พระวาจารายวันเดือนกุมภาพันธ์ 2012

รวม ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับพระคัมภีร์ไบเบิ้ล
เข้าใจ พระคัมภีร์ ชีวิต และคำสั่งสอนของพระเยซูคริสต์ ตามลำดับ อย่างง่ายๆ
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พุธ ก.พ. 01, 2012 2:57 pm

วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านที่ 1 2 ซมอ 24:2,9-17


กษัตริย์จึงรับสั่งแก่โยอาบและผู้บังคับบัญชากองทัพ ซึ่งอยู่กับเขาว่า “จงไปทั่วอิสราเอลทุกเผ่า ตั้งแต่เมืองดานจนถึงเบเออร์เชบาเพื่อสำรวจจำนวนประชากร เราอยากจะรู้ว่ามีคนเท่าไร”
หลังจากสำรวจจำนวนประชากรแล้ว กษัตริย์ดาวิดทรงรู้สึกผิดจึงทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าพเจ้าทำบาปมากที่ได้กระทำเช่นนี้ บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขอพระองค์ทรงอภัยความผิดของข้ารับใช้ของพระองค์ เพราะข้าพเจ้ากระทำไปโดยโง่เขลา” เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อกษัตริย์ดาวิดตื่นบรรทมแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาให้กาด ประกาศกประจำราชสำนักของกษัตริย์ดาวิด “จงไปทูลกษัตริย์ดาวิดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ เราให้ท่านเลือกการลงโทษจากสามประการนี้ เราจะทำตามที่ท่านเลือก” ประกาศกกาดจึงเข้าเฝ้ากษัตริย์ดาวิด ทูลตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “พระองค์จะทรงเลือกอย่างไหน ให้แผ่นดินของพระองค์กันดารอาหารเป็นเวลาสามปี หรือให้พระองค์ต้องทรงหนีศัตรูเป็นเวลาสามเดือน หรือให้เกิดโรคระบาดในแผ่นดินเป็นเวลาสามวัน?” กษัตริย์ดาวิดตรัสตอบประกาศกกาดว่า “เรารู้สึกลำบากใจมาก ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลงโทษเราดีกว่าจะให้มนุษย์ลงโทษ” ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้เกิดโรคระบาดขึ้นในอิสราเอลตั้งแต่เช้า จนถึงเวลาที่ทรงกำหนด มีผู้คนล้มตาย ตั้งแต่เมืองดานจนถึงเบเออร์เชบาถึงเจ็ดหมื่นคน เมื่อทูตสวรรค์กำลังจะทำลายกรุงเยรูซาเล็ม องค์พระผู้เป็นจ้าทรงเปลี่ยนพระทัย ไม่ทรงปรารถนาให้ภัยพิบัตลุกลามต่อไป กษัตริย์ดาวิดทอดพระเนตรเห็นทูตสวรรค์กำลังจะประหารผู้คน ก็ทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าพเจ้าทำบาป ข้าพเจ้าผู้เดียวกระทำผิด แต่คนใต้ปกครองของข้าพเจ้าเหล่านี้ได้ทำผิดอะไรเล่า? พระองค์น่าจะทรงลงโทษข้าพเจ้ากับครอบครัวมากกว่า”


พระวรสาร มก 6:1-6

เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากที่นั้น กลับไปยังถิ่นกำเนิดของพระองค์ บรรดาศิษย์ติดตามไปด้วยครั้นถึงวันสับบาโต พระองค์ทรงเริ่มสั่งสอนในศาลาธรรม ผู้ฟังมากมายต่างประหลาดใจ และพูดว่า “เขาเอาเรื่องทั้งหมดนี้มาจากไหน ปรีชาญาณที่เขาได้รับมานี้คืออะไร อะไรคืออัศจรรย์ที่สำเร็จด้วยมือของเขา คนนี้เป็นช่างไม้ ลูกนางมารีย์ เป็นพี่น้องของยากอบ โยเสท ยูดา และซีโมนไม่ใช่หรือ พี่สาวน้องสาวของเขาก็อยู่ที่นี่กับพวกเรามิใช่หรือ” คนเหล่านั้นรู้สึกสะดุดใจและไม่ยอมรับพระองค์ พระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “ประกาศกย่อมไม่ถูกเหยียดหยามนอกจากในถิ่นกำเนิด ท่ามกลางวงศ์ญาติ และในบ้านของตน” พระองค์ทรงทำอัศจรรย์ที่นั่นไม่ได้ นอกจากทรงปกพระหัตถ์รักษาผู้เจ็บป่วยบางคนให้หายจากโรคภัย พระองค์ทรงแปลกพระทัยที่เขาเหล่านั้นไม่มีความเชื่อ พระองค์เสด็จไปทรงสั่งสอนตามหมู่บ้านต่าง ๆ ในบริเวณนั้น



ข้อคิด

พระเยซูเจ้าไม่ทรงทำอัศจรรย์เมื่อประชาชนที่ถิ่นกำเนิดของพระองค์ไม่มีความเชื่อ ชีวิตของประชาชนที่ขาดความเชื่อแท้ในพระเจ้ามักจะสับสนวุ่นวาย เขาไม่เชื่อและไม่ไว้วางใจคนอื่น นอกจากตัวของเขาเอง เราเป็นประชากรของพระเจ้าผ่านทางพันธสัญญาใหม่ที่ได้รับการประทับตรา ด้วยพระโลหิตของพระเยซูเจ้า ด้วยเหตุนี้ เราต้องเป็นประชากรที่มีความเชื่อแท้ ความเชื่อแท้ดังกล่าวนี้เป็นมากกว่าการเชื่อว่า มีพระเจ้า แต่รวมถึงความไว้วางใจ และความเชื่อมั่นว่า พระเจ้าทรงรักเรา นำทางเรา และเอาใจใส่ดูแลเราตลอดเวลา
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พฤหัสฯ. ก.พ. 02, 2012 2:57 pm

วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ 2555
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านที่ 1 มลค 3:1-4

พระเจ้าจอมโยธา ตรัสดังนี้ “นี่แน่ะ เรากำลังจัดส่งผู้ถือสารของเราไปตระเตรียมทางไว้ล่วงหน้าเรา แล้วพระเจ้าซึ่งเจ้ากำลังแสวงหาอยู่นั้น จะเสด็จเข้าไปในพระวิหารของพระองค์อย่างกะทันหัน...”
“เพราะว่าท่านผู้นั้น เป็นประดุจไฟถลุงแร่ และประดุจน้ำต่างของคนซักฟอก แล้วเขาจะนำเครื่องบูชามาถวายแด่พระเจ้าอย่างที่เราควรจะถวาย แล้วเครื่องบูชาของยูดาห์ และเยรูซาเล็มจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าเหมือนในสมัยก่อน...”


บทอ่านที่ 2 ฮบ 2:14-18

บุตรทุกคนมีเลือดเนื้อร่วมกันฉันใด พระองค์ก็ทรงมีเลือดเนื้อร่วมกับมนุษย์ทุกคนด้วยฉันนั้น เพื่อว่าโดยการสิ้นพระเชนม์ พระองค์จะทรงทำลายมารผู้มีอำนาจเหนือความตายลงได้ เพื่อทรงปลดปล่อยผู้ตกเป็นทาสอยู่ตลอดชีวิต เพราะความกลัวตายให้เป็นอิสระได้ โดยแท้จริงแล้ว พระองค์มิได้เอาพระทัยใส่ต่อบรรดาทูตสวรรค์ แต่เอาพระทัยใส่ต่อเชื้อสายของอับราฮัม จึงจำเป็นที่พระองค์จะต้องทรงเป็นเหมือนกับบรรดาพี่น้องทุกประการ เพื่อพระองค์จะทรงเป็นมหาสมณะที่เพียบพร้อมด้วยพระกรุณา และทรงซื่อสัตย์ในการติดต่อกับพระเจ้า ไถ่โทษชดเชยบาปของประชากรได้


พระวรสาร ลก 2:22-32

เมื่อครบกำหนดเวลาที่มารดา และบุตรจะต้องทำพิธีชำระมลทินตามธรรมบัญญัติของโมเสส โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์นำพระกุมารไปที่กรุงเยรูซาเล็ม เพื่อถวายแด่พระเจ้า มีเขียนไว้ในธรรมบัญญัติของพระเจ้าว่า จะต้องถวายบุตรชายคนแรกแด่พระเจ้า และถวายเครื่องบูชาคือนกเขาหนึ่งคู่ หรือนกพิราบสองตัว
เวลานั้น ที่กรุงเยรูซาเล็ม ชายผู้หนึ่งชื่อสิเมโอน เป็นคนชอบธรรม และยำเกรงพระเจ้า เขารอคอยความรอดพ้นของอิสราเอล พระจิตเจ้าสถิตอยู่กับเขา และทรงเปิดเผยให้เขารู้ว่า เขาจะไม่ตายก่อนที่จะได้เห็นพระคริสต์ของพระเจ้า พระจิตเจ้าทรงนำสิเมโอนเข้าไปในพระวิหาร ขณะที่โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์นำพระกุมารเข้ามาปฏิบัติตามที่ธรรมบัญญัติกำหนดไว้ สิเมโอนรับพระกุมารมาอุ้มไว้ และกล่าวถวายพระพรแด่พระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า บัดนี้ พระองค์ทรงปล่อยผู้รับใช้ของพระองค์ไปเป็นสุข ตามพระดำรัสของพระองค์ เพราะนัยน์ตาของข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้ช่วยให้รอดพ้น ผู้ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับนานาประชาชาติ เป็นแสงสว่างเปิดเผยให้คนต่างชาติรู้จักพระองค์ และเป็นสิริรุ่งโรจน์สำหรับอิสราเอล ประชากรของพระองค์”


ข้อคิด

บทเรียนสำคัญที่เราได้จากแบบอย่างของสิเมโอนในพระวรสารวันนี้คือ เราต้องตระหนักถึงการประทับอยู่ของพระเยซูเจ้า ท่ามกลางเรา และรู้จักพระองค์ก่อน จากนั้น เราต้องพยายามสุดความสามารถที่จะเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระเจ้า เพื่อทำให้คนอื่นได้รู้จักพระองค์เหมือนที่เรารู้จัก พระนางมารีย์ และนักบุญโยเซฟอาจจะประหลาดใจในถ้อยคำที่สิเมโอนกล่าวถึงพระกุมารในวันนั้น แต่เรามีสันติในจิตใจ และมีความมั่นใจ เพราะเรารู้ว่า พระเยซูเจ้าทรงเป็นแสงสว่างของโลก และพระองค์จะทรงนำทางเราผ่านช่วงเวลาที่ลำบากในชีวิตนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

ศุกร์ ก.พ. 03, 2012 2:14 pm

วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2555
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านที่ 1 บสร 47:2-11

เมื่อถวายศานติบูชา ไขมันย่อมถูกแยกออกมันฉันใด ดาวิดก็ได้รับเลือกสรรออกมาจากชาวอิสราเอลทั้งปวงฉันนั้น เขาร้องทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้สูงสุด พระองค์จึงประทานกำลังแก่มือขวาของเขา เพื่อทำลายนักรบที่แกร่งกล้า และยกอำนาจประชากรของตนขึ้นมาอีก ดังนั้น ประชาชนจึงให้เกียรติเขาว่าได้ฆ่าคนเป็นหมื่น สรรเสริญเขาถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า และนำมงกุฏรุ่งโรจน์มาถวายให้เป็นกษัตริย์ พระองค์จึงทรงปราบศัตรูโดยรอบ ทรงทำลายล้างชาวฟีลิสเตียที่เป็นศัตรู ทรงโค่นอำนาจของเขา จนถึงทุกวันนี้ในพระราชกิจทุกอย่าง พระองค์ทรงถวายพระพรแด่พระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ และสูงสุด ด้วยถ้อยคำสรรเสริญพระเจ้า ทรงขับร้องสรรเสริญพระเจ้าสุดจิตใจ และทรงรักพระเจ้าผู้ทรงสร้างพระองค์มา


พระวรสาร มก 6:14-29

เวลานั้น กษัตริย์เฮโรดทรงได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า เพราะพระนามของพระเยซูเจ้าเลื่องลือไป บางคนพูดวา “ยอห์นผู้ทำพิธีล้างได้กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายแล้ว ดังนั้น เขาจึงมีอำนาจทำอัศจรรย์ได้” บางคนพูดว่า “เขาคือเอลียาห์” บางคนก็พูดว่า “เขาเป็นประกาศกคนหนึ่งเหมือนกับประกาศกคนอื่น” แต่เมื่อกษัติย์เฮโรดทรงได้ยินเช่นนี้ ก็ตรัสว่า “ยอห์น คนที่เราให้ตัดศีรษะ ได้กลับคืนชีพมาอีก”
กษัตริย์เฮโรดองค์นี้ทรงสั่งให้จับกุมยอห์น และล่ามโซ่ขังคุกไว้ เพราะเรื่องของนางเฮโรเดียส ภรรยาของฟิลิปพระอนุชา ซึ่งกษัตริย์เฮโรดทรงรับมาเป็นมเหสี นางเฮโรเดียสจึงโกรธแค้น และปรารถนาจะฆ่ายอห์นเสีย แต่ฆ่าไม่ได้ เพราะกษัตริย์เฮโรดยังทรงเกรงยอห์นอยู่
นางเฮโรเดียสได้โอกาสเมื่อกษัตริย์เฮโรด ทรงจัดให้มีงานเลี้ยงขุนนางกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และคนสำคัญในแคว้นกาลิลีในวันคล้ายวันประสูติของพระองค์ บุตรหญิงของนางเฮโรเดียสออกมาเต้นรำเป็นที่พอพระทัยของกษัตริย์เฮโรด และเป็นที่พอใจของผู้รับเชิญ กษัตริย์จึงตรัสกับหญิงคนนั้นว่า “ท่านอยากได้อะไรก็ขอมาเถิด เราจะให้” หญิงสาวจึงออกไปถามมารดาว่า “ลูกจะขออไรดี” มารดาตอบว่า “จงขอศีรษะของยอห์นผู้ทำพิธีล้าง” หญิงสาวจึงรีบกลับมาทูลกษัตริย์ทันทีว่า “หม่อมฉันขอศีรษะของยอห์นผู้ทำพิธีล้างใส่ถาดมาให้เดี๋ยวนี้” กษัตริย์ทรงเป็นทุกข์อย่างยิ่ง แต่เพราะได้ทรงสาบานไว้ และเพราะทรงเห็นแก่ผู้รับเชิญ ไม่ทรงปรารถนาจะขัดใจหญิงสาว จึงทรงสั่งเพชฌฆาตไปตัดศีรษะของยอห์นมาทันที เมื่อบรรดาศิษย์ของยอห์นรู้เรื่อง จึงมารับศพของยอห์น นำไปฝังไว้ในคูหา


ข้อคิด

ความตายของยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง เป็นเรื่องที่น่าเศร้า คนผู้หนึ่งตัดสินใจฆ่าอีกคนหนึ่งหรือปล่อยให้มีการฆ่าอีกคนหนึ่งเกิดขึ้นเพียงเพื่อรักษาหน้าของตนเอง แต่คนที่น่าสงสารมากที่สุดในเรื่องนี้คือ กษัตริย์เฮโรด พระองค์ไม่สามารถทำในสิ่งที่ตนเองอยากทำได้ ทั้ง ๆ ที่พระองค์มีอำนาจทุกอย่าง ซึ่งต่างกับยอห์นผู้ทำพิธีล้างราวฟ้ากับดิน ยอห์นเป็นคนกล้าหาญเด็ดเดี่ยว กล้าพูด กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นเจ้านายของตนเอง มีอิสระในการพูดและการกระทำ ไม่เคยตกเป็นเครื่องมือของใคร แม้ว่าท่านไม่มีอำนาจยิ่งใหญ่เหมือนกษัตริย์เฮโรด ความตายของท่าน ไม่ใช่เป็นความพ่ายแพ้ แต่เป็นชัยชนะยิ่งใหญ่ของคนที่มีอิสรภาพในการทำสิ่งที่ถูกต้อง
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

เสาร์ ก.พ. 04, 2012 1:00 pm

วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2555
สัปดาห์ที่ 4 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านที่ 1 พกษ 3:4-13

ครั้งหนึ่ง กษัตริย์ซาโลมอนเสด็จไปที่เมืองกิเบโอน เพื่อถวายเครื่องบูชา เพราะที่นั่นมีสักการสถานสำคัญมาก.... คืนนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่กษัตริย์ซาโลมอนในพระสุบิน ที่เมืองกิเบโอน พระเจ้าตรัสว่า “จงขอสิ่งที่ท่านอยากให้เราประทานแก่ท่าน” กษัตริย์ซาโลมอนทูลตอบว่า “พระองค์ทรงสำแดงความรักมั่นคงยิ่งใหญ่ต่อดาวิด พระราชบิดาข้ารับใช้พระองค์ เพราะพระราชบิดาทรงดำเนินชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระองค์ด้วยความซื่อสัตย์ ความชอบธรรมและด้วยใจซื่อตรง พระองค์ยังทรงรักษาความรักมั่นคงยิ่งใหญ่นี้ต่อพระราชบิดา โดยประทานให้บุตรคนหนึ่งได้สืบพระราชบัลลังก์ ดังที่เป็นอยู่ในวันนี้ บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า พระองค์ทรงตั้งข้าพเจ้าขึ้นเป็นกษัตริย์สืบต่อจากดาวิดพระราชบิดา แต่ข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ไม่รู้ว่าจะต้องปฏิบัติตนอย่างไร ผู้รับใช้ของพระองค์ต้องปกครองประชากรที่ทรงเลือกสรร ซึ่งเป็นประชากรจำนวนมากจนนับไม่ถ้วน ขอประทานความเข้าใจแก่ผู้รับใช้ของพระองค์เพื่อจะได้ปกครองประชากรของพระองค์อย่างยุติธรรม และรู้จักวินิจฉัยแยกความดีจากความชั่ว ถ้าพระองค์ไม่ประทาน ใครเล่าจะปกครองประชากรจำนวนมากเช่นนี้ของพระองค์ได้” องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยที่กษัตริย์ซาโลมอนทูลขอเช่นนี้ พระเจ้าจึงตรัสตอบว่า “เพราะท่านได้วอนขอเช่นนี้ แทนที่จะวอนขอชีวิตยืนยาว หรือความมั่งคั่ง หรือขอให้เราทำลายชีวิตของศัตรู แต่ได้ขอความเข้าใจเพื่อจะตัดสินอย่างถูกต้อง เราจะทำตามที่ท่านขอ เราจะให้ความเข้าใจ และปรีชาญาณในการตัดสินอย่างที่ผู้ใดไม่เคยมีมาก่อน หรือจะมีในภายหลัง สิ่งที่ท่านไม่ได้ขอ เราก็จะให้ด้วย คือความมั่งคั่ง และเกียรติยศอย่างที่ไม่มีกษัตริย์องค์ใดเคยมี



