนอันสุขสบายไปประกาศเรื่องความรักที่สร้างสรรค์ของพระเยซูเพื่อให้ทุกหูได้ยิน ทุกลิ้นได้กล่าวสรรเสริญพระนาม ทุกหัวเข่าได้คุกเพื่อวิงวอนต่อพระองค์

               ยากอบ บทที่ 5.19-20 นี้นักบุญยากอบได้เน้น คนมากมายที่บอกว่าเป็นสาวกพระเยซูเจ้าไม่ได้กลับใจอย่างแท้จริง หรือบางคนเข้าใจผิดอาศัยความเชื่อของพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย และคิดว่าตัวเองเป็นคริสต์แล้ว แต่คริสเตียนเราเรียกว่าเป็นคริสตาม  ศาสนาจารย์ ดร.บิลลี่ เกรแฮม ไปเทศนาที่โบสถ์ใด หรือใน ประเทศไหนก็ตาม ท่านต้องเชื้อเชิญให้คนออกมารับเชื่อพระเยซูเจ้า โดยกล่าววาทะเด็ดขาดว่า “พระเจ้ามีแต่ลูก พระเจ้าไม่มีหลาน ทุกคนต้องกลับใจใหม่ต้อนรับพระเยซูเป็นพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอด นั่นแหละมรดกแผ่นดินสวรรค์จึงเป็นของท่าน” ฉันเคยสอบถามจากผู้รู้ว่าทำไม ศาสนาจารย์ ดร.บิลลี่ เกรแฮม กล่าวเช่นนั้น มีคำตอบว่า เพราะท่านไม่ต้องการเห็นคริสตามนั่งนมัสการในโบสถ์ตลอดชีวิต พอถึงวันพิพากษาพระเยซูเจ้าปฎิเสธว่าไม่รู้จักเขา      

รูปภาพ

             ดังนั้น อิทธิพลสร้างสรรค์ด้านความรัก ส่งผลให้เรารักและห่วงใย คนที่หลงหาย บางคนหลงฝูง เพราะหยุดพักผ่อน หรือไปทำบางอย่าง เราจึงต้อง นำเขากลับมาหาพระเจ้า

            ตัวอย่าง  เร็วๆนี้ฉันได้ฟังคำพยานจาก รองศาสตราจารย์ วัย 65 ปีรายหนึ่ง เธอเป็นคริสเตียนใหม่ เตรียมจะล้างบาป คริสต์มาสปีนี้ ฉันตื่นเต้นมากเพราะเป็นผู้อาวุโสที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากแล้ว  เธอเล่าย้อนว่า เคยเป็นนักเรียนประจำที่ โรงเรียนคริสเตียน “วัฒนาวิทยาลัย” 12 ปี ได้ฟังเรื่องของพระเยซู  แต่ไม่สามารถรับเชื่อได้เพราะยังเด็ก พ่อ แม่ ห้าม แล้วความอยากรู้จักพระเยซูก็หายไปในวงจรชีวิต เมื่อห่างจากชุมชนชาวคริสต์ เธอรับราชการเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยของรัฐ จนกระทั่งเกษียณ และปีนี้ได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งให้เป็นอาจารย์ ณ ที่นี้เป็นโอกาสที่เธอได้ฟังเรื่องราวของพระเยซูอย่างชัดๆใหม่ การฟังครั้งนี้ฟังอย่างไตร่ตรอง ถึงเป้าหมายชีวิตแท้ในพระเจ้า เธอจึงเลือกติดตามพระเยซูทันทีเมื่อศาสนาจารย์ชวนต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด


              สิ่งที่บันทึกในจดหมายของนักบุญยากอบบทที่ 5 สื่อสารถึงเราคือ ให้ความเชื่อ ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ คุณภาพชีวิตของเราได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงจึงจะมีอิทธิพลอย่างสร้างสรรค์ต่อผู้อื่น นั่นแหละคือชีวิตคริสตชนที่เกิดผลตามพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า...อาแมน
                                                                                                                                                                                                       
( ตีพิมพ์อิสระรายเดือน พฤศจิกายน 2009 )
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ จันทร์ ก.พ. 15, 2010 6:20 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

จันทร์ ก.พ. 15, 2010 9:19 am

พี่โฮลี่ ครับ รูปแรกนี่คือรูปใคร ฮะ : emo036 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

เสาร์ พ.ค. 01, 2010 10:58 pm

รูปแรกคือรูปการแบ่งปันครับ
littleseal
โพสต์: 1029
ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ มิ.ย. 13, 2010 9:53 pm

พฤหัสฯ. ก.ค. 22, 2010 5:30 am

Prod Pran เขียน:                                         

รูปภาพ
รูปใครเหรอคะ? :s030:

เป็นภาพเชิงสัญลักษณ์ ชื่อว่า การแบ่งปัน ความรัก เมตตาธรรม ทำนองนั้นครับ
ตอบกลับโพส