พระวาจารายวันเดือนมกราคม 2012

รวม ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับพระคัมภีร์ไบเบิ้ล
เข้าใจ พระคัมภีร์ ชีวิต และคำสั่งสอนของพระเยซูคริสต์ ตามลำดับ อย่างง่ายๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ม.ค. 02, 2012 1:51 pm

วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม 2012
สมโภชพระนางมารีย์ พระชนนีพระเป็นเจ้า
บทอ่านจากหนังสือกันดารวิถี ( กดว 6:22-27 )
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสส ให้บอกอาโรนและบรรดาบุตรว่า “ท่านทั้งหลายจะต้องอวยพรชาวอิสราเอลดังนี้ ท่านจะต้องกล่าวว่า ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรท่านและพิทักษ์รักษาท่าน ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงพระพักตร์แจ่มใสต่อท่านและโปรดปรานท่าน ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงผินพระพักตร์มายังท่านและประทานสันติแก่ท่านด้วยเทอญ”
สมณะจะต้องเรียกขานนามของเราให้ลงมาเหนือชาวอิสราเอลเช่นนี้ แล้วเราจะอวยพรเขาทั้งหลาย

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวกาลาเทีย ( กท 4:4-7 )
พี่น้องเมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้พระเจ้าทรงส่งพระบุตรของพระองค์ให้มาบังเกิดจากหญิงผู้หนึ่ง เกิดมาอยู่ใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อทรงไถ่ผู้ที่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ และทำให้เราได้เป็นบุตรบุญธรรม ข้อพิสูจน์ว่าท่านทั้งหลายเป็นบุตรก็คือพระเจ้าทรงส่งพระจิตของพระบุตรลงมาในดวงใจของเรา พระจิตผู้ตรัสด้วยเสียงอันดังว่า “อับบา พ่อจ๋า” ดังนั้น ท่านจึงไม่เป็นทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร ถ้าเป็นบุตรก็ย่อมเป็นทายาทตามพระประสงค์ของพระเจ้า


พระวรสารนักบุญลูกา ( ลก 2:16-21 )
ขณะนั้น คนเลี้ยงแกะจึงรีบไปและพบพระนางมารีย์ โยเซฟ และพระกุมารซึ่งบรรทมอยู่ในรางหญ้า เมื่อคนเลี้ยงแกะเห็น ก็เล่าเรื่องที่เขาได้ยินมาเกี่ยวกับพระกุมาร ทุกคนที่ได้ยินต่างประหลาดใจในเรื่องที่คนเลี้ยงแกะเล่าให้ฟัง ส่วนพระนางมารีย์ทรงเก็บเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ไว้ในพระทัยและยังทรงคำนึงถึงอยู่ คนเลี้ยงแกะกลับไปโดยถวายพระพรและสรรเสริญพระเจ้าใน เรื่องต่าง ๆ ที่พวกเขาได้ยินและได้เห็น ตามที่ทูตสวรรค์บอกไว้

เมื่อครบกำหนดแปดวัน ถึงเวลาที่พระกุมารจะต้องทรงเข้าสุหนัต เขาถวายพระนามพระองค์ว่าเยซู เป็นพระนามที่ทูตสวรรค์ให้ไว้ก่อนที่พระองค์จะทรงปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระมารดา
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ม.ค. 02, 2012 1:53 pm

วันจันทร์ที่ 2 มกราคม 2012
ระลึกถึง น.บาซิล และ น.เกรโกรี่ แห่งเมืองนาซีอันเซน
พระสังฆราชและนักปราชญ์

บทอ่านจากจดหมายนักบุญยอห์นอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง ( 1 ยน 2:22-28 )
ลูกที่รักทั้งหลาย ใครเป็นคนพูดคำเท็จ ถ้าไม่ใช่คนที่พูดว่า พระเยซูไม่ใช่พระคริสตเจ้า ผู้นี้คือปฏิปักษ์ของพระคริสตเจ้า เขาปฏิเสธทั้งพระบิดาและพระบุตร ทุกคนที่ปฏิเสธพระบุตรก็ไม่มีพระบิดา คนที่ยอมรับพระบุตรย่อมมีพระบิดาด้วย ขอให้สิ่งที่ท่านทั้งหลายฟังมาตั้งแต่แรกเริ่มนั้นคงอยู่ในท่าน ถ้าสิ่งที่ท่านฟังมาตั้งแต่แรกเริ่มนั้นคงอยู่ในท่าน ท่านก็ดำรงอยู่ในพระบุตร และในพระบิดาพระสัญญาที่พระองค์ประทานไว้ก็คือชีวิตนิรันดร

ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านทั้งหลายมามากแล้ว เกี่ยวกับบุคคลที่พยายามชักนำให้หลงผิด แต่สำหรับท่าน การได้รับเจิมจากพระองค์ยังคงอยู่ในท่าน และไม่จำเป็นต้องให้ใครมาสอนท่านอีก เพราะการเจิมของพระองค์นั้นสอนทุกสิ่งให้ท่าน และเพราะการเจิมนั้นเป็นจริงและไม่หลอกลวง จงดำรงอยู่ในพระองค์ตามคำสั่งสอนที่ท่านได้รับมา ลูกที่รักทั้งหลาย บัดนี้จงดำรงอยู่ในพระองค์ เพื่อเมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราจะได้มีความมั่นใจ ไม่ต้องหลบเลี่ยงไปจากพระองค์ด้วยความอับอาย ในวันที่พระองค์เสด็จมา

พระวรสารนักบุญยอห์น ( ยน 1:19-28 )
ยอห์นเป็นพยานดังนี้ เมื่อชาวยิวจากกรุงเยรูซาเล็มส่งบรรดาสมณะและชาวเลวีไปถามยอห์นว่า“ท่านเป็นใครเล่า”เขามิได้ปิดบังความจริง แต่ยืนยันว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่พระคริสต์”

ดังนั้น เขาเหล่านั้นจึงถามว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านเป็นใคร เป็นเอลียาห์หรือ” ยอห์นตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่เอลียาห์” “ท่านเป็นประกาศกหรือ” เขาตอบอีกว่า “ไม่ใช่” เขาเหล่านั้นจึงถามว่า “ท่านเป็นใคร เราจะได้นำคำตอบไปให้ผู้ที่ส่งเรามา ท่านพูดถึงตนเองอย่างไรเล่า” ยอห์นตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นเสียงของผู้ที่ร้องตะโกนในถิ่นทุรกันดารว่าจงทำทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ตรงเถิด”ดังที่ประกาศกอิสยาห์ได้กล่าวไว้ผู้ที่ถูกส่งไปถามนั้นเป็นชาวฟาริสี เขาถามยอห์นอีกว่า “ทำไมท่านจึงทำพิธีล้าง ถ้าท่านไม่ใช่พระคริสต์ ไม่ใช่เอลียาห์ และไม่ใช่ประกาศก” ยอห์นตอบพวกเขาว่า “ข้าพเจ้าใช้น้ำทำพิธีล้างให้ท่านทั้งหลาย แต่มีผู้หนึ่งประทับอยู่ในหมู่ท่าน เป็นผู้ที่ท่านไม่รู้จัก ผู้นั้นมาภายหลังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สมควรแม้แต่จะแก้สายรัดรองเท้าของเขา”
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่หมู่บ้านเบธานี อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน ซึ่งยอห์นกำลังทำพิธีล้างอยู่
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

อังคาร ม.ค. 03, 2012 3:16 pm

วันอังคารที่ 3 มกราคม 2012
เทศกาลพระคริสตสมภพ


บทอ่านจากจดหมายนักบุญยอห์นอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง 1 ยน 2:29-3:6

ลูกที่รักทั้งหลาย ถ้าท่านรู้ว่า พระองค์ทรงเที่ยงธรรม ท่านก็ต้องยอมรับว่าทุกคนที่ประพฤติชอบ ย่อมบังเกิดจากพระองค์
จงดูเถิดว่า ความรักที่พระบิดาประทานให้เรานั้นยิ่งใหญ่เพียงใด เพื่อทำให้เราได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า และเราก็เป็นเช่นนั้นจริง โลกไม่รู้จักเรา เพราะโลกไม่รู้จักพระองค์ ท่านที่รักทั้งหลาย บัดนี้ เราเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว แต่เราจะเป็นอย่างไรในอนาคตนั้นยังไม่ปรากฏชัดแจ้ง เราตระหนักดีว่า เมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราจะเป็นเหมือนพระองค์ เพราะเราจะได้เห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็น ทุกคนที่มีความหวังในพระองค์ ย่อมชำระใจของตนให้บริสุทธิ์ เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงบริสุทธิ์ ทุกคนที่ทำบาป ย่อมฝ่าฝืนธรรมบัญญัติ เพราะบาปเป็นการฝ่าฝืนธรรมบัญญัติ ท่านทั้งหลายตระหนักดีแล้วว่า พระองค์ทรงปรากฏเพื่อทรงลบล้างบาปให้สิ้นไป และไม่มีบาปใดในพระองค์ ทุกคนที่ดำรงอยู่ในพระองค์ย่อมไม่ทำบาป และทุกคนที่ทำบาป ย่อมไม่เคยเห็นและไม่รู้จักพระองค์

พระวรสารนักบุญยอห์น ยน 1:29-34

วันรุ่งขึ้น ยอห์นเห็นพระเยซูเจ้าเสด็จมาหาตน จึงกล่าวว่า “นี่คือลูกแกะของพระเจ้า ผู้ทรงลบล้างบาปของโลก ผู้นี้คือผู้ที่ข้าพเจ้าเคยพูดถึงว่า “บุรุษผู้หนึ่งมาภายหลังข้าพเจ้า แต่นำหน้าข้าพเจ้า เพราะอยู่มาก่อนข้าพเจ้า” ข้าพเจ้าไม่รู้จักพระองค์ แต่ข้าพเจ้าถูกส่งมาให้ทำพิธีล้าง เพื่อทำให้พระองค์เป็นที่รู้จักแก่อิสราเอล

ยอห์นยังยืนยันอีกว่า “ข้าพเจ้าเห็นพระจิตเจ้าเสด็จลงมาจากสวรรค์เหมือนนกพิราบ และทรงอยู่เหนือพระองค์ ข้าพเจ้าไม่รู้จักพระองค์ แต่ผู้ที่ทรงส่งข้าพเจ้ามาใช้น้ำทำพิธีล้าง ตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า “เจ้าเห็นพระจิตเจ้าเสด็จลงมาประทับอยู่เหนือผู้ใด ผู้นั้นคือผู้ที่ทำพิธีล้างเดชะพระจิตเจ้า” ข้าพเจ้าเห็น และเป็นพยานยืนยันว่า ท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า”

ข้อคิด

พันธกิจของเราก็คล้ายกับของนักบุ?ยอห์น บัปติสต์ กล่าวคือ การช่วยให้มนุษย์รู้จักพระเยซูเจ้า เราจะทำพันธกิจนี้ได้ก็ต่อเมื่อเราดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง และถ่อมตนเหมือนกับท่าน พระสันตะปาปา ปอล ที่ 6 กล่าวว่า “มนุษย์ในปัจจุบัน ฟังผู้ที่เป็นประจักษ์พยานมากกว่าผู้ที่สอน และหากเขาฟังผู้สอน ก็เนื่องจากผู้สอนเป็นประจักษ์พยานด้วย” น.ยอห์น บัปติสต์ เป็นประจักษ์พยานที่ถ่อมตน ผู้มีความมุ่งมั่นเพียงประการเดียว คือ ให้มนุษย์ได้เห็นและรู้จักพระเจ้า เราเป็นประจักษ์พยานที่มีความถ่อมตนหรือเปล่า?
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พุธ ม.ค. 04, 2012 1:06 pm

วันพุธที่ 4 มกราคม 2012
เทศกาลพระคริสตสมภพ


บทอ่านจากจดหมายนักบุญยอห์นอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง 1 ยน 3:7-10

ลูกที่รักทั้งหลาย จงอย่าให้ใครชักนำท่านให้หลงผิด ผู้ประพฤติชอบย่อมเป็นผู้ชอบธรรม ดังที่พระองค์ทรงเป็นผู้เที่ยงธรรม ผู้ที่ทำบาปย่อมมาจากปีศาจ เพราะปีศาจนั้นทำบาปมาตั้งแต่แรกเริ่ม พระบุตรของพระเจ้าทรงปรากฏ เพื่อทรงทำลายงานของปีศาจ ทุกคนที่บังเกิดจากพระเจ้าย่อมไม่ทำบาป เพราะเชื้อชีวิตของพระเจ้าดำรงอยู่ในตัวเขา และเขาไม่อาจทำบาปได้ เพราะเขาบังเกิดจากพระเจ้า เราจำแนกบุตรของพระเจ้าจากบุตรของปีศาจได้โดยวิธีนี้ คือทุกคนที่ไม่ประพฤติชอบ และไม่รักพี่น้องของตน ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า

พระวรสารนักบุญยอห์น ยน 1:35-42

วันรุ่งขึ้น ยอห์นกำลังยืนอยู่ที่นั่นกับศิษย์สองคน เมื่อเห็นพระเยซูเจ้าเสด็จผ่านไป จึงพูดว่า “นี่คือลูกแกะของพระเจ้า” เมื่อศิษย์ทั้งสองคนได้ยินยอห์นพูดดังนี้จึงติดตามพระเยซูเจ้าไป พระเยซูเจ้าทรงหันพระพักตร์มาทอดพระเนตรเห็นเขากำลังติดตามพระองค์ จึงตรัสถามว่า “ท่านต้องการสิ่งใด” เขาทูลตอบว่า “รับบี” แปลว่า พระอาจารย์ “พระองค์ทรงพำนักอยู่ที่ไหน” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “มาดูซิ” เขาจึงไปดู เห็นที่ประทับของพระองค์ และพักอยู่กับพระองค์ในวันนั้น ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ
บ่ายสี่โมง

อันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตรเป็นคนหนึ่งในสองคนที่ได้ยินคำพูดของยอห์น และตามพระเยซูเจ้าไป อันดรูว์พบซีโมนพี่ชายเป็นคนแรก จึงพูดว่า “เราพบพระเมสสิยาห์แล้ว” พระเมสสิยาห์ หรือพระคริสตเจ้า แปลว่า ผู้รับเจิม เขาพาพี่ชายไปเฝ้าพระเยซูเจ้า พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขาจึงตรัสว่า“ท่านคือซีโมน บุตรของยอห์น ท่านจะมีชื่อว่า เคฟาส”แปลว่า“เปโตร” หรือ “ศิลา”

ข้อคิด

พระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้ประกาศข่าวดีที่แท้จริง พระองค์ทรงเสด็จมาเพื่อช่วยประชาชนที่จมอยู่ในความมืด ให้ได้เห็นความสว่าง พระองค์ทรงเตือนให้ทุกคนได้กลับใจ คือเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตเสียใหม่ พระองค์เสด็จไป ณ ที่ใด พระองค์ก็จะทรงกระทำแต่ความดีที่นั้น จนเป็นที่ประทับใจของทุกคน นี่เป็นแบบฉบับแก่เราทุกคน คือไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน หรืออยู่กับใครก็ขอให้กระทำแต่ความดีที่นั้น
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พฤหัสฯ. ม.ค. 05, 2012 3:28 pm

วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม 2012
เทศกาลพระคริสตสมภพ


บทอ่านจากจดหมายนักบุญยอห์นอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง 1 ยน 3:11-21

ลูกที่รักทั้งหลาย นี่คือคำสอนที่ท่านทั้งหลายได้ฟังมาตั้งแต่แรกเริ่ม คือเราจงรักกัน อย่าเป็นเหมือนคาอิน ซึ่งมาจากมารร้าย และฆ่าน้องชายของตน เหตุใดเขาจึงฆ่าน้องชาย เพราะการกระทำของเขาเลวร้าย แต่การกระทำของน้องชายชอบธรรม

พี่น้องทั้งหลาย อย่าแปลกใจเลยถ้าโลกเกลียดชังท่าน เรารู้ว่า เราผ่านพ้นความตายมาสู่ชีวิตแล้ว เพราะเรารักพี่น้อง ผู้ใดไม่มีความรัก ย่อมดำรงอยู่ในความตาย ทุกคนที่เกลียดชังพี่น้องของตน ย่อมเป็นฆาตกร และท่านก็รู้ว่า ไม่มีฆาตกรคนใดมีชีวิตนิรันดรอยู่ในตน เรารู้จักความรัก จากการที่พระองค์ทรงสละชีวิตของพระองค์เพื่อเรา เราจึงควรสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้องเช่นเดียวกัน ถ้าผู้ใดมีทรัพย์สมบัติของโลกนี้ และเห็นพี่น้องของตนขาดแคลน ความรักของพระเจ้าจะดำรงอยู่ในผู้นั้นได้อย่างไร

ลูกที่รักทั้งหลาย เราอย่ารักกันแต่ปาก เพียงด้วยคำพูดเท่านั้น แต่เราจงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง จากการกระทำนี้ เราจะรู้ว่าเราอยู่กับความจริง เราจะมั่นใจเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ แม้ใจของเราอาจจะยังกล่าวโทษเราอยู่ก็ตาม เพราะพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าใจของเรา และทรงล่วงรู้ทุกสิ่ง
ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าใจของเราไม่กล่าวโทษเรา เราย่อมมั่นใจได้เมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า

พระวรสารนักบุญยอห์น ยน 1:43-51

วันรุ่งขึ้น พระเยซูเจ้าทรงตัดสินพระทัยเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี ทรงพบฟิลิปและตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” ฟิลิปมาจากเมืองเบธไซดาเช่นเดียวกับอันดรูว์และเปโตร ฟิลิปพบนาธานาเอล และบอกเขาว่า “เราพบผู้ที่โมเสสและบรรดาประกาศกเขียนไว้ในพระคัมภีร์แล้ว ผู้นั้นคือพระเยซู บุตรของโยเซฟ ชาวนาซาเร็ธ”
นาธานาเอลจึงพูดกับฟิลิปว่า “จะมีอะไรดีมาจากนาซาเร็ธได้รึ”
ฟิลิปตอบว่า “มาดูซิ”

พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นนาธานาเอลเข้ามาเฝ้า จึงตรัสถึงเขาว่า “นี่คือชาวอิสราเอลแท้ เป็นคนไม่มีมารยา”
นาธานาเอลทูลถามว่า “พระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้าได้อย่างไร”

พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ก่อนที่ฟิลิปจะเรียกท่าน เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อ”
นาธานาเอลทูลตอบว่า “รับบี พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล”

พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านเชื่อเพราะเราพูดว่า เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อหรือ ท่านจะเห็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก” แล้วพระองค์ตรัสเสริมว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านจะเห็นท้องฟ้าเปิด และจะเห็นบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นลงรับใช้บุตรแห่งมนุษย์”

