พระวาจา ปจว. 6 พ.ย. 2555 โดยคุณพ่อสมเกียรติ ตรีนิกร

รวม ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับพระคัมภีร์ไบเบิ้ล
เข้าใจ พระคัมภีร์ ชีวิต และคำสั่งสอนของพระเยซูคริสต์ ตามลำดับ อย่างง่ายๆ
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
tuztiz
โพสต์: 423
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.พ. 19, 2007 7:45 pm

จันทร์ พ.ย. 05, 2012 8:16 pm

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน 2012 สัปดาห์ที่ 31 เทศกาลธรรมดา
“quod simile simili cognoscitur” อ่านว่า กว๊อด ซีมีเล ซีมีลี โคยอสชีตูร์ แปลว่า อะไรที่เหมือนกันก็ย่อมรู้จักกัน (Summa Theologiae Ia, 84,2) เช้าวันนี้ขออ้างอิงปรมาจารย์โทมัส อาควีนัสหน่อยครับ เรียกว่า จากหนังสือที่ยากและประเสริฐสุดทางปรัชญาและเทววทิยาของท่านนักบุญที่เป็นปราชญ์ของพระศาสนจักรท่านนี้ หลายคนบอกว่าดีที่ท่านอายุสั้น ถ้าท่านอายุยืนเราคงเรียนคงอ่านเทววิทยากันตายแน่ๆ เขียนเป็นภาษาลาตินยากส์ด้วยครับ แต่ประโยคที่ยกมาวันนี้ได้ยินอาจารย์พ่อสมัยที่พ่อเรียนชอบอ้างกันนักหนา ประโยคนี้แปลได้ว่า “อะไรที่เหมือนๆกันก็ย่อมจะรู้จักกัน” อะไรประมาณนี้แหละครับ... ทำไมพ่อจึงเริ่มแบบนี้ เพราะว่า สิ่งที่เหมือนกัน คล้ายกัน ย่อมรู้จักกันได้ดีพ่อมีประเด็นให้ไตร่ตรองครับ ลองพิจารณาดูนะครับ
• ถ้าเราเป็น “คน” เป็นมนุษย์ เราได้พบคนได้พบเพื่อมนุษย์ เราย่อมจะ “รู้” หรือรู้จัก หรือมั่นใจได้ทันที่ว่า คนนั้นคือคนเหมือนกับเรา เราย่อมรู้จักกันทันทีในความเป็นคนไม่ใช่หรือครับ เพราะมีหัว มีตา มีแขน มีขา มีร่างกายสามสิบสอง มีลักษณะเหมือนกับเรา เราย่อมรู้จักกัน เข้าใจกัน และรู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน “ใช่ไหมครับ” แต่ที่น่าแปลก คนเรามักจะไม่ค่อยรู้จักกันเพราะสิ่งภายนอก เครื่องแบบ การแต่งการ ความร่ำรวย รถ เครื่องเพชร กระเป๋าแบรน์ดเนม และสิ่งประกอบภายนอกที่ใช้กลับบ่อยครั้งทำให้เรามองว่าเรากับคนอื่นๆหรือหลายคน ไม่ใช่พวกเดียวกัน ไม่ค่อยมองเขาเป็นคนเหมือนกันเรา... น่าคิดนะครับ บางทีเราไม่เห็น “พี่น้อง” บางคน อยู่ในสายตาเพียงเพราะไม่มี ไม่รวย ไม่มีฐานะ ไม่โน่นไม่นี่เต็มไปหมด ไม่ไฮโซ ไม่หรู... ก็แบบนี้นะครับ ทั้งที่เหมือนกันจริงตรงที่เป็น “คน” แต่เรากลับกำหนดการรู้จัก การจับกลุ่มจับพวก ที่อาศัยสิ่งอื่นๆ ที่ทำให้เรามองข้ามความเหมือนกันไปได้อย่างไร