พระวรสาร มก 6:30-34

เวลานั้น บรรดาอัครสาวกกลับมาเฝ้าพระเยซูเจ้า และทูลรายงานให้ทรงทราบถึงทุกสิ่งที่เขาได้ทำ และได้สอน พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงมาพักผ่อนกับเรา ตามลำพังในที่สงัดระยะหนึ่งเถิด” เพราะมีคนไปมาจนเขาไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะกินอาหาร พระเยซูเจ้าจึงทรงลงเรือไปยังที่สงัดพร้อมกับบรรดาอัครสาวก ประชาชนหลายคนเห็นพระเยซูเจ้ากับบรรดาอัครสาวกแล่นเรือออกไป ก็คาดคะเนได้ว่า พระองค์จะทรงไปที่ใด จึงรีบเดินเท้าออกจากเมืองต่าง ๆ ไปที่นั่น และไปถึงก่อน เมื่อเสด็จขึ้นจากเรือ ทรงแลเห็นประชาชนมากมายก็ทรงสงสาร เพราะเขาเหล่านั้นเป็นดังฝูงแกะไม่มีคนเลี้ยง พระองค์จึงทรงเริ่มสั่งสอนเขาหลายเรื่อง

ข้อคิด

วันนี้นักบุญมาระโกได้นำเสนอภาพของพระเยซูเจ้าซึ่งสะท้อนให้เราเห็นความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเราแต่ละคนได้อย่างดี ท่านเล่าให้เราฟังว่าเมื่อพระองค์ “ทรงแลเห็นประชาชนมากมายก็ทรงสงสาร เพราะเขาเหล่านั้นเป็นดังฝูงแกะ ไม่มีคนเลี้ยง” (มก 6:34) พระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงที่ดี พระองค์ทรงดูแลเอาใจใส่และพร้อมที่จะสละทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่ชีวิตเพื่อฝูงแกะของตน เราโชคดีที่มีพระเจ้าซึ่งอยู่ใกล้ชิดเรา เข้าใจสถานการณ์ของเรา และเห็นอกเห็นใจเรา ให้เรามอบตัวเราเองไว้ในความรักของพระองค์
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

อาทิตย์ ก.พ. 05, 2012 12:53 am

วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2555
สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากหนังสือโยบ โยบ 7:1-4,6-7

โยบเริ่มพูดว่า “ชีวิตมนุษย์บนแผ่นดินเป็นการถูกเกณฑ์ทหาร ชีวิตของเขาเป็นเหมือนชีวิตของลูกจ้าง ทาสโหยหาเวลาเย็น ลูกจ้างรอคอยค่าจ้างฉันใด แต่ละเดือนในชีวิตของข้าพเจ้าก็ผ่านไปโดยไร้ความหมาย แต่ละคืนก็มีแต่ความทุกข์ฉันนั้น เมื่อนอนลง ข้าพเจ้าก็พูดว่า “ข้าพเจ้าจะลุกขึ้นเมื่อไร” แต่กลางคืนก็ยาว และข้าพเจ้าก็พลิกตัวไปมาจนรุ่งเช้า วันของข้าพเจ้าวิ่งเร็วกว่ากระสวยของช่างทอ และจบลงโดยไร้ความหวัง
ข้าแต่พระจ้า ขอทรงระลึกว่าชีวิตของข้าพเจ้าเป็นเหมือนลมวูบเดียว ตาของข้าพเจ้าจะไม่เห็นอะไรดีอีกเลย”



เพลงสดุดี สดด 14:1,2-4,5-6

ก) จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด เพราะพระองค์พระทัยดี จงร้องเพลงสดุดีถวายพระเจ้าของเรา เพราะพระองค์ทรงพระทัยอ่อนโยน เป็นการดีที่จะสรรเสริญพระองค์

ข) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ ทรงรวบรวมชนอิสราเอลที่ถูกเนรเทศให้มารวมกันทรงรักษาผู้ชอกช้ำใจ ทรงพันบาดแผลให้เขา พระองค์ทรงนับจำนวนดาวในท้องฟ้า ทรงเรียกชื่อดาวแต่ละดวง

ค) องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรานั้นยิ่งใหญ่ ทรงสรรพานุภาพ พระปรีชาญาณของพระองค์ไม่มีขอบเขต องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงค้ำจุนคนต่ำต้อย ทรงกดคนอธรรมลงกับพื้นดิน



บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่ 1 1 คร 9:16-19,22-23

พี่น้อง ในการประกาศข่าวดี ข้าพเจ้าไม่รู้สึกภูมิใจแม้แต่น้อย เพราะข้าพเจ้าจำเป็นต้องประกาศอยู่แล้ว หากข้าพเจ้าไม่ประกาศข่าวดี ข้าพเจ้าย่อมได้รับความวิบัติ เพราะถ้าข้าพเจ้าสมัครใจทำเอง ข้าพเจ้าก็จะได้รับค่าจ้าง แต่ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้สมัครใจทำ ก็หมายความว่า ข้าพเจ้าเพียงแต่ทำงานที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น ข้าพเจ้าจะได้รางวัลใดเล่า? รางวัลสำหรับข้าพเจ้าก็คือความภูมิใจที่ข้าพเจ้าประกาศข่าวดีให้ โดยไม่ใช้สิทธิต่าง ๆ จากการประกาศข่าวดีนั้น แม้ว่าข้าพเจ้าจะเป็นอิสระ ข้าพเจ้าก็ยอมเป็นทาสรับใช้ทุกคน เพื่อเอาชนะใจผู้อื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

ข้าพเจ้าทำตนเป็นผู้อ่อนแอเพื่อชนะใจผู้อ่อนแอ ข้าพเจ้าเป็นทุกอย่างสำหรับทุกคน เพื่อข้าพเจ้าจะได้รับใช้ทุกวิถีทางช่วยบางคนให้รอดพ้น ข้าพเจ้าทำทุกอย่างเพราะเห็นแก่ข่าวดี เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนรับพระพรจากข่าวดีนี้ ร่วมกับเขาเหล่านั้นด้วย



พระวรสาร มก 1:29-39

เวลานั้น ทันทีที่ออกจากศาลาธรรม พระองค์เสด็จไปในบ้านของซีโมน และอันดรูว์ พร้อมกับยากอบและยอห์น มารดาของภรรยาซีโมนกำลังนอนป่วยเป็นไข้อยู่ เขาจึงทูลพระองค์ให้ทรงทราบทันที พระองค์เสด็จเข้าไปจับมือนางพยุงให้ลุกขึ้นไข้ก็หาย นางจึงปรนนิบันติรับใช้ทุกคน

เย็นวันนั้น เมื่อดวงอาทิตย์ตกแล้ว เขาได้นำบรรดาผู้ป่วยและคนถูกปีศาจสิงมาเฝ้าพระองค์ คนทั้งเมืองได้มาออกันที่ประตู พระองค์ทรงรักษาคนที่เป็นโรคต่าง ๆ ให้หายหลายคน ทรงขับไล่ปีศาจหลายคนให้ออกไปจากร่างกาย แต่ไม่ทรงอนุญาตให้มันพูด เพราะมันรู้ว่าพระองค์เป็นใคร

วันต่อมาพระองค์ทรงลุกขึ้นตั้งแต่เช้ามืด เสด็จออกจากบ้านไปยังที่สงัด และทรงอธิษฐานภาวนาที่นั้น ซีโมน และผู้ที่อยู่กับเขาได้ตามหาพระองค์ เมื่อพบแล้ว จึงทูลพระองค์ว่า “ทุกคนกำลังแสวงหาพระองค์ พระองค์ตรัสตอบว่า “เราไปที่อื่นกันเถิด ไปตามตำบลใกล้เคียง เพื่อจะได้เทศน์สอนที่นั้นด้วย เพราะเรามาด้วยจุดประสงค์นี้” พระองค์จึงเสด็จไปเทศน์สอนตามศาลาธรรมทั่วแคว้นกาลิลี ทรงขับไล่ปีศาจด้วย



ข้อคิด

พระเจ้าทรงปรารถนากระทำกิจการต่าง ๆ ผ่านทางมนุษย์แต่ละคน เราสามารถห็นด้วยอย่างในเรื่องนี้อย่างชัดเจน ในพระเยซูเจ้าแม้ว่าพระองค์ทรงมีอำนาจที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างตามลำพัง แต่พระองค์ก็ทรงเปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามามีส่วนร่วมในพันธกิจแห่งการไถ่กู้ของพระองค์ด้วย ก่อนที่พระองค์จะทรงรักษามารดาของภรรยาซีโมน พระองค์ทรงปล่อยให้ศิษย์มาทูลพระองค์เกี่ยวกับการป่วยของนาง ทั้ง ๆ ที่พระองค์ทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างดีอยู่แล้ว บางครั้งเราอาจคิดว่าตนเองไม่เหมาะที่จะเป็นเครื่องมือของพระเจ้าเท่าใดนัก เราควรสลัดความคิดแบบนี้ออกไปจากสมองของเรา และพยายามมีส่วนร่วมในพันธกิจแห่งการไถ่กู้ของพระองค์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ตามศักยภาพของเรา
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.พ. 06, 2012 2:46 pm

วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2555
สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านที่ 1 1 พกษ 8:1-7,9-13

บรรดาผู้อาวุโส หัวหน้าเผ่าและผู้นำครอบครัวสำคัญ ๆ ของชาวอิสราเอลมาชุมนุมกันเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์ซาโลมอนที่กรุงเยรูซาเล็มตามรับสั่ง เพื่ออัญเชิญหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าขึ้นมาจากศิโยน นครของกษัตริย์ดาวิด ชายชาวอิสราเอลทุกคนมาชุมนุมเฉพาะพระพักตร์กษัตริย์ซาโลมอนในงานฉลองเดือนเอธานิม คือเดือนเจ็ด เมื่อผู้อาวุโสทุกคนอิสราเอลมาถึง บรรดาสมณะก็ยกหีบขึ้น อัญเชิญหีบขององค์พระผู้เป็นเจ้าและกระโจมนัดพบ พร้อมกับเครื่องใช้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดซึ่งอยู่ในกระโจม ชาวเลวีช่วยบรรดาสมณะในงานนี้ กษัตริย์ซาโลมอนพร้อมกับชาวอิสราเอลทั้งมวลที่มาชุมนุมกับพระองค์ต่อหน้าหีบพันธสัญญา ทรงถวายแกะและโคจำนวนมากจนนับไม่ถ้วนเป็นเครื่องบูชา บรรดาสมณะอัญเชิญหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าไปประดิษฐานไว้ใต้ปีกของเครูบในที่เฉพาะ คือพระวิหารชั้นในสุดที่เรียกว่า “สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด” เครูบกางปีกเหนือที่ตั้งของหีบ คลุมหีบและคานหามจากเบื้องบน

ในหีบพันธสัญญามีเพียงศิลาสองแผ่น ซึ่งโมเสสวางไว้ตั้งแต่เมื่ออยู่ที่ภูเขาโฮเรบ คือแผ่นศิลาจารึกพันธสัญญา ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำกับชาวอิสราเอล เมื่อเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์

เมื่อสมณะออกจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ มีเมฆเต็มพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า จนบรรดาสมณะประกอบพิธีกรรมต่อไปไม่ได้เนื่องจากเมฆ เพราะพระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เต็มพระวิหาร แล้วกษัตริย์ซาโลมอนทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า

“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์พอพระทัยประทับในเมฆมืดทึบ ข้าพเจ้าสร้างพระวิหารสง่างามถวายพระองค์ เป็นที่พำนักถาวรสำหรับพระองค์”


พระวรสาร มก 6:53-56

เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงข้ามฟากพร้อมกับบรรดาศิษย์ มาจอดเรือขึ้นฝั่งที่เมืองเยนเนซาเร็ธ เมื่อเสด็จจุ้นจากเรือ ประชาชนก็จำพระองค์ได้ทันที และคนในบริเวณ๊นั้นต่างรีบมาหา นำผู้เจ็บป่วยนอนบนแคร่มาเฝ้าพระองค์ ณ สถานที่ที่เขาได้ยินว่าพระองค์ประทับอยู่ ไมว่าพระองค์เสด็จไปที่ใด ในหมู่บ้าน ในเมือง หรือในชนบท เขาก็นำผู้เจ็บป่วยมาวางตามสถานสาธารณะ ทูลขอพระองค์ให้เขาสัมผัสเพียงชายฉลองพระองค์เท่านั้น และทุกคนที่สัมผัสแล้วก็หายจากโรคภัย


ข้อคิด

อันที่จริง ประชาชนสามารถมองเห็นพระเยซูเจ้าก่อนที่พระองค์ และบรรดาศิษย์จะขึ้นฝั่งเสียอีก การเสด็จมาเยี่ยมของรพะองค์ เป็นโอกาสดีสำหรับญาติพี่น้องที่เจ็บป่วยของพวกเขาจะได้รับการรักษา สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องทำคือ “ทูลขอพระองค์” แล้วพวกเขาจะได้รับสิ่งที่ปรารถนา บางครั้งพวกเขาไม่ได้บอกสิ่งที่พวกเขาต้องทำด้วยคำพูด แต่ความเชื่อของพวกเขาแสดงออกมาอย่างนั้น แม้ปราศจากถ้อยคำใด ๆ ก็ตาม พระเยซูเจ้าทรงสามารถมองทะลุเข้าไปในจิตใจของพวกเขา ทรงเห็นความเชื่อ และทรงรักษาพวกเขา เพราะพระองค์มักจะตรัสเสมอว่า “ลูกเอ๋ย ความเชื่อของลูกช่วยลูกให้รอดพ้นแล้ว” (มก 5:34)
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

อังคาร ก.พ. 07, 2012 10:14 am

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ 2012
สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่หนึ่ง 1 พกษ 8:22-23,27-30

กษัตริย์ซาโลมอนทรงยืนอยู่หน้าพระแท่นบูชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ต่อหน้าชาวอิสราเอลทุกคนที่มาชุมนุมกัน ทรงชูพระกรขึ้นสู่สวรรค์ อธิษฐานว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอล ไม่มีพระเจ้าอื่นใดเหมือนพระองค์ทั้งในสวรรค์เบื้องบนหรือบนแผ่นดินเบื้องล่าง พระองค์ทรงรักษาพันธสัญญาและความรักมั่นคงต่อผู้รับใช้ของพระองค์ ที่ดำเนินชีวิตเฉพาะพระพักตร์อย่างสุดจิตสุดใจ
แต่พระเจ้าทรงพำนักบนแผ่นดินได้จริงหรือ แม้สวรรค์ชั้นสูงสุดและจักรวาลทั้งปวงยังไม่อาจรองรับพระองค์ได้ แล้วพระวิหารที่ข้าพเจ้าได้สร้างนี้จะรองรับพระองค์ได้อย่างไร ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้า โปรดทรงรับคำภาวนาและคำวอนขอของผู้รับใช้ของพระองค์ โปรดทรงฟังเสียงร้องและคำอธิษฐานภาวนาซึ่งผู้รับใช้ของพระองค์กราบทูลเฉพาะพระพักตร์ในวันนี้เถิด ขอพระองค์ทอดพระเนตรดูแลพระวิหารนี้ทั้งกลางวันและกลางคืน พระองค์ตรัสถึงพระวิหารนี้ว่า “นามของเราจะอยู่ที่นั่น” โปรดทรงฟังคำอธิษฐานภาวนาที่ผู้รับใช้ของพระองค์กราบทูลในสถานที่แห่งนี้ด้วยเถิด
โปรดทรงฟังคำวอนขอของผู้รับใช้และของอิสราเอลประชากรของพระองค์ เมื่อเขาอธิษฐานในสถานที่แห่งนี้ โปรดทรงฟังจากสวรรค์ที่พำนักของพระองค์ โปรดทรงฟังและประทานอภัยด้วยเถิด