ข้อคิด

พระเยซูเจ้าทรงตรัสกับนาธานาเอลว่า “ท่านเชื่อเพราะเราพูดว่า เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อหรือ ท่านจะเห็นเหตุการณ์ที่ยิ่งให?่กว่านั้นอีก” เราเองได้อ่านและได้ฟังพระวาจาของพระเจ้ามาแล้วมากมาย แล้วเรากล้าจะประกาศว่า พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าในชีวิตของเราหรือไม่ นักบุ?ยอห์นตอกย้ำคำสอนเรื่องความรักว่า ถ้ารักพระเจ้าจริง ก็ต้องรักพี่น้องด้วย นี่เป็นการเชื้อเชิ?เราทุกคนให้นำไปปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวันของเราให้ได้
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

ศุกร์ ม.ค. 06, 2012 1:24 pm

วันศุกร์ที่ 6 มกราคม 2012
เทศกาลพระคริสตสมภพ


บทอ่านจากจดหมายนักบุญยอห์นอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง 1 ยน 5:5-13

ลูกที่รักทั้งหลาย ใครเล่าชนะโลกได้ ถ้ามิใช่ผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูเจ้าเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นผู้เสด็จมาโดยน้ำและโดยพระโลหิต พระองค์คือ พระเยซูคริสตเจ้า พระองค์มิได้เสด็จมาโดยน้ำเพียงอย่างเดียว แต่เสด็จมาโดยน้ำและโดยพระโลหิต และพระจิตเจ้าทรงเป็นพยานถึงเรื่องนี้ เพราะพระจิตเจ้าทรงเป็นความจริง พยานมีสามอย่าง คือพระจิตเจ้า น้ำและพระโลหิต และพยานทั้งสามอย่างก็ตรงกัน

ถ้าเรายอมรับการเป็นพยานของมนุษย์ การเป็นพยานของพระเจ้านั้นย่อมยิ่งใหญ่กว่า คือการเป็นพยานที่พระเจ้าทรงให้เกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์ ผู้ใดเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ย่อมมีการเป็นพยานอยู่ในตัวเขาแล้ว แต่ผู้ที่ไม่เชื่อ ย่อมทำให้พระเจ้าเป็นผู้ตรัสคำเท็จ เพราะเขาไม่เชื่อการเป็นพยานซึ่งพระเจ้าประทานให้เกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์
การเป็นพยานนี้คือ พระเจ้าประทานชีวิตนิรันดรแก่เรา และชีวิตนี้อยู่ในพระบุตรของพระองค์ ผู้ใดมีพระบุตรย่อมมีชีวิต และผู้ใดไม่มีพระบุตรของพระเจ้าย่อมไม่มีชีวิต ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ถึงท่านทั้งหลาย ซึ่งเชื่อในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้รู้ว่าท่านมีชีวิตนิรันดร

พระวรสารนักบุญมาระโก มก 1:7-11

เวลานั้น ยอห์นประกาศว่า “มีอีกผู้หนึ่งกำลังมาภายหลังข้าพเจ้า ทรงอำนาจยิ่งกว่าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สมควรแม้แต่จะก้มลงแก้สายรัดรองเท้าของเขา ข้าพเจ้าใช้น้ำทำพิธีล้างให้ท่านทั้งหลาย แต่เขาจะทำพิธีล้างให้ท่าน เดชะพระจิตเจ้า”
ครั้งนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จจากเมืองนาซาเร็ธ แคว้นกาลิลี และทรงรับพิธีล้างจากยอห์นในแม่น้ำจอร์แดน ทันทีที่พระองค์เสด็จขึ้นจากน้ำ ก็ทรงเห็นท้องฟ้าถูกแหวกออก พระจิตเจ้าเสด็จลงมาเหนือพระองค์ดุจนกพิราบ และมีเสียงมาจากฟากฟ้าว่า “ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา เป็นที่โปรดปรานของเรา”

ข้อคิด

เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาครั้งแรก นักบุ?ยอห์น บัปติสต์ เป็นผู้เตรียมทางเพื่อต้อนรับการเสด็จมาของพระองค์ให้แก่ชาวอิสราเอล ในปัจจุบันนี้ เราต้องการผู้ที่เตรียมทางให้แก่พระคริสตเจ้า เพื่อให้พระองค์เสด็จเข้ามาในจิตใจของมนุษย์ และในสังคมของเรา ท่านคือหนึ่งในจำนวนผู้ที่พระองค์ทรงเรียก ให้มีส่วนในการเผยแผ่พระวาจาของพระองค์ เราแต่ละคนได้รับเชิ?ให้เป็นผู้เตรียมทางเพื่อรับเสด็จพระองค์ เมื่อท่านพูดและปฏิบัติตนดังเช่นผู้ที่ได้รับองค์พระผู้ไถ่เข้ามาในชีวิตแล้ว เมื่อนั้นเสียงของท่านจะกังวานและมีผลพิเศษ นี่คือพันธกิจของเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์ นักบวช หรือฆราวาส
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

เสาร์ ม.ค. 07, 2012 1:25 pm

วันเสาร์ที่ 7 มกราคม 2012
เทศกาลพระคริสตสมภพ



บทอ่านจากจดหมายนักบุญยอห์นอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง1 ยน 5:14-21

ท่านที่รักทั้งหลาย ความมั่นใจของเราต่อพระองค์มีอยู่ว่า ถ้าเราวอนขอสิ่งใดที่เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์จะทรงฟังเรา และถ้าเรารู้ว่าพระองค์ทรงฟังสิ่งที่เราวอนขอ เราย่อมรู้ว่า เรามีสิ่งที่เราวอนขอนั้นแล้ว

ผู้ใดเห็นพี่น้องกระทำบาป ซึ่งไม่ใช่บาปที่ทำให้ตาย จงอธิษฐานเพื่อพี่น้องคนนั้น แล้วพระเจ้าจะประทานชีวิตแก่เขา แต่ต้องไม่ใช่บาปที่ทำให้ตาย มีบาปที่ทำให้ตาย และข้าพเจ้าไม่บอกให้ท่านอธิษฐานเพื่อบาปชนิดนี้ ความอธรรมทุกชนิดเป็นบาป แต่ไม่ใช่บาปทุกชนิดทำให้ตาย

เรารู้ว่า ทุกคนที่เกิดจากพระเจ้าย่อมไม่ทำบาป เพราะพระผู้ทรงบังเกิดจากพระเจ้าทรงเฝ้ารักษาเขาไว้ และมารร้ายไม่อาจแตะต้องเขาได้ เรารู้ว่า เรามาจากพระเจ้า โลกทั้งหมดอยู่ใต้อำนาจของมารร้าย เรารู้อีกว่า พระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาแล้ว พระองค์ประทานความเข้าใจให้เรา เพื่อเราจะได้รู้จักพระเจ้าแท้ เราอยู่ในพระองค์ และอยู่ในพระเยซูคริสตเจ้าพระบุตรของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแท้ และทรงเป็นชีวิตนิรันดร ลูกที่รัก จงระวังตนจากรูปเคารพเถิด

พระวรสารนักบุญยอห์น ยน 2:1-12

สามวันต่อมา มีงานสมรสที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลี พระมารดาของพระเยซูเจ้าทรงอยู่ในงานนั้น พระเยซูเจ้าทรงได้รับเชิญพร้อมกับบรรดาศิษย์มาในงานนั้นด้วย เมื่อเหล้าองุ่นหมด พระมารดาของพระเยซูเจ้าจึงมาทูลพระองค์ว่า “เขาไม่มีเหล้าองุ่นแล้ว”

พระเยซูเจ้าตรัสว่า “แม่ครับ แม่ต้องการอะไรจากลูก เวลาของลูกยังมาไม่ถึง”
พระมารดาของพระเยซูเจ้าจึงกล่าวแก่บรรดาคนรับใช้ว่า “เขาบอกให้ท่านทำอะไร ก็จงทำเถิด”
ที่นั่นมีโอ่งหินตั้งอยู่หกใบ เพื่อใช้ชำระตามธรรมเนียมของชาวยิว แต่ละใบจุน้ำได้ประมาณหนึ่งร้อยลิตร พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาคนรับใช้ว่า “จงตักน้ำใส่โอ่งให้เต็ม” เขาก็ตักน้ำใส่จนเต็มถึงขอบ แล้วพระองค์ทรงสั่งเขาอีกว่า “จงตักไปให้ผู้จัดงานเลี้ยงเถิด”

เขาก็ตักไปให้ ผู้จัดงานเลี้ยงได้ชิมน้ำที่เปลี่ยนเป็นเหล้าองุ่นแล้ว ไม่รู้ว่าเหล้านี้มาจากไหน แต่คนรับใช้ที่ตักน้ำรู้ดี ผู้จัดงานเลี้ยงจึงเรียกเจ้าบ่าวมา พูดว่า “ใคร ๆ เขานำเหล้าองุ่นอย่างดีมาให้ก่อน เมื่อบรรดาแขกดื่มมากแล้ว จึงนำเหล้าองุ่นอย่างรองมาให้ แต่ท่านเก็บเหล้าอย่างดีไว้จนถึงบัดนี้”

พระเยซูเจ้าทรงกระทำเครื่องหมายอัศจรรย์ครั้งแรกนี้ที่หมู่บ้านคานา แคว้นกาลิลี พระองค์ทรงแสดงพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ และบรรดาศิษย์เชื่อในพระองค์

หลังจากนี้ พระเยซูเจ้าเสด็จไปเมืองคาเปอรนาอุมพร้อมกับพระมารดาญาติพี่น้องและบรรดาศิษย์ ทุกคนพำนักอยู่ที่นั่นเพียงสองสามวัน

ข้อคิด

คำสอนของพระเยซูเจ้าสรุปได้แต่เพียงประการเดียวคือ “ความรัก” เป็นความรักที่มีต้นกำเนิดมาจากพระเจ้า คือ ความรักที่เป็นผู้ให้ เป็นความรักที่มิใช่แค่คำพูด วันนี้เราได้เห็นแบบอย่างของพระเยซูเจ้า ที่ทรงเปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่นที่เมืองคานา พระองค์มิได้นิ่งเฉยหรือแค่พูดปลอบใจ วันนี้จึงขอให้เราได้หาโอกาสในการแสดงความรักอย่างเป็นรูปธรรมให้กับบุคคลที่อยู่รอบข้างเราอย่างน้อยสักหนึ่งคน
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

อาทิตย์ ม.ค. 08, 2012 1:39 pm

บทเทศน์วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม 2012
เขียนโดย ฯพณฯ ฟรังซิสเซเวียร์ วีระ อาภรณ์รัตน์

แสงสว่างสำหรับทุกคน
บทเทศน์วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม 2012 (ปี B)
สมโภชพระคริสตเจ้าทรงแสดงองค์
บทอ่าน :อสย.6 :1-6; อฟ 3:2-3,5-6; มธ 2:1-12
สมโภชพระคริสตเจ้าทรงแสดงองค์ เราเคยเรียกว่า ฉลองพญา 3 องค์ เป็นโหราจารย์ ผู้ติดตามดาว และนำของขวัญ มาถวายพระกุมาร พวกเขามาจากทิศตะวันออก ของประเทศอิสราแอล ซึ่งอาจหมายถึง เปอร์เซีย หรือ บาบีโลเนีย หรือ ซีเรีย
บางที เราอาจคิดว่า การสมโภชพระคริสตสมภพ เป็นการฉลองเฉพาะส่วนตัวของเราคริสตชน แต่การสมโภชวันนี้ มีความหมายว่าพระเจ้าทรงรักพี่น้องหญิงชายที่กำลังเดินทางบังเกิดสู่พระองค์ด้วย กำลังแสวงหาองค์สัจธรรม การสมโภชวันนี้จึงก้าวข้ามอุปสรรค และย้ำว่า พระเยซูเจ้าทรงมาเพื่อทุกคน
เบธเลเฮม เมืองเล็กที่สุด ในบรรดาหัวเมืองแห่งยูดาห์

นักบุญมัทธิวเล่าเรื่องการบังเกิดของพระเยซูเจ้า ว่า มีโหราจารย์ ไม่ได้บอกว่ามี 3 คน หรือ เป็นกษัตริย์ เป็นคนเผ่าอื่น (สีอื่น) แต่ตามธรรมประเพณีคริสตชน ให้ข้อมูลเพิ่มเติม คำว่า โหราจารย์ (Magi) น่าจะหมายถึงนักปราชญ์ พระสงฆ์ หรือบางทีก็เป็น นักดาราศาสตร์ในสมัยนั้น พวกเขากำลังติดตามดาวสืบถามเรื่อง มีกุมารคนหนึ่งเกิดมาจะเป็นกษัติย์องค์ใหม่ของชาวยิว (วรรค 2) เมื่อมีนักปราชญ์มาเยี่ยม กษัติย์เฮโรดถามคำถามเช่นนี้ เฮโรด ย่อมวุ่นวายใจจึงเรียกประชุมหัวหน้าสมณะ และธรรมจารย์ และได้คำตอบว่า พระคริสต์ประสูติในเมืองเบธเลเฮม ดังที่ประกาศกมีดาห์ (บทที่ 5:2) และนักบุญมัทธิวได้ยืนยัน “เบธเลเฮม... เจ้ามิใช่เล็กที่สุดในบรรดาหัวเมืองแห่งยูดาห์ เพราะผู้นำคนหนึ่งจะออกมาจากเจ้า ซึ่งจะเป็นผู้นำประชากรของเรา” ผู้เขียนพระวรสารได้นำคำนี้ ไปใช้ในบทที่ 25 กล่าวถึงการพิพากษาครั้งสุดท้าย

“ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา” (มธ.25:40) ท่านไม่ได้ทำสิ่งใดต่อผู้ต่ำต้อยของเราคนหนึ่ง ท่านก็ไม่ได้ทำสิ่งนั้นต่อเรา” (มธ.25.45) ซึ่งหมายถึงเราพบปะพระเยซูเจ้า คนยากจนมักไม่สำคัญ ไม่ได้รับความสนใจ มักถูกลืม เหมือนในเมืองเบธเลเฮม แต่พวกเขายิ่งใหญ่ เพราะพระเยซูเจ้าเสด็จมาหาเราโดยอาศัยพวกเขา

โหราจารย์ได้พบพระกุมารกับพระมารดามารีย์ ได้คุกเข่าลงนมัสการ แล้วเปิดหีบสมบัตินำทองคำ กำยาน และมดยอบ ออกมาถวายพระองค์ บรรดาโหราจารย์ได้รู้ประสงค์ร้ายของกษัตริย์เฮโรด “เขาจึงกลับไปบ้านเมืองของตนโดยทางอื่น” (วรรค 12) เราสามารถเดาได้ว่า เมื่อโหราจารย์พบพระเยซู พวกเขาได้เปลี่ยนแปลงชีวิต เพราะในพระคัมภีร์ “การเปลี่ยนหนทาง” เป็นสัญลักษณ์หมายถึงการกลับใจ เพราะฉะนั้นผลของการพบพระเยซูเจ้า ก็คือการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา ความสามารถเลือกหนทางอื่น

การเปิดเผยพระธรรมล้ำลึก
ในทัศนะของพระคัมภีร์ พระธรรมล้ำลึกมิได้หมายความถึง ปริศนา หรือ ปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้ แต่พระธรรมล้ำลึกเป็นข้อเท็จจริงซึ่งอยู่พ้นเรา เกินสติปัญญาความสามารถของเราจะเข้าใจได้ ในบริบทนี้ มิได้ถูกจำกัดเฉพาะคนกลุ่มน้อยบางคน พระธรรมล้ำลึกต้องได้รับถ่ายทอดให้ทุกคนทราบ นักบุญเปาโล กล่าวกับชาวเอเฟซัสว่า พระเจ้าทรงเปิดเผยพระธรรมล้ำลึก ให้เรารู้ว่า “คนต่างชาติ เข้ามามีส่วนร่วมในกองมรดกเดียวกัน ร่วมเป็นกายเดียวกัน ร่วมรับพระสัญญาเดียวกันในพระคริสตเยซู อาศัยข่าวดี” (อฟ.3:6) นี่คือหัวใจของวันสมโภชพระคริสตเจ้าทรงแสดงองค์ บรรดาโหราจารย์จากทิศตะวันออกได้รับการเผยแสดงความจริง หมายถึง คนต่างชาติได้รับการเผยแสดงพระธรรมล้ำลึกนี้ ดังนั้นตามประเพณีคริสตชนจึงอยู่ในหนทางที่ถูกต้อง ที่เรามีสมาชิกนานาชาติ และ หลายเผ่าพันธุ์

บทอ่านจากประกาศกอิสยาห์ เตือนใจเราถึงสัญลักษณ์ ซึ่งเป็นแก่นวันฉลองพระคริสตเจ้าทรงแสดงองค์ “ จงลุกขึ้นเถิด จงฉายแสงเจิดจ้าเพราะความสว่าง ของท่านมาแล้ว พระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าทอแสงเหนือท่าน” (60:1) ความสว่างซึ่งพระวาจาของพระเจ้ากำลังนำมาให้ “ความมืดซึ่งปกคลุมแผ่นดิน” (วรรค 2) จางหายไป ประชาชาติทั้งหลายจะได้รับแสงสว่าง “บรรดากษัตริย์จะทรงดำเนินมาสู่ความสดใสที่ทอแสงเหนือท่าน” (วรรค 3) ทุกคนได้รับเชิญให้มาเป็นศิษย์ของพระเยซูคริสตเจ้า (มธ.28:19) นี่จึงเป็นเหตุผลที่วันฉลองพระคริสตเจ้าทรงแสดงองค์ แก่ทุกคน ( เป็นวันฉลองยุวธรรมทูต) ชุมชนในเขตวัดใดไม่สนใจงานธรรมทูต ก็ไม่ใช่ชุมชนคริสตชนแท้จริง ไม่ใช่คนที่ติดตามพระคริสตเจ้า

ความเชื่อไม่ใช่เรื่องส่วนตัวภายในจิตใจเท่านั้น ความเชื่อแท้ย่อมเรียกร้องให้เราสื่อสาร ความรักของพระเจ้า และเสริมสร้างชีวิตในชุมชนของเรา
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ม.ค. 16, 2012 2:30 pm

ขอโทษนะครับ พี่ น้อง ทุกท่าน พอดีกลับบ้านต่างจังหวัด ไม่มีเน็ตใช้ครับเลย หายไปหลายวัน ขอพระเจ้าอวยพรทุกคนครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ม.ค. 16, 2012 3:02 pm

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม 2012
ฉลองพระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้าง


บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวกกจ 10:34-38

ขณะนั้น เปโตรเริ่มปราศรัยว่า “ข้าพเจ้าเห็นจริงแล้วว่าพระเจ้าไม่ทรงลำเอียง ทุกคนที่ยำเกรงพระองค์และปฏิบัติความชอบธรรม จะมีเชื้อชาติใด ย่อมเป็นที่พอพระทัยของพระองค์