• พ่อเคยนั่งรถยนต์กับสามเณรบ่อยๆ และบ่อยครั้งก็มีคำชมกันว่า รถคันนั้นสวย หรู เลิศ เริด หรือเจ๋ง พ่อมักจะถามโดยไม่มองและไม่เปิดตามองด้วยว่า เออ มันมีกี่ล้อ เขาตอบว่า สี่ล้อ พ่อก็ตอบว่าเออ ก็เท่ากับของเรานี่น่า และมันมีกี่ประตูพ่อถามต่อ เณรตอบว่า สปอร์ตสองประตูครับ พ่อตอบว่า ของพ่อมีเยอะกว่า เรามีตั้งสี่ประตู.... พูดกันสนุกๆนะครับ เดี๋ยวคนมีรถสปอร์ตจะว่าพ่อเอาได้นะครับ... อันที่จริงพ่อเพียงแต่ต้องการกล่าวถึง “สารัตถะ” หรือ “สาระ” นะครับ รถก็คือรถที่ใช้เป็นยานพาหนะเพื่อเดินทาง ก็เท่านั้นแหละครับ พ่อเคยเห็นซาเล้ง (มอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง) พ่อขี่ แม่ซ้อน อุ้มลูกเล็กบนตักแม่ ลูกอีกสองคนนั่งในช่องวางของของซาเล้ง เขามีแค่สามล้อ (ล้อเล็กๆด้วย) แต่พ่อเห็นรอยยิ้ม หัวเราะ สนุก แม้แต่เจ้าตัวเล็กสุดก็ยืนเชิดหน้าใส่ลมผมกระเซิงยิ่งและอ้าปากกินลม(ปนไอเสียก็เถอะ) อย่างมีความสุข สองคนก็เล่นกันในซาเล้งอย่างมีความสุข คนเป็นพ่อขับก็มีรอยยิ้ม แม่ก็ส่งโอเลี้ยงให้พ่อดูดไปขับไป.... สุข...สุข...สุข... แต่บางทีพ่อก็เห็นเก๋งหรูที่พ่อแม่ลูกนั่งด้วยกันแต่เหมือนอยู่คนละโลก แม่แต่งหน้า... พ่อขับโทรศัพท์ธุรกิจมั้ง...ลูกสองคนข้างหลังต่างเล่นไอโน่น ไอนี่ ใส่หูฟัง ทุกคนไม่มีรอยยิ้มกันเลย บางคันก็โกรธกันเห็นๆ บ่นกันเห็นๆ บางทีเพราะรถแพงหรูน่ะ ติดฟีล์มทึบไม่ได้ต้องให้เห็นคนนั่งจะได้เริด แต่ที่จริงๆ เขาก็เห็นนะว่ากำลังโกรธ หรืองอน หรือ บึ้งตึงกันอยู่.... เห็นความแตกต่างๆไหมครับ ซาเล้งกับรถหรู... ชีวิตจริงๆ ก็ “คน” แหละครับ จริงๆ ก็ “ยานพาหนะ”แหละครับ บางทีเราก็ขับรถกันแพงจัง คันละสิบยี่สิบล้านมาขายเมืองไทยก็ซื้อได้ แน่นอนพ่อไม่มีเงิน พ่ออาจไม่มีสิทธิ์พูดอะไรได้มากนัก... แต่วันนี้พูดในฐานะ “มนุษย์” ครับ...
อะไรที่เหมือนกันก็รู้จักกัน.... “พี่น้องครับ วันนี้พ่อขอเตือนสติแรงๆแม้ไม่เกี่ยวกับสตางค์เลยนะครับ” เรา เหมือนกันนะคับ “คนครับ” และที่เหมือนกันมากมากกว่านั้นคือ “เราคริสตชนเหมือนพระคริสตเจ้าครับ” เราต่างเป็นลูกของพระเจ้าครับ เราต้องเห็นกันอยู่ในสายตา ต้องรักกันนะครับ อย่าปล่อยให้สิ่งภายนอก เครื่องประดับ วัตถุนิยม บริโภคนิยม มากลบลบเลือนเกลื่อนจนเกรียน ซึ่งความจริงของเรานะครับ “เราเป็นมนุษย์ เป็นพี่น้อง เป็นลูกพระเหมือนกัน” ต้องรู้จักกันนะครับ.....