พระวรสาร มก 7:1-13

เวลานั้น ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์บางคนจากกรุงเยรูซาเล็มมาเฝ้าพระองค์พร้อมกัน เขาสังเกตว่าศิษย์บางคนของพระองค์กินอาหารด้วยมือที่ไม่สะอาด คือไม่ได้ล้างมือก่อน เพราะชาวฟาริสีและชาวยิวโดยทั่วไปย่อมถือขนบธรรมเนียมของบรรพบุรุษ เขาไม่กินอาหารโดยมิได้ล้างมือตามพิธีก่อน เมื่อกลับจากตลาด เขาจะไม่กินอาหารเว้นแต่จะได้ทำพิธีชำระตัวก่อน เขายังถือขนบธรรมเนียมอื่น ๆ อีกมาก เช่น การล้างถ้วย จานชามและภาชนะทองเหลือง ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์จึงทูลถามพระองค์ว่า “ทำไมศิษย์ของท่านไม่ปฏิบัติตามขนมธรรมเนียมของบรรพบุรุษ และทำไมเขาจึงกินอาหารด้วยมือที่ไม่สะอาดเล่า” พระองค์ตรัสตอบว่า “ประกาศกอิสยาห์ได้พูดอย่างถูกต้องถึงท่าน คนหน้าซื่อใจคด ดังที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่าประชาชนเหล่านี้ให้เกียรติเราแต่ปากแต่ใจของเขาอยู่ห่างไกลจากเรา เขานมัสการเราอย่างไร้ความหมาย เขาสั่งสอนบัญญัติของมนุษย์เหมือนกับเป็นสัจธรรม “ท่านทั้งหลายละเลยบทบัญญัติของพระเจ้ากลับไปถือขนบธรรมเนียมของมนุษย์” แล้วพระองค์ทรงเสริมว่า “ท่านช่างชำนาญในการละเลยบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อถือขนบธรรมเนียมของท่านเองเสียจริง ๆ เช่นโมเสสกล่าวว่า จงนับถือบิดามารดา และใครด่าบิดาหรือมารดา จะต้องรับโทษถึงตาย แต่ท่านกลับสอนว่า ‘ถ้าใครคนหนึ่งพูดกับบิดาหรือมารดาว่า ทรัพย์สินที่ลูกนำมาช่วยเหลือพ่อแม่ได้นั้นเป็นคอร์บัน คือของถวายแด่พระเจ้า’ ท่านก็บอกว่าเขาไม่ต้องช่วยเหลือบิดามารดาอีกต่อไป ท่านใช้ขนบธรรมเนียมที่ท่านสอนต่อ ๆ กันมาทำให้พระวาจาของพระเจ้าเป็นโมฆะ ท่านยังปฏิบัติเช่นนี้อีกมากมาย”


ข้อคิด

พระเยซูเจ้าทรงเตือนเราถึงอันตรายของการละเลยบทบัญญัติของพระเจ้า เราเห็นผลที่ตามมาของการละเลยคำเตือนนี้ซึ่งแสดงออกมาในรูปของความแตกแยกในครอบครัว การเป็นทาสในรูปแบบต่างๆ ความอดอยากหิวโหย การฆาตกรรมที่นับวันจะรุนแรงมากยิ่งขึ้น การใส่ใจและรับฟังพระเยซูเจ้าเป็นการเปิดใจของเราต่อคำสั่งสอน ปล่อยให้ปรีชาญาณของพระเจ้านำทางชีวิตของเรา โดยวิถีทางนี้ เรามั่นใจได้ว่าเราเลือกในสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นทางที่จะนำพระพรของพระเจ้ามาสู่ตัวเราและทุกคนที่อยู่รอบข้างเรา เราจะมีชีวิตที่สงบสุขเพราะพระเยซูเจ้าทรงอยู่กับเราตลอดเวลา
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พุธ ก.พ. 08, 2012 2:02 pm

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ 2012
น.เยโรม เอมีลีอานี พระสงฆ์

สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่หนึ่ง 1 พกษ 10:1-10

พระราชินีแห่งเชบาทรงได้ยินกิตติศัพท์ของกษัตริย์ซาโลมอน จึงเสด็จมาทดสอบพระองค์ด้วยปริศนายาก ๆ พระนางเสด็จมาถึงกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับข้าราชบริพารจำนวนมาก มีฝูงอูฐบรรทุกเครื่องเทศ ทองคำและเพชรพลอยจำนวนมาก เมื่อทรงพบกษัตริย์ซาโลมอน พระนางทรงทูลถามปริศนาซึ่งอยู่ในพระทัย กษัตริย์ซาโลมอนทรงตอบคำถามทุกข้อของพระนาง ไม่มีคำถามใดที่ไม่ทรงทราบและทรงอธิบายไม่ได้ เมื่อพระราชินีแห่งเชบาทรงเห็นพระปรีชาญาณของกษัตริย์ซาโลมอน ทรงเห็นพระราชวังที่ทรงสร้าง พระกระยาหารที่โต๊ะเสวย ที่พักของบรรดาข้าราชบริพาร การจัดระเบียบและเครื่องแต่งกายของข้าราชการ บรรดามหาดเล็กและเครื่องเผาบูชาที่ทรงถวายในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระนางทรงประหลาดพระทัยอย่างยิ่ง ทูลกษัตริย์ว่า “ที่หม่อมฉันได้ยินในแผ่นดินของหม่อมฉันถึงเรื่องพระองค์ และพระปรีชาญาณของพระองค์นั้นก็เป็นความจริง หม่อมฉันไม่เชื่อจนกระทั่งได้มาเห็นด้วยตาตนเอง ที่ได้ยินมานั้นก็ไม่ได้ครึ่งหนึ่งของที่เห็นนี้ พระปรีชาญาณและความมั่งคั่งของพระองค์นั้นมากยิ่งกว่าที่เขาเล่าลือกันเสียอีก บรรดามเหสีของพระองค์ช่างมีความสุขเหลือเกิน บรรดาข้าราชบริพารที่อยู่เฉพาะพระพักตร์และฟังพระดำรัสที่ชาญฉลาดของพระองค์อยู่เสมอ ช่างมีความสุขจริง ๆ ขอถวายพระพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้าโปรดปรานพระองค์ ทรงแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรักอิสราเอลตลอดไป จึงทรงแต่งตั้งพระองค์เพื่อทรงปกครองด้วยพระวินิจฉัยและด้วยความเที่ยงธรรม” พระราชินีแห่งเชบาทรงถวายทองคำหนักมากกว่าสี่ตัน กับเครื่องเทศและเพชรพลอยจำนวนมากแด่กษัตริย์ซาโลมอน ไม่เคยมีใครนำเครื่องเทศจำนวนมากเท่าที่พระราชินีแห่งเชบาทรงถวายแด่กษัตริย์ซาโลมอน


พระวรสาร มก 7:14-23

เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเรียกประชาชนเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง ตรัสว่า “ทุกคนจงฟังและเข้าใจเถิด ไม่มีสิ่งใดเลยจากภายนอกของมนุษย์ทำให้เขามีมลทินได้ แต่สิ่งที่ออกมาจากภายในของมนุษย์นั้นแหละทำให้เขามีมลทิน ใครมีหูสำหรับฟัง ก็จงฟังเถิด”เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในบ้าน ห่างจากประชาชน บรรดาศิษย์จึงทูลถามพระองค์ถึงข้อความที่เป็นปริศนานั้น พระองค์ตรัสถามเขาว่า “ท่านก็ไม่มีปัญญาด้วยหรือ ท่านไม่เข้าใจหรือว่าสิ่งต่าง ๆ จากภายนอกที่เข้าไปในมนุษย์นั้น ทำให้เขามีมลทินไม่ได้ เพราะมันไม่ได้เข้าไปในใจ แต่ลงไปในท้อง แล้วออกไปจากร่างกาย” ดังนี้ ทรงประกาศว่าอาหารทุกชนิดไม่เป็นมลทิน พระองค์ยังตรัสอีกว่า “สิ่งที่ออกจากภายในมนุษย์นั้นแหละทำให้เขามีมลทิน จากภายในคือจากใจมนุษย์นั้นเป็นที่มาของความคิดชั่วร้าย การประพฤติผิดทางเพศ การลักขโมย การฆ่าคน การมีชู้ ความโลภ การทำร้าย การฉ้อโกง การสำส่อน ความอิจฉา การใส่ร้าย ความหยิ่งยโส ความโง่เขลา สิ่งชั่วร้ายทั้งหมดนี้ออกมาจากภายใน และทำให้มนุษย์มีมลทิน”


ข้อคิด

การสัมผัสวัตถุสิ่งของหรือการรับประทานอาหารบางอย่างไม่ได้ทำให้เรามีมลทิน บาปต่างหากที่ทำให้เรามีมลทิน บาปออกมาจากน้ำใจอิสระซึ่งอยู่ภายใน ไม่ใช่ออกมาจากวัตถุสิ่งของหรืออาหารที่อยู่ภายนอกตัวเรา การสัมผัสหรือการรับประทานที่ก่อให้เกิดมลทินทางพิธีกรรมสามารถขจัดออกไปด้วยการถวายเครื่องบูชาชดเชยหรือการชำระล้าง แต่บาปสิ่งเป็นเหตุของมลทินในวิญญาณของเราสามารถถูกขจัดออกไปโดยอำนาจของพระเจ้าเท่านั้นพระเยซูเจ้าทรงมอบอำนาจนี้ให้กับบรรดาอัครสาวกของพระองค์ซึ่งเราสามารถมองเห็นได้ในศีลอภัยบาป เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่เรามีรับศีลอภัยบาป ให้เราตระหนักถึงพระพรที่ยิ่งใหญ่อันนี้ของพระเจ้า
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พฤหัสฯ. ก.พ. 09, 2012 2:21 pm

พฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ 2012
สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่หนึ่ง 1 พกษ 11:4-13

เมื่อกษัตริย์ซาโลมอนทรงพระชราแล้ว หญิงเหล่านี้ทำให้พระทัยของพระองค์หันเหไปนมัสการเทพเจ้าของชนต่างชาติ พระทัยของพระองค์ไม่ซื่อสัตย์ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของพระองค์ ต่างจากพระทัยของกษัตริย์ดาวิดพระราชบิดา กษัตริย์ซาโลมอนนมัสการเทพีอาเชราห์ของชาวไซดอน และเทพเจ้ามิลโคมที่น่าสะอิดสะเอียนของชาวอัมโมน กษัตริย์ซาโลมอนทรงกระทำสิ่งชั่วร้ายเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ซื่อสัตย์ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสมบูรณ์ ต่างจากกษัตริย์ดาวิดพระราชบิดา บนภูเขาทางตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม กษัตริย์ซาโลมอนทรงสร้างสักการสถานบนที่สูงถวายแด่เทพเจ้าเคโมชที่น่าสะอิดสะเอียนของชาวโมอับ และทรงสร้างสักการสถานถวายแด่เทพเจ้ามิลโคมที่น่าสะอิดสะเอียนของชาวอัมโมน พระองค์ยังทรงสร้างสักการสถานให้หญิงต่างชาติทุกคนของพระองค์เผากำยานและถวายบูชาแด่เทพเจ้าของตน
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธต่อกษัตริย์ซาโลมอน เพราะพระทัยของกษัตริย์หันเหไปจากองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ทรงสำแดงพระองค์แก่กษัตริย์ และทรงบัญชามิให้นมัสการเทพเจ้า แต่กษัตริย์มิได้ทรงปฏิบัติตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสแก่กษัตริย์ซาโลมอนว่า “ท่านได้ปฏิบัติเช่นนี้ ไม่ได้รักษาพันธสัญญาและข้อกำหนดซึ่งเราสั่งท่านไว้ เราจึงจะฉีกอาณาจักรไปจากท่านและให้แก่ผู้รับใช้คนหนึ่งของท่าน แต่เพราะเห็นแก่ดาวิดบิดาของท่าน เราจะไม่ทำดังนี้ในชีวิตของท่าน แต่เราจะเอาอาณาจักรไปจากมือบุตรของท่าน ถึงกระนั้น เราจะไม่เอาอาณาจักรทั้งหมดไปจากเขา แต่จะเหลือเผ่าหนึ่งไว้ให้เขา เพราะเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา และเพราะเห็นแก่กรุงเยรูซาเล็มซึ่งเราเลือกไว้


พระวรสาร มก 7:24-30

เวลานั้น พระองค์เสด็จออกจากที่นั่น เข้าไปในเขตเมืองไทระและเสด็จเข้าในบ้านหลังหนึ่ง ไม่ทรงต้องการให้ผู้ใดรู้ แต่ทรงซ่อนพระองค์ไม่ได้ ทันใดนั้น หญิงคนหนึ่งมีบุตรหญิงถูกปีศาจสิงได้ยินพูดถึงพระองค์ ก็มากราบพระบาท นางไม่ใช่ชาวยิว เป็นชาวซีโรฟีนีเซียโดยกำเนิด นางทูลอ้อนวอนพระองค์ให้ทรงขับไล่ปีศาจออกจากบุตรหญิง พระองค์ตรัสกับนางว่า “ให้ลูก ๆ กินอิ่มเสียก่อน เพราะไม่สมควรที่จะเอาอาหารของลูกมาโยนให้ลูกสุนัขกิน” หญิงนั้นทูลตอบว่า “ถูกแล้ว พระเจ้าข้า แต่ลูกสุนัขที่อยู่ใต้โต๊ะก็ยังได้กินเศษอาหารของลูก ๆ” พระองค์จึงตรัสกับนางว่า “เพราะถ้อยคำนี้ จงไปเถิด ปีศาจออกจากลูกสาวของเธอแล้ว” เมื่อกลับมาถึงบ้าน นางก็พบลูกนอนอยู่บนเตียง ปีศาจออกไปแล้ว


ข้อคิด

พระเยซูเจ้าทรงทดสอบความเชื่อของหญิงชาวซีโรฟีนีเซีย เพื่อสอนเราเกี่ยวกับอานุภาพของความเชื่อหลายครั้งก่อนที่พระองค์จะทรงทำอัศจรรย์ พระองค์มักจะเรียกร้องคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้แสดงความเชื่อของเขาออกมา หญิงชาวซีโรฟีนีเซียคนนี้ได้แสดงความเชื่อและความเพียรทนของนางออกมาเมื่อนางบอกว่า “ถูกแล้ว พระเจ้าข้า แต่ลูกสุนัขที่อยู่ใต้โต๊ะก็ยังได้กินเศษอาหารของลูกๆ” (มก 7:28) ความสุภาพถ่อมตนและความไว้วางใจที่นางมีต่อพระเยซูเจ้านั้นยิ่งใหญ่มากจนทำให้พระองค์ไม่อาจเพิกเฉยต่อความต้องการของนางได้ นี่แหละคือสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงปรารถนาให้ศิษย์ทุกคนของพระองค์มี
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

ศุกร์ ก.พ. 10, 2012 1:53 pm

วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2012
ระลึกถึง น.สกอลัสติกา พรหมจารี

สัปดาห์ที่ 5 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่หนึ่ง 1 พกษ 11:29-32 และ 12:19

วันหนึ่ง เยโรโบอัมเดินทางออกจากกรุงเยรูซาเล็ม ประกาศกคนหนึ่งชื่ออาหิยาห์ชาวชิโลห์มาพบเขากลางทาง มีเพียงเขาสองคนในทุ่งนา อาหิยาห์สวมเสื้อคลุมตัวใหม่ เขาถอดเสื้อคลุมตัวนั้นออกมาฉีกเป็นสิบสองชิ้น แล้วพูดกับเยโรโบอัมว่า “ท่านจงเอาไปสิบชิ้นเถิด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า ‘เราจะฉีกอาณาจักรไปจากมือของซาโลมอนแล้วมอบให้ท่านสิบเผ่า เขาจะมีเหลือเพียงเผ่าเดียว เพราะเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของเรา และเพราะเห็นแก่กรุงเยรูซาเล็มเมืองที่เราเลือกไว้เป็นของเราจากทุกเผ่าของอิสราเอลตั้งแต่นั้นมาอิสราเอลเป็นกบฏต่อราชวงศ์ดาวิดจนถึงวันนี้



พระวรสาร มก 7:31-37

เวลานั้น พระองค์เสด็จออกจากเขตเมืองไทระผ่านเมืองไซดอน ไปยังทะเลสาบกาลิลีกลางดินแดนทศบุรี มีผู้นำคนใบ้หูหนวกคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ ทูลขอร้องให้พระองค์ทรงปกพระหัตถ์ พระองค์ทรงแยกคนใบ้หูหนวกคนนั้นไปจากกลุ่มชน ทรงใช้นิ้วพระหัตถ์ยอนหูของเขา ทรงใช้พระเขฬะแตะลิ้นของเขา ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นเบื้องบน ถอนพระทัย แล้วตรัสว่า “เอฟฟาธา” แปลว่า “จงเปิดเถิด” ทันใดนั้นหูของเขากลับได้ยิน สิ่งที่ขัดลิ้นอยู่ก็หลุด เขาพูดได้ชัดเจน พระเยซูเจ้าทรงห้ามประชาชนเหล่านั้นมิให้พูดเรื่องนี้กับผู้ใด แต่ยิ่งห้าม ก็ยิ่งเล่าลือกันมากขึ้น ต่างก็ประหลาดใจมาก กล่าวว่า “คนคนนี้ทำสิ่งใดดีทั้งนั้น เขาทำให้คนหูหนวกกลับได้ยิน และคนใบ้กลับพูดได้”



ข้อคิด

ชายที่มีคนนำมาเฝ้าพระเยซูเจ้ามีปัญหาสองอย่างคือ เขาไม่สามารถได้ยินและไม่สามารถพูดได้ บางทีเขาไม่สามารถพูดได้เพราะเขาสามารถได้ยินนั่นเอง พระเยซูเจ้าทรงขจัดปัญหาทั้งสองอย่างของเขาให้หมดสิ้นไป จริงอยู่เราสามารถได้ยิน แต่เราได้ยินอะไรบ้าง? การได้ยินของเรานำไปสู่การสรรเสริญและขอบพระคุณพระเจ้าหรือไม่? เราได้ยินพระวาจาของพระเจ้าหรือสิ่งที่จะช่วยให้เราได้รับชีวิตนิรันดรแล้วหรือยัง? ความสามารถในการได้ยินและในการพูดถือว่าเป็นพระพรที่ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าประทานให้แก่เราแต่ละคน เราใช้พระพรเหล่านี้เพื่อรู้จัก รัก และรับใช้พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ของเราแล้วหรือยัง?
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