พระองค์ทรงมอบพระวาจาแก่ลูกหลานของชาวอิสราเอล โดยทรงประกาศข่าวดีแห่งสันติสุขเดชะพระเยซูคริสตเจ้า ถึงกระนั้นพระเยซูเจ้านี้ยังทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของทุกคนด้วย ท่านทั้งหลายได้ทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วแคว้นยูเดียเริ่มต้นที่แคว้นกาลิลี หลังจากที่ยอห์นได้เทศน์สอนและทำพิธีล้าง พระเจ้าทรงเจิมพระเยซูเจ้าชาวนาซาเร็ธด้วยพระอานุภาพเดชะพระจิตเจ้า พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านไปที่ใด ทรงกระทำความดีและรักษาทุกคนที่อยู่ใต้อำนาจของปิศาจ เพราะพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับพระองค์

พระวรสารนักบุญมาระโก มก 1:7-11

เวลานั้น ท่านยอห์นประกาศว่า ‘มีผู้หนึ่งมาภายหลังข้าพเจ้า ทรงอำนาจยิ่งกว่าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สมควรแม้แต่จะก้มลงแก้สายรัดรองเท้าของเขา ข้าพเจ้าใช้น้ำทำพิธีล้างให้ท่านทั้งหลาย แต่เขาจะทำพิธีล้างท่านเดชะพระจิตเจ้า’

ในครั้งนั้น พระเยซูเจ้าได้เสด็จจากเมืองนาซาเร็ธแคว้นกาลิลี และทรงรับพิธีล้างจากยอห์นในแม่น้ำจอร์แดน เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นจากน้ำ ทันใดนั้นก็ทรงเห็นท้องฟ้าถูกแหวกออก และพระจิตเจ้าเสด็จลงมาเหนือพระองค์ดุจนกพิราบ แล้วมีเสียงมาจากฟากฟ้าว่า ‘เจ้าเป็นบุตรที่รักของเรา เป็นที่โปรดปรานของเรา’

ข้อคิด

พระเยซูเจ้าทรงเริ่มพันธกิจของพระองค์ด้วยการเข้ารับพิธีล้างจากท่านยอห์น บัปติสตา แม้ว่าพระองค์ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ต้องทำเช่นนั้น เพราะพระองค์ไม่ทรงมีบาปแต่ประการใด ทั้งบาปกำเนิดและบาปปัจจุบัน แต่พระองค์มีเจตนาที่จะกระทำเช่นนั้น เพื่อจะแสดงให้มนุษย์เห็นว่าพระองค์เองทรงอยู่เคียงข้างกับพวกเขา เข้าใจพวกเขา และทรงเสด็จลงมาก็เพื่อพวกเขาและจะนำพวกเขาให้พ้นจากสภาพบาปต่าง ๆ ได้ ดังนั้นจงอย่าหมดหวังหรือท้อแท้ใจ พระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างเราเสมอ
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ม.ค. 16, 2012 3:08 pm

วันอังคารที่ 10 มกราคม 2012
สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากหนังสือซามูแอล ฉบับที่หนึ่ง 1 ซมอ 1:9-20

ครั้งหนึ่งที่เมืองชิโลห์ เมื่อนางฮันนาห์รับประทานอาหารแล้ว ก็ลุกขึ้นไปอยู่เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า สมณะเอลีนั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างประตูวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า นางเศร้าโศกมากร้องไห้อย่างขมขื่น พลางอธิษฐานทูลองค์พระผู้เป็นเจ้า นางบนบานว่าดังนี้ “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า จอมโยธา! โปรดทอดพระเนตรมายังผู้รับใช้ที่มีความทุกข์ของพระองค์เถิด โปรดระลึกถึงข้าพเจ้า โปรดอย่าลืมผู้รับใช้ของพระองค์เลย ถ้าพระองค์ประทานบุตรชายคนหนึ่งแก่ผู้รับใช้ ข้าพเจ้าจะถวายเขาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดชีวิตของเขา ใบมีดจะไม่โกนศีรษะของเขาเลย”

ขณะที่นางอธิษฐานทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เป็นเวลานาน เอลีเฝ้าดูอากัปกิริยาจากริมฝีปากของนาง นางฮันนาห์อธิษฐานในใจ ริมฝีปากขมุบขมิบ แต่มิได้เปล่งเสียงออกมา เอลีคิดว่านางเมาเหล้า จึงถามนางว่า ‘เธอจะเมาอีกนานเท่าใด? จงเลิกเมาเสียเถิด’ นางฮันนาห์ตอบว่า ‘นายเข้าขา ดิฉันไม่ได้ดื่มเหล้าองุ่นหรือเมรัยใด ๆ ดิฉันเป็นหญิงมีความทุกข์สาหัส จึงอธิษฐานระบายความทุกข์ในใจเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า อย่าคิดว่าผู้รับใช้ผู้นี้ของท่านเป็นหญิงเหลวไหลเลย ที่ดิฉันอธิษฐานเช่นนี้ ก็เพราะดิฉันเป็นทุกข์โศกเศร้ามาก’ เอลีจึงว่า ‘จงไปเป็นสุขเถิด ขอพระเจ้าแห่งอิสราเอลประทานให้ตามที่เธอทูลขอจากพระองค์’ นางตอบว่า ‘ขอท่านโปรดปรานผู้รับใช้ผู้นี้เถิด’ แล้วนางก็ลาจากไปรับประทานอาหารและไม่เศร้าโศกอีก

วันรุ่งขึ้น เอลคานาห์และครอบครัวลุกขึ้นแต่เช้าตรู่นมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วเดินทางกลับบ้านที่เมืองรามาห์ เอลคานาห์หลับนอนกับนางฮันนาห์ภรรยา แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงระลึกถึงนาง นางฮันนาห์ก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชาย เมื่อถึงเวลากำหนด นางตั้งชื่อเขาว่าซามูเอล ‘เพราะนางเคยทูลขอบุตรนี้จากองค์พระผู้เป็นเจ้า’

พระวรสารนักบุญมาระโก มก 1:21-28

พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองคาเปอรนาอุมพร้อมกับบรรดาศิษย์ เมื่อถึงวันสับบาโต พระองค์เสด็จเข้าไปในศาลาธรรม และทรงเริ่มสั่งสอน คำสั่งสอนของพระองค์ทำให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจอย่างมาก เพราะทรงสอนเขาอย่างทรงอำนาจไม่เหมือนกับบรรดาธรรมาจารย์

ขณะนั้น ในศาลาธรรมชายคนหนึ่งซึ่งปีศาจสิงอยู่ร้องตะโกนว่า “ท่านมายุ่งกับเราทำไม เยซู ชาวนาซาเร็ธ ท่านมาทำลายเราใช่ไหม เรารู้ว่าท่านเป็นใคร ท่านคือองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า” พระเยซูเจ้าทรงดุปีศาจและตรัสสั่งว่า “จงเงียบ ออกไปจากผู้นี้” เมื่อปีศาจทำให้ชายผู้นั้นชักและร้องเสียงดังแล้ว มันก็ออกไปจากเขา ทุกคนต่างประหลาดใจจึงถามกันว่า “นี่มันเรื่องอะไร เป็นคำสั่งสอนแบบใหม่ที่มีอำนาจ เขาสั่งแม้กระทั่งปีศาจและมันก็เชื่อฟัง” แล้วกิตติศัพท์ของพระองค์ก็เลื่องลือไปทุกแห่งตลอดทั่วแคว้นกาลิลีทันที

ข้อคิด

ปีศาจเองก็รู้ว่าพระเยซูเจ้าคือผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า แต่ปีศาจไม่รักและศรัทธาในพระเยซู เราจึงเห็นได้ว่า ความรู้อย่างเดียวไม่เกิดประโยชน์แก่จิตวิญญาณของเรา ความรู้จะต้องนำไปสู่ความรัก และความรักต้องนำไปสู่การปฏิบัติ มีคนจำนวนมากที่เพียงแต่รู้จักพระเยซูเจ้า แต่ยังมีจิตใจที่เย็นเฉย หรือหลายคนอาจจะชื่นชมพระเยซูแต่ไม่ยินดีปฏิบัติตามแบบอย่างของพระองค์ เราเป็นคนหนึ่งที่เป็นเช่นนี้หรือไม่
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

อังคาร ม.ค. 17, 2012 5:22 pm

วันอังคารที่ 11 มกราคม 2555
สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากจดหมายถึงชาวฮีบรู ฮบ 2:5-12

พี่น้อง พระเจ้ามิได้ทรงมอบโลกในอนาคตที่เราพูดถึงนั้นไว้ใต้อำนาจบรรดาทูตสวรรค์ มีผู้กล่าวยืนยันในพระคัมภีร์ตอนหนึ่งว่า “มนุษย์เป็นใครเล่า พระองค์จึงทรงระลึกถึง และบุตรของมนุษย์เป็นใครเล่า พระองค์จึงทรงเอาพระทัยใส่ พระองค์ทรงทำให้เขาต่ำกว่าทูตสวรรค์เพียงเล็กน้อย พระองค์ประทานสิริรุ่งโรจน์และเกียรติยศให้เป็นมงกุฎ ทรงมอบทุกอย่างไว้ใต้เท้าของเขา”

การมอบทุกอย่างไว้ใต้อำนาจนั้น พระองค์มิได้ทรงละสิ่งใดที่ไม่อยู่ใต้อำนาจของเขาไว้เลย ขณะนี้เรายังไม่เห็นว่าทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจของเขา แต่เราก็เห็นว่า พระเยซูเจ้าผู้ทรงถูกลดฐานะลงต่ำกว่าทูตสวรรค์อยู่ชั่วขณะหนึ่ง ทรงได้รับสิริรุ่งโรจน์และ เกียรติยศเป็นมงกุฎ เพราะทรงยอมรับความตาย ดังนี้ โดยอาศัยพระหรรษทานของพระเจ้า พระองค์ทรงลิ้มรสความตายเพื่อมนุษย์ทุกคน

พระเจ้าผู้ทรงสร้างและค้ำจุนทุกสิ่งมีพระประสงค์จะนำบุตรจำนวนมากเข้ามารับพระสิริรุ่งโรจน์ จึงเป็นการเหมาะสม แล้วที่พระองค์จะทรงทำให้ผู้ที่นำมนุษย์ให้รอดพ้น นั้นสมบูรณ์โดยผ่านการทนทุกข์ทรมาน เพราะทั้งผู้ประทานความศักดิ์สิทธิ์ และผู้รับความศักดิ์สิทธิ์ต่างก็มาจากแหล่งเดียวกัน พระองค์จึงไม่ทรงอายที่จะเรียกคนเหล่านั้นว่าพี่น้อง โดยตรัสว่า “ข้าพเจ้าจะประกาศพระนามของพระองค์กับพี่น้องของข้าพเจ้าจะถวายสดุดีพระองค์ในชุมนุมของปรระชากร"



พระวรสารนักบุญมาระโก มก 1:21-28

พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองคาเปอรนาอุมพร้อมกับบรรดาศิษย์ เมื่อถึงวันสับบาโต พระองค์เสด็จเข้าไปในศาลาธรรม และทรงเริ่มสั่งสอน คำสั่งสอนของพระองค์ทำให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจอย่างมาก เพราะทรงสอนเขาอย่างทรงอำนาจไม่เหมือนกับบรรดาธรรมาจารย์

ขณะนั้น ในศาลาธรรมชายคนหนึ่งซึ่งปีศาจสิงอยู่ร้องตะโกนว่า “ท่านมายุ่งกับเราทำไม เยซู ชาวนาซาเร็ธ ท่านมาทำลายเราใช่ไหม เรารู้ว่าท่านเป็นใคร ท่านคือองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า” พระเยซูเจ้าทรงดุปีศาจและตรัสสั่งว่า “จงเงียบ ออกไปจากผู้นี้” เมื่อปีศาจทำให้ชายผู้นั้นชักและร้องเสียงดังแล้ว มันก็ออกไปจากเขา ทุกคนต่างประหลาดใจจึงถามกันว่า “นี่มันเรื่องอะไร เป็นคำสั่งสอนแบบใหม่ที่มีอำนาจ เขาสั่งแม้กระทั่งปีศาจและมันก็เชื่อฟัง” แล้วกิตติศัพท์ของพระองค์ก็เลื่องลือไปทุกแห่งตลอดทั่วแคว้นกาลิลีทันที



ข้อคิด

พระวรสารวันนี้ กล่าวถึงการสั่งสอนของพระเยซูเจ้าในศาลาธรรม และคำสั่งสอนของพระองค์ ผู้ฟังฟังแล้วเกิดความประทับใจอย่างมาก เมื่อเทียบกับในสมัยปัจจุบัน ผู้อ่านพระวาจาหรือผู้ที่ได้ฟังคำสอนจากพระเยซูเจ้า ต่างประทับใจ เหมือน ๆ กับคนในยุคก่อนโน้น เพราะข้อคำสอนของพระองค์ไม่เพียงแต่ปลดปล่อยคนให้เป็นอิสระจากสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่จีรังยั่งยืน แต่ให้มุ่งความสนใจต่อพระอาณาจักรพระเจ้าและความสัมพันธ์ต่อกันและกันอย่างถูกต้อง บ่อย ๆ ครั้ง คำสอนนั้นคมกริบเหมือนดาบแทงทะลุดวงใจทีเดียว แต่การปรับเปลี่ยนการกระทำ ก็ไม่ง่าย ๆ เหมือนการฟังเท่านั้น ....ปีศาจที่สิงในใจของเราก็พยายามขับไล่พระองค์ไป กลัวพระองค์จะมาทำลายความสะดวกสบายของเรา แน่ทีเดียวพระองค์รู้จักเราดี ดีกว่าเรารู้จักตัวของเราเองเสียอีก - พระวรสารตอนนี้เล่าว่าพระเยซูทรงดุปีศาจ และสั่งให้มันออกไปจากชายคนนั้น และมันก็ยอมทำตาม แม้แต่ปีศาจยังเชื่อฟังพระองค์ - แล้วตัวฉันล่ะ ฉันยอมให้พระองค์ดุว่าหรือไม่? และฉันยอมเชื่อฟังพระองค์อย่างสิ้นสุดจิตใจหรือเปล่า? หรือว่าฉันยังยอมให้ปีศาจอาศัยอยู่ และหลอกตัวเองไปเรื่อย ๆ !
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

อังคาร ม.ค. 17, 2012 5:31 pm

วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม 2012
สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่หนึ่ง 1 ซมอ 4:1ข-11

ในครั้งนั้น ชาวอิสราเอลออกไปสู้รบกับชาวฟีลิสเตีย ตั้งค่ายอยู่ที่เอเบนเอเซอร์ ส่วนชาวฟีลิสเตียตั้งค่ายอยู่ที่อาเฟก ชาวฟีลิสเตียตั้งแนวรบเข้าต่อสู้กับชาวอิสราเอล และสู้รบกันอย่างหนัก ชาวอิสราเอลพ่ายแพ้ชาวฟีลิสเตียซึ่งฆ่าชาวอิสราเอลประมาณสี่พันคนในสนามรบ

เมื่อกำลังพลอิสราเอลกลับมาในค่าย บรรดาผู้อาวุโสถามว่า ‘ทำไมวันนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงปล่อยให้เราพ่ายแพ้ชาวฟีลิสเตีย? เราจงไปเอาหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้า จอมโยธามาจากชิโลห์เถิด เพื่อพระองค์จะเสด็จไปกับเรา และทรงช่วยเราให้รอดพ้นจากศัตรู’

ประชากรจึงส่งคนไปที่ชิโลห์ เพื่อนำหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธาผู้ประทับอยู่เหนือบัลลังก์ระหว่างเครูบ โฮฟนี และฟีเนหัสบุตรทั้งสองคนของเอลีก็มาพร้อมกับหีบพันธสัญญา

เมื่อหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงค่าย ชาวอิสราเอลทุกคนโห่ร้องเสียงดังสนั่น จนแผ่นดินสั่นสะเทือน เมื่อชาวฟีลิสเตียได้ยินเสียงโห่ร้อง ก็ถามกันว่า ‘เสียงโห่ร้องดังเช่นนี้ในค่ายของชาวฮีบรูหมายความว่าอะไร?’ เมื่อชาวฟีลิสเตียทราบว่า หีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงค่ายชาวฮีบรู เขาก็มีความกลัว พูดกันว่า ‘พระเจ้าเสด็จมาในค่ายของเขาแล้ว เราแพ้แน่ๆ ไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นก่อนเลย เราแพ้แน่ ๆ ใครจะช่วยเราให้รอดพ้นจากอำนาจของพระเจ้าผู้ทรงอานุภาพนี้ได้เล่า? พระเจ้าองค์นี้แหละทรงส่งภัยพิบัติมาทำลายชาวอียิปต์ในถิ่นทุรกันดาร ชาวฟีลิสเตียทั้งหลาย จงกล้าหาญ และเป็นลูกผู้ชายเถิด มิฉะนั้น ท่านจะต้องเป็นทาสของชาวฮีบรู เหมือนที่เขาเคยเป็นทาสของท่าน จงสู้รบอย่างลูกผู้ชายเถิด’

ชาวฟีลิสเตียเข้าสู้รบ ชาวอิสราเอลก็พ่ายแพ้ ต่างหนีกลับบ้านของตน เป็นความปราชัยอย่างใหญ่หลวง ชาวอิสราเอลถูกฆ่าตายถึงสามหมื่นคน หีบพันธสัญญาของพระเจ้าถูกยึดไป โฮฟนีและฟีเนหัส บุตรทั้งสองคนของเอลีก็ถูกฆ่าด้วย


พระวรสาร มก 1:40-45

เวลานั้น ผู้เป็นโรคเรื้อนคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ คุกเข่าอ้อนวอนว่า “ถ้าพระองค์พอพระทัย พระองค์ย่อมทรงรักษาข้าพเจ้าให้หายได้” พระเยซูเจ้าทรงสงสาร ตื้นตันพระทัย จึงทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขา ตรัสว่า “เราพอใจ จงหายเถิด ทันใดนั้น โรคเรื้อนก็หาย เขากลับเป็นปกติ พระเยซูเจ้าทรงให้เขาไปทันที ทรงกำชับอย่างแข็งขันว่า “ระวัง อย่าบอกอะไรให้ใครรู้เลย แต่จงไปแสดงตนแก่สมณะ และถวายเครื่องบูชาตามที่โมเสสกำหนด เพื่อเป็นหลักฐานแก่คนทั้งหลายว่าท่านหายจากโรคแล้ว” แต่เมื่อชายผู้นั้นจากไป เขาก็ป่าวประกาศกระจายข่าวไปทั่ว จนพระองค์ไม่อาจเสด็จเข้าไปในเมืองได้อย่างเปิดเผยอีกต่อไป พระองค์จึงประทับอยู่นอกเมืองในที่เปลี่ยว แม้กระนั้น ประชาชนจากทุกทิศก็ยังมาเฝ้าพระองค์