อ่านจดหมายถึงชาวฟิลิปปีวันนี้จะเห็นชัดจากคำสอนของเปาโลครับ เราเหมือนพระคริสตเจ้า “จงมีความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกับที่พระคริสตเยซูทรงมีเถิด...” พี่น้องครับ อะไรคือแบบอย่างของพระเยซูหรอครับ นั่นคือ “ถ่อมพระองค์ลงมาเพื่อเรา” ยอมทำตนเองให้ “ว่างเปล่าจากความเป็นพระเจ้ามารับสภาพมนุษย์ดุจเรา” พ่อคิดว่าถ้าเราเป็นเหมือนพระคริสตเจ้า เป็นคริสตชนจริงๆ เราต้อง “รักและเป็นหนึ่งเดียว ร่วมทุกข์ เห็นใจ” กับเพื่อนพี่น้องของเราทุกคนนะครับ คนที่มีมากก็ให้มาก มีน้อยก็ให้น้อย สรุปคือให้ เหมือนกับที่พระคริสตเจ้าให้เราน่ะครับ... พ่อสอนเณรของพ่อเสมอว่า “ถ้าเราให้ ให้ เราจะรู้ว่า เรายังมีพอ เรายังให้ได้อีกนะ... แต่ถ้าเรารอให้เรามีพอ พอแล้วจะให้และแบ่งปัน มันไม่มีวันนั้นหรอกที่เราจะให้ได้... เพราะคำว่า “พอ” สำหรับมนุษย์นั้น ไม่มีทาง บางคนเคยกล่าวไว้หรูๆว่า “ผมพอแล้ว...” แต่ก็ยังโกงเสียจนแทบจะพังกันหมดเลยครับ”... คำว่า “พอ” ไม่มีหรอกครับสำหรับคนที่ไม่ได้คิดเริ่มที่จะให้จากใจจริง.... แต่ถ้าเราเริ่มให้ ให้ เราจะเห็นว่า เออ...เรายังมีนี่นา เรายังให้ได้อีก ให้ได้อีก และมั่นใจได้เลยว่า โลกใบนี้ยังมีพอเหลือเฟือสำหรับมนุษย์ทุกคน....” แต่ที่เรามีคนอดตายทุกวันมากมาย เพราะบางคนยังไม่พอน่ะครับ...
จงมีความรู้สึกนึกคิดเหมือนพระคริสตเจ้านะครับ เพราะเราเหมือนพระองค์จริงๆ ... ใจดี รัก เมตตา และให้เหมือนกับพระองค์... ขอพระอวยพรให้เราเหมือนพระองค์ และให้รู้ว่าเรากับเพื่อนมนุษย์ทุกคนเหมือนกันจริงๆ ในความเป็นบุตรของพระเจ้านะครับ....

ฟป 2:5-11…………..
5จงมีความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกับที่พระคริสตเยซูทรงมีเถิด
6แม้ว่าพระองค์ทรงมีธรรมชาติพระเจ้า
พระองค์ก็มิได้ทรงถือว่าศักดิ์ศรีเสมอพระเจ้านั้น
เป็นสมบัติที่จะต้องหวงแหน
7แต่ทรงสละพระองค์จนหมดสิ้น
ทรงรับสภาพดุจทาสเป็นมนุษย์ดุจเรา
ทรงแสดงพระองค์ในธรรมชาติมนุษย์
8ทรงถ่อมพระองค์จนถึงกับทรงยอมรับแม้ความตาย เป็นความตายบนไม้กางเขน
9เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงเทิดทูนพระองค์ขึ้นสูงส่ง
และประทานพระนามให้แก่พระองค์
พระนามนี้ประเสริฐกว่านามอื่นใดทั้งสิ้น
10เพื่อทุกคนในสวรรค์และบนแผ่นดิน
รวมทั้งใต้พื้นพิภพ
จะย่อเข่าลงนมัสการพระนาม “เยซู” นี้
11และเพื่อชนทุกภาษาจะได้ร้องประกาศว่า
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า
เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์แด่พระเจ้า พระบิดา
ตอบกลับโพส