อาทิตย์ ก.พ. 12, 2012 11:03 pm

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2012
สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากหนังสือเลวีนิติ ลนต 13:1-2,44-46

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่โมเสสและอาโรนว่า “ถ้าผู้ใดมีแผลที่ผิวหนัง เป็นฝี เป็นผื่น หรือพุพอง ซึ่งอาจลามเป็นโรคผิวหนังติดต่อได้ ให้นำผู้นั้นไปหาอาโรน หรือสมณะอื่นผู้สืบเชื้อสายจากเขา
สมณะจะตรวจดูและถ้าเห็นว่ามีจุดแดงช้ำบนศีรษะที่ล้านแล้ว ลักษณะคล้ายกับโรคผิวหนังที่ติดต่อได้บนส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ผู้นั้นก็เป็นโรคผิวหนังติดต่อได้ มีมลทิน สมณะจะประกาศว่าเขามีมลทิน เพราะมีโรคผิวหนังติดต่อได้บนศีรษะ
ผู้ใดเป็นโรคผิวหนังติดต่อได้ ต้องสวมเสื้อผ้าขาดไม่โพกศีรษะและปิดหน้าส่วนล่าง ร้องตะโกนว่า “มีมลทิน มีมลทิน” เขาจะมีมลทินตลอด เวลาที่เป็นโรคผิวหนังติดต่อได้ และเพราะมีมลทิน เขาจะต้องแยกไปอยู่นอกค่าย



บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 10:31-11:1

พี่น้อง เมื่อท่านจะกินจะดื่มหรือจะทำอะไรก็ตาม จงกระทำเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าเถิด อย่าทำสิ่งใดให้เป็นที่ขุ่นเคืองใจแก่ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือชาวกรีก หรือชุมชนของพระเจ้า ข้าพเจ้าได้พยายามกระทำทุกสิ่งเพื่อเป็นที่พอใจของทุกคน มิได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน แต่เห็นแก่ประโยชน์ของทุกคน เพื่อเขาจะได้รับความรอดพ้น จงยึดถือข้าพเจ้าเป็นแบบอย่างเหมือนกับที่ข้าพเจ้าได้ยึดถือพระคริสตเจ้าเป็นแบบอย่างเถิด


พระวรสาร มก 1:40-45

เวลานั้น ผู้เป็นโรคเรื้อนคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ คุกเข่าอ้อนวอนว่า ‘ถ้าพระองค์พอพระทัย พระองค์ย่อมสามารถรักษาข้าพเจ้าให้หายได้’ พระเยซูเจ้าทรงสงสารตื้นตันพระทัย จึงทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขา ตรัสว่า ‘เราพอใจ จงหายเถิด! ทันใดนั้น โรคเรื้อนก็หายไป เขากลับเป็นปกติ พระเยซูเจ้าทรงให้เขาไปทันที ทรงกำชับอย่างแข็งขันว่า ‘ระวัง อย่าบอกอะไรให้ใครทราบเลย แต่จงไปแสดงตนแก่สมณะ และถวายเครื่องบูชาตามที่โมเสสกำหนด เพื่อเป็นหลักฐานแก่คนทั้งหลายว่าท่านหายจากโรคแล้ว’ แต่เมื่อชายผู้นั้นจากไป เขาก็ป่าวประกาศกระจายข่าวไปทั่ว จนพระองค์ไม่อาจเสด็จเข้าไปในเมืองได้อย่างเปิดเผยอีกต่อไป พระองค์จึงประทับอยู่นอกเมืองในที่เปลี่ยว ถึงกระนั้น ประชาชนจากทุกทิศก็ยังมาเฝ้าพระองค์


ข้อคิด

พระเยซูเจ้าไม่ทรงเพียงต้อนรับคนโรคเรื้อนเท่านั้น แต่ทรงยื่นพระหัตถ์ไปสัมผัสตัวเขาอีกด้วย พระองค์ไม่ได้ทรงรู้สึกรังเกียจเขาและไม่ได้ทรงรีบหนีไปไกลๆ เหมือนคนอื่น ยิ่งกว่านั้น พระองค์ยังทรงใช้อำนาจแห่งรักซึ่งสูงส่งกว่าอำนาจกฎหมายใดๆ ของชาวยิวรักษาเขาให้หายอีกด้วย กิจการของพระองค์ชี้ให้เราเห็นว่าความรักมีค่าสูงส่งกว่ากฎเกณฑ์ใดๆ ทั้งสิ้น ปัจจุบันโรคที่กำลังแพร่หลายไม่ใช่โรคเรื้อน แต่โรคแห่งความเกลียดชังและโรคแห่งการปฏิเสธเพื่อนมนุษย์คนอื่น ศิษย์ที่ดีของพระเยซูเจ้าต้องไม่มีท่าทีต่อเพื่อนมนุษย์คนอื่นแตกต่างไปจากท่าทีของพระเยซูเจ้า พระอาจารย์ของตน
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.พ. 13, 2012 1:22 am

วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2012
สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากจดหมายนักบุญยากอบอัครสาวก ยก 1:1-11

ยากอบ ผู้รับใช้ของพระเจ้าและของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ขอส่งความคิดถึงตระกูลทั้งสิบสองตระกูลที่กระจายอยู่ทั่วโลก
พี่น้องทั้งหลาย จงคิดว่าเป็นที่น่ายินดีเมื่อประสบความยากลำบากต่าง ๆ เพราะท่านรู้อยู่แล้วว่าการที่ความเชื่อของท่านถูกทดสอบก่อให้เกิดความพากเพียร จงพากเพียรให้ถึงที่สุด เพื่อท่านจะได้เป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ ไม่มีที่ตำหนิ และไม่มีสิ่งใดบกพร่อง
ท่านใดขาดปรีชาญาณ จงขอปรีชาญาณนั้นจากพระเจ้าเถิด พระองค์ประทานให้ทุกคนด้วยพระทัยกว้าง โดยไม่ทรงตำหนิเลย แล้วเขาจะได้รับปรีชาญาณตามที่ขอ6แต่เขาต้องขอด้วยความเชื่อ โดยไม่สงสัย เพราะผู้ที่สงสัยนั้นเปรียบเสมือนคลื่นในทะเลที่ถูกลมพัดซัดไปมา คนเช่นนี้จะไม่ได้รับอะไรจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาเป็นคนจิตใจโลเลไม่มั่นคงในกิจการทั้งหลายของเขา
พี่น้องผู้ต่ำต้อยจงภูมิใจในตำแหน่งสูงของตน ส่วนคนมั่งมีก็จงภูมิใจในสภาพต่ำต้อยของตน เพราะเขาจะต้องล่วงพ้นไปดุจดอกหญ้า เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแดดร้อนระอุแล้ว หญ้าก็เหี่ยวแห้งไป ดอกหญ้าจะร่วงโรยและความงดงามจะสูญไป คนมั่งมีจะร่วงโรยไปขณะที่กำลังทำธุรกิจของตนเช่นเดียวกัน


พระวรสาร มก 8:11-13

เวลานั้น ชาวฟาริสีเข้ามาโต้เถียงกับพระองค์ ขอให้ทรงแสดงเครื่องหมายจากฟ้าเพื่อทดสอบ พระองค์ถอนพระทัยลึก ๆ ตรัสว่า “คนยุคนี้แสวงหาเครื่องหมายอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่ออะไร เราบอกความจริงกับท่านว่า คนยุคนี้จะไม่ได้รับเครื่องหมายอย่างใดเลย” แล้วพระองค์ทรงแยกจากคนเหล่านั้น เสด็จลงเรือข้ามไปอีกฟากหนึ่ง


ข้อคิด

ชาวฟาริสีขอเครื่องหมาย แต่พระเยซูเจ้าทรงปฏิเสธที่จะให้ตามที่พวกเขาขอ เครื่องหมายดังกล่าวไม่ได้หมายถึงอัศจรรย์ที่พิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า แต่เป็นการทำนายเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อันที่จริง เมื่อหกร้อยกว่าปีก่อนประกาศกอิสยาห์ได้ให้เครื่องหมายว่าหญิงพรหมจารีจะให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง หนังสือพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมเต็มไปด้วยเครื่องหมายเกี่ยวกับพระคริสตเจ้าสำหรับประชาชนที่ต้องการอ่านและเข้าใจเกี่ยวกับพระองค์ แต่ประชาชนเหล่านี้ต้องการเครื่องหมายของพวกเขาเอง ไม่ใช่เครื่องหมายของพระเจ้า ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาไม่รู้จักพระองค์
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พุธ ก.พ. 15, 2012 12:18 pm

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ 2012
ระลึกถึง น.ซีริล นักพรต และ น.เมโทดิโอ พระสังฆราช

สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากจดหมายนักบุญยากอบอัครสาวก ยก 1:12-18

ผู้ที่มีมานะอดทนต่อการถูกทดลองย่อมเป็นสุข เพราะเมื่อเขาผ่านการทดลองนั้น เขาจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิตซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงสัญญาจะประทานให้ผู้ที่รักพระองค์
อย่าให้ผู้ใดที่ถูกทดลอง พูดว่า “ข้าพเจ้าถูกพระเจ้าทดลอง” เพราะความชั่วไม่อาจทดลองพระเจ้าได้ และพระองค์ไม่ทรงทดลองผู้ใด แต่เราทุกคนถูกกิเลสตัณหาทดลอง ดึงดูด และหลอกลวง กิเลสตัณหาทำให้เกิดบาปและเมื่อมีบาปมาก บาปก็จะทำให้เกิดความตาย
พี่น้องที่รัก อย่าหลงผิด ของประทานทุกอย่างที่ดีและบริบูรณ์ย่อมมาจากเบื้องบน ลงมาจากพระบิดาผู้ทรงสร้างความสว่าง พระองค์ไม่ทรงเปลี่ยนแปลง ไม่ทรงมีแม้แต่เงาแห่งความแปรปรวนใด ๆพระองค์พอพระทัยให้เราบังเกิดโดยพระวาจาแห่งความจริง เพื่อให้เราเป็นดุจผลแรกในสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง


พระวรสาร มก 8:14-21

เวลานั้น บรรดาศิษย์ลืมนำขนมปังไปด้วย และในเรือของเขามีขนมปังเหลือเพียงก้อนเดียว พระองค์ทรงกำชับเขาว่า “จงระวังให้ดี จงระวังเชื้อแป้งของชาวฟาริสี และเชื้อแป้งของกษัตริย์เฮโรด” บรรดาศิษย์จึงพูดกันว่า “นี่เป็นเพราะเราไม่มีขนมปัง” พระเยซูเจ้าทรงทราบ จึงตรัสว่า “ทำไมท่านจึงถกเถียงกันเรื่องไม่มีขนมปัง ท่านยังไม่รู้ไม่เข้าใจอีกหรือ ท่านยังมีใจแข็งกระด้างกันอยู่อีกหรือ มีตา แต่ไม่เห็น มีหู แต่ไม่ได้ยินหรือ ท่านจำไม่ได้หรือว่า เมื่อเราบิขนมปังห้าก้อนเลี้ยงคนห้าพันคน ท่านเก็บเศษที่เหลือได้เต็มกี่กระบุง” เขาตอบว่า “สิบสองกระบุง” “เมื่อเราบิขนมปังเจ็ดก้อนเลี้ยงคนสี่พันคน ท่านเก็บเศษที่เหลือได้เต็มกี่ตะกร้า” เขาทูลตอบว่า “เจ็ดตะกร้า” แล้วพระองค์ตรัสถามเขาว่า “ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ”



ข้อคิด

บรรดาศิษย์ไม่เข้าใจสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงหมายถึงเมื่อพระองค์ตรัสถึง “เชื้อแป้ง” พวกเขาคิดว่าพระองค์ทรงตำหนิพวกเขาสำหรับการลืมนำขนมปังติดตัวไปด้วย แต่พระองค์ทรงเตือนพวกเขาว่าสิ่งที่พวกเขากำลังคิดนั้นผิด พระองค์ทรงสามารถทวีขนมปังเมื่อใดก็ได้ พระองค์ทรงกำลังพูดถึงแนวทางปฏิบัติที่ผิดพลาดของชาวฟาริสีต่างหากเหมือนบรรดาศิษย์ของพระเยซูเจ้า หลายครั้งเราอาจไม่เข้าใจพระวาจาของพระเจ้าในพระคัมภีร์เพราะเราให้เวลากับพระวาจาเหล่านั้นน้อยเกินไป เราต้องไม่ลืมว่าพระคัมภีร์เป็นหนังสือที่เราต้องอ่าน ภาวนา ศึกษา และดำเนินชีวิตตามสิ่งที่เราเข้าใจด้วย
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พุธ ก.พ. 15, 2012 12:19 pm

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ 2012
สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากจดหมายนักบุญยากอบอัครสาวก ยก 1:19-27

พี่น้องที่รัก พึงตระหนักว่า ทุกคนจงฉับไวที่จะฟัง แต่ช้าที่จะพูด และช้าที่จะโกรธ คนที่โกรธย่อมไม่ปฏิบัติตนชอบธรรมตามพระประสงค์ของพระเจ้า ดังนั้น จงละทิ้งความโสมมทั้งหลาย และความชั่วร้ายที่ยังตกค้างอยู่ จงน้อมรับพระวาจาที่ทรงปลูกฝังไว้ในท่าน พระวาจานั้นช่วยวิญญาณท่านให้รอดพ้นได้
จงปฏิบัติตามพระวาจา มิใช่เพียงแต่ฟัง ซึ่งเท่ากับหลอกตนเอง เพราะถ้าผู้ใดฟังพระวาจาแล้วไม่ปฏิบัติตาม ก็เหมือนคนที่มองใบหน้าของตนในกระจกเงา เมื่อมองตนเอง และจากไปแล้ว ก็ลืมทันทีว่าตนเป็นอย่างไร ส่วนผู้ที่พิจารณาบัญญัติแห่งอิสรภาพ และยึดมั่นในบัญญัตินั้น มิใช่ฟังแล้วลืม แต่ฟังแล้วนำไปปฏิบัติตาม ผู้นั้นย่อมประสบความสุขในการปฏิบัตินั้น
ผู้ใดคิดว่าตนเป็นคนเลื่อมใสศรัทธาแต่ไม่ควบคุมลิ้นของตน ผู้นั้นย่อม หลอกลวงตนเอง ความเลื่อมใสศรัทธาของเขาย่อมไร้ค่า ความเลื่อมใสศรัทธาบริสุทธิ์และไร้มลทินเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าพระบิดา คือการเยี่ยมเด็กกำพร้าและหญิงม่ายที่มีความทุกข์ร้อน และการรักษาตนให้พ้นจากมลทินของโลก


พระวรสาร มก 8:22-26

เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาพร้อมกับบรรดาศิษย์ถึงเมืองเบธไซดา มีผู้นำคนตาบอดคนหนึ่งมาขอให้พระองค์ทรงสัมผัส พระองค์ทรงจูงคนตาบอดออกไปนอกหมู่บ้าน ทรงใช้พระเขฬะแตะตาของเขา ทรงปกพระหัตถ์เหนือเขา ตรัสถามเขาว่า “ท่านเห็นอะไรไหม” เขาเงยหน้าขึ้น ทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นผู้คนเหมือนกับต้นไม้เดินไปเดินมา” พระองค์ทรงวางพระหัตถ์แตะตาของเขาอีก เขาก็เห็นชัด และหายเป็นปกติ มองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน พระเยซูเจ้าทรงส่งเขากลับบ้าน ตรัสว่า “อย่าเข้าไปในหมู่บ้าน”


ข้อคิด

คนตาบอดเป็นบุคคลที่น่าสงสารเพราะเขาไม่สามารถมองเห็นสิ่งสร้างต่างๆ ที่สวยงามของพระเจ้าและผลงานสร้างสรรค์ที่งดงามซึ่งเกิดมาจากจินตนาการของมนุษย์ได้ แต่คนตาดีที่ไม่สามารถมองเห็นความดีและความรักของพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ที่อยู่รอบข้างเขาเป็นคนที่น่าสงสารมากกว่า เพราะเขามีใจที่มืดบอด พระเจ้าเพียงองค์เท่านั้นสามารถรักษาความมือบอดฝ่ายจิตของเราได้ขอพระเยซูเจ้าได้เปิดตาใจของเราให้สามารถมองเห็นความต้องการของเพื่อนพี่น้องที่อยู่รอบข้างเรา มองเห็นความดีของพวกเขา แล้วเราจะพบว่าโลกของเราสวยงามกว่าที่เราคิดเสียอีก
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พฤหัสฯ. ก.พ. 16, 2012 2:44 pm

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ 2012
สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากจดหมายนักบุญยากอบอัครสาวก ยก 2:1-9

พี่น้องทั้งหลาย อย่าให้ความเชื่อของท่านในองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา คือพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ มีความลำเอียงปนอยู่ด้วย สมมติว่า ใครคนหนึ่งสวมแหวนทองคำและเสื้อผ้าหรูหราเข้ามาในที่ประชุมของท่าน และขณะเดียวกันมีคนจนอีกคนหนึ่งแต่งตัวมอซอเข้ามา ท่านเข้าไปต้อนรับคนแต่งตัวหรูหราและบอกเขาว่า “เชิญนั่งตามสบายที่นี่เถิด” ส่วนคนจนนั้นท่านบอกเขาว่า “จงยืนที่นั่น” หรือ “จงนั่งข้าง ๆ ที่วางเท้าของฉันซิ” ท่านก็เป็นผู้เลือกชั้นวรรณะ และตัดสินโดยมาตรการเลวร้ายมิใช่หรือ
พี่น้องที่รักทั้งหลาย จงฟังเถิด พระเจ้าทรงเลือกผู้ที่โลกตัดสินว่ายากจนเพื่อให้เขามั่งมีในความเชื่อ และเป็นทายาทรับมรดกพระอาณาจักรซึ่งทรงสัญญาไว้สำหรับผู้ที่รักพระองค์มิใช่หรือ แต่ท่านกลับดูหมิ่นคนยากจน มิใช่คนร่ำรวยหรือที่กดขี่ข่มเหงท่าน มิใช่พวกเขาหรือที่ฉุดลากท่านไปขึ้นศาล มิใช่พวกเขาหรือที่กล่าวร้ายต่อพระนามประเสริฐซึ่งบันดาลให้ท่านเป็นของพระเจ้า ถ้าท่านปฏิบัติตามบทบัญญัติสำคัญที่สุดดังที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “จงรักเพื่อนบ้านของท่านเหมือนรักตนเอง” ท่านก็ทำดีแล้ว แต่ถ้าท่านลำเอียง ท่านย่อมทำบาป และถูกธรรมบัญญัติกล่าวโทษว่าเป็นผู้ละเมิด