ข้อคิด

คนโรคเรื้อนเป็นที่รังเกียจของสังคมในสมัยนั้น เขาต้องแยกตัวออกไปอยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่วันนี้เราเห็นความเชื่อและความกล้าหาญของเขาที่เข้ามาหาพระเยซูเจ้า ซึ่งในเวลาเดียวกันทำให้เราเห็นความรักและความเมตตาของพระองค์เช่นกัน พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขา และรักษาเขาให้หายเป็นปรกติ เราเองได้แสดงความรักและความเมตตาต่อผู้ที่สังคมรังเกียจหรือถูกทอดทิ้งอย่างที่พระเยซูได้ทรงกระทำบ้างหรือไม่
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

อังคาร ม.ค. 17, 2012 5:58 pm

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม 2012
สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่หนึ่ง 1 ซมอ 8:4-7,10-22ก

บรรดาผู้อาวุโสของชาวอิสราเอลจึงมาชุมนุมกันไปหาซามูเอลที่รามาห์ กล่าวว่า ‘ท่านชราแล้ว และบุตรของท่านไม่ประพฤติตามแบบอย่างของท่าน เพราะฉะนั้น ขอให้ท่านแต่งตั้งกษัตริย์ขึ้นปกครองพวกเราเหมือนกับชนชาติอื่นเถิด’ ซามูเอลไม่พอใจที่เขาเหล่านั้นขอกษัตริย์มาปกครอง จึงอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบซามูเอลว่า ‘จงฟังถ้อยคำทุกประการที่ประชาชนพูดกับท่านเถิด เขาไม่ได้ละทิ้งท่านแต่ละทิ้งเรา ไม่ยอมให้เราเป็นกษัตริย์ปกครองเขา

ซามูเอลบอกให้ประชาชนที่มาขอกษัตริย์ทราบทุกอย่างที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เขากล่าวว่า ‘นี่เป็นสิทธิของกษัตริย์ที่จะมาปกครองท่าน พระองค์จะทรงเกณฑ์บรรดาบุตรชายของท่านไปเป็นทหารประจำรถรบและประจำม้า วิ่งนำหน้ารถรบของพระองค์ พระองค์จะทรงแต่งตั้งบุตรของท่านบางคนเป็นนายทหารคุมทหารพันคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง พระองค์จะทรงบังคับบุตรของท่านให้ไถนาและเก็บเกี่ยวผลผลิตจากทุ่งนาของพระองค์หรือให้เป็นช่างทำอาวุธและอุปกรณ์รถรบของพระองค์ พระองค์จะทรงเกณฑ์บุตรสาวของท่านไปทำน้ำหอม ปรุงอาหารและทำขนมสำหรับพระองค์ พระองค์จะทรงยึดทุ่งนา สวนองุ่นและสวนมะกอกเทศดีที่สุดของท่านไปให้ข้าราชบริพารของพระองค์ พระองค์จะทรงชักหนึ่งในสิบจากข้าวและผลองุ่น ไปยกให้ข้าราชสำนักและข้าราชการอื่น ๆ พระองค์จะทรงเอาทาสชายหญิง ฝูงโค และท่านและลาที่ดีที่สุดของท่านไปทำงานให้พระองค์ พระองค์จะทรงเอาหนึ่งในสิบจากฝูงแพะแกะของท่าน และท่านจะต้องเป็นทาสของพระองค์ เมื่อถึงเวลานั้นกษัตริย์ที่ท่านได้เลือกสำหรับท่านนี้จะเป็นเหตุให้ท่านร้องขอความช่วยเหลือ แต่ในวันนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงฟังท่าน’


พระวรสาร มก 2:1-12

เวลาต่อมาอีกสองสามวัน พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาที่เมืองคาเปอรนาอุม เมื่อเป็นที่รู้กันว่าพระองค์ประทับอยู่ในบ้าน ประชาชนจำนวนมากจึงมาชุมนุมกันจนไม่มีที่ว่างแม้กระทั่งที่ประตู พระองค์ประทานพระโอวาทสอนประชาชนเหล่านั้น
ชายสี่คนหามคนอัมพาตคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ แต่เขานำคนอัมพาตนั้นฝ่าฝูงชนเข้าไปถึงพระองค์ไม่ได้ เขาจึงเปิดหลังคาบ้านตรงที่พระองค์ประทับอยู่ แล้วหย่อนแคร่ที่คนอัมพาตนอนอยู่ลงมาทางช่องนั้น เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นความเชื่อของคนเหล่านี้จึงตรัสแก่คนอัมพาตว่า “ลูกเอ๋ย บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว” ที่นั่นมีธรรมาจารย์บางคนนั่งอยู่ด้วย เขาคิดในใจว่า “ทำไมคนนี้จึงพูดเช่นนี้เล่า เขากล่าวดูหมิ่นพระเจ้า ใครเล่าอภัยบาปได้นอกจากพระเจ้าเท่านั้น” ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขาด้วยพระจิตของพระองค์ จึงตรัสว่า “ท่านทั้งหลายคิดเช่นนี้ในใจทำไม อย่างใดง่ายกว่ากัน การบอกคนอัมพาตว่า ‘บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว’ หรือบอกว่า ‘ลุกขึ้น แบกแคร่เดินไปเถิด’ แต่เพื่อให้ท่านรู้ว่า บุตรแห่งมนุษย์มีอำนาจอภัยบาปได้บนแผ่นดินนี้” พระองค์ตรัสแก่คนอัมพาตว่า “เราสั่งท่าน จงลุกขึ้น แบกแคร่ กลับไปบ้านเถิด” เขาก็ลุกขึ้นแบกแคร่ออกเดินไปทันทีต่อหน้าคนทั้งปวง ทุกคนต่างประหลาดใจ ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าและพูดว่า “พวกเรายังไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อนเลย”



ข้อคิด

วันนี้เราได้เห็นอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับคนอัมพาตคนหนึ่ง โดยผ่านทางเพื่อนๆที่ช่วยกันหามเขาหย่อนแคร่ลงมาจากช่องหลังคาบ้านเพื่อให้พระเยซูเจ้าบำบัดรักษา พระเยซูเจ้าทรงเห็นความเชื่อของคนเหล่านั้นจึงให้ความช่วยเหลือ เรื่องนี้ทำให้เราเข้าใจได้ว่า การภาวนาด้วยความเชื่อของเราส่งผลต่อบุคคลที่เราภาวนาได้นั้นเอง ดังนั้นเราจงมั่นใจที่จะภาวนาเพื่อผู้อื่นอย่างสม่ำเสมอด้วย
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

อังคาร ม.ค. 17, 2012 5:59 pm

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม 2012
สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่หนึ่ง 1ซมอ 9:1-4,17-19,และ 10:1

มีชายผู้หนึ่งจากเผ่าเบนยามินชื่อ คีช เป็นคนร่ำรวย เขาเป็นบุตรของอาบีเอล บุตรของเศโรห์ บุตรของเบโครัท บุตรของอาฟียาห์ บุตรของคนเผ่าเบนยามิน คีชมีบุตรชายคนหนึ่งชื่อ ซาอูล เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี มีรูปร่างงามสง่ากว่าชาวอิสราเอลทั้งปวง สูงกว่าคนอื่นราวหนึ่งศอก วันหนึ่ง ฝูงลาของคีช บิดาของซาอูลพลัดหลงไป คีชจึงกล่าวแก่ซาอูล บุตรของตนว่า ‘จงเอาผู้รับใช้ไปด้วยคนหนึ่ง ออกตามหาลาเหล่านั้นเถิด’ ทั้งสองจึงข้ามเขตภูเขาเอฟราอิม ผ่านไปถึงแผ่นดินชาลิชาแต่ก็หาไม่พบ เขาจึงไปหาที่แผ่นดินชาอาลิม แต่ลาก็ไม่อยู่ที่นั่น เขาข้ามเขตแดนเบนยามิน แต่ก็ยังไม่พบอีก
เมื่อซามูเอลเห็นซาอูล องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ตรัสกับเขาว่า ‘ชายผู้นี้คือผู้ที่เราบอกท่านว่า “เขาจะปกครองประชากรของเรา”’ ซาอูลเข้าไปพบซามูเอลที่ประตูเมือง ถามว่า ‘โปรดบอกข้าพเจ้าเถิดว่า บ้านของผู้ทำนายอยู่ที่ไหน' ซามูเอลตอบซาอูลว่า 'ข้าพเจ้าคือผู้ทำนาย จงเดินนำหน้าข้าพเจ้าขึ้นไปยังสักการสถานบนภูเขา ท่านทั้งสองคนจะร่วมรับประทานอาหารกับข้าพเจ้าในวันนี้ พรุ่งนี้เช้า ข้าพเจ้าจะตอบคำถามทุกอย่างของท่าน แล้วจะให้ท่านไป
ซามูเอลเอาขวดน้ำมันมะกอกเทศขึ้นมา เทน้ำมันลงบนศีรษะของซาอูล จูบเขาแล้วกล่าวว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเจิมท่านให้เป็นผู้นำชาวอิสราเอลประชากรของพระองค์? ท่านจะปกครองประชากรขององค์พระผู้เป็นเจ้า ช่วยเขาให้พ้นจากอำนาจของศัตรูที่อยู่โดยรอบ นี่จะเป็นเครื่องหมายพิสูจน์ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเจิมท่านให้เป็นผู้นำประชากรอิสราเอลซึ่งเป็นส่วนมรดกของพระองค์


พระวรสาร มก 2:13-17

เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกไปริมฝั่งทะเลสาบอีก ประชาชนต่างมาเฝ้าพระองค์ พระองค์จึงทรงสั่งสอนเขา ขณะที่ทรงพระดำเนินไป พระองค์ทรงเห็นชายคนหนึ่งชื่อเลวี บุตรของอัลเฟอัสกำลังนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสสั่งเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป
ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารที่บ้านของเลวี คนเก็บภาษีและคนบาปหลายคนมาร่วมโต๊ะกับพระองค์และบรรดาศิษย์ เพราะมีหลายคนติดตามพระองค์มา บรรดาธรรมาจารย์ที่เป็นฟาริสีเห็นพระองค์เสวยร่วมกับคนบาปและคนเก็บภาษี จึงถามศิษย์ของพระองค์ว่า “ทำไมอาจารย์ของท่านกินอาหารกับคนเก็บภาษีและคนบาปเล่า” พระเยซูเจ้าทรงได้ยินดังนั้นจึงตรัสตอบว่า “คนสบายดีไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บไข้ต้องการ เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่เรามาเพื่อเรียกคนบาป”



ข้อคิด

วันนี้พระเยซูเจ้าทรงเลือกและรับประทานอาหารร่วมกับบุคคลที่สังคมยิวพวกหนึ่งพากันรังเกียจ โดยถือว่าเป็นคนบาปและไม่ยอมคบหาสมาคมด้วย เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงพระเมตตาของพระองค์ที่ทรงมีต่อคนทุกคน พระองค์ทรงให้ความสำคัญแก่บุคคลทุกประเภท ทรงมองเห็นถึงคุณค่าและความดีงามของทุกคน และทุกคนสามารถเข้ามารับใช้พระเจ้าได้ เมื่อเราเห็นแบบอย่างเช่นนี้ เราจะยังเป็นบุคคลที่เลือกที่รักมักที่ชังคนอื่นอีกหรือไม่
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

อังคาร ม.ค. 17, 2012 6:01 pm

วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม 2012
สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่หนึ่ง 1 ซมอ 3:3-10,19

ดวงประทีปในสักการสถานของพระเจ้ายังไม่ดับ ซามูเอลกำลังนอนอยู่ในสักการสถานขององค์พระผู้เป็นเจ้า ที่มีหีบพันธสัญญาของพระเจ้าประดิษฐานอยู่ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกซามูเอล เขาทูลตอบว่า ‘ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่’ แล้ววิ่งไปถามเอลีว่า ‘ท่านเรียกข้าพเจ้าหรือ ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว’ แต่เอลีตอบว่า ‘พ่อไม่ได้เรียกลูก กลับไปนอนเถอะ’ ซามูเอลก็กลับไปนอน องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเรียกอีกว่า ‘ซามูเอล!’ ซามูเอลก็ลุกขึ้นไปหาเอลี ถามว่า ‘ท่านเรียกข้าพเจ้าหรือ ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว’ เอลีตอบว่า ‘ลูกเอ๋ย พ่อไม่ได้เรียกลูก กลับไปนอนเถอะ’ ซามูเอลยังไม่ทราบว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกเขาเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้ายังไม่ทรงเปิดเผยพระวาจาแก่เขามาก่อน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกซามูเอลอีกเป็นครั้งที่สาม เขาก็ลุกขึ้นไปหาเอลีแล้วถามว่า ‘ท่านเรียกข้าพเจ้าหรือ ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว’ เอลีจึงเข้าใจว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเรียกเด็กนั้น เอลีบอกซามูเอลว่า ‘กลับไปนอนเถอะ ถ้ามีเสียงเรียกลูกอีกก็จงตอบว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัสมาเถิด ผู้รับใช้ของพระองค์กำลังฟังอยู่”’ ซามูเอลจึงกลับไปนอนในที่ของตน

องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาประทับที่นั่น ตรัสเรียกเช่นครั้งก่อนว่า ‘ซามูเอล! ซามูเอล!’ ซามูเอลทูลตอบว่า ‘ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัสมาเถิด ผู้รับใช้ของพระองค์กำลังฟังอยู่’

ซามูเอลเจริญวัยขึ้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับเขา และทรงทำให้คำพูดทุกคำของซามูเอลเป็นความจริง

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 6:13-15,17-20

พี่น้อง “อาหารมีไว้สำหรับท้อง ท้องมีไว้สำหรับอาหาร” แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่า “พระเจ้าจะทรงทำลายทั้งสองอย่าง” ร่างกายมิได้มีไว้สำหรับการล่วงประเวณี แต่มีไว้สำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า และองค์พระผู้เป็นเจ้ามีไว้สำหรับร่างกาย พระเจ้าผู้ทรงปลุกองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทรงกลับคืนพระชนมชีพจะทรงปลุกเราให้กลับคืนชีพด้วยพระอานุภาพของพระองค์เช่นเดียวกัน ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นส่วนประกอบของพระวรกายของพระคริสตเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะเอาส่วนประกอบพระวรกายของพระคริสตเจ้านี้ไปร่วมกับร่างกายของหญิงโสเภณีหรือ? เป็นไปไม่ได้!
แต่ผู้ที่สนิทสัมพันธ์กับองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็เป็นจิตใจเดียวกันกับพระองค์ จงหลีกหนีการล่วงประเวณี บาปทั้งหลายนั้นมนุษย์ทำนอกร่างกาย แต่ผู้ที่ล่วงประเวณีทำบาปต่อร่างกายของตนเอง ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นพระวิหารของพระจิตเจ้าผู้สถิตอยู่ในท่าน? ท่านได้รับพระจิตนี้จากพระเจ้า ท่านจึงไม่เป็นเจ้าของของตนเอง พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้ด้วยราคาแพง ดังนั้น ท่านจงใช้ร่างกายของท่านถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าเถิด


พระวรสาร ยน 1:35-42

วันรุ่งขึ้น ยอห์นกำลังยืนอยู่ที่นั่นกับศิษย์สองคน และเห็นพระเยซูเจ้าเสด็จผ่านไป จึงกล่าวว่า “นี่คือลูกแกะของพระเจ้า” เมื่อศิษย์ทั้งสองคนได้ยินยอห์นกล่าวดังนี้จึงติดตามพระเยซูเจ้าไป พระเยซูเจ้าทรงผินพระพักตร์มาทอดพระเนตรเห็นเขากำลังติดตามพระองค์ จึงตรัสถามว่า “ท่านแสวงหาอะไร?” เขาทูลตอบว่า “รับบี” ซึ่งแปลว่า พระอาจารย์ “พระองค์ทรงพำนักอยู่ที่ไหน?” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “มาดูเถิด” เขาจึงไป เห็นที่ประทับของพระองค์ และพักอยู่กับพระองค์ในวันนั้น ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณบ่ายสี่โมง
อันดรูว์น้องชายของซีโมนเป็นคนหนึ่งในสองคนที่ได้ยินคำพูดของยอห์น และตามพระเยซูเจ้าไป อันดรูว์พบซีโมนพี่ชายเป็นคนแรก จึงกล่าวว่า “เราพบพระเมสสิยาห์แล้ว” (พระเมสสิยาห์ หรือพระคริสตเจ้า แปลว่า ผู้รับเจิม) เขาพาพี่ชายไปเฝ้าพระเยซูเจ้า พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขา จึงตรัสว่า “ท่านคือซีโมน บุตรของยอห์น ท่านจะมีชื่อว่า เคฟาส” ซึ่งแปลว่า “เปโตร” หรือ “ศิลา”


ข้อคิด

คำว่า “มาดูเถิด” เป็นคำอมตะที่แสดงให้เห็นว่าพระองค์ต้องการให้เราติดตามและมีชีวิตที่สนิทกับพระองค์ เมื่อคนเราได้พบหรือมีประสบการณ์ที่ดีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เขาย่อมอดไม่ได้ที่จะต้องไปบอกเล่าให้คนที่เขารักได้รับรู้ วันนี้เราจึงได้เห็นอันดรูว์พาพี่ชายคือซีโมนมาเฝ้าพระเยซูเจ้า เพราะอันดรูว์คิดว่าแค่เล่าให้ฟังคงไม่เพียงพอแต่ต้องพามาให้สัมผัสด้วยตัวเอง ในการประกาศข่าวดีของเราก็เช่นกัน เราต้องพาผู้อื่นให้เข้ามาหาพระองค์ โดยให้เขาได้มีประสบการณ์กับพระองค์ด้วยตัวของเขาเอง
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

อังคาร ม.ค. 17, 2012 6:05 pm

วันจันทร์ที่ 16 มกราคม 2012
สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกซามูเอล ฉบับที่หนึ่ง 1 ซมอ 15:16-23

ซามูเอลทูลตอบซาอูลว่า ‘พอแล้ว! อย่าตรัสอะไรอีก ข้าพเจ้าจะทูลให้ทราบว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสอะไรกับข้าพเจ้าเมื่อคืนที่แล้ว’ กษัตริย์ซาอูลตรัสว่า “บอกมาเถิด” ซามูเอลทูลตอบว่า ‘แม้พระองค์จะทรงคิดว่าไม่ทรงเป็นคนสำคัญอะไร แต่พระองค์ก็ทรงเป็นหัวหน้าของเผ่าต่างๆของอิสราเอล องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเจิมพระองค์ให้เป็นกษัตริย์ของอิสราเอล องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งพระองค์ไปปฏิบัติภารกิจตรัสว่า “จงไปทำลายล้างชาวอามาเลขคนบาปเหล่านั้นให้หมดสิ้นเถิด จงสู้รบกับเขาจนกว่าจะทำลายเขาให้หมด” ทำไมพระองค์จึงไม่ทรงเชื่อฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าเล่า? ทำไมพระองค์จึงทรงเข้าไปแย่งสิ่งของที่ยึดมาได้ และทรงทำสิ่งชั่วช้าเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าเล่า?’

กษัตริย์ซาอูลทรงตอบซามูเอลว่า ‘ข้าพเจ้าเชื่อฟังพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว และออกไปปฏิบัติภารกิจที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา ข้าพเจ้านำอากัก กษัตริย์ของชาวอามาเลขมา และทำลายล้างชาวอามาเลขจนหมดสิ้น แต่ประชากรเก็บแพะแกะ และโคตัวดีที่สุดที่ยึดมาได้และจะต้องถูกฆ่าทำลายเสียนั้น นำมาที่เมืองกิลกาลเพื่อถวายเป็นบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน’ ซามูเอลก็ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการเครื่องเผาบูชา และเครื่องบูชาอื่นๆ
เท่ากับที่ทรงต้องการให้เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์หรือ ฟังเถิด การเชื่อฟังย่อมดีกว่าการถวายบูชา การอ่อนน้อมย่อมดีกว่าไขมันแกะ การใช้เวทมนตร์คาถาเป็นบาปเหมือนการกบฎ การไม่ยอมเชื่อฟังเป็นความผิดเหมือนการกราบไหว้รูปปฏิมา! เพราะพระองค์ทรงละทิ้งไม่ยอมปฏิบัติตามพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงละทิ้งไม่ให้พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ด้วย'

พระวรสาร มก 2:18-22

เวลานั้น บรรดาศิษย์ของยอห์นและชาวฟาริสีกำลังจำศีลอดอาหาร มีผู้ทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “ทำไมศิษย์ของยอห์นและศิษย์ของชาวฟาริสีจำศีลอดอาหาร แต่ศิษย์ของท่านไม่จำศีลเลย” พระองค์ตรัสตอบว่า “ผู้รับเชิญมาในงานแต่งงานจะจำศีลอดอาหารได้หรือขณะที่เจ้าบ่าวยังอยู่กับเขา ตราบใดที่เจ้าบ่าวยังอยู่ด้วย เขาย่อมไม่จำศีลอดอาหาร แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวจะถูกพรากไป ในวันนั้น เขาจะจำศีลอดอาหาร ไม่มีใครนำผ้าใหม่ไปปะเสื้อเก่า เพราะผ้าใหม่ที่นำมาปะเสื้อเก่านั้นจะหดตัวมากกว่า ทำให้รอยขาดมากกว่าเดิม ไม่มีใครใส่เหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังเก่า เพราะเหล้าจะทำให้ถุงหนังขาด ทั้งเหล้า ทั้งถุงก็จะเสียไป แต่ต้องใส่เหล้าใหม่ลงในถุงหนังใหม่”


ข้อคิด

วันนี้เป็นวันครู ซึ่งในไทยมีวันครูตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2500 โดยมีหลักการว่า “เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพาจารย์ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครูและเพื่อส่งเสริม ความเข้าใจอันดีระหว่างครูกับประชาชน” เราทุกคนเป็นศิษย์มีครู ซามูแอลในบทอ่านแรกทำหน้าที่ครูผู้เป็นสื่อสัมพันธ์ติดต่อระหว่างกับพระเจ้าและกษัตริย์ซาอูล พระเยซูเจ้าบุตรพระเจ้าทรงเป็นต้นแบบของความเป็นครูสอนอัครสาวกและศิษย์ให้ค้นพบและอยู่ในหนทาง ความจริง และชีวิต ดังนั้น ครูจึงมีบทบาทสำคัญให้ศิษย์เข้าถึงความดีสูงสุด และดำเนินอยู่ในหนทาง ความจริง และชีวิต ขอเป็นกำลังใจแก่ครูทุกๆ ท่าน
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

อังคาร ม.ค. 17, 2012 6:09 pm

วันอังคารที่ 17 มกราคม 2012
สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่หนึ่ง 1 ซมอ 16:1-13

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่ซามูเอลว่า ‘ท่านจะเป็นทุกข์ใจถึงซาอูลต่อไปอีกนานเท่าใดเล่า บัดนี้เราละทิ้งเขาไม่ยอมให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอลอีกแล้ว? จงเอาน้ำมันมะกอกบรรจุใส่ขวดเขาสัตว์จนเต็ม และออกเดินทาง เราส่งท่านไปที่เมืองเบธเลเฮม ไปหาเจสซี เพราะเราเลือกบุตรคนหนึ่งของเขาเป็นกษัตริย์’ ซามูเอลทูลถามว่า ‘ข้าพเจ้าจะไปได้อย่างไรเล่า? ถ้ากษัตริย์ซาอูลทรงทราบเรื่อง ก็จะทรงประหารข้าพเจ้าเสีย’ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘จงเอาลูกโคตัวเมียตัวหนึ่งไปด้วย แล้วจงบอกว่า “ข้าพเจ้ามาถวายเครื่องบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า” ท่านจะเชิญเจสซีมาร่วมถวายบูชาด้วย แล้วเราจะบอกท่านว่าจะต้องทำอะไร ท่านจะต้องเจิมผู้ที่เราจะบอกนั้นให้เป็นกษัตริย์’
ซามูเอลก็ทำตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาไปที่เมืองเบธเลเฮม บรรดาผู้อาวุโสของเมืองออกมาพบเขาด้วยความหวาดกลัว ถามว่า ‘ท่านผู้ทำนาย ท่านมาดีหรือ?’ ซามูเอลตอบว่า ‘ข้าพเจ้ามาดี ข้าพเจ้ามาเพื่อถวายเครื่องบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านทั้งหลายจงชำระตนให้บริสุทธิ์ แล้วมาร่วมถวายบูชากับข้าพเจ้าเถิด’ ซามูเอลให้เจสซี กับบุตรทำพิธีชำระตน แล้วเชิญให้มาถวายเครื่องบูชา
เมื่อเจสซีกับบุตรมาถึง ซามูเอลเห็นเอลีอับ ก็คิดว่า ‘ผู้ที่อยู่เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้นี้คือผู้ที่จะต้องรับเจิม’ แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับซามูเอลว่า ‘อย่าสนใจมองแต่รูปร่างหน้าตา หรือความสูงของเขา เพราะเราไม่เลือกเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงมองอย่างมนุษย์มอง มนุษย์มองแต่รูปร่างภายนอก แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมองจิตใจ’ แล้วเจสซีเรียกอาบีนาดับมาพบซามูเอล ซามูเอลก็ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงเลือกคนนี้ด้วย’ เจสซีพาชัมมาห์เข้ามา แต่ซามูเอลก็กล่าวว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงเลือกคนนี้เช่นกัน’ เจสซีพาบุตรทั้งเจ็ดคนมาพบซามูเอลทีละคน แต่ซามูเอลกล่าวแก่เจสซีว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงเลือกคนเหล่านี้เลย’ ซามูเอลถามเจสซีว่า ‘บุตรชายของท่านมาหมดแล้วหรือ?’ เจสซีตอบว่า ‘ยังมีคนสุดท้องอีกคนหนึ่ง แต่ขณะนี้เขากำลังเลี้ยงแกะอยู่’ ซามูเอลสั่งเจสซีว่า ‘จงส่งคนไปตามเขามาเถิด เราจะไม่นั่งรับประทานอาหารจนกว่าเขาจะมา’ เจสซีจึงส่งคนไปตามมา เด็กหนุ่มนั้นมีผมแดง ดวงตางดงาม และรูปร่างดี องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘จงลุกขึ้น เจิมเขาเถอะ เป็นคนนี้แหละ!’
ซามูเอลก็เอาขวดเขาสัตว์ที่บรรจุน้ำมันมะกอกมาเจิมดาวิดต่อหน้าบรรดาพี่ชาย พระจิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสถิตอยู่กับดาวิด ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ส่วนซามูเอลออกเดินทางกลับไปที่เมืองรามาห์




พระวรสาร มก 2:23-28

วันสับบาโตวันหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านนาข้าวสาลี บรรดาศิษย์ที่เดินทางอยู่ด้วยเด็ดรวงข้าว ชาวฟาริสีทูลถามพระองค์ว่า “ทำไมศิษย์ของท่านทำสิ่งต้องห้ามในวันสับบาโตเล่า” พระองค์ตรัสตอบว่า “ท่านไม่ได้อ่านพระคัมภีร์หรือว่า กษัตริย์ดาวิดและผู้ติดตามได้ทำสิ่งใดขณะที่มีความยากลำบากและหิวโหย 26พระองค์เสด็จเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า เมื่ออาบียาธาร์เป็นมหาสมณะ ได้เสวยขนมปังที่ตั้งถวาย ซึ่งใครจะกินไม่ได้นอกจากบรรดาสมณะเท่านั้น พระองค์ยังทรงให้ผู้ติดตามกินอีกด้วย”
แล้วพระเยซูเจ้าทรงเสริมว่า “วันสับบาโตมีไว้เพื่อมนุษย์ มิใช่มนุษย์มีไว้เพื่อวันสับบาโต ดังนั้น บุตรแห่งมนุษย์จึงเป็นนายเหนือแม้กระทั่งวันสับบาโตด้วย”



ข้อคิด

วันนี้ เป็นวันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช วันนี้ ในปี 2249 เป็นวันเกิด ของเบนจามิน แฟรงคลิน ผู้ค้นพบประจุไฟฟ้าในอากาศ ประดิษฐ์สายล่อฟ้า วันนี้ ในปี 2484 เกิดเหตุการณ์ "ยุทธนาวีที่เกาะช้าง" กองเรือรบราชนาวีไทยเข้าปะทะต่อสู้กับกองเรือรบฝรั่งเศสที่ล่วงล้ำเข้าสู่น่านน้ำด้านจังหวัดตราดจนได้รับชัยชนะ และ ณ วันนี้ เป็นวันฉลองนักบุญอันตน เจ้าอธิการสุดยอดรูปแบบของการเป็นฤาษี นักพรต ณ วันนี้ ในพระคัมภีร์ ดาวิดได้รับการเจิมและมีบทบาทสำคัญต่อมา ณ วันนี้ในพระคัมภีร์ พระเยซูยังคงสอนต่อไป พี่น้อง จงขอบคุณพระสำหรับวีรบุรุษมากมายที่เป็นแบบฉบับที่ดีแก่เราคริสตชน
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พุธ ม.ค. 18, 2012 3:13 pm

วันพุธที่ 18 มกราคม 2012
สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลธรรมดา
บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่หนึ่ง 1 ซมอ 17:32-33,37,40-51

ในครั้งนั้น ดาวิดทูลกษัตริย์ซาอูลว่า ‘อย่าให้ใครหมดกำลังใจเพราะชาวฟีลิสเตียผู้นี้ ผู้รับใช้ของพระองค์จะไปต่อสู้กับเขาเอง’ ซาอูลตรัสกับดาวิดว่า ‘อย่าเลย เจ้าจะไปสู้รบกับเขาได้อย่างไร เจ้ายังเด็กนัก ส่วนเขาเป็นนักรบมาตลอดชีวิต’

ดาวิดเสริมว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นจากเล็บของสิงโตและหมีมาแล้ว จะทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากเงื้อมมือของชาวฟีลิสเตียผู้นี้ด้วย’ซาอูลตรัสตอบดาวิดว่า ‘ไปเถิด ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสถิตกับเจ้า!’

ดาวิดหยิบไม้เท้ามาถือไว้ แล้วเก็บก้อนหินเกลี้ยงห้าก้อนจากท้องห้วยใส่ย่ามที่ผู้เลี้ยงแกะใช้ ถือสลิง เดินเข้าไปหาชาวฟีลิสเตียคนนั้น ชาวฟีลิสเตียค่อย ๆ เดินเข้ามาหาดาวิด มีคนถือโล่เดินนำหน้า เมื่อชาวฟีลิสเตียมองดูดาวิดเห็นถนัดแล้ว ก็นึกดูถูก เพราะดาวิดเป็นเพียงเด็กหนุ่ม ผมแดงมีรูปร่างหน้าตาดี ชาวฟีลิสเตียตะโกนถามดาวิดว่า ‘เจ้าเห็นข้าเป็นสุนัขหรือจึงถือไม้เท้าเข้ามาหา?’ ชาวฟีลิสเตียออกนามเทพเจ้าของตนสาปแช่งดาวิด แล้วร้องท้าดาวิดว่า ‘เข้ามาซิ ข้าจะเอาร่างของเจ้าให้นกและสัตว์ป่ากิน!’ ดาวิดตอบชาวฟีลิสเตียว่า 'ท่านถือดาบ หอก และแหลนมาสู้กับข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้ามาสู้กับท่าน เดชะพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า จอมโยธา พระเจ้าแห่งกองทัพอิสราเอล ที่ท่านดูหมิ่น วันนี้แหละ องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบท่านให้อยู่ในอำนาจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะฆ่าและตัดศีรษะของท่าน เอาร่างของบรรดาทหารชาวฟีลิสเตีย ให้นกในอากาศและสัตว์ป่ากิน แล้วทั่วแผ่นดินจะรู้ว่าอิสราเอลมีพระเจ้า ทุกคนที่ชุมนุมกันที่นี่จะรู้ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงต้องใช้ดาบหรือหอก เพื่อทรงช่วยให้รอดพ้น -เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้กำหนดว่าใครจะชนะในสงคราม และจะทรงมอบท่านทั้งหลายไว้ในอำนาจของเรา

ชาวฟีลิสเตียเดินตรงเข้ามาหาดาวิดอีก ดาวิดวิ่งลงสู่สนามรบไปต่อสู้ชาวฟีลิสเตีย ดาวิดล้วงลงไปในย่าม หยิบหินขึ้นมาก้อนหนึ่ง ใส่สลิงเหวี่ยงไปถูกหน้าผากของชาวฟีลิสเตีย ก้อนหินเจาะหน้าผากเข้าไป เขาล้มหน้าคว่ำลงกับพื้นดิน ดาวิดพิชิตชาวฟีลิสเตียโดยใช้สลิงและก้อนหิน เขาปราบและฆ่าชาวฟีลิสเตียได้ทั้งๆที่ตนไม่มีดาบในมือ ดาวิดวิ่งไป ยืนคร่อมร่างชาวฟีลิสเตียไว้ เขาชักดาบของชาวฟีลิสเตียออกจากฝัก ฆ่าเขา และตัดศีรษะออกจากร่าง

เมื่อบรรดาชาวฟีลิสเตียเห็นว่านักรบของตนตายเสียแล้ว ต่างก็ออกวิ่งหนีไป


พระวรสาร มก 3:1-6

เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในศาลาธรรมอีกครั้งหนึ่ง ที่นั่นมีชายมือลีบคนหนึ่ง ประชาชนบางคนคอยจ้องมองดูว่า พระองค์จะทรงรักษาชายมือลีบในวันสับบาโตหรือไม่ เพื่อจะหาเหตุกล่าวโทษพระองค์ พระองค์ตรัสสั่งชายมือลีบว่า “ลุกขึ้น มายืนตรงกลางนี่ซิ” แล้วตรัสถามคนทั้งหลายว่า “ในวันสับบาโตนั้น ควรทำความดีหรือความชั่ว ควรจะช่วยชีวิตหรือปล่อยให้ตายไป” คนเหล่านั้นก็นิ่งอยู่ พระองค์จึงทอดพระเนตรเขาเหล่านั้นด้วยความกริ้ว เศร้าพระทัยเพราะจิตใจหยาบกระด้างของเขา แล้วตรัสสั่งชายมือลีบว่า “จงเหยียดมือซิ” เขาก็เหยียดมือ มือนั้นก็หายลีบเป็นปกติ ชาวฟาริสีจึงออกไป และประชุมกับพรรคพวกของกษัตริย์เฮโรดทันที เพื่อปรึกษาว่าจะกำจัดพระองค์ได้อย่างไร



ข้อคิด

วันนี้ เป็น วันกองทัพไทย เป็นวันที่ระลึก ในวาระที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงมีชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชาในยุทธหัตถี เมื่อ พ.ศ. 2135 ณ หนองสาหร่าย อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี วันนี้ในพระคัมภีร์ พระธรรมเก่า ดาวิดมีชัยชนะเหนือชาวฟีลิสเตียด้วยความมั่นใจในความช่วยเหลือขององค์พระผู้เป็นเจ้า ในพระธรรมใหม่ ชาวฟารีสีกับพรรคพวกเฮโรดหาทางจะกำจัดพระองค์ เพราะคำสั่งสอน และความดีที่พระองค์ทรงกระทำท่ามกลางหมู่ชน แต่ “ความดีเป็นพลังที่สามารถเอาชนะทุกสิ่ง” ให้เรายึดความดีไว้เป็นที่ตั้ง
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พฤหัสฯ. ม.ค. 19, 2012 1:11 pm

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม 2012
สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่หนึ่ง 1 ซมอ 18:6-9,และ 19:1-7

เมื่อบรรดาทหารกลับไปบ้านหลังจากที่ดาวิดฆ่าชาวฟีลิสเตียผู้นั้นแล้ว บรรดาสตรีได้ออกจากทุกเมืองของอิสราเอลมาต้อนรับกษัตริย์ซาอูล เขาร้องเพลงเริงระบำ เล่นรำมะนา ส่งเสียงร้องด้วยความยินดีและเล่นเครื่องดนตรีอื่น ๆ บรรดาสตรีพากันเต้นรำและขับร้องรับกันว่า “ซาอูลฆ่าศัตรูหลายพัน
ดาวิดฆ่าศัตรูหลายหมื่น”
กษัตริย์ซาอูลทรงได้ยินบทเพลงนี้ก็ไม่พอพระทัย กริ้วมาก ตรัสว่า “เขายกย่องดาวิดว่าฆ่าศัตรูหลายหมื่น ส่วนเรา เขาว่าฆ่าศัตรูหลายพันเท่านั้น เขาจะให้อะไรแก่ดาวิด นอกจากจะให้ราชสมบัติ” ตั้งแต่วันนั้น กษัตริย์ซาอูลทรงอิจฉาดาวิดเรื่อยมา
กษัตริย์ซาอูลทรงแจ้งให้โยนาธาน พระโอรส และข้าราชบริพารทุกคนทราบว่าพระองค์ตั้งพระทัยจะฆ่าดาวิด แต่โยนาธานโอรสของกษัตริย์ซาอูลทรงรักดาวิดมาก โยนาธานจึงทรงนำข่าวไปบอกดาวิดว่า ‘ซาอูลพระราชบิดาทรงพยายามจะฆ่าท่าน พรุ่งนี้เช้าจงระวังตัวให้ดี จงไปซ่อนให้ลับตาและคอยอยู่ที่นั่น’ ฉันจะพาพระราชบิดาออกไปยืนในทุ่งที่ท่านซ่อนอยู่ แล้วฉันจะถามพระราชบิดาเรื่องท่าน เมื่อฉันรู้อะไรแล้ว ก็จะบอกให้ท่านทราบ’
โยนาธานตรัสยกย่องดาวิดให้ซาอูลพระราชบิดาฟังว่า ‘ขอกษัตริย์อย่าได้ทำร้ายดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์เลย เขาไม่เคยทำผิดอย่างใดต่อพระองค์ ตรงข้ามเขากลับทำทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อพระองค์อย่างมากมาย เขาเสี่ยงชีวิต เมื่อฆ่าชาวฟีลิสเตียคนนั้น และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ชาวอิสราเอลมีชัยชนะยิ่งใหญ่ พระบิดาทรงเห็น ก็ยังทรงยินดี แล้วพระองค์จะยังทรงทำผิดต่อโลหิตของผู้บริสุทธิ์ ฆ่าดาวิดโดยไม่มีเหตุผลอีกหรือ?' กษัตริย์ซาอูลทรงฟังโยนาธานพูดแล้วทรงสาบานว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนมชีพอยู่ฉันใด เราจะไม่ฆ่าดาวิดฉันนั้น’ โยนาธานจึงทรงเรียกดาวิด มาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง แล้วทรงพาดาวิดไปเฝ้าซาอูล ดาวิดก็รับราชการตามเดิม