พระวรสาร มก 8:27-33

เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จพร้อมกับบรรดาศิษย์ไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ ในบริเวณเมืองซีซารียาแห่งฟีลิป ขณะทรงพระดำเนิน พระองค์ตรัสถามบรรดาศิษย์ว่า “คนทั้งหลายว่าเราเป็นใคร” เขาทูลตอบว่า “บ้างว่าเป็นยอห์นผู้ทำพิธีล้าง บ้างว่าเป็นประกาศกเอลียาห์ บ้างก็ว่าเป็นประกาศกองค์หนึ่ง” พระองค์ตรัสถามอีกว่า “ท่านล่ะ ว่าเราเป็นใคร” เปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า” พระองค์ทรงกำชับบรรดาศิษย์มิให้กล่าวเรื่องเกี่ยวกับพระองค์แก่ผู้ใด
พระเยซูเจ้าทรงเริ่มสอนบรรดาศิษย์ว่า “บุตรแห่งมนุษย์จะต้องรับการทรมานอย่างมาก จะถูกบรรดาผู้อาวุโส มหาสมณะ และธรรมาจารย์ปฏิเสธไม่ยอมรับ และจะถูกประหารชีวิต แต่สามวันต่อมา จะกลับคืนชีพ” พระองค์ทรงประกาศพระวาจานี้อย่างเปิดเผย เปโตรนำพระองค์แยกออกไป ทูลทัดทาน แต่พระเยซูเจ้าทรงหันไปทอดพระเนตรบรรดาศิษย์ ทรงตำหนิเปโตรว่า “เจ้าซาตาน ถอยไปข้างหลัง อย่าขัดขวาง เจ้าไม่คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์”



ข้อคิด

ไม่ใช่เรื่องแปลกหากเราจะพบว่าใครๆ ต่างคาดหวังให้เราเป็นอย่างที่เขาต้องการ หรือกระทำสิ่งที่เขาอยากให้ทำ เป็นเรื่องเดียวกันกับความคาดหวังของประชาชนที่อยากให้พระเยซูเจ้าเป็นเหมือนกับยอห์นผู้ทำพิธีล้าง เหมือนกับเอลียาห์ หรือเป็นเหมือนกับประกาศกองค์ใดองค์หนึ่งที่พวกเขารู้จักมักคุ้น แต่พระเยซูเจ้าทรงเป็นอย่างที่พระองค์ทรงเป็น ยืนยันภารกิจที่พระองค์กำลังจะทรงกระทำ และเดินในหนทางแห่งกางเขนที่เป็นพระประสงค์ของพระบิดาเจ้า ...จงมั่นใจในสิ่งดีที่เรากำลังกระทำอยู่ และขอบคุณพระเจ้าในความเป็นตัวตนของเราเสมอ หากเรายืนหยัดในความดีและความถูกต้อง พระเป็นเจ้าจะอยู่ฝ่ายเรา
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

ศุกร์ ก.พ. 17, 2012 2:31 pm

วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2012
นักบุญเจ็ดองค์ผู้ตั้งคณะผู้รับใช้พระแม่มารีย์

สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากจดหมายนักบุญยากอบอัครสาวก ยก 2:14-24,26

พี่น้องทั้งหลาย จะมีประโยชน์ใดหากผู้หนึ่งอ้างว่ามีความเชื่อแต่ไม่มีการกระทำ ความเชื่อเช่นนี้จะช่วยให้เขารอดพ้นได้หรือ ถ้าพี่น้องชายหญิงคนใดขัดสนเครื่องนุ่งห่ม และไม่มีอาหารประจำวัน แล้วท่านคนหนึ่งพูดกับเขาว่า “จงไปเป็นสุขเถิด ขอให้อบอุ่นและอิ่มเถิด” แต่มิได้ให้สิ่งที่จำเป็นสำหรับร่างกายแก่เขา จะมีประโยชน์ใดเล่า ความเชื่อก็เช่นเดียวกัน หากไม่มีการกระทำ ก็เป็นความเชื่อที่ตายแล้ว
อาจมีผู้พูดว่า “บางคนมีความเชื่อ บางคนมีการกระทำ” ถ้าเป็นเช่นนั้นจงแสดงความเชื่อที่ไม่มีการกระทำให้ข้าพเจ้าเห็นเถิด แล้วข้าพเจ้าจะแสดงความเชื่อให้ท่านเห็นด้วยการกระทำ ท่านเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงพระองค์เดียวหรือดีแล้ว แม้พวกปีศาจก็เชื่อเช่นนั้นและยังกลัวจนตัวสั่นด้วย คนเบาปัญญาเอ๋ย ท่านอยากรู้หรือไม่ว่าความเชื่อที่ปราศจากการกระทำนั้นไร้ประโยชน์ อับราฮัม บรรพบุรุษของเราได้รับความชอบธรรมเพราะการกระทำ เมื่อถวายอิสอัคบุตรของตนบนแท่นบูชามิใช่หรือ ท่านเห็นแล้วว่า ความเชื่อกับการกระทำของเขาดำเนินไปพร้อม ๆ กัน และเพราะการกระทำนั้นความเชื่อจึงสมบูรณ์ ดังข้อความในพระคัมภีร์ว่า “อับราฮัมเชื่อพระเจ้า พระองค์ทรงคิดว่าความเชื่อนี้เป็นความชอบธรรมของเขา” เขาจึงได้ชื่อว่า ‘เป็นมิตรของพระเจ้า’
ท่านทั้งหลายเห็นแล้วว่า มนุษย์จะเป็นผู้ชอบธรรมได้ก็ด้วยการกระทำ มิใช่ด้วยความเชื่อแต่อย่างเดียว ร่างกายที่ปราศจากวิญญาณย่อมตายแล้วฉันใด ความเชื่อที่ไม่มีการกระทำก็ย่อมตายแล้วฉันนั้น


พระวรสาร มก 8:34-9:1

เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเรียกประชาชนและบรรดาศิษย์เข้ามา ตรัสว่า “ถ้าผู้ใดอยากติดตามเรา ก็ให้เขาเลิกนึกถึงตนเอง ให้แบกไม้กางเขนของตน และติดตามเรา ผู้ใดใคร่รักษาชีวิตของตนให้รอดพ้น จะต้องสูญเสียชีวิตนั้น แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตของตนเพราะเรา และเพราะข่าวดี ก็จะรักษาชีวิตได้ มนุษย์จะได้ประโยชน์ใดในการที่จะได้โลกทั้งโลกเป็นกำไร แต่ต้องเสียชีวิต มนุษย์จะให้อะไรเพื่อแลกกับชีวิตที่สูญเสียไป ถ้าผู้ใดอับอายเพราะเราและเพราะถ้อยคำของเราในยุคของคนไม่ซื่อสัตย์และชั่วช้านี้ บุตรแห่งมนุษย์ก็จะอับอายเพราะเขา เมื่อพระองค์จะเสด็จมาในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดาพร้อมกับบรรดาทูตสวรรค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ด้วยเช่นกัน”
พระองค์ยังตรัสกับบรรดาศิษย์อีกว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า บางท่านที่ยืนอยู่ที่นี่จะไม่ลิ้มรสความตายจนกว่าจะเห็นพระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงพร้อมด้วยพระอานุภาพ”



ข้อคิด

พระเยซูเจ้าทรงสอนบรรดาศิษย์ให้เข้าใจความเป็นพระแมสสิยาห์ของพระองค์อย่างถูกต้อง กล่าวคือ พระองค์มิได้เสด็จมาเพื่อกอบกู้อิสรภาพทางการเมือง หากแต่มาเป็นตัวอย่างแห่งความรัก นำมนุษย์ให้เป็นอิสระจากบาปและความตาย และนำมนุษย์ไปพบพระเจ้า ...พระเยซูเจ้าทรงสอนบรรดาศิษย์ให้ติดตามพระองค์ผู้ทรงเป็นอาจารย์ พระชนมชีพของพระองค์บนโลกนี้ที่แสนสั้นเป็นบทสอนกับเราซึ่งเป็นศิษย์ของพระองค์ ...โลกนี้ไม่มีค่า โลกหน้าสิของแท้... วิถีทางของพระคริสตเจ้าก็คือ ในแต่ละวันจงให้พระเจ้าเป็นที่หนึ่งในชีวิต เพื่อนมนุษย์รอบข้างมาเป็นอันดับสอง ส่วนตัวเราคืออันดับสาม ดังที่พระเยซูเจ้าทรงตรัสสอน “เลิกนึกถึงตนเอง!”
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

เสาร์ ก.พ. 18, 2012 1:46 pm

วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2012
สัปดาห์ที่ 6 เทศกาลธรรมดา

บทอ่านจากจดหมายนักบุญยากอบอัครสาวก ยก 3:1-10

พี่น้องทั้งหลาย อย่าเป็นครูกันหลายคน เพราะท่านรู้แล้วว่าเราที่เป็นครูจะถูกพิพากษาอย่างเข้มงวดกว่าคนอื่น เพราะเราทุกคนต่างก็ผิดพลาดได้หลายเรื่อง
ถ้าผู้ใดไม่ผิดพลาดด้วยวาจา ผู้นั้นย่อมเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ เขาบังคับร่างกายทั้งหมดให้อยู่ใต้อำนาจได้ เราสวมบังเหียนที่ปากม้าก็เพื่อให้มันเชื่อฟังเรา เราบังคับมันให้ไปที่ใดก็ได้ทั้งตัว จงดูเรือเถิด แม้เรือจะใหญ่โต และถูกลมแรงพัดให้แล่นไป ก็ยังถูกบังคับด้วยหางเสือเล็ก ๆ ให้ไปทางใดก็ได้ตามใจนายท้าย ลิ้นก็เช่นเดียวกัน เป็นอวัยวะเล็ก ๆ แต่ก็โอ้อวดกิจการใหญ่โตได้ จงดูเถิด ประกายไฟเพียงนิดเดียวก็เผาป่าอันกว้างใหญ่ไพศาลให้วอดวายได้ ลิ้นก็เป็นไฟ เป็นโลกของความชั่วร้าย อยู่ระหว่างอวัยวะต่าง ๆ ของเรา ทำให้ร่างกายโสมมไปทั้งร่าง และติดไฟมาจากขุมนรก เผาผลาญเราทั้งชีวิต มนุษย์ฝึกสัตว์ป่า นก หรือสัตว์เลื้อยคลานตลอดจนสัตว์น้ำทุกชนิด ให้เชื่องได้ และได้ฝึกให้เชื่องมาแล้ว ส่วนลิ้นนั้นไม่มีมนุษย์คนใดทำให้เชื่องได้ ลิ้นเป็นสิ่งชั่วร้ายที่ควบคุมไม่ได้ มีพิษร้ายถึงตาย เราใช้ลิ้นถวายพระพรพระเจ้า พระบิดา และใช้ลิ้นสาปแช่งมนุษย์ซึ่งถูกสร้างตามภาพลักษณ์ของพระเจ้า ทั้งคำถวายพระพรและคำสาปแช่งล้วนออกมาจากปากเดียวกัน พี่น้องทั้งหลาย ไม่ควรให้เป็นเช่นนี้เลย


พระวรสาร มก 9:2-13

ต่อมาอีกหกวัน พระเยซูเจ้าทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นไปบนภูเขาสูงตามลำพัง แล้วพระวรกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา ฉลองพระองค์กลับมีสีขาวเจิดจ้า ขาวผ่องอย่างที่ไม่มีช่างซักฟอกคนใดในโลกทำให้ขาวเช่นนั้นได้ แล้วประกาศกเอลียาห์กับโมเสสแสดงตนสนทนาอยู่กับพระเยซูเจ้า เปโตรจึงทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ที่นี่สบายน่าอยู่จริง ๆ เราจงสร้างเพิงขึ้นสามหลังเถิด หลังหนึ่งสำหรับพระองค์ หลังหนึ่งสำหรับโมเสส อีกหลังหนึ่งสำหรับประกาศกเอลียาห์” เขาไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรเพราะศิษย์ทั้งสามคนต่างตกใจกลัว ครั้นแล้วเมฆก้อนหนึ่งลอยมาปกคลุมเขาไว้ มีเสียงหนึ่งออกมาจากเมฆก้อนนั้นว่า “ผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา จงฟังท่านเถิด” ทันใดนั้น ศิษย์ทั้งสามคนเหลียวมองรอบ ๆ ไม่เห็นผู้ใดอยู่กับตนนอกจากพระเยซูเจ้าเท่านั้น
ขณะที่กำลังลงจากภูเขา พระองค์ตรัสสั่งเขามิให้เล่าเหตุการณ์ที่เห็นให้ผู้ใดฟัง จนกว่าบุตรแห่งมนุษย์จะกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย ศิษย์ทั้งสามคนเก็บเรื่องนี้ไว้ไม่บอกใครแต่ยังปรึกษากันว่า “จนกว่าจะกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตาย”นี้ หมายความว่าอย่างไร เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “เหตุใดบรรดาธรรมาจารย์กล่าวว่า ประกาศกเอลียาห์จะต้องมาก่อน” พระองค์ตรัสตอบว่า “ใช่แล้ว เอลียาห์มาก่อนเพื่อจัดทุกสิ่งให้เข้าสภาพเดิม พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างไรเกี่ยวกับบุตรแห่งมนุษย์ พระคัมภีร์เขียนว่าบุตรแห่งมนุษย์จะต้องรับทุกข์ทรมานอย่างมาก และถูกเหยียดหยาม ดังนั้นเราบอกท่านว่า “ประกาศกเอลียาห์ได้มาแล้ว และประชาชนทั้งหลายได้กระทำกับเขาตามความพอใจ ดังที่มีเขียนถึงเขาไว้ในพระคัมภีร์”



ข้อคิด

“พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง” สุภาษิตไทยที่สอนใจให้เรารู้จักใช้คำพูดอย่างเหมาะสม ถูกต้องตามกาลเทศะ และที่สำคัญพูดแล้วเกิดความดีกับส่วนรวม มิใช่ให้ร้ายป้ายสี ทำให้เกิดความบาดหมางหรือกินแหนงแคลงใจต่อกัน นักบุญยากอบสอนเราอย่างชัดเจนให้รู้จักควบคุมลิ้น นั่นคือ รู้จักพูดแต่สิ่งที่ดี แต่การที่คนๆ หนึ่งจะพูดดีได้นั้นก็ต้องกลั่นออกมาจากจิตใจที่งดงาม และเพื่อจะเป็นเช่นนั้นได้ เราก็ต้องรู้จักเลือกรับฟังแต่สิ่งดีๆ เลือกอ่านข่าวสารที่จรรโลงใจ เลือกดูสื่อที่มีคุณค่าต่อจิตวิญญาณ หากเราบำรุงเลี้ยงชีวิตจิตด้วยสิ่งดี เชื่อแน่ว่าวาจาที่เราจะมอบให้ผู้อื่นย่อมมีคุณค่าด้วยเช่นกัน
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.พ. 20, 2012 2:21 pm

วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ 2012
สัปดาห์ที่ 7 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 43:18-19,21-22,24ข-25

พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “อย่าจดจำเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้ว อย่าคิดถึงเรื่องราวในอดีตอีกต่อไป ดูเถิด เรากำลังจะทำสิ่งใหม่ โดยแท้จริง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแล้ว ท่านไม่รู้ดอกหรือ เราจะเบิกทางในถิ่นทุรกันดาร เราจะทำให้เกิดแม่น้ำขึ้นในที่แห้งแล้ง ประชากรที่เราสร้างไว้สำหรับเราจะร้องสรรเสริญเรา”
“แต่ท่าน ยาโคบเอ๋ย ท่านไม่ได้เรียกหาเรา อิสราเอลเอ๋ย ท่านกลับเบื่อหน่ายเรา ท่านทำให้เราหนักใจเพราะบาปของท่าน ทำให้เราเบื่อหน่ายเพราะความชั่วร้ายของท่าน ถึงกระนั้น เราจะลบล้างความผิดของท่านเพราะเราต้องการเช่นนั้น เราจะไม่จดจำบาปของท่านอีกต่อไป”


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่สอง 2 คร 1:18-22

พี่น้อง พระเจ้าทรงเป็นพยานได้ว่าถ้อยคำที่เรากล่าวแก่ท่านนั้นไม่ใช่เป็นการบอกทั้งใช่และไม่ใช่ในเวลาเดียวกัน พระคริสตเยซูพระบุตรของพระเจ้า ผู้ซึ่งข้าพเจ้า สิลวานัส และทิโมธีได้ประกาศให้ท่านรู้จักนั้น พระองค์ไม่ทรงกล่าวทั้งใช่และไม่ใช่ในเวลาเดียวกัน แต่ทรงกล่าวว่าใช่เท่านั้น พระสัญญาทั้งปวงของพระเจ้าได้สำเร็จลงในพระองค์ด้วยคำว่า “ใช่” เพราะเหตุนี้เราจึงกล่าวคำว่า ‘อาเมน’ โดยทางพระองค์ เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ผู้ที่ทรงตั้งเราและท่านทั้งหลายในพระคริสตเจ้า และได้ทรงเจิมเรานั้นคือพระเจ้า พระองค์ทรงประทับตราเราด้วยตราของพระองค์ และประทานพระจิตเจ้าไว้ในดวงใจของเราเป็นเครื่องประกันด้วย