พระวรสาร มก 3:7-12

เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกไปยังทะเลสาบกับบรรดาศิษย์ ผู้คนหมู่ใหญ่จากแคว้นกาลิลีติดตามพระองค์ ผู้คนจากแคว้นยูเดีย จากกรุงเยรูซาเล็ม จากแคว้นอิดูเมอา จากอีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน และจากบริเวณเมืองไทระและไซดอนเป็นหมู่ใหญ่ ได้ยินสิ่งที่ทรงทำก็มาเฝ้าพระองค์ พระเยซูเจ้าจึงตรัสสั่งบรรดาศิษย์ให้จัดเรือไว้ลำหนึ่ง เพื่อประชาชนจะได้ไม่เบียดเสียดพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักษาผู้ป่วยจำนวนมาก จนบรรดาผู้ป่วยด้วยโรคต่าง ๆ เบียดเสียดกันเข้ามาเพื่อสัมผัสพระองค์ เมื่อปีศาจทั้งหลายเห็นพระองค์ ก็กราบลง พลางตะโกนว่า “ท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า” แต่พระองค์ทรงกำชับอย่างแข็งขันมิให้มันแพร่งพรายว่าพระองค์เป็นใคร



ข้อคิด

พระเจ้าทรงช่วยเหลือดาวิดทั้งโดยตรงและโดยอ้อม คือ ทั้งโดยพระองค์เองและโดยอาศัยบุคคลต่างๆ เพื่อทำภารกิจของพระองค์ให้ลุล่วงไป ดาวิดประสบอุปสรรคไม่น้อย แต่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี พระเยซูเจ้าเช่นกันทรงไปที่ใด ทำแต่ความดีที่นั่น รักษาผู้ป่วย ขับไล่ปีศาจ ประกาศข่าวดี แต่ต้องเผชิญกับท่าที ปัญหาอุปสรรคมากมาย ดังนั้น สำหรับบุคคลที่สำนึกและปฏิบัติตนในฐานะ “เป็น” เครื่องมือของพระองค์ พระองค์ไม่เคยทอดทิ้ง ทรงประทานพระพรอย่างเพียงพอเพื่อเสริมสร้าง “การเป็น” นั้นให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

เสาร์ ม.ค. 21, 2012 3:22 pm

วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2012
สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่หนึ่ง1 ซมอ 24:2-21

เมื่อกษัตริย์ซาอูลเสด็จกลับจากการรบกับชาวฟีลิสเตีย ก็ทรงทราบว่าดาวิดอยู่ในถิ่นทุรกันดารใกล้เอน-เกดี กษัตริย์ซาอูลทรงเลือกทหารฝีมือเยี่ยมสามพันคนจากทั่วอิสราเอล เสด็จไปค้นหาดาวิดและพรรคพวกทางด้านตะวันออกของหินแพะป่า พระองค์เสด็จมาถึงคอกแกะริมทาง ที่นั่นมีถ้ำแห่งหนึ่ง จึงเสด็จเข้าไปเพื่อทรงบังคนหนัก ดาวิดกับพรรคพวกแอบอยู่ลึกในถ้ำเดียวกันนั้น พรรคพวกจึงกล่าวแก่ดาวิดว่า ‘นี่เป็นโอกาสของท่านแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่ท่านว่า “เราจะมอบศัตรูไว้ในมือของท่าน ท่านจะทำกับเขาอย่างไรก็ได้ตามใจชอบ”’ ดาวิดจึงลุกขึ้นเข้าไปลอบตัดชายเสื้อคลุมของซาอูล แต่แล้วดาวิดก็รู้สึกไม่สบายใจที่ไปตัดชายเสื้อคลุมของซาอูล จึงกล่าวแก่พรรคพวกว่า ‘ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงห้ามข้าพเจ้ามิให้ทำสิ่งนี้แก่ผู้รับเจิมขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือมิให้ทำร้ายพระองค์แต่ประการใด เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้รับเจิมขององค์พระผู้เป็นเจ้า’ ดาวิดกล่าวเช่นนี้ ทำให้พรรคพวกเปลี่ยนความคิด ไม่ทำร้ายกษัตริย์ซาอูล

กษัตริย์ซาอูลเสด็จออกจากถ้ำและทรงพระดำเนินต่อไป ดาวิดก็ออกจากถ้ำตามมาและทูลเรียกกษัตริย์ซาอูลว่า ‘ข้าแต่พระราชา เจ้านายของข้าพเจ้า!’ กษัตริย์ซาอูลทรงเหลียวมา ดาวิดก็กราบลงหน้าจรดพื้นด้วยความเคารพ ทูลว่า ‘ทำไมพระองค์จึงทรงเชื่อฟังผู้ที่ใส่ความว่าข้าพเจ้าจะทำร้ายพระองค์เล่า’ พระองค์ทรงเห็นกับตาในวันนี้แล้วว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบพระองค์ไว้ในมือของข้าพเจ้าในถ้ำ มีคนยุให้ข้าพเจ้าประหารพระองค์เสีย แต่ข้าพเจ้าไว้ชีวิตพระองค์กล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะไม่ทำร้ายเจ้านายของข้าพเจ้าแต่ประการใด เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้รับการเจิมขององค์พระผู้เป็นเจ้า” นี่แน่ะ เสด็จพ่อของข้าพเจ้า โปรดทอดพระเนตรดูชายเสื้อคลุมในมือของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าตัดมาจากเสื้อคลุมของพระองค์ แต่ไม่ได้ฆ่าพระองค์ ขอพระองค์ทรงยอมรับเถิดว่า ข้าพเจ้าไม่เคยคิดกบฏต่อพระองค์หรือคิดทำร้ายพระองค์เลย ข้าพเจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดต่อพระองค์ แต่พระองค์กลับทรงตามล่าจะเอาชีวิตของข้าพเจ้า ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้ตัดสินระหว่างข้าพเจ้าและพระองค์เถิด ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของข้าพเจ้า ส่วนข้าพเจ้าจะไม่ทำร้ายพระองค์เป็นอันขาด! ดังที่คำพังเพยโบราณเคยกล่าวว่า “ความชั่วย่อมมาจากคนชั่ว” แต่ข้าพเจ้าจะไม่ทำร้ายพระองค์เลย กษัตริย์แห่งอิสราเอลกำลังทรงไล่ตามใครอยู่? พระองค์กำลังทรงไล่ตามผู้ใด? ทำไมพระองค์จึงทรงไล่ตามสุนัขตาย หรือตัวหมัดอยู่เล่า! ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตัดสินชี้ขาดระหว่างข้าพเจ้ากับพระองค์ ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทอดพระเนตรพิจารณาคดีของข้าพเจ้า ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงป้องกันข้าพเจ้าจากเงื้อมพระหัตถ์ของพระองค์เถิด!’

เมื่อดาวิดกล่าวถ้อยคำเหล่านี้จบแล้ว กษัตริย์ซาอูลตรัสว่า ‘ดาวิดลูกเอ๋ย นั่นเป็นเสียงของท่านหรือ?' กษัตริย์ซาอูลทรงกันแสงเสียงดัง แล้วตรัสแก่ดาวิดต่อไปว่า ‘ท่านเป็นผู้ชอบธรรมมากกว่าเรา เพราะท่านทำดีต่อเรา ขณะที่เราทำร้ายท่าน’ วันนี้ท่านแสดงให้เห็นแล้วว่า ท่านดีต่อเราเพียงไร เพราะท่านไว้ชีวิตเรา ทั้ง ๆ ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบเราไว้ในมือของท่านแล้ว ไม่มีผู้ใดพบศัตรู แล้วจะปล่อยให้หลุดมือไปโดยปลอดภัย ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตอบแทนความดีที่ท่านได้ทำกันเราในวันนี้เถิด! บัดนี้ เรารู้แล้วว่าท่านจะเป็นกษัตริย์ และอาณาจักรอิสราเอลจะตั้งมั่นในมือของท่าน



พระวรสาร มก 3:13-19

เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปบนภูเขา ทรงเรียกผู้ที่พระองค์ทรงต้องการให้มาพบ เขาเหล่านั้นก็มาเฝ้าพระองค์ พระองค์จึงทรงแต่งตั้งอัครสาวกสิบสองคนให้อยู่กับพระองค์ และเพื่อจะทรงส่งเขาออกไปเทศน์สอน โดยให้มีอำนาจขับไล่ปีศาจด้วย อัครสาวกสิบสองคนที่ทรงแต่งตั้ง คือ ซีโมน พระองค์ทรงตั้งชื่อใหม่ให้เขาว่า “เปโตร” ยากอบบุตรของเศเบดี และยอห์น น้องชายของยากอบ พระองค์ทรงตั้งชื่อให้สองพี่น้องนี้ว่า “โบอาแนรเกส” ซึ่งแปลว่า “ลูกฟ้าร้อง” อันดรูว์ ฟิลิป บารโธโลมิว มัทธิว โทมัส ยากอบบุตรของอัลเฟอัส ธัดเดอัส ซีโมนจากกลุ่มชาตินิยม และยูดาสอิสคาริโอท ต่อมายูดาสผู้นี้ได้ทรยศต่อพระองค์


ข้อคิด

พระองค์ทรงเลือกและแต่งตั้งอัครสาวกสิบสองคน สังเกตดูว่า มีสองมิติที่ไปด้วยกัน คือ มิติแรกให้มา “อยู่กับ” พระองค์ก่อน แล้วมิติสอง ส่งออกไป “ทำภารกิจ” แม้แต่พระเยซูเจ้าเองก่อนทำภารกิจสำคัญใดๆ พระองค์หาเวลา “อยู่กับ” พระบิดา โดยไปที่เปลี่ยวและอธิษฐานภาวนา สองมิติไปด้วยกันก็จริง แต่ไม่ควรสลับความสำคัญก่อน เพราะแหล่งพลังชีวิตฝ่ายจิตในการ “ทำภารกิจ” เป็นแหล่งพลังที่มาจาก “การอยู่กับ” พระองค์ พลังนี้ทำให้การทำภารกิจมีคุณค่าและเป็นไปตามพระประสงค์อย่างแท้จริง ใครที่ “ทำ ทำ ทำ” แต่ ไม่มีเวลาอยู่กับพระองค์ จงระวัง!!!! “หลงทางและเสียเวลา”
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

เสาร์ ม.ค. 21, 2012 3:37 pm

วันเสาร์ที่ 21 มกราคม 2012
ระลึกถึง น.อักแนส พรหมจารีและมรณสักขี

สัปดาห์ที่ 2 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่สอง 2 ซมอ 1:1-4,11-12,17,19,23-27

ซาอูลสิ้นพระชนม์ ดาวิดรบชนะชาวอามาเลข แล้วกลับมาอยู่ที่เมืองศิกลากได้สองวัน ในวันที่สาม ชายคนหนึ่งจากค่ายของกษัตริย์ซาอูลมาถึง เขาฉีกเสื้อผ้าเอาฝุ่นดินใส่ศีรษะ เป็นการไว้ทุกข์ เข้ามากราบลงกับพื้นดินแสดงคารวะต่อหน้าดาวิด ดาวิดถามเขาว่า ‘ท่านมาจากไหน?’ เขาตอบว่า ‘ข้าพเจ้าหนีมาจากค่ายอิสราเอล’ ดาวิดถามต่อไปว่า ‘จงเล่าซิว่าเกิดอะไรขึ้น?’ เขาตอบว่า ‘ทหารอิสราเอลต้องหนีจากสนามรบ หลายคนถูกฆ่าตาย กษัตริย์ซาอูลและโยนาธานพระโอรสก็สิ้นพระชนม์ด้วย’
ดาวิดจึงฉีกเสื้อผ้าของตนแสดงการไว้ทุกข์ ทุกคนที่อยู่กับเขาก็ทำเช่นเดียวกัน ทุกคนร่ำไห้ ไม่ยอมกินอะไรเลยจนถึงเวลาเย็นเป็นการไว้ทุกข์ให้กษัตริย์ซาอูลและโยนาธานพระโอรส ไว้ทุกข์ให้ประชากรขององค์พระผู้เป็นเจ้าและชาวอิสราเอล ที่ถูกฆ่าในสมรภูมิ
ดาวิดคร่ำครวญถึงกษัตริย์ซาอูลและโยนาธาน พระโอรสด้วยบทเพลงบทนี้ อิสราเอลเอ๋ย เกียรติยศของท่านถูกฆ่าบนเนินเขาของท่าน บรรดาวีรบุรุษล้มได้อย่างไร! ซาอูลและโยนาธาน ที่รักและสุดเสน่หา ไม่พรากจากกันทั้งในชีวิตและในความตาย ทั้งสองคล่องแคล่วมากกว่านกอินทรี แข็งแรงมากกว่าสิงโต บรรดาบุตรหญิงแห่งอิสราเอลเอ๋ย จงร่ำไห้ถึงกษัตริย์ซาอูลเถิด พระองค์ประทานเสื้อผ้าสีแดงเข้มและผ้าเนื้อละเอียดให้เธอทั้งหลายสวม ทรงประดับเสื้อผ้าของเธอด้วยเครื่องประดับทองคำ บรรดาวีรบุรุษล้มท่ามกลางการรบได้อย่างไร โยนาธานเอ๋ย ข้าพเจ้าเป็นทุกข์อย่างยิ่งเมื่อท่านสิ้นชีวิต โยนาธานพี่ที่รัก ข้าพเจ้าโศกเศร้าถึงท่าน ท่านเป็นที่รักยิ่งของข้าพเจ้า ความรักของท่านประเสริฐกว่าความรักของหญิงใด ๆ บรรดาวีรบุรุษล้มได้อย่างไร ศัสตราวุธทั้งหลายถูกทำลายได้อย่างไร!



พระวรสาร มก 3:20-21

เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ประชาชนมาชุมนุมกันอีกจนพระองค์ไม่อาจเสวยและบรรดาศิษย์ก็ไม่อาจกินอาหารได้ เมื่อพระญาติของพระองค์ได้ยินเช่นนี้ ก็ออกไปคุมพระองค์ไว้ เพราะคิดว่าทรงเสียพระสติ


ข้อคิด

"พระเยซูคริสตเจ้าคนเดียวเท่านั้นเป็นคู่ครองของฉัน" “พระองค์ทรงเลือกฉันก่อน และฉันเป็นของพระองค์” เป็นคำยืนยันเด็ดเดี่ยวของนักบุญอักแนสซึ่งเป็นมรณสักขีอายุเพียง 13 ปีเท่านั้น เธอปฎิเสธไม่ยอมแต่งงานกับโปรคอปลูกชายข้าหลวงซึ่งเป็นคนต่างศาสนา เพราะเหตุนี้ เธอจึงถูกทรมานและถูกฆ่าต่อหน้าผู้คนมากมาย วันนี้ ร่วมใจกันภาวนาเพื่อเยาวชนในปัจจุบันให้รักชีวิตและรักตนเองมากขึ้น วิงวอนบรรดาผู้ใหญ่ช่วยเป็นแบบอย่างและสอนวิถีทางที่ถูกต้องแก่เยาวชน
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

อาทิตย์ ม.ค. 22, 2012 3:42 am

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม 2012
สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือประกาศกโยนาห์ ยนา 3:1-5:10

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยนาห์อีกครั้งหนึ่งว่า “จงลุกขึ้นไปยังกรุงนีนะเวห์นครใหญ่ และประกาศเรื่องที่เราจะบอกท่านแก่เขา” โยนาห์ก็ลุกขึ้นไปยังกรุงนีนะเวห์ตามพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้า กรุงนีนะเวห์เป็นนครใหญ่มาก ถ้าจะเดินข้ามเมืองก็กินเวลาสามวัน โยนาห์เริ่มเดินเข้าไปในเมืองเป็นระยะทางเดินหนึ่งวัน ร้องประกาศว่า “อีกสี่สิบวันกรุงนีนะเวห์จะถูกทำลาย” ชาวกรุงนีนะเวห์เชื่อฟังพระเจ้า และประกาศให้อดอาหาร สวมเสื้อผ้ากระสอบทุกคน ตั้งแต่คนใหญ่ที่สุดจนถึงคนเล็กที่สุด
พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นความพยายามของเขา ที่จะกลับใจไม่ประพฤติชั่วอีกต่อไป พระเจ้าทรงพระเมตตาไม่ลงโทษตามที่ตรัสไว้ว่าจะทรงลงโทษเขา


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 7:29-31

พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่า เวลานั้นสั้นนัก ตั้งแต่นี้ไปให้ผู้ที่มีภรรยาเป็นเสมือนผู้ที่ไม่มีภรรยา ให้ผู้ที่ร้องไห้เป็นเสมือนผู้ที่ไม่ร้องไห้ ให้ผู้ที่ชื่นชมยินดีเป็นเสมือนผู้ที่มิได้ชื่นชมยินดี ให้ผู้ที่ซื้อเป็นเสมือนผู้ที่ไม่มีอะไรเป็นกรรมสิทธิ์ และให้ผู้ที่ใช้ของของโลกนี้เป็นเสมือนกับผู้ที่มิได้ใช้ เพราะโลกดังที่เป็นอยู่กำลังจะผ่านไป


พระวรสาร มก 1:14-20

หลังจากที่ยอห์นถูกจองจำ พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี ทรงประกาศเทศนาข่าวดีของพระเจ้า ตรัสว่า ‘เวลาที่กำหนดไว้มาถึงแล้ว พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว จงกลับใจ และเชื่อข่าวดีเถิด’
ขณะที่ทรงดำเนินไปตามชายฝั่งทะเลสาบกาลิลี พระองค์ทอดพระเนตรเห็นซีโมนกับอันดรูว์น้องชายกำลังทอดแหอยู่ในทะเลสาบ เพราะเขาเป็นชาวประมง พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า ‘จงตามเรามาเถิด เราจะทำให้ท่านเป็นชาวประมงหามนุษย์’ ทันใดนั้น เขาก็ละแหไว้ แล้วตามพระองค์ไป
เมื่อทรงดำเนินไปอีกเล็กน้อย พระองค์ทอดพระเนตรเห็นยากอบ บุตรของเศเบดี และยอห์นน้องชายกำลังซ่อมแหอยู่ในเรือ ทันใดนั้น พระองค์ทรงเรียกเขา เขาก็ละเศเบดี บิดาของเขาไว้ในเรือกับลูกจ้าง แล้วตามพระองค์ไป