พระวรสาร มก 2:1-12

ต่อมาอีกสองสามวัน พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาที่เมืองคาเปอรนาอุม เมื่อเป็นที่รู้กันว่าพระองค์ประทับอยู่ในบ้าน ประชาชนจำนวนมากจึงมาชุมนุมกันจนไม่มีที่ว่าง แม้กระทั่งที่ประตู พระองค์ประทานพระโอวาทสอนประชาชนเหล่านั้น ชายสี่คนหามคนง่อยคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ แต่เขาไม่สามารถนำคนง่อยนั้นฝ่าฝูงชนเข้าไปถึงพระองค์ได้ เขาจึงเปิดหลังคาบ้านตรงที่พระองค์ประทับอยู่ แล้วหย่อนแคร่ที่คนง่อยนอนอยู่ลงมาทางช่องนั้น เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นความเชื่อของพวกเขาจึงตรัสกับคนง่อยว่า ‘ลูกเอ๋ย บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว’ ที่นั่นมีธรรมาจารย์บางคนนั่งอยู่ด้วย เขาคิดในใจว่า ‘ทำไมคนนี้จึงพูดเช่นนี้เล่า? เขากล่าวผรุสวาทต่อพระเจ้า ใครเล่าสามารถอภัยบาปได้นอกจากพระเจ้าเท่านั้น?’ ทันใดนั้น พระเยซูเจ้าทรงทราบด้วยจิตของพระองค์ว่าพวกเขากำลังคิดเช่นนี้อยู่ จึงตรัสว่า ‘ท่านคิดเช่นนี้ในใจทำไม? อย่างใดง่ายกว่ากัน การบอกคนง่อยว่า “บาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว” หรือบอกว่า “ลุกขึ้น แบกแคร่เดินไปเถิด”? แต่เพื่อให้ท่านรู้ว่า บุตรแห่งมนุษย์มีอำนาจอภัยบาปได้บนแผ่นดินนี้’ พระองค์ตรัสแก่คนง่อยว่า ‘เราสั่งเจ้า จงลุกขึ้น แบกแคร่ กลับไปบ้านเถิด’ เขาก็ลุกขึ้นแบกแคร่ออกเดินไปทันทีต่อหน้าคนทั้งปวง ทุกคนต่างประหลาดใจ ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าและกล่าวว่า ‘เรายังไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อนเลย’


ข้อคิด

“ลูกเอ๋ย บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” ...อัศจรรย์ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำเริ่มต้นจาก “ความรัก” และ “การให้อภัย” ซึ่งเป็นความหมายเดียวกันกับที่ประกาศกอิสยาห์ได้กล่าว “อย่าไปจดจำเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้วเลย” ซึ่งเท่ากับหมายความว่า จงเริ่มต้นใหม่เถิด ปล่อยอดีตให้อยู่ในที่ของมัน ส่วนท่านจงก้าวไปข้างหน้า “จงลุกขึ้น แบกแคร่กลับไปบ้าน” พระเยซูเจ้าตรัสสั่ง ...ไม่มีสิ่งใดจะกีดขวางทางข้างหน้าของท่านอีกต่อไป เมื่อใจท่านพร้อม กายของท่านก็พร้อมจะเต็มที่กับชีวิตได้ เมื่อพระเจ้าทรงให้โอกาสท่านใหม่ ไฉนเลยจะมัวนอนซมตรอมตมจมกับอดีตอยู่อีกเล่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.พ. 20, 2012 4:50 pm

วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2012
สัปดาห์ที่ 7 เทศกาลธรรมดา


บทอ่านจากจดหมายนักบุญยากอบอัครสาวก ยก 3:13-18

พี่น้องที่รักยิ่ง ใครบ้างคิดว่าตนฉลาดและมีปรีชาญาณ จงแสดงความฉลาดและปรีชาญาณนั้นอย่างอ่อนโยนด้วยการกระทำและความประพฤติดี แต่ถ้าใจของท่านขมขื่นด้วยความอิจฉาริษยา และมีความทะเยอทะยาน จงอย่าโอ้อวดและอย่ามุสาต่อต้านความจริง ปรีชาญาณเช่นนี้มิได้มาจากเบื้องบน แต่เป็นปรีชาญาณตามธรรมดาโลก ตามแบบวัตถุนิยมและตามแบบปีศาจ ที่ใดมีความอิจฉาริษยาและความทะเยอทะยาน ที่นั่นย่อมมีแต่ความวุ่นวายและความชั่วร้ายนานาชนิด ส่วนปรีชาญาณที่มาจากเบื้องบน ประการแรกเป็นสิ่งบริสุทธิ์ แล้วจึงก่อให้เกิดสันติ เห็นอกเห็นใจ อ่อนน้อม เปี่ยมด้วยความเมตตากรุณา บังเกิดผลที่ดีงาม ไม่ลำเอียง ไม่เสแสร้ง ผู้ที่สร้างสันติย่อมเป็นผู้หว่านในสันติ และจะเก็บเกี่ยวผลเป็นความชอบธรรม


พระวรสาร มก 9:14-29

เวลานั้น เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จลงจากภูเขาพร้อมกับศิษย์ทั้งสามคนมาพบศิษย์คนอื่น ทรงเห็นประชาชนจำนวนมากห้อมล้อมบรรดาศิษย์ ธรรมาจารย์บางคนกำลังถกเถียงกับเขาเหล่านั้น ทันทีที่เห็นพระองค์ ประชาชนทั้งหลายต่างประหลาดใจและและวิ่งเข้ามาทักทายพระองค์ พระองค์ตรัสถามบรรดาศิษย์ว่า “ท่านกำลังถกเถียงเรื่องอะไรหรือ” คนหนึ่งในกลุ่มชนตอบว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าพาบุตรชายที่ปีศาจสิงให้เป็นใบ้มาเฝ้าพระองค์ เมื่อปีศาจสิง มันผลักเขาให้ล้มลง น้ำลายฟูมปาก กัดฟัน และตัวแข็งทื่อ ข้าพเจ้าได้ขอให้ศิษย์ของพระองค์ขับไล่มัน แต่เขาทำไม่สำเร็จ” พระองค์ตรัสตอบว่า “คนหัวดื้อ เชื่อยาก เราจะต้องอยู่กับท่านอีกนานเท่าใด จะต้องทนท่านอีกนานเท่าใด จงพาเด็กมาพบเราเถิด” เขาจึงพาเด็กนั้นมาเฝ้าพระองค์ เมื่อเห็นพระองค์ ปีศาจก็ทำให้เด็กชักล้มลงกับพื้นดิน กลิ้งไปมา น้ำลายฟูมปาก พระเยซูเจ้าทรงถามบิดาของเด็กว่า “เป็นดังนี้นานเท่าไรแล้ว” เขาทูลตอบว่า “ตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก ๆ ปีศาจได้ผลักเด็กลงในกองไฟหลายครั้ง บางครั้งผลักลงในน้ำเพื่อให้ตาย ถ้าพระองค์ทรงทำสิ่งใดได้ ก็ทรงกรุณาช่วยเราด้วยเถิด” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ถ้าทำได้น่ะหรือ ทุกสิ่งเป็นไปได้ทั้งนั้นสำหรับผู้มีความเชื่อ” ทันใดนั้นบิดาของเด็กก็ร้องว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ โปรดช่วยความเชื่ออันเล็กน้อยของข้าพเจ้าด้วยเถิด” เมื่อพระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นประชาชนเข้ามามากยิ่งขึ้น พระองค์จึงตรัสสำทับปีศาจว่า “เจ้าปีศาจหนวกใบ้ เราสั่งเจ้าให้ออกจากเด็กคนนี้ และอย่ากลับเข้ามาอีกเลย” ปีศาจจึงร้องเสียงดังและทำให้เด็กมีอาการชักอย่างรุนแรง แล้วปีศาจก็ออกไป เด็กนอนนิ่งเหมือนคนตาย จนคนส่วนมากพูดกันว่า “เขาตายแล้ว” แต่พระเยซูเจ้าทรงจับมือเด็ก ทรงช่วยพยุงให้ลุกขึ้น เขาก็ยืนขึ้น เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง บรรดาศิษย์ทูลถามพระองค์เป็นการส่วนตัวว่า “ทำไมพวกเราจึงขับไล่มันไม่ได้” พระองค์ตรัสตอบว่า “ปีศาจชนิดนี้ขับไล่ออกไม่ได้เลย นอกจากด้วยการอธิษฐานภาวนาเท่านั้น”


ข้อคิด

พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นบนภูเขาสูงพร้อมกับเปโตร ยากอบ และยอห์น เมื่อเสด็จลงมาทรงพบว่าบรรดาศิษย์อื่นๆ กำลังถูกห้อมล้อมด้วยประชาชนจำนวนมาก ความวุ่นวายเกิดขึ้นและบรรดาศิษย์ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ พวกเขาไม่สามารถขับไล่ปีศาจให้ออกจากบุตรชายของคนหนึ่งในกลุ่มชนนั้นได้ ...เมื่อไม่มีพระเยซูเจ้าอยู่กับบรรดาศิษย์ พวกเขาไม่สามารถทำสิ่งใดได้! ถูกแล้ว เมื่อขาดพระเจ้าไป เราเองก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน สิ่งที่เราต้องทำก็คือภาวนาเพื่อขอความเชื่อเพื่อจะสำนึกได้ถึงการประทับอยู่ของพระเจ้าในชีวิตของเรา เพราะหากขาดพระองค์ไป เราจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

อังคาร ก.พ. 21, 2012 12:51 am

วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ 2012
น.เปโตร ดามีอานี พระสังฆราชและนักปราชญ์


บทอ่านจากจดหมายนักบุญยากอบอัครสาวก ยก 4:1-10

พี่น้องที่รักยิ่ง การต่อสู้และการทะเลาะวิวาทในหมู่ท่านนั้นมาจากที่ใด มิใช่มาจากกิเลสตัณหาซึ่งต่อสู้อยู่ภายในร่างกายของท่านหรือ ท่านอยากได้ แต่ไม่ได้ จึงฆ่ากัน ท่านอยากได้ แต่ไม่สมหวัง จึงทะเลาะวิวาทและต่อสู้กัน ท่านไม่มีเพราะไม่ได้วอนขอ ท่านวอนขอ แต่ไม่ได้รับ เพราะท่านวอนขอไม่ถูกต้อง คือวอนขอเพื่อนำไปสนองกิเลสตัณหาของท่าน ท่านที่ไม่ซื่อสัตย์เหมือนหญิงคบชู้ ท่านไม่รู้หรือว่า การเป็นมิตรกับโลกคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า ฉะนั้นผู้ใดต้องการเป็นมิตรกับโลก ก็ตั้งตนเป็นศัตรูกับพระเจ้า ท่านคิดว่าพระคัมภีร์กล่าวไร้สาระหรือว่า “พระเจ้าทรงรักจิตอย่างหวงแหน จิตที่พระองค์ประทานให้สถิตในเรา” พระองค์ยังประทานพระหรรษทานที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่านั้นอีก ฉะนั้นพระคัมภีร์จึงกล่าวอีกว่า “พระเจ้าทรงต่อต้านคนเย่อหยิ่ง แต่ประทานพระหรรษทานแก่ผู้ถ่อมตน” ท่านทั้งหลายอยู่ใต้อำนาจพระเจ้า จงต่อต้านปีศาจ แล้วมันจะหลบหนีไปจากท่าน จงเข้าใกล้พระเจ้าแล้วพระองค์จะเสด็จมาใกล้ท่าน คนบาปทั้งหลาย จงล้างมือให้สะอาด คนใจโลเลทั้งหลาย จงทำใจให้บริสุทธิ์เถิด จงคร่ำครวญจงเป็นทุกข์โศกเศร้าและร้องไห้เถิด จงให้การหัวเราะของท่านกลายเป็นความเศร้าโศก จงให้ความยินดีของท่านกลายเป็นความเศร้าใจ จงถ่อมตนลงเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า และพระองค์จะทรงยกย่องท่าน


พระวรสาร มก 9:30-37

เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากที่นั่นพร้อมกับบรรดาศิษย์ผ่านแคว้นกาลิลี พระองค์ไม่ทรงต้องการให้ผู้ใดรู้ ทรงสั่งสอนบรรดาศิษย์ และตรัสว่า “บุตรแห่งมนุษย์จะถูกมอบในเงื้อมมือของคนทั้งหลาย เขาจะประหารชีวิตพระองค์ แต่เมื่อถูกประหารแล้ว ในวันที่สามพระองค์จะกลับคืนชีพ” บรรดาศิษย์ไม่เข้าใจพระวาจานี้ แต่ก็ไม่กล้าทูลถาม
พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองคาเปอรนาอุมพร้อมกับบรรดาศิษย์ เมื่อเสด็จเข้าไปในบ้าน พระองค์ตรัสถามเขาว่า “ท่านถกเถียงกันเรื่องอะไรขณะที่เดินทาง” เขาก็นิ่ง เพราะระหว่างทางเขาถกเถียงกันว่า ผู้ใดยิ่งใหญ่กว่ากัน พระองค์จึงประทับนั่ง แล้วทรงเรียกอัครสาวกสิบสองคนเข้ามา ตรัสว่า “ถ้าผู้ใดอยากเป็นคนที่หนึ่ง ก็ให้ผู้นั้นทำตนเป็นคนสุดท้าย และเป็นผู้รับใช้ของทุกคน” ครั้นแล้วพระองค์ทรงจูงเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งมายืนกลางกลุ่มพวกเขา ทรงโอบเด็กนั้นไว้ ตรัสว่า “ผู้ใดที่ต้อนรับเด็กเล็ก ๆ เช่นนี้ในนามของเรา ก็ต้อนรับเรา และผู้ใดที่ต้อนรับเรา ก็มิใช่ต้อนรับเพียงเราเท่านั้น แต่ต้อนรับผู้ที่ทรงส่งเรามาด้วย”



ข้อคิด

บางคนอาจเข้าใจผิดคิดว่าความยิ่งใหญ่หมายถึงการยืนอยู่เหนือคนอื่น แสดงอำนาจให้ผู้คนเกรงขาม หรือแย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนเองต้องการโดยไม่สนใจว่าใครจะเดือดร้อนหรือไม่ ...นักบุญยากอบได้ให้แนวทางที่ถูกต้องเหมาะสมของความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงกับคริสตชน “พระเจ้าทรงต่อต้านคนเย่อหยิ่ง แต่ประทานพระหรรษทานแก่ผู้ถ่อมตน” ...พระเยซูเจ้าก็ทรงสอนด้วยแบบอย่างของพระองค์เองเช่นกัน “อยากเป็นใหญ่ต้องรับใช้ทุกคน” ...เป็นความจริงทีเดียว ไม่มีใครอยากอยู่ใต้อำนาจคนที่มักเอาเปรียบ แต่สำหรับคนสุภาพถ่อมตน ไม่เพียงแต่มนุษย์จะเคารพรักเท่านั้น พระเจ้าก็จะทรงยกย่องเขาด้วย
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

เสาร์ ก.พ. 25, 2012 12:11 pm

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ 2012
วันพุธรับเถ้า

บทอ่านจากหนังสือประกาศกโยเอล ยอล 2:12-18

พระเจ้าตรัสว่า“เจ้าทั้งหลายจงเต็มใจกลับมาหาเรา ด้วยการอดอาหาร ร้องไห้ และเป็นทุกข์คร่ำครวญ ณ บัดนี้เถิด จงฉีกจิตใจของเจ้า มิใช่ฉีกเสื้อผ้า จงกลับใจเข้ามาหาพระเป็นเจ้าของเจ้าเสีย” เพราะพระองค์ทรงกอปรด้วยความอ่อนโยนและเมตตาสงสาร ไม่ทรงกริ้วง่าย ทรงพระกรุณาอย่างเหลือล้น และทรงพร้อมเสมอที่จะอภัยความผิด ใครจะรู้ได้ พระองค์อาจจะไม่ทรงเปลี่ยนพระทัย อาจจะไม่ทรงพระกรุณาอีก อาจจะไม่ทรงอำนวยพระพรให้เมื่อเสด็จผ่านมา อาจจะไม่โปรดให้มีธัญญบูชา และเครื่องดื่มบูชา เพื่อทูนถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเป็นเจ้าของเจ้า จงเป่าแตรบนเนินศิโยน จงสั่งให้มีการอดอาหารจงเรียกประชุมเพื่อทำพิธีอย่างสง่า จงรวบรวมประชาชน จงเรียกประชุมชุมชนศักดิ์สิทธิ์ จงประชุมบรรดาคนชรา จงรวบรวมบรรดาเด็ก ๆ แม้เด็กที่ยังไม่อดนมด้วย จงให้เจ้าบ่าวออกจากเรือนหอ และให้เจ้าสาวออกจากห้องวิวาห์ของตน ให้บรรดาปุโรหิต ข้าปรนนิบัติพระเจ้า คร่ำครวญอยู่ระหว่างเฉลียงและพระแท่นบูชา ให้เราร้องทูลว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเวทนาประชากรของพระองค์เถิด ขออย่าทรงกระทำให้มรดกของพระองค์เป็นที่ถูกประณาม และเป็นที่เยาะเย้ยในท่ามกลางประชาชาติ ควรหรือที่เขาจะกล่าวท่ามกลางชนชาติทั้งหลายว่า ‘พระเจ้าของเขาอยู่ที่ไหน’ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงหวงแหนแผ่นดินของพระองค์ และทรงสงสารประชากรของพระองค์