ข้อคิด

ไม่ว่าเวลาใด ที่ใด กับใคร เสียงจากพระเยซูเจ้าที่ว่า “จงกลับใจและเชื่อข่าวดีเถิด” นี้ยังคงเป็นเสียงร้อง เชิญชวนที่ก้องกังวานในมโนธรรมของเราอยู่เสมอ ไม่ว่าเวลาใด เมื่อไร เช้าเที่ยงเย็นกลางคืน ขอให้เป็นเวลาแห่งการกลับใจและเชื่อข่าวดี ไม่ว่าที่ใด แห่งหนตำบลใด ขอให้เป็นที่แสดงความเชื่อและการกลับใจ ไม่ว่าอยู่กับใคร ตำแหน่งอะไร นิสัยอย่างไร ขอให้เป็นผู้ที่กลับใจและเชื่อข่าวดี และนำข่าวดีนั้นแบ่งปันกันและกัน บอกแนะนำให้ผู้อื่นรู้จักกับบุคคลที่เรารักมากที่สุดและดีที่สุด คือ คนนี้คนที่ชื่อ “เยซู”
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ม.ค. 23, 2012 2:34 pm

วันจันทร์ที่ 23 มกราคม 2012
สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่สอง 2 ซมอ 5:1-7,10

ชาวอิสราเอลทุกเผ่ามาเฝ้ากษัตริย์ดาวิดที่เมืองเฮโบรน ทูลว่า ‘ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นสายเลือดเดียวกันกับพระองค์ ในอดีตเมื่อกษัตริย์ซาอูลทรงปกครอง พระองค์ทรงนำชาวอิสราเอลออกรบ พระยาห์เวห์ตรัสแก่พระองค์ว่า “ท่านจะเลี้ยงดูอิสราเอลประชากรของเรา ท่านจะเป็นเจ้านายเหนืออิสราเอล”’ บรรดาผู้อาวุโสชาวอิสราเอลจึงมาเฝ้ากษัตริย์ที่เมืองเฮโบรน และกษัตริย์ดาวิดทรงทำพันธสัญญากับเขาเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ที่เมืองเฮโบรน เขาจึงเจิมดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล
ดาวิดมีพระชนมายุสามสิบพรรษาเมื่อทรงขึ้นครองราชย์ และทรงเป็นกษัตริย์อยู่เป็นเวลาสี่สิบปี พระองค์ทรงปกครองชนเผ่ายูดาห์ ที่เมืองเฮโบรนเป็นเวลาเจ็ดปีหกเดือน ทรงปกครองชาวอิสราเอลทุกเผ่าและชนเผ่ายูดาห์ที่กรุงเยรูซาเล็มเป็นเวลาสามสิบสามปี
กษัตริย์ดาวิดเสด็จพร้อมกับบรรดาทหารเข้าโจมตีกรุงเยรูซาเล็ม โจมตีชาวเยบุสที่อยู่ในแผ่นดินนั้น ชาวเยบุสกล่าวแก่กษัตริย์ดาวิดว่า ‘ท่านไม่มีวันจะเข้ามาที่นี่ได้ คนตาบอดและคนพิการก็ยังจะกันท่านไว้ได้’ คล้ายกับกล่าวว่า ดาวิดจะเข้าไปที่นั่นไม่ได้เลย แต่กษัตริย์ดาวิดทรงยึดป้อมศิโยน คือเมืองของดาวิดไว้ได้
นับวันกษัตริย์ดาวิดยิ่งทรงมีพระอำนาจมากขึ้น พระยาห์เวห์ พระเจ้าจอมโยธาสถิตอยู่กับพระองค์


พระวรสาร มก 3:22-30

เวลานั้น บรรดาธรรมาจารย์ที่มาจากกรุงเยรูซาเล็มพูดว่า “เขามีปีศาจเบเอลเซบูลสิงอยู่” และขับไล่ปีศาจด้วยอำนาจของเจ้าแห่งปีศาจนั่นเอง” พระองค์จึงทรงเรียกเขาเหล่านั้นเข้ามาพบ ตรัสเป็นอุปมาว่า “ซาตานจะขับซาตานได้อย่างไร ถ้าอาณาจักรหนึ่งแตกแยก อาณาจักรนั้นก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ถ้าครอบครัวหนึ่งแตกแยก ครอบครัวนั้นก็ตั้งมั่นอยู่ต่อไปไม่ได้ ถ้าซาตานลุกขึ้นต่อสู้กันเองและแตกแยก มันก็อยู่ไม่ได้ ต้องถึงจุดจบ ไม่มีใครเข้าไปในบ้านของคนเข้มแข็งและปล้นเอาทรัพย์ของเขาได้ ถ้าไม่มัดคนเข้มแข็งนั้นไว้ก่อน เมื่อนั้นแหละจึงจะเข้าปล้นบ้านได้”“เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า มนุษย์จะรับการอภัยบาปทุกประการรวมทั้งคำดูหมิ่นพระเจ้าที่ได้พูดออกไป แต่ใครที่พูดดูหมิ่นพระจิตเจ้าจะไม่ได้รับการอภัยเลย เขามีความผิดตลอดนิรันดร” พระเยซูเจ้าตรัสเช่นนี้เพราะมีผู้พูดว่า “คนนี้มีปีศาจสิงอยู่”



ข้อคิด

ธรรมาจารย์เป็นผู้มีความรู้ แต่เข้าใจอย่างผิดๆ ว่า พระเยซูเป็นปีศาจ และใช้อำนาจของเจ้าปีศาจ ดูได้ชัดขนาดปีศาจยังก้มหัวกราบพระองค์เลย การเข้าใจผิดเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ก็จริง แต่การเข้าใจผิดนำมาซึ่งการประณามพร้อมการกีดกันและไม่เพียรพยายามหาทางค้นพบเพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้อง นับว่าเสียดายยิ่งที่อยู่ใกล้ชิดกับองค์ความจริงและองค์ความรักแล้วไร้ผลโดยสิ้นเชิง ทั้งๆ ที่พระองค์พยายามที่จะเผยแสดงให้เข้าใจว่าพระองค์เป็นใครทั้งโดยคำสอน และการกระทำ ขอให้พวกเราพยายามรักและรู้จักพระองค์มากยิ่งขึ้นทุกๆวันตามที่พระองค์ “ทรงเป็น ทรงมี และทรงกระทำ”
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

อังคาร ม.ค. 24, 2012 11:17 pm

วันอังคารที่ 24 มกราคม 2012
ระลึกถึง น.ฟรังซิส เดอ ซาลส์ พระสังฆราชและนักปราช

บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่สอง 2 ซมอ 6:12ข-15,17-19

ในครั้งนั้น กษัตริย์ดาวิดจึงเสด็จไปนำหีบของพระเจ้าขึ้นจากบ้านของโอเบด-เอโดม มาที่เมืองของดาวิดด้วยความยินดี เมื่อคนหามหีบขององค์พระผู้เป็นเจ้าเดินไปหกเก้า กษัตริย์ดาวิดก็ทรงถวายโคเพศผู้และแกะอ้วนพีอย่างละตัวเป็นเครื่องบูชา กษัตริย์ดาวิดทรงคาดเอโฟดผ้าป่านเพียงผืนเดียว เต้นรำสุดกำลังเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า กษัตริย์ดาวิดกับชาวอิสราเอลทั้งปวงนำหีบขององค์พระผู้เป็นเจ้าขึ้นมา พร้อมกับโห่ร้องด้วยความยินดี และเป่าแตร
เมื่อนำหีบขององค์พระผู้เป็นเจ้าเข้ามาประดิษฐานไว้ในที่กำหนดกลางกระโจมซึ่งกษัตริย์ดาวิดทรงตั้งขึ้นไว้ พระองค์ถวายเครื่องบูชาและศานติบูชาเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อถวายเครื่องเผาบูชาและศานติบูชาแล้ว กษัตริย์ดาวิดก็ทรงอวยพรประชาชนในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าจอมโยธา และประทานอาหารแก่ประชาชนชาวอิสราเอลทุกคน ทั้งชายและหญิง คือขนมปังคนละก้อน เนื้อย่างคนละชิ้น และผลองุ่นแห้งอัดคนละก้อน หลังจากนั้น ประชาชนต่างกลับบ้าน


พระวรสาร มก 3:31-35

เวลานั้น พระมารดาและพระญาติของพระองค์มาถึง ยืนรออยู่ข้างนอก ส่งคนเข้าไปทูลพระองค์ ประชาชนกำลังนั่งล้อมพระองค์อยู่ เขาจึงทูลพระองค์ว่า “มารดาและพี่น้องของท่านกำลังตามหาท่าน คอยอยู่ข้างนอก” พระองค์ตรัสถามว่า “ใครเป็นมารดาและพี่น้องของเรา” แล้วพระองค์ทอดพระเนตรผู้ที่นั่งเป็นวงล้อมอยู่ ตรัสว่า “นี่คือมารดาและพี่น้องของเรา ผู้ใดทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า ผู้นั้นเป็นพี่น้องชายหญิงและเป็นมารดาของเรา”


ข้อคิด

หากต้องการเข้าถึง เข้าใจ และลึกซึ้ง “พระประสงค์ของพระเจ้า” ก็ต้อง เข้าถึง เข้าใจและลึกซึ้งในสัมพันธภาพกับพระเจ้า คือ รู้จัก สนิท แน่นแฟ้นกับพระองค์มากยิ่งๆ ขึ้นทุกวัน ทำได้โดยทางตัวพระองค์เอง โดยทางพระวาจาของพระองค์ โดยทางเหตุการณ์ประจำวัน โดยทางบุคคล โดยทางธรรมชาติ โดยการไตร่ตรองพิจารณามโนธรรมอยู่เป็นนิจ โดยทั้งหมดอยู่ในคำว่า รักพระองค์ ที่แสดงออกมาโดยการอยากจะรู้จักและใกล้ชิดพระองค์ พร้อมจิตสำนึกของการเป็น “ของพระองค์ เพื่อพระองค์ และในพระองค์” เราเป็นพี่น้องของพระองค์เพราะทำตามพระประสงค์ เราทำตามพระประสงค์เพราะเราเป็นพี่น้องของพระองค์
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พุธ ม.ค. 25, 2012 2:38 pm

วันพุธที่ 25 มกราคม 2012
ฉลองการกลับใจของนักบุญเปาโล อัครสาวก

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 22:3-16

เปาโลจึงกล่าวกับประชาชนว่า “ข้าพเจ้าเป็นชาวยิว เกิดที่เมืองทาร์ซัสในแคว้นซิลีเซีย แต่เติบโตในเมืองนี้ กามาลิเอล เป็นอาจารย์สอนข้าพเจ้าให้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัด ข้าพเจ้ารับใช้พระเจ้าด้วยความกระตือรือร้นอยู่เสมอเช่นเดียวกับที่ท่านทั้งหลายปฏิบัติอยู่ในวันนี้ ข้าพเจ้าเบียดเบียนถึงตายผู้ที่ดำเนินตามวิถีทางนี้ ข้าพเจ้าจับกุมทั้งชาย และหญิงจองจำไว้ในคุก ดังที่มหาสมณะและสภาผู้อาวุโสทุกคนเป็นพยานยืนยันได้ เพราะเขามอบจดหมายให้ข้าพเจ้านำไป ให้แก่บรรดาพี่น้องชาวยิวที่เมืองดามัสกัส ข้าพเจ้าจึงออกเดินทางเพื่อไปจับกุมบรรดาคริสตชนซึ่งอยู่ที่นั่น นำกลับมายังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อลงโทษ
เวลาประมาณเที่ยงวัน ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังเดินทางใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ทันใดนั้นมีแสงสว่างจ้าจากท้องฟ้าล้อมรอบตัวข้าพเจ้าไว้ ข้าพเจ้าล้มลงที่พื้นดินและได้ยินเสียงพูดกับข้าพเจ้าว่า “เซาโล เซาโล เจ้าเบียดเบียนเราทำไม”
ข้าพเจ้าจึงถามว่า “พระเจ้าข้า พระองค์คือใคร”พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “เราคือเยซูชาวนาซาเร็ธ ซึ่งเจ้ากำลังเบียด เบียนอยู่” คนที่อยู่กับข้าพเจ้าเห็นแสงสว่าง แต่ไม่ได้ยินเสียงคนที่พูดกับข้าพเจ้า
แล้วข้าพเจ้าถามอีกว่า “พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไร”องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงลุกขึ้น เข้าไปใน เมืองดามัสกัส ที่นั่นจะมีคนบอกทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดให้เจ้าทำ” แสงนั้นสว่างจ้าจนข้าพเจ้ามองไม่เห็นสิ่งใด ผู้ร่วมเดินทางกับข้าพเจ้าจึงจูงมือข้าพเจ้าเข้าไปในเมืองดามัสกัส
ชายคนหนึ่งชื่ออานาเนีย เป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าและปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ เป็นที่เคารพนับถือของชาวยิวทุกคนซึ่งอยู่ที่นั่น เขามาพบข้าพเจ้า ยืนใกล้ ๆ พูดกับข้าพเจ้าว่า “เซาโล น้องเอ๋ย จงกลับมองเห็นเถิด” และในเวลานั้นเองข้าพเจ้าก็มอง เห็นเขา อานาเนียบอกข้าพเจ้าว่า “พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราทรงเลือกสรรท่านให้รู้พระประสงค์ของพระองค์ ให้เห็นพระคริสตเจ้าผู้ทรงชอบธรรม และได้ยินพระสุรเสียงจากพระโอษฐ์ของพระองค์ เพราะท่านจะเป็นพยานของพระองค์ยืนยันสิ่งที่ท่านได้เห็นและได้ยินแก่มนุษย์ทุกคน บัดนี้ท่านรออะไรอยู่อีกเล่า จงลุกขึ้น รับศีลล้างบาปและเรียกขานพระนามของพระองค์ชำระล้างบาปของท่านเถิด


พระวรสาร มก 16:15-18

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง ผู้ที่เชื่อและรับศีลล้างบาปก็จะรอดพ้น ผู้ที่ไม่เชื่อจะถูกตัดสินลงโทษ ผู้ที่เชื่อจะทำอัศจรรย์เหล่านี้ได้ คือจะขับไล่ปีศาจในนามของเรา จะพูดภาษา ใหม่ ๆ ได้ จะจับงูได้ และถ้าดื่มยาพิษก็จะไม่ได้รับอันตราย เขาจะปกมือเหนือคนเจ็บ คนเจ็บเหล่านั้นก็จะหายจากโรคภัย”


ข้อคิด

“เราคือเยซูชาวนาซาเร็ธ ซึ่งเจ้ากำลังเบียดเบียนอยู่” คริสตชนที่เซาโลหมายจะจับกุมและนำไปลงโทษที่แท้ คือ พระเยซู นั่นเอง “ใครทำร้ายเบียดเบียนคริสตชน ก็ทำร้ายเบียดเบียนพระเยซู” “คริสตชนไม่รักกัน เท่ากับ คริสตชนไม่รักพระเยซู” คริสตชนรักกัน ก็รักพระเยซู ใครรักพระเยซู ก็ต้องรักกัน การเบียดเบียนในปัจจุบันออกมาในรูปแบบแยบยล ละเอียดอ่อน นุ่มนวล บางคนตกเป็นเครื่องมือของการเบียดเบียนนั้นโดยรู้เท่าไม่ถึงตัว ความเห็นแก่ตัว การกีดกัน การนินทา การคุกคามทำร้ายชีวิตที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี่ เหล่านี้ เป็นเครื่องหมายของการเบียดเบียนในยุคนี้ “จงเลิกทำร้ายกันเถิด”
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พฤหัสฯ. ม.ค. 26, 2012 10:45 am

วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม 2555
สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านที่ 1 ทต 1:1-5

จากเปาโล อัครสาวกของพระคริสตเยซู โดยพระประสงค์ของพระเจ้าตามพระสัญญาที่จะประทานชีวิตให้เราในพระคริสตเยซู
ถึงทิโมธีลูกรัก ขอพระหรรษทาน พระเมตตา และสันติจากพระเจ้า พระบิดา และจากพระคริสตเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา สถิตอยู่กับท่านเถิด
ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระเจ้าที่ข้าพเจ้าปรนนิบัติรับใช้ด้วยมโนธรรมบริสุทธิ์เช่นเดียวกับบรรพบุรุษ ข้าพเจ้าระลึกถึงท่านอยู่เสมอ ในการอธิษฐานทั้งวันทั้งคืน ข้าพเจ้ายังระลึกถึงน้ำตาของท่าน และปรารถนาที่จะพบท่าน เพื่อให้ข้าพเจ้ามีความยินดีเต็มเปี่ยม ข้าพเจ้ายังระลึกถึงความเชื่อที่จริงใจของท่าน เป็นความเชื่อแต่เดิมของโลอิส ยายของท่าน เป็นความเชื่อของยูนิส มารดาของท่าน และข้าพเจ้ามั่นใจว่าเป็นความเชื่อของท่านด้วย
ข้าพเจ้าจึงตือนความจำของท่าน เพื่อให้พระพรพิเศษของพระเจ้าเป็นไฟที่รุ่งโรจน์ขึ้นอีก ท่านได้รับพระพรนี้ โดยการปกมือของข้าพเจ้า พระเจ้าไม่ได้ประทานจิตที่บันดาลความขลาดกลัว แต่ประทานจิตที่บันดาลความเข้มแข็ง ความรัก และการควบคุมตนเองแก่เรา ดังนั้น ท่านอย่าอายที่จะเป็นพยานถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา หรืออายที่ข้าพเจ้าต้องถูกจองจำเพราะพระองค์ แต่จงเข้ามามีส่วนร่วมทนทุกข์ทรมานกับข้าพเจ้าเพื่อข่าวดี โดยพระอานุภาพของพระเจ้า


พระวรสาร มก 4:21-25

เวลานั้น พระเยซูเจ้ายังตรัสอีกว่า “เขาจุดตะเกียงวางไว้ใต้ถังหรือใต้เตียงหรือ มิใช่วางไว้บนที่ตั้งตะเกียงหรือ เช่นเดียวกัน ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนอยู่จะไม่ปรากฏชัดแจ้ง ไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ จะไม่ปรากฏออกมา ใครมีหูสำหรับฟัง ก็จงฟังเถิด”
พระองค์ตรัสอีกว่า “จงตั้งใจฟังให้ดี ท่านตวงให้เขาอย่างไร เขาก็จะตวงให้ท่านอย่างนั้น และจะเพิ่มให้อีกด้วย ผู้ที่มีมาก จะได้รับมากขึ้น ส่วนผู้ที่มีน้อย สิ่งเล็กน้อยที่เขามี จะถูกริบไปด้วย”