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่สอง 2 คร 5:20-6:2

พี่น้อง เราจึงเป็นทูตแทนพระคริสตเจ้า ประหนึ่งว่าพระเจ้าทรงใช้เราให้เชิญชวนท่านทั้งหลาย เราจึงขอร้องแทนพระคริสตเจ้าว่า จงยอมคืนดีกับพระเจ้าเถิด เพราะเห็นแก่เราพระเจ้าทรงทำให้พระองค์ผู้ไม่รู้จักบาปเป็นผู้รับบาป เพื่อว่าในพระองค์เราจะได้กลายเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า
ในฐานะผู้ร่วมงานของพระเจ้า เราขอร้องท่านทั้งหลาย อย่าเพียงแต่รับพระหรรษทานของพระองค์ไว้โดยไม่เกิดผล พระองค์ตรัสว่า “ในเวลาที่เหมาะสม เราได้รับฟังท่าน และในวันแห่งความรอดพ้น เราได้ช่วยเหลือท่าน” ขณะนี้คือเวลาที่เหมาะสม ขณะนี้คือวันแห่งความรอดพ้น


พระวรสาร มธ 6:1-6,16-18

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า“จงระวัง อย่าปฏิบัติศาสนกิจของท่านต่อหน้ามนุษย์เพื่ออวดคนอื่น มิฉะนั้น ท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จจากพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ ดังนั้น เมื่อท่านให้ทาน จงอย่าเป่าแตรข้างหน้าท่านเหมือนที่บรรดาคนหน้าซื่อใจคดมักทำในศาลาธรรมและตามถนนเพื่อจะได้รับคำสรรเสริญจากมนุษย์ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่อให้ทาน อย่าให้มือซ้ายของท่านรู้ว่ามือขวากำลังทำสิ่งใด เพื่อทานของท่านจะได้เป็นทานที่ไม่เปิดเผย แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง จะประทานบำเหน็จให้ท่าน
เมื่อท่านอธิษฐานภาวนา จงอย่าเป็นเหมือนบรรดาคนหน้าซื่อใจคด เขาชอบยืนอธิษฐานภาวนาในศาลาธรรม และตามมุมลานเพื่อให้ใคร ๆ เห็น เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่ออธิษฐานภาวนา จงเข้าไปในห้องส่วนตัว ปิดประตู อธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้สถิตอยู่ทั่วทุกแห่ง แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งจะประทานบำเหน็จให้ท่าน
เมื่อท่านทั้งหลายจำศีลอดอาหาร จงอย่าทำหน้าเศร้าหมองเหมือนบรรดาคนหน้าซื่อใจคด เขาทำหน้าหมองคล้ำ เพื่อแสดงให้ผู้คนรู้ว่าเขากำลังจำศีลอดอาหาร เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำเหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่อจำศีลอดอาหาร จงล้างหน้า ใช้น้ำมันหอมใส่ศีรษะ เพื่อไม่แสดงให้ผู้คนรู้ว่าท่านกำลังจำศีลอดอาหาร แต่ให้พระบิดาของท่าน ผู้สถิตอยู่ทั่วทุกแห่งทรงทราบ และพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง ก็จะประทานบำเหน็จให้ท่าน”


ข้อคิด

พระศาสนจักรเชิญชวนคริสตชนเป็นพิเศษในช่วงเวลามหาพรตให้รำพึงถึงความรักของพระเจ้า เลือกพระองค์เป็นที่หนึ่งในชีวิต และเดินในวิถีทางของพระองค์ ...หากเรายังสลวนอยู่กับความวุ่นวายในชีวิต เหน็ดเหนื่อยกับการวิ่งตามกระแสของโลกโดยที่ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดที่ใด หรือยังหาความหมายของชีวิตที่แท้จริงไม่ได้ เทศกาลมหาพรตน่าจะเป็นโอกาสทองสำหรับเราที่จะลองหันมาทบทวนความรักของพระเจ้า และตระหนักว่าพระเจ้าเท่านั้นที่สำคัญสำหรับเรา “มีเพียงพระเจ้า ก็เพียงพอ”
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

เสาร์ ก.พ. 25, 2012 12:12 pm

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ 2012
หลังวันพุธรับเถ้า

บทอ่านจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ ฉธบ 30:15-20

โมเสสกล่าวกับประชาชนว่า “จงฟังเถิด ในวันนี้ ข้าพเจ้ากำลังเสนอให้ท่านเลือกชีวิตหรือความตาย เลือกความดีหรือความชั่ว ข้าพเจ้าจึงสั่งท่านในวันนี้ ให้รักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน และเดินตามวิถีทางของพระองค์ ปฏิบัติตามบทบัญญัติข้อกำหนดและกฎเกณฑ์ของพระองค์ แล้วท่านจะมีชีวิตและทวีจำนวนขึ้น องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านจะทรงอวยพรท่านในแผ่นดินที่ท่านกำลังจะเข้าไปครอบครอง แต่ถ้าท่านเปลี่ยนใจไปจากพระองค์ไม่ยอมเชื่อฟังพระองค์ แต่ยอมกราบไหว้รับใช้เทพเจ้าอื่น ข้าพเจ้าขอบอกท่านในวันนี้ว่า ท่านจะต้องพินาศอย่างแน่นอน ท่านจะไม่มีชีวิตยืนยาวในแผ่นดินที่ท่านกำลังข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปครอบครอง
ในวันนี้ ข้าพเจ้าขอเรียกฟ้าดินมาเป็นพยานต่อหน้าท่าน ข้าพเจ้าเสนอให้ท่านเลือกชีวิตหรือความตาย เลือกคำอวยพรหรือคำสาปแช่ง ท่านจงเลือกชีวิตเถิด เพื่อท่านและบุตรหลานของท่านจะมีชีวิต รักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์และซื่อสัตย์ต่อพระองค์ เพราะพระองค์ผู้เดียวประทานชีวิตแก่ท่าน ทรงบันดาลให้ท่านอาศัยอยู่นานในแผ่นดินที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสาบานไว้ว่าจะประทานแก่บรรพบุรุษของท่าน คืออับราฮัม อิสอัคและยาโคบ”

พระวรสาร ลก 9:22-25

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า“บุตรแห่งมนุษย์จะต้องรับทรมานเป็นอันมาก จะถูกบรรดาผู้อาวุโส มหาสมณะและธรรมาจารย์ปฏิเสธไม่ยอมรับ และจะถูกประหารชีวิต แต่จะกลับคืนชีพในวันที่สาม”
หลังจากนั้น พระองค์ตรัสกับทุกคนว่า “ถ้าผู้ใดอยากติดตามเราก็จงเลิกนึกถึงตนเอง จงแบกไม้กางเขนของตนทุกวันและติดตามเรา ผู้ใดใคร่รักษาชีวิต ผู้นั้นจะต้องสูญเสียชีวิต แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตเพราะเรา ผู้นั้นจะรักษาชีวิตได้ มนุษย์จะได้ประโยชน์ใดในการที่จะได้โลกทั้งโลกเป็นกำไร แต่ต้องเสียชีวิตและพินาศไป”



ข้อคิด

เป็นปฏิทรรศน์ (paradox) หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เป็นความขัดแย้งในใจเมื่อได้ยินพระวาจาที่ว่า “ผู้ใดใคร่รักษาชีวิต ผู้นั้นจะต้องสูญเสียชีวิต” ตามความเข้าใจปกติ หากเรารักษาสุขภาพ ชีวิตก็น่าจะยืนยาว มิใช่หดสั้นลง ...แต่หากเราลองพิจารณาให้ถ่องแท้แล้ว พระวาจาที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันในตัวเองนี้ช่างมีความหมายที่ลึกซึ้งนัก เพราะพระองค์กำลังสอนเราให้สนใจชีวิตที่ “เที่ยงแท้” กว่า ซึ่งนั่นก็คือ ความสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้าในสวรรค์ และผู้ที่ “เลิก” ที่จะ “สลวน” อยู่เพียงแค่ตนเองใน “โลกนี้” เท่านั้น ที่จะ “รักษาชีวิต” ให้เหมาะสมสำหรับชีวิตใน “โลกหน้า” ได้
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

เสาร์ ก.พ. 25, 2012 12:12 pm

วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2012

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 58:1-9ก

พระเจ้าตรัสว่า “จงร้องตะโกนให้เต็มกำลัง อย่าออมเสียงไว้ จงเปล่งเสียงเหมือนเป่าเขาสัตว์ จงประกาศให้ประชากรของเรารู้ว่าเขาได้ล่วงละเมิด จงประกาศแก่เชื้อสายของยาโคบให้เขารู้บาปที่เขาได้ทำ เขาทั้งหลายแสวงหาเราทุกวัน ปรารถนาจะรู้จักทางของเรา ประหนึ่งว่าเขาเป็นประชากรที่ปฏิบัติความชอบธรรม และมิได้ละทิ้งพระวินิจฉัยของพระเจ้าของตน เขาขอให้เราให้การวินิจฉัยที่ชอบธรรม และปรารถนาที่จะเข้ามาใกล้พระเจ้า เขาพูดว่า “ทำไมข้าพเจ้าทั้งหลายจะต้องจำศีลอดอาหาร ถ้าพระองค์ไม่ทอดพระเนตร ทำไมข้าพเจ้าทั้งหลายจะต้องละเว้นความสุขสบาย ถ้าพระองค์ไม่ทรงทราบ”
ดูซิ ในวันที่ท่านทั้งหลายจำศีลอดอาหาร ท่านยังแสวงหาผลประโยชน์ของตน และข่มเหงคนงานทุกคนของท่าน ดูซิ ท่านจำศีลอดอาหาร แต่ยังทะเลาะวิวาทและโต้เถียงกัน ชกต่อยตีกันอย่างอยุติธรรม การจำศีลอดอาหารดังที่ท่านปฏิบัติในวันนี้ จะไม่ทำให้เสียงของท่านได้ยินไปถึงเบื้องบนเลย นี่หรือเป็นการจำศีลอดอาหารที่เราพอใจ คือวันที่มนุษย์ละเว้นความสุขสบาย ก้มศีรษะลงเหมือนต้นอ้อ ใช้ผ้ากระสอบและขี้เถ้าปูนอน ท่านจะเรียกการทำเช่นนี้ว่าเป็นการจำศีลอดอาหาร และวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยกระนั้นหรือ แต่การจำศีลอดอาหารที่เราต้องการ คือการแก้โซ่ตรวนที่อธรรม แก้สายรัดแอก ปล่อยผู้ถูกข่มเหงให้เป็นอิสระ และหักแอกทุกอัน แบ่งปันอาหารกับผู้หิวโหย นำคนยากจนไร้ที่อยู่อาศัยเข้ามาในบ้าน ให้เสื้อผ้าแก่ผู้ที่ท่านเห็นว่าไม่มีเสื้อผ้าสวม และไม่หันหน้าหนีจากญาติพี่น้อง แล้วความสว่างของท่านจะขึ้นมาเหมือนรุ่งอรุณ แผลของท่านจะหายอย่างรวดเร็ว ความชอบธรรมจะเดินนำหน้าท่าน และพระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะเดินตามท่าน ท่านจะทูลขอ และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงตอบ ท่านจะร้องขอความช่วยเหลือ และพระองค์จะตรัสว่า “เราอยู่ที่นี่”


พระวรสาร มธ 9:14-15

วันหนึ่ง บรรดาศิษย์ของยอห์นเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “ทำไมพวกเราและพวกฟาริสีจำศีลอดอาหาร แต่ศิษย์ของท่านไม่จำศีลเลย”

พระองค์ทรงตอบว่า “ผู้รับเชิญมาในงานแต่งงานจะโศกเศร้าหรือขณะที่เจ้าบ่าวยังอยู่กับเขา แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าวจะถูกแยกไป วันนั้นเขาจะจำศีลอดอาหาร”


ข้อคิด

เจตนารมย์ที่แท้จริงของเทศกาลมหาพรตก็คือ “การกลับใจ” ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงการมาแก้บาป รับศีลฯ ตามข้อกำหนดเท่านั้น หากแต่หมายถึง การเปลี่ยนแปลงชีวิตและความประพฤติของเราด้วย ดังที่ประกาศกอิสยาห์ได้สอนอย่างเป็นรูปธรรม “แก้โซ่ตรวนที่อธรรม... ปล่อยผู้ถูกข่มเหงให้เป็นอิสระ...” หากเรายังไม่ได้ปฏิบัติความยุติธรรมต่อคนในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน หรือคนในสังคมอย่างแท้จริง ยังคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเองมากกว่าความถูกต้อง ยังใช้ทรัพยากรของโลกอย่างเห็นแก่ตัวโดยไม่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม มหาพรตคงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับเราที่จะเริ่มต้นกลับใจอย่างเป็น “รูปธรรม”
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

เสาร์ ก.พ. 25, 2012 12:17 pm

วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2012

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 58:9ข-14

พระเจ้าตรัสว่า “ถ้าท่านจะเลิกข่มเหงผู้อื่น เลิกชี้หน้ากล่าวหาและพูดร้ายต่อเขา ถ้าท่านแบ่งอาหารให้แก่คนหิว และตอบสนองความต้องการของผู้มีทุกข์ ความสว่างของท่านจะปรากฏขึ้นในความมืด และความมืดของท่านจะเป็นเหมือนเวลาเที่ยงวัน องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงนำท่านตลอดไป จะตอบสนองความต้องการของท่านในแผ่นดินแห้งแล้ง จะทรงทำให้กระดูกของท่านแข็งแรง ท่านจะเป็นเหมือนสวนที่มีน้ำรด เป็นเหมือนพุน้ำที่มีน้ำไหลไม่หยุด ประชากรของท่านจะบูรณะซากปรักหักพังโบราณขึ้นใหม่ ท่านจะวางรากฐานที่เคยวางไว้แต่โบราณขึ้นมาอีก ท่านจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ซ่อมกำแพงที่พังแล้ว เป็นผู้บูรณะถนนให้มีบ้านเรือนเป็นที่อาศัย
ถ้าท่านหยุดละเมิดวันสะบาโต คือไม่ทำตามใจชอบในวันศักดิ์สิทธิ์ของเราเรียกวันสะบาโตว่า “วันปีติยินดี” และเรียกวันศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “วันน่าเคารพ” ถ้าท่านให้เกียรติวันนั้นโดยไม่เดินทาง เลิกแสวงหาสิ่งที่ท่านพอใจ และเลิกพูดเรื่องไร้สาระ ท่านจะได้ความปีติยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า และเราจะให้ท่านขี่ม้าฉลองชัยอยู่บนที่สูงของแผ่นดิน เราจะเลี้ยงท่านด้วยมรดกของยาโคบบิดาของท่าน เพราะพระโอษฐ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสแล้ว”


พระวรสาร ลก 5:27-32

หลังจากนั้น พระองค์เสด็จออกไป ทอดพระเนตรเห็นคนเก็บภาษีคนหนึ่งชื่อเลวีนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสสั่งเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เลวีก็ลุกขึ้น ละทิ้งทุกสิ่ง แล้วตามพระองค์ไป
เลวีจัดเลี้ยงใหญ่ในบ้านของตนเป็นเกียรติแด่พระองค์ คนเก็บภาษีและคนอื่น ๆ จำนวนมากมาร่วมโต๊ะด้วย บรรดาชาวฟาริสีและธรรมาจารย์ของเขาเหล่านั้นกล่าวด้วยความไม่พอใจกับบรรดาศิษย์ของพระองค์ว่า “ทำไมท่านทั้งหลายจึงกินอาหารและดื่มกับคนเก็บภาษีและคนบาปเล่า”
พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “คนสบายดีย่อมไม่ต้องการหมอ แต่คนป่วยต้องการ เราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเพื่อเรียกคนบาปให้กลับใจ”



ข้อคิด

คงมีบางครั้งที่เราอาจได้เคยตัดสินผู้อื่นในใจ หรือใส่ร้ายป้ายสีเขาไปเรียบร้อย แต่ภายหลังกลับมาพบว่าความเป็นจริงของคนๆ นั้นไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เราคิดเลย ...เป็นเรื่องง่ายที่เราจะประณามผู้อื่นว่าเป็นคนไม่ดี แต่พระเยซูเจ้าไม่เคยทำเช่นนั้น สิ่งที่เป็นพระลักษณะของพระองค์ก็คือ “การให้โอกาส” ...สำหรับชาวฟาริสี การกลับใจคือเงื่อนไขสำหรับการให้อภัย แต่สำหรับพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงให้อภัยก่อน และนั่นนำมาซึ่งการกลับใจ ...เพียงวาจาเดียว “จงตามเรามาเถิด” ทำให้เลวีลุกขึ้น ละทิ้งทุกสิ่ง แล้วตามพระองค์ไป ...พระวาจาเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความจริงใจและให้โอกาส ก็เพียงพอสำหรับคนๆ หนึ่งที่เคยถูกประณามจากคนรอบข้างว่าเป็นคนบาป ให้ “กลับใจ” ได้
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

อาทิตย์ ก.พ. 26, 2012 2:24 pm

วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2012
สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล ปฐก 9:8-15