ข้อคิด

“ความลับไม่มีในโลก” จริงอย่างที่พระคัมภีร์ว่าไว้ ”ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนอยู่จะไม่ปรากฏชัดแจ้ง” ไม่ว่าจะเป็นความดีหรือความเลว แต่ละคนต้องรับผิดชอบในผลการกระทำของตนเอง “ตะเกียง” ในที่นี้ หมายถึง คำสอนของพระเยซูเจ้าซึ่งเป็นแสงสว่างที่จะต้องทอแสงออกมา และผู้รับคำสอนนี้จะต้องปฏิบัติตาม และต้องรับผิดชอบในการเป็นแสงสว่างที่มีต้นกำเนิดจากพระเยซูเจ้าให้กับผู้อื่นต่อไป ท่านทิตัส และท่านทิโมธีในฐานะพระสังฆราช เป็นแบบอย่างในการเป็น “ตะเกียง” ที่ส่องสว่าง “แสงธรรม” ของพระเยซูเจ้าสู่ตนเองและผู้อื่น
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

ศุกร์ ม.ค. 27, 2012 10:38 am

วันศุกร์ที่ 27 มกราคม 2555
สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านที่ 1 2 ซมอ11:1-4,5-10ก,13-17

เย็นวันหนึ่ง กษัตริย์ดาวิด เสด็จจากพระที่บรรทมไปทรงพระดำเนินบนดาดฟ้าพระราชวัง ทอดพระเนตรเห็นหญิงคนหนึ่งกำลังอาบน้ำ นางเป็นคนสวยมาก กษัตริย์ดาวิดทรงใช้คนไปสืบถามว่านางเป็นใคร ก็ทรงทราบว่า นางคือบัทเชบา เป็นบุตรสาวของเอลีอัม และเป็นภรรยาของอุริยาห์ ชาวฮิตไทต์ กษัตริย์ดาวิดทรงส่งคนไปนำตัวนางมา นางก็เข้ามาเฝ้า กษัตริย์ดาวิดทรงหลับนอนกับนาง นางเพิ่งชำระตนให้พ้นมลทินจากการมีประจำเดือน แล้วนางก็กลับไปบ้าน เมื่อนางทราบว่าตนตั้งครรภ์จึงส่งคนไปทูลกษัตริย์ดาวิดว่า ตนตั้งครรภ์แล้ว กษัตริย์ดาวิดจึงทรงใช้คนไปหาโยอาบ สั่งให้ส่งอุริยาห์ ชาวฮิตไทต์กลับมาเฝ้า โยอาบจึงส่งอุริยาห์กลับมาเฝ้ากษัตริย์ดาวิด แล้วกษัตริย์ดาวิดตรัสแก่อุริยาห์ว่า จงกลับไปบ้าน และพักผ่อนให้สบายเถิด อุริยาห์ก็ออกไปจากพระราชวัง กษัตริย์ประทานอาหารเป็นของขวัญตามไปให้ที่บ้าน แต่อุริยาห์ไม่ได้กลับบ้าน เขาไปนอนอยู่ที่ประตูพระราชวัง พร้อมกับทหารองครักษ์ของเจ้านาย เมื่อกษัตริย์ดาวิดทรงทราบว่า อุริยาห์ไม่ได้กลับบ้าน วันรุ่งขึ้น กษัตริย์ดาวิดทรงเชิญเขามากินและดื่มเฉพาะพระพักตร์ พระองค์ทรงให้เขาดื่มจนเมา คืนนั้นเข้าก็ออกไปนอนที่เดิมกับทหารองครักษ์ แต่ไม่ได้กลับบ้าน
เช้าวันรุ่งขึ้น กษัตริย์ดาวิดทรงขียนจดหมายถึงโยอาบ ให้อุริยาห์นำไป ทรงเขียนในจดหมายว่า “จงจัดให้อุริยาห์อยู่แถวหน้าตรงที่การรบเป็นไปอย่างดุเดือดที่สุด แล้วถอยทัพ ปล่อยให้เขาถูกฆ่า โยอาบกำลังล้อมเมืองอยู่ จึงจัดให้อุริยาห์ไปอยู่ตรงที่เขาทราบว่าข้าศึกเข้มแข็ง ชาวเมืองออกมารบกับโยอาบ ฆ่าพลทหารและนายทหารบางคนของกษัตริย์ดาวิด อุริยาห์ชาวฮิตไทต์ก็ถูกฆ่าด้วย


พระวรสาร มก 4:26-34

เวลานั้น พระเยซูเจ้ายังตรัสอีกว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้ายังเปรียบเสมือนคนที่นำเมล็ดพืชไปหว่านในดิน เขาจะหลับหรือตื่น กลางคืนหรือกลางวัน เมล็ดนั้นก็งอกขึ้น และเติบโต เป็นเชนนี้ได้อย่างไรเขาไม่รู้ ดินนั้นมีพลังให้เกิดผลในตนเอง ครั้งแรกก็เป็นลำต้น แล้วก็ออกรวง ต่อมาก็มีเมล็ดเต็มรวง เมื่อข้าวสุก เกิดผลแล้ว เขาก็ใช้คนไปเก็บเกี่ยวทันที เพราะถึงฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว”
พระองค์ตรัสอีกว่า “เราจะเปรียบพระอาณาจักรของพระเจ้าอย่างไร หรือจะใช้อุปมาอะไรอธิบายเรื่องนี้ พระอาณาจักรเปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ด ซึ่งเมื่อหว่านในดิน ก็เป็นเมล็ดเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวงทั่วแผ่นดิน แต่ครั้นได้หว่านแล้วก็งอกขึ้น และกลายเป็นต้นไม้ใหญ่กว่าพืชผักทุกชนิด มีกิ่งก้านใหญ่โตจนบรรดานกในอากาศมาพักอาศัยร่มเงาได้” พระองค์ตรัสเป็นอุปมาเช่นนี้อีกมากตามที่เขาเหล่านั้นฟังเข้าใจได้ พระองค์มิได้ตรัสกับเขาโดยไม่ใช้อุปมา แต่เมื่อทรงอยู่เฉพาะกับบรรดาศิษย์ก็ทรงอธิบายทุกเรื่องให้กับเขาเหล่านั้น


ข้อคิด

อาณาจักรพระเจ้าเป็นธรรมล้ำลึกเหนือสติปัญญามนุษย์จะหยั่งถึง โลกอยู่ภายใต้การครอบครองของพระเจ้า แต่อาณาจักรพระเจ้าไม่มีลักษณะทางโลก ด้วยเหตุนี้ พระเยซูเจ้าไม่ทรงบรรยายอาณาจักรพระเจ้าตรง ๆ แต่ทรงใช้คำอุปมา หรือคำเปรียบเทียบเพื่อช่วยให้เราเห็นภาพอาณาจักรสวรรค์บ้างเท่านั้น กระนั้นก็ดี พระเยญซูเจ้าผู้ประกาศอาณาจักรพระเจ้าก็ทรงเป็นอาณาจักรพระเจ้าเอง หน้าที่ของเรา คือ ทำตนให้สมกับเป็นประชากรของพระเจ้า “เราเป็นพระเจ้าของเจ้า และเจ้าเป็นประชากรของเรา”
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

เสาร์ ม.ค. 28, 2012 9:46 am

วันเสาร์ที่ 28 มกราคม 2555
สัปดาห์ที่ 3 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านที่ 1 2 ซมอ12:1-7ก,10-17

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งประกาศกนาธันไปพบกษัตริย์ดาวิด ประกาศกนาธันจึงเข้าเฝ้าทูลกษัตริย์ว่า ในเมืองหนึ่ง มีชายสองคน คนหนึ่งร่ำรวย อีกคนหนึ่งยากจน คนร่ำรวยมีฝูงแกะ และโคมากมาย ส่วนคนยากจนมีลูกแกะเพศเมียเพียงตัวเดียว เป็นลูกแกะที่เขาซื้อมา และเลี้ยงดูย่างดี แกะตัวนั้นเติบโตขึ้นในบ้านกับเขาและลูก ๆ กินอาหารของเขา และดื่มจากถ้วยของเขา นอนซบอกของเขา เขารักแกะตัวนั้นเหมือนบุตรสาว วันหนึ่งมีคนเดินทางมาแวะที่บ้านของคนร่ำรวย ซึ่งไม่อยากฆ่าแกะ หรือโคของตนนำมาทำอาหารให้คนเดินทางที่บังเอิญมาเยี่ยม เขาจึงเอาลูกแกะของคนยากจนมาทำอาหารให้แขกแทน กษัตริย์ดาวิดกริ้วชายผู้นั้นมาก ตรัสแก่นาธันว่า “ตราบใดที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่ ผู้ที่กระทำเช่นนี้จะต้องถูกประหารชีวิต เขาต้องชดใช้ราคาลูกแกะนั้นสี่เท่า เพราะเขามีใจร้ายกระทำเช่นนี้” ประกาศกนาธันจึงทูลกษัตริย์ดาวิดว่า “พระองค์คือชายคนนั้น”
กษัตริย์ดาวิดตรัสกับนาธันว่า “ข้าพเจ้าได้ทำบาปผิดต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” นาธันทูลตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้อภัยบาปพระองค์แล้ว พระองค์จะไม่ต้องสิ้นพระชนม์ แต่เนื่องจากพระองค์ทรงดูหมิ่นองค์พระผู้เป็นเจ้า โดยการกระทำการนี้ โอรสที่จะเกิดมาจะต้องตาย” แล้วนาธันก็กลับบ้าน
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้โอรสของกษัตริย์ดาวิดที่เกิดจากภรรยาของอุริยาห์ป่วยหนัก กษัตริย์ดาวิดทูลอ้อนวอนพระเจ้า ขอให้ทารกนั้นหายป่วย ไม่ยอมเสวยอะไรเลย บรรทมบนพื้นทุกคืน บรรดาข้าราชบริพารผู้อาวุโสทูลเชิญให้พระองค์ทรงลุกขึ้นจากพื้น แต่พระองค์ไม่ทรงยอม...


พระวรสาร มก 4:35-41

เย็นวันเดียวกันนั้น พระเยซูเจ้าตรัสสั่งบรรดาศิษย์ว่า “เราจงข้ามไปทะเลสาบฝั่งโน้นกันเถิด” บรรดาศิษย์จึงละประชาชนไว้ และออกเรือที่พระองค์ประทับอยู่นั้นไป มีเรือลำอื่น ๆ ติดตามไปด้วย ขณะนั้นเกิดพายุแรงกล้า คลื่นซัดเข้าเรือจนน้ำเกือบจะเต็มเรืออยู่แล้ว พระองค์บรรทมหลับหนุนหมอนอยู่ที่ท้ายเรือ บรรดาศิษย์จึงปลุกพระองค์ ทูลถามว่า “พระอาจารย์ พระองค์ไม่สนพระทัยที่พวกเรากำลังจะตายอยู่แล้วหรือ” พระองค์จึงทรงลุกขึ้น บังคับลม ตรัสสั่งทะเลว่า “เงียบซิ จงสงบลงเถิด” ลมก็หยุด ท้องทะเลราบเรียบอย่างยิ่ง แล้วพระองค์ตรัสถามเขาว่า “ตกใจกลัวเช่นนี้ทำไม ท่านยังไม่มีความเชื่อหรือ” เขาเหล่านั้นกลัวมาก พูดกันว่า “ท่านผู้นี้เป็นใครหนอ ลมและทะเลจึงยอมเชื่อฟังเช่นนี้”


ข้อคิด

ปัจจุบัน อยู่ตรงไหนบ้างที่ปลอดภัย ทั้งภัยธรรมชาติ และภัยที่มาจากน้ำมือมนุษย์ มาแบบไม่รู้ตัวหรือรู้ตัว แต่ตั้งตัวไม่ติดทั้งนั้น ที่เรียกว่าปลอดภัยที่สุด ก็อันตรายที่สุด หากจำกันได้ วันนี้ในปี ค.ศ.1986 กระสวยอวกาศขององค์การนาซา เชเลนเจอร์ ถูกทำลายจากแรงอัด หลังปล่อยขึ้นจากฐาน 73 วินาที เนื่องจากเกิดรอยรั่วที่จรวดขับดัน นักบินอวกาศ 7 คน เสียชีวิตทั้งหมด หรือสึนามิที่เกิดขึ้นในหลายประเทศรวมทั้งไทยและญี่ปุ่น ณ วันนี้ ถึงเวลาที่เราจะต้องฝากตัวเราไว้ในพระเยซูเจ้า “ตกใจกลัวเชนนี้ทำไม ท่านยังไม่มีความเชื่ออีกหรือ” จำไว้ในใจว่า “ปลอดภัยที่สุดของที่สุด คือ ปลอดภัยในพระเจ้า”
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

อาทิตย์ ม.ค. 29, 2012 1:30 pm

วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม 2555
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ ฉธบ 18:15-20

องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านทรงบันดาลให้ประกาศกเหมือนท่านเกิดขึ้นสำหรับท่าน จากบรรดาพี่น้องของท่าน ท่านจะต้องเชื่อฟังเขา เมื่อท่านมาชุมนุมกันที่ภูเขาโฮเรบ ท่านวอนขอองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านว่า “ขออย่าให้ข้าพเจ้าได้ยินไป เกรงว่าข้าพเจ้าจะต้องตาย” องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสแก่ข้าพเจ้าว่า “ที่เขาขอร้องมา เราจะใส่ถ้อยคำของเราไว้ในปากของเขา และเขาจะพูดทุกอย่างที่เราสั่ง ใครที่ไม่ยอมฟังถ้อยคำของเราที่ประกาศกจะพูดในนามของเรา เราจะลงโทษเขา แต่ถ้าประกาศกคนใดบังอาจพูดในนามของเราโดยที่เราไม่ได้สั่ง หรือพูดในนามของเทพเจ้าอื่น ประกาศกผู้นั้นจะถูกประหารชีวิต”


เพลงสดุดี สดด 95:1-2,6-7ก,8-9

ก) มาเถิด เราจงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความยินดี เราจงโห่ร้องสรรเสริญพระองค์ผู้ทรงเป็นหลักศิลาที่ช่วยเราให้รอดพ้น เราจงเข้ามาเฝ้าเฉพาะพระพักตร์เพื่อขอบพระคุณ เราจงโห่ร้องเพลงสดุดีถวายพระองค์ด้วยความยินดี
ข) มาเถิด เราจงกราบนมัสการพระองค์ เราจงคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างเรา เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเรา และเราเป็นประชากรที่ทรงเลี้ยงดูดุจฝูงแกะ เป็นฝูงแกะที่พระองค์ทรงนำ ท่านทั้งหลายจงฟังพระสุรเสียงของพระองค์ในวันนี้เถิด
ค) “ท่านอย่าทำใจให้แข็งกระด้างเหมือนที่เมรีบาห์ เหมือนในวันนั้นที่มัสสาห์ในถิ่นทุรกันดาร เมื่อบรรพบุรุษของท่านทดลองเรา เขาทดสอบเรา แม้ได้เห็นการกระทำของเราแล้ว”


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่ 1 1 คร 7:32-35

พี่น้อง ข้าพเจ้าอยากให้ท่านปราศจากความกัวงวล ผู้ที่มิได้แต่งงานย่อมสาละวนในการงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า หาวิธีทำให้พระองค์พอพระทัย ผู้ที่แต่งงานก็ย่อมสาละวนกับการงานของโลก หาวิธีทำให้ภรรยาพอใจ เป็นความกังวลหลายด้าน หญิงที่ไม่แต่งงาน และสาวพรหมจารีนั้น ย่อมสาละนวนในการงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อจะได้เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งร่างกายและจิตใจ ส่วนหญิงที่แต่งงานแล้ว ย่อมสาละวนอยู่กับการงานของโลก หาวิธีทำให้สามีพอใจ ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้เพื่อประโยชน์ของท่านเอง มิใช่เพื่อจำกัดสิทธิของท่าน แต่เพื่อความเป็นระเบียบ ให้ท่านสามารถอุทิศตนแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้โดยปราศจากความกังวล

พระวรสาร มก 1:21-28

เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองคาเปอรนาอุม พร้อมกับบรรดาศิษย์ เมื่อถึงวันสับบาโต พระองค์เสด็จเข้าไปในศาลาธรรม และทรงเริ่มสั่งสอน คำสั่งสอนของพระองค์ทำให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจอย่างมาก เพราะทรงสอนเขาอย่างทรงอำนาจ ไม่เหมือนกับบรรดาธรรมาจารย์
ทันใดนั้น ในศาลาธรรม ชายคนหนึ่งซึ่งปีศาจสิงอยู่ ร้องตะโกนว่า “ท่านมายุ่งกับเราทำไม เยซู ชาวนาซาเร็ธ? ท่านมาทำลายเราใช่ไหม? เรารู้ว่าทานเป็นใคร ท่านคือองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า” พระเยซูเจ้าทรงดุมัน และทรงสั่งว่า “จงเงียบ! ออกไปจากผู้นี้!” เมื่อปีศาจทำให้คนนั้นชัก และร้องเสียงดังแล้ว มันก็ออกไปจากเขา ทุกคนต่างประหลาดใจจึงถามกันว่า “นี่มันเรื่องอะไร เป็นคำสั่งสอนแบบใหม่ที่มีอำนาจ เขาสั่งแม้กระทั่งปีศาจ และมันก็เชื่อฟัง” แล้วกิตติศัพท์ของพระองค์ก็เลื่องลือไปทุกแห่งตลอดทั่วแคว้นกาลิลีทันที



ข้อคิด

สังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 พูดน้อยเกี่ยวกับปีศาจ ย้ำเฉพาะส่วนสำคัญ คือ มนุษย์ได้รับการกอบกู้ให้เป็นอิสระพ้นจากอำนาจปีศาจโดยทางพระบุตรของพระเจ้า ปีศาจล่อลวงทำร้ายมนุษย์ให้ตกในบาป แต่พระเยซูคริสต์ ทรงพิชิตมันได้ด้วยการสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนมชีพ การที่พระเจ้าไม่ทรงทำลายปีศาจ ปล่อยให้มันแผลงฤทธิ์ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ก็เพราะพระองค์ไม่ทรงทำลายสิ่งสร้างของพระองค์ ปีศาจมิใช่จ้าวแห่งความชั่วที่มาแข่งขันกับพระเจ้า ซึ่งเป็นจ้าวแห่งความดี แต่เป็นจิตที่พระเจ้าสร้างมาอยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า และเป็นจิตที่ชั่ว เพราะความผิดของตนเอง
แก้ไขล่าสุดโดย billa-bong เมื่อ จันทร์ ม.ค. 30, 2012 12:45 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ตอบกลับโพส