พระเจ้าตรัสกับโนอาห์และบรรดาบุตรของเขาว่า “ดูซิ บัดนี้เราจะทำพันธสัญญาของเรากับท่านและกับลูกหลานของท่านในภายหน้า และกับบรรดาสิ่งมีชีวิตที่อยู่กับท่านด้วย คือ นก สัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่าทุกชนิดที่อยู่กับท่าน สัตว์ทุกชนิดที่ออกมาจากเรือ และที่จะมีชีวิตบนแผ่นดิน เราจะทำพันธสัญญาของเราไว้กับท่านว่า เราจะไม่ให้น้ำวินาศมาทำลายสรรพสิ่งที่มีชีวิตอีก และน้ำวินาศจะไม่ท่วมทำลายแผ่นดินอีกเลย”
พระเจ้าตรัสว่า “นี่คือเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาซึ่งเวลานี้เรากำลังทำระหว่างเรากับท่าน และกับบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่อยู่กับท่านสืบไปทุกชั่วอายุ เราจะตั้งรุ้งของเราไว้บนเมฆ รุ้งนี้จะเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาระหว่างเรากับแผ่นดิน เมื่อเราจะให้เมฆอยู่เหนือแผ่นดิน และรุ้งจะปรากฏขึ้นบนเมฆ เราจะระลึกถึงพันธสัญญาระหว่างเรากับท่านและกับสรรพสิ่งที่มีชีวิต และน้ำวินาศจะไม่ท่วมทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหมดอีก



บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปโตร ฉบับที่หนึ่ง 1 ปต 3:18-22

พี่น้องที่รักยิ่ง พระคริสตเจ้าได้สิ้นพระชนม์เพียงครั้งเดียวเพราะบาป พระองค์ผู้ทรงชอบธรรมสิ้นพระชนม์เพื่อคนอธรรม พระองค์จะทรงนำเราไปเฝ้าพระเจ้า พระองค์ทรงถูกประหารในสภาพมนุษย์ แต่พระจิตเจ้าได้ประทานชีวิตให้พระองค์อีก พระจิตเจ้ายังทรงนำพระองค์ให้ไปประกาศความรอดพ้นให้แก่จิตที่ถูกจองจำ ในกาลก่อน จิตเหล่านี้มิได้ยอมเชื่อฟังเมื่อพระเจ้าทรงรอคอยอยู่ด้วยความพากเพียร ขณะที่โนอาห์กำลังต่อเรือ ซึ่งได้ช่วยชีวิตคนจำนวนน้อย นั่นคือเพียงแปดชีวิตให้รอดพ้นจากน้ำวินาศ น้ำนั้นเป็นรูปแบบของศีลล้างบาปที่ช่วยท่านให้รอดพ้นในเวลานี้ มิใช่เป็นการชำระล้างมลทินทางร่างกาย แต่เป็นการอ้อนวอนต่อพระเจ้าด้วยมโนธรรมบริสุทธิ์เดชะการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้า ผู้เสด็จสู่สวรรค์และประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าโดยมีทูตสวรรค์ ทั้งศักดิเทพและอิทธิเทพทั้งหลายอยู่ใต้พระอำนาจของพระองค์

พระวรสาร มก 1:12-15

ทันใดนั้น พระจิตเจ้าทรงผลักดันพระองค์ให้เสด็จเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร พระองค์ประทับอยู่ที่นั่นสี่สิบวัน ซาตานมาประจญพระองค์ พระองค์ทรงอยู่กับบรรดาสัตว์ป่า บรรดาทูตสวรรค์ปรนนิบัติรับใช้พระองค์
หลังจากที่ยอห์นถูกจองจำ พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังแคว้นกาลิลี ทรงประกาศเทศนาข่าวดีของพระเจ้า ตรัสว่า ‘เวลาที่กำหนดไว้มาถึงแล้ว พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว จงกลับใจ และเชื่อข่าวดีเถิด’


ข้อคิด

น้ำวินาศ คือ การชำระล้างบาป เป็นภาพล่วงหน้าของการที่พระเยซูเจ้าทรงไถ่มนุษยชาติให้พ้นจากบาปและความตาย “รุ้ง” เตือนใจให้ระลึกถึงพันธสัญญาว่าน้ำวินาศจะไม่ใช่เครื่องมือชำระล้างอีกต่อไป แต่จะกลายเป็น “ศีลล้างบาป” ในพระนามพระบิดา พระบุตร และพระจิตที่จะนำมาซึ่งความรอดพ้น พระเยซูเจ้าทรงเริ่มต้นภารกิจด้วยการประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักร และอันที่จริงชีวิตของพระองค์นั่นแหละที่เป็น “ข่าวดี” สำหรับเรา หากเราเชื่อในพระองค์ พระอาณาจักรของพระเจ้าก็จะมาสู่ชีวิตเรา และจะสมบูรณ์ในสวรรค์
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

จันทร์ ก.พ. 27, 2012 2:32 pm

วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ 2012
สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือเลวีนิติ ลนต 19:1-2,11-18

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งโมเสส ให้บอกชุมชนชาวอิสราเอลทั้งปวงว่า “ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์เพราะเรา องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะต้องไม่ลักขโมย ฉ้อโกง หรือพูดเท็จต่อกัน ท่านจะต้องไม่สาบานเท็จโดยใช้นามของเรา มิฉะนั้นท่านจะลบหลู่พระนามของพระเจ้าของท่าน เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านจะต้องไม่เอารัดเอาเปรียบหรือปล้นสะดมเพื่อนบ้าน ท่านจะต้องไม่ยึดค่าจ้างของลูกจ้างไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น ท่านจะต้องไม่สาปแช่งคนหูหนวก เอาของไปวางขวางทางคนตาบอด แต่ท่านจะต้องยำเกรงพระเจ้าของท่าน เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า”
“ท่านจะต้องไม่ตัดสินคดีอย่างอยุติธรรม ท่านจะต้องไม่ลำเอียงเข้าข้างคนยากจนหรือคนมีอำนาจ แต่จงตัดสินคดีของเพื่อนบ้านอย่างยุติธรรม ท่านจะต้องไม่โพนทะนาใส่ร้ายชนชาติเดียวกับท่าน และไม่ซ้ำเติมเพื่อนบ้านของท่านให้ถูกประหาร เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านจะต้องไม่เก็บความเกลียดชังพี่น้องไว้ในใจ แต่จงตักเตือนเพื่อนบ้านอย่างตรงไปตรงมา ท่านจะได้ไม่ต้องรับผิดชอบบาปของเรา ท่านจะต้องไม่แก้แค้น หรืออาฆาตชนชาติเดียวกับท่าน แต่จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า”

พระวรสาร มธ 25:31-46

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า“เมื่อบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในพระสิริรุ่งโรจน์ พร้อมกับบรรดาทูตสวรรค์ทั้งหลาย พระองค์จะประทับเหนือพระบัลลังก์อันรุ่งโรจน์ บรรดาประชาชาติจะมาชุมนุมกันเฉพาะพระพักตร์ พระองค์จะทรงแยกเขาออกเป็นสองพวก ดังคนเลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะ ให้แกะอยู่เบื้องขวา ส่วนแพะอยู่เบื้องซ้าย
แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสแก่ผู้ที่อยู่เบื้องขวาว่า ‘เชิญมาเถิด ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา เชิญมารับอาณาจักรเป็นมรดกที่เตรียมไว้ให้ท่านแล้วตั้งแต่สร้างโลก เพราะว่า เมื่อเราหิว ท่านให้เรากิน เรากระหาย ท่านให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ต้อนรับ เราไม่มีเสื้อผ้า ท่านก็ให้เสื้อผ้าแก่เรา เราเจ็บป่วย ท่านก็มาเยี่ยม เราอยู่ในคุก ท่านก็มาหา’
บรรดาผู้ชอบธรรมจะทูลถามว่า ‘พระเจ้าข้า เมื่อไรเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงหิว แล้วถวายพระกระยาหาร หรือทรงกระหาย แล้วถวายให้ทรงดื่ม เมื่อใดเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้า แล้วต้อนรับ หรือทรงไม่มีเสื้อผ้า แล้วถวายให้ เมื่อใดเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ประชวรหรือทรงอยู่ในคุกแล้วไปเยี่ยม’
พระมหากษัตริย์จะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา’
แล้วพระองค์จะตรัสกับพวกที่อยู่เบื้องซ้ายว่า ‘ท่านทั้งหลายที่ถูกสาปแช่ง จงไปให้พ้น ลงไปในไฟนิรันดรที่ได้เตรียมไว้ให้ปีศาจและพรรคพวกของมัน เพราะว่า เมื่อเราหิว ท่านไม่ให้อะไรเรากิน เรากระหาย ท่านไม่ให้อะไรเราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ไม่ต้อนรับ เราไม่มีเสื้อผ้า ท่านก็ไม่ให้เสื้อผ้า เราเจ็บป่วยและอยู่ในคุก ท่านก็ไม่มาเยี่ยม’
พวกนั้นจะทูลถามว่า ‘พระเจ้าข้า เมื่อไรเล่าที่ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงหิว ทรงกระหาย ทรงเป็นแขกแปลกหน้า หรือไม่มีเสื้อผ้า เจ็บป่วย หรืออยู่ในคุก และไม่ได้ช่วยเหลือ’
พระองค์จะตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านไม่ได้ทำสิ่งใดต่อผู้ต่ำต้อยของเราคนหนึ่งท่านก็ไม่ได้ทำสิ่งนั้นต่อเรา’ แล้วพวกนี้ก็จะไปรับโทษนิรันดร ส่วนผู้ชอบธรรมจะไปรับชีวิตนิรันดร”



ข้อคิด

แนวทางหนึ่งของการพิจารณามโนธรรมก็คือ การรำพึงพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้า “เราหิว ท่านให้เรากิน เรากระหาย ท่านให้เราดื่ม...” ในวันหนึ่งๆ เราแสดงออกซึ่งความรักต่อองค์พระเจ้าผ่านทางเพื่อนมนุษย์มากน้อยเพียงใด ...ขอให้เรารู้จัก “แบ่งปัน” มิใช่อย่างเสียมิได้ “ให้” มิใช่เพียงเพราะเรามีมากกว่า “กระทำกิจการดี” มิใช่เพื่อหวังบุญกุศลหรือรางวัลในโลกหน้า แต่ความดีต่างๆ ที่เรากระทำกับผู้อื่นก็เพราะความสำนึกที่ว่า “ทุกคนต่างเป็นลูกของพระเจ้า” และไม่ว่าใครก็สมควรได้รับความรักของพระองค์ผ่านทาง “มือ” ของเรา
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

อังคาร ก.พ. 28, 2012 6:58 pm

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ 2012
สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 55:9-11

พระเจ้าตรัสว่า “ฝนและหิมะลงมาจากท้องฟ้า และไม่กลับไปที่นั่นถ้าไม่ได้รดแผ่นดิน ทำให้แผ่นดินอุดม ทำให้พืชงอกขึ้น เพื่อให้ผู้หว่านมีเมล็ดพันธุ์ และให้ผู้กินมีอาหารฉันใด
ถ้อยคำที่ออกจากปากของเรา จะไม่กลับมาหาเราโดยไม่เกิดผล ไม่ทำตามที่เราปรารถนา และไม่บรรลุจุดประสงค์ที่เราส่งมาฉันนั้น”


พระวรสาร มธ 6:7-15

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เมื่อท่านอธิษฐานภาวนา จงอย่าพูดซ้ำเหมือนคนต่างศาสนา เขาคิดว่าถ้าเขาพูดมากพระเจ้าจะทรงสดับฟัง อย่าทำเหมือนเขาเลย เพราะพระบิดาของท่านทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการอะไร ก่อนที่ท่านจะขอเสียอีก เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงอธิษฐานภาวนาดังนี้
“ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์
พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ
พระอาณาจักรจงมาถึง
พระประสงค์จงสำเร็จในแผ่นดิน เหมือนในสวรรค์
โปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายในวันนี้
โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้าเหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น
โปรดช่วยข้าพเจ้าไม่ให้แพ้การประจญ
แต่โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้ายเทอญ”
เพราะถ้าท่านให้อภัยผู้ทำความผิด พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ ก็จะประทานอภัยแก่ท่านด้วย แต่ถ้าท่านไม่ให้อภัยผู้ทำความผิด พระบิดาของท่านก็จะไม่ประทานอภัยแก่ท่านเช่นเดียวกัน”


ข้อคิด

พระวาจาของพระเจ้าทรงพลานุภาพ แทรกซึมเข้าในจิตใจและทำให้บังเกิดผลกับผู้ฟังพระวาจานั้น ดั่งฝนที่ตกรดผืนดินนำความฉ่ำเย็น ชุ่มชื้น และทำให้เกิดชีวิต หากเรา “เปิดใจ” รับฟังพระวาจาด้วยความเชื่ออย่างแท้จริง นำไป “ปฏิบัติ” ให้บังเกิดผลกับชีวิต และ “ประกาศ” พระวาจานั้นกับผู้อื่น พระประสงค์ของพระเจ้าก็สำเร็จไปในแผ่นดิน เพราะไม่ใช่แต่เพียง “ตัวเรา” เท่านั้น แต่จะเป็น “บุคคลรอบข้าง” ที่รับข่าวดีจากการประกาศของเราด้วย ที่จะได้รับการหล่อเลี้ยงด้วย “อาหารประจำวัน” ที่ทรงประทานแก่เรา และเมื่อมีพละกำลังโดยอาศัยพระวาจาแล้ว ก็แน่นอนที่เราจะสามารถเอาชนะการประจญได้ด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้า
ภาพประจำตัวสมาชิก
billa-bong
~@
โพสต์: 668
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ค. 14, 2006 12:16 pm
ที่อยู่: thailand

พฤหัสฯ. มี.ค. 01, 2012 3:08 pm

นพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ 2012
สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลมหาพรต


บทอ่านจากหนังสือประกาศกโยนาห์ ยนา 3:1-10

พระดำรัสของพระเจ้ามาถึงโยนาห์เป็นคำรบสองว่า“จงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์นครใหญ่ และประกาศข่าวแก่ชาวนีนะเวห์ตามที่เราบอกเจ้า” โยนาห์จึงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์ตามพระวจนะของพระเจ้า

นีนะเวห์นั้นเป็นนครใหญ่โตมากทีเดียว ถ้าจะเดินข้ามเมืองก็กินเวลาสามวัน โยนาห์ตั้งต้นเดินเข้าไปในเมืองนั้นเป็นระยะทางเดินหนึ่งวัน และร้องประกาศว่า “อีกสี่สิบวันนีนะเวห์จะถูกทำลายสิ้น” ฝ่ายผู้คนชาวเมืองนีนะเวห์ได้เชื่อฟังพระเป็นเจ้า เขาประกาศให้ถือศีลอดอาหารและสวมผ้ากระสอบ นับตั้งแต่ผู้ใหญ่ที่สุดลงมาถึงผู้น้อยที่สุด

ข่าวนี้แพร่ไปถึงกษัตริย์นครนีนะเวห์ พระองค์ทรงลุกขึ้นจากพระที่นั่ง ทรงเปลื้องฉลองพระองค์ออก ทรงสวมผ้ากระสอบแทน และประทับบนกองขี้เถ้า ทรงออกพระราชกฤษฏีกาประกาศไปทั่วนครนีนะเวห์โดยอาศัยอำนาจกษัตริย์และขุนนางทั้งหลายว่า “คนหรือสัตว์ ไม่ว่าสัตว์ใหญ่หรือสัตว์เล็ก ห้ามลิ้มรสสิ่งใดทั้งสิ้น อย่าให้กินอาหาร อย่าให้ดื่มน้ำ ให้ทั้งคนและสัตว์นุ่งห่มผ้ากระสอบ ให้ตั้งจิตตั้งใจร้องทูลต่อพระเจ้า ให้แต่ละคนเลิกประพฤติชั่วช้า ละทิ้งการทารุณที่ได้กระทำเสีย ใครจะรู้ได้ บางทีพระเป็นเจ้าจะทรงเปลี่ยนพระทัยและทรงเอ็นดูกรุณาคลายพระพิโรธอันรุนแรงของพระองค์ เพื่อเราจะไม่ต้องพินาศไป”

พระเป็นเจ้าทรงทอดพระเนตรการกระทำของเขาว่าได้กลับใจไม่ประพฤติชั่วต่อไป ก็ทรงพระกรุณามิได้ทรงลงโทษเขาตามที่ทรงขู่ไว้

พระวรสารนักบุญลูกา ลก 11:29-32

เวลานั้น เมื่อประชาชนมาชุมนุมกันมากขึ้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “คนยุคนี้เป็นคนชั่วร้าย อยากเห็นเครื่องหมาย แต่จะไม่มีเครื่องหมายใดให้เห็นนอกจากเครื่องหมายของประกาศกโยนาห์เท่านั้น โยนาห์เป็นเครื่องหมายสำหรับชาวนีนะเวห์ฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะเป็นเครื่องหมายสำหรับคนยุคนี้ฉันนั้น ในวันพิพากษา พระราชินีแห่งทิศใต้จะทรงลุกขึ้นและทรงกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะพระนางเสด็จมาจากสุดปลายแผ่นดิน เพื่อฟังพระปรีชาสุขุมของกษัตริย์ซาโลมอน แต่ที่นี่ มีผู้ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ซาโลมอนอีก ในวันพิพากษา ชาวนีนะเวห์จะลุกขึ้นและกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะชาวนีนะเวห์ได้กลับใจเมื่อได้ฟังคำเทศน์ของประกาศกโยนาห์ แต่ที่นี่ มีผู้ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์อีก

ข้อคิด

พระเมตตาของพระเจ้ายิ่งใหญ่ ทรงให้อภัยเสมอ แม้เราจะผิดพลาดบกพร่องพระองค์ก็ทรงรักและเอาพระทัยใส่ แต่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือ พระเจ้าได้ทรงมอบพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ให้กับเรา เพื่อจะเป็น “เครื่องหมาย” แห่งความรักอันล้นพ้นที่เราแลเห็นและสัมผัสได้ ...เทศกาลมหาพรตเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่เราจะ “ทบทวน” ความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเราผู้เป็นคนบาป และ “กลับใจ” เพราะผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าซาโลมอนและโยนาห์ได้เสด็จมาประทับอยู่ท่ามกลางเราแล้ว และยังคงอยู่กับพระศาสนจักรโดยทางองค์พระจิตเจ้า
ตอบกลับโพส