หน้า 1 จากทั้งหมด 1

พระวาจาวันที่ 7 พ.ย. 2555 โดยคุณพ่อสมเกียรติ ตรีนิกร

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ย. 06, 2012 9:19 am
โดย tuztiz
วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน 2012 สัปดาห์ที่ 31 เทศกาลธรรมดา
“อ่อนโยน ยอมอ่อนโยน คือพลังอันยิ่งใหญ่ อ่อนโยน ไม่ใช่อ่อนแอ ไม่ได้หมายถึงยอมแพ้” การเป็นคริสตชนนั้นเป้าหมายและหัวใจของเราคือพระเยซูเจ้าผู้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และคำภาวนาของสำคัญของเราคือ “บทข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย” และมีประโยคหนึ่งกล่าวว่า “โปรดช่วยข้าพเจ้าไม่ให้แพ้การประจญ... แต่โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้ายเทอญ” การเป็นคริสตชน ความอ่อนโยน ดูเหมือนว่าเป็น “การยอมแพ้” เรื่อยไปกระนั้นหรือ การเป็นคริสตชนทำให้เราต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้ ยอมรับ และไม่ตอบโต้กระนั้นหรือ... ถ้าเราเลียนแบบพระคริสตเจ้าเราต้องยอมตาย เราต้องยอมรับ เราต้องยอมโดยไม่ตอบโต้ ยอมโดนตบ ยอมโดนเฆี่ยน ยอมให้เขาเอาไปตรึงกางเขน และไม่ตอบโต้กระนั้นหรือ ศาสนาคริสต์สอนให้เราเป็นคนขี้แพ้ เป็นคนที่ถ่อมตน ยอมจำนน และไม่ยืนหยัด ไม่ตอบโต้กระนั้นหรือ... ศาสนาที่สอนให้ “รัก” ความรักคือการยอมแพ้ ยอมฝ่ายเดียวกระนั้นหรือ ทำไมเราจะไม่ลุกขึ้นสู้ ทำไมเราไม่ตอบโต้ ทำไมเราต้องยอมเรื่อยไป... ศาสนาคริสต์สอนให้อดทน รักกันจนวันตาย อยู่กันไม่ได้ทำไมไม่หย่าร้างกันไป เลิกกันไป ก็แต่งงานแล้วอยู่กันไม่ได้ อยู่กันไปก็มีแต่ฝ่ายที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว... อีกฝ่ายต้องทน ทน ทน ก็แล้วทำไมไม่เลิกกันไป ไม่หย่าร้างกันไป ทำไมต้องทน... ทำไมไม่เลิกกันไปเสีย เข้าใจได้ไม่เป็นไรหรอก ก็คนเขามันแย่ก็เลิกกันไปเสียสิ... เวลาจะแต่งไม่เห็นคิดอย่างนี้เลย เวลาเข้าพิธีก็ฝันและสัญญาจะรักกันจนวันตาย ไม่ว่ายามสุขหรือยามทุกข์ ป่วยหรือสบาย ความเห็นแก่ตัวก็เป็นอาการป่วยยิ่งกว่าป่วยอีกนะ ก็สัญญากันแล้วนี่นา... ถ้าเลิกกันง่ายๆ จะเรียกว่าสัญญาชีวิต สัญญาแห่งความรักได้อย่าไร...
เวลาแต่งงานหลายคนอยากแต่งงานแบบคริสตชน เพราะคำสัญญาสง่างามน่าประทับใจ บางคนไม่ใช่คาทอลิกด้วยซ้ำแต่อยากใช้คำสัญญาของเรา ก็เวลารักน่ะเราก็กล้าเสี่ยงตลอดชีวิต กล้าสัญญาตลอดชีวิต เพราะ “รัก” แต่เวลาอยู่กันไปนานๆ เมื่อมีปัญหา ก็ไม่อยากเป็นแบบคริสตชนแล้ว เลิกกันสิ ทำไมล่ะ นี่ถ้าไม่ใช่คริสตชนก็เลิกกันไปนานแล้ว... เออ คิดได้ง่ายดี... “คนมีความรักจริงๆ” ไม่มีใครคิดแบบนี้หรอกครับ...
ศาสนาคริสต์ไม่เคยเป็นศาสนาที่ยอมแพ้ แต่เป็นศาสนาที่สอนด้วยคำสอนของพระเยซูเจ้า “คำสอนแห่งความรักบนไม้กางเขน” ความรักทำให้มีศักดิ์ศรี คนไม่มีความรักจริงๆ ไม่เคยเข้าใจหรอกว่าทำไมต้องยอม ทำไมยอมได้ แต่คนที่มีความรักยอมได้จริงๆ พระเยซูเจ้าเป็นแบบอย่าง การยอม ไม่ใช่การยอมแพ้ แต่ “ยอมเพราะรัก” จำไม่ได้หรอว่าศาสนาเราสอนอะไร.... เปาโลสอนอะไรอย่างงดงามเรื่องความรัก ที่เวลามีงานแต่งงานใครๆก็อยากฟัง อยากใช้พระวาจาตอนนี้... เอาสิครับ ทวนกันอีกที หรูจะตายไป “ความรักย่อมอดทน มีใจเอื้อเฟื้อ ไม่อิจฉา ไม่โอ้อวดตนเอง ไม่จองหอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ความรักไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดที่ได้รับ ไม่ยินดีในความชั่ว แต่ร่วมยินดีในความถูกต้อง ความรักให้อภัยทุกอย่าง เชื่อทุกอย่าง หวังทุกอย่าง อดทนทุกอย่าง ความรักไม่มีสิ้นสุด” (1 คร 13:4-8) คำสอนงดงาม และคนที่มีความรักทุกคน ทุกครอบครัวคริสตชนที่เริ่มต้นก็เป็นแบบนี้ ชอบคำสอนนี้ ชอบความรักแบบนี้จริงๆนะครับ สวยงาม พ่อไม่รู้จะอธิบายต่อไปอย่างไร ก็ความรักมันสวยงามเสียขนาดนี้แล้ว จะต้องอธิบายอะไรอีก...
อ้อ มีประการหนึ่งที่สำคัญมาก ความรักไม่ใช่เรื่องของสมอง สมองไม่มีความรัก สมองมีแต่ความคิด เวลาที่มีความรักมันไม่เคยเริ่มที่เหตุผลแม้บ่อยครั้งมักจบลงที่เหตุผลก็ตาม แต่ความรักเริ่มที่หัวใจ... มีใครบ้างที่แต่งงานโดยเริ่มที่สมอง... คิด ว่าถ้าใช่ ถ้าเป็นคนแบบนี้ ดีแบบนี้ น่ารักแบบนี้ ฉันจะรัก ฉันจะเลือก... ไม่มีหรอกครับ แต่ปกติมันเริ่มที่ความรู้สึกว่าใช่ที่เรามักจะเรียกกันว่า “spark ไม่ใช่ speck” คือเริ่มจากความประทับใจ ปิ๊งค์ใจ ใช่เลย แล้วจึงค่อยใช้สมอง (ถ้ายังมีเหลือไม่หน้ามืดจนเกินไป) ค่อยๆศึกษา ตัดสิน ไตร่ตรอง เลือก และลงเอยด้วยการตัดสินใจรับผิดชอบร่วมกัน ไม่ใช่หรือครับ... ความรักเป็นแบบนี้แหละครับ..
เอาล่ะ เขียนมาเดี๋ยวเข้าตัว... แต่คำสอนเรื่องความรัก คำสอนของพระเยซู เป็นแบบนี้จริงๆ พระองค์ทรงรักจึงยอมทุกอย่าง พระองค์คือความรัก ศาสนาเราเสนอรู้พระเยซูเจ้าหรูสุดคือกางเขน และรูปพระหฤทัย เราไม่เคยเห็นรูปสมองของพระเยซูเลยนะครับ 555 ถ้ามีใครวาดรูปพระเยซูและทำเป็นรูปสมองหรือcpu ใหญ่ๆคงขำตาย... ก็บอกแล้วว่าความรักเป็นเรื่องของหัวใจไม่ใช่สมอง หนึ่งสมองสองมือมาที่หลังความรู้สึกของหัวใจแหงๆอยู่แล้ว....
พี่นี้น้องที่รักครับ... คริสตชน คือ ความรัก พระเจ้าคือความรัก พระเจ้าคือหัวใจ คริสตชนคือหัวใจ และหัวใจนั้นมีไว้เพื่อรักครับ ความรักจึงยอมได้ทุกอย่าง....และความรักยอมกันได้ทุกเรื่องจริงๆ ยกเว้น “ยอมแพ้” ใช่ไหมครับ คิดดีสิครับ คนที่ยอมแพ้คือยอมเลิกรัก ยอมไม่รักอีกแล้วนั่นแหละคือยอมแพ้... หลายคนหนึ่งสมองสองมือสองเท้าและคนรอบข้างแนะ ยุ ให้เลิก แต่หัวใจไม่เลิกง่ายๆหรอครับ... ดังนั้น การเป็นคริสตชน ความรัก ไม่แพ้ แพ้ไม่เป็นด้วยซ้ำนะครับ.... พอแล้ววันนี้เขียนเยอะแล้วครับ รักกันมากๆ ยอมเพราะรัก รักจึงยอมรักกันจนวันตาย อ่านจดหมายเปาโลวันนี้จะมีคำตอบเพิ่มขึ้นครับ...ขอพระเจ้าอวยพรให้เราเป็นคริสตชนในความเป็นจริงของชีวิตกันมากขึ้นพระครับ ขอพระเจ้าอวยพรครับ

ฟป 2:12-18……………
12ท่านที่รักยิ่งของข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายเคยเชื่อฟังตลอดมา มิใช่เฉพาะเมื่อข้าพเจ้าอยู่กับท่านเท่านั้น แต่ยิ่งกว่านั้น บัดนี้แม้เมื่อข้าพเจ้าอยู่ห่างไกล ท่านก็ยังเชื่อฟังด้วย ท่านจงออกแรงด้วยความเกรงกลัวจนตัวสั่นเพื่อให้รอดพ้นเถิด 13พระเจ้าทรงทำงานในท่านเพื่อให้ท่านมีทั้งความปรารถนาและความสามารถที่จะทำงานตามพระประสงค์ 14จงทำทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่บ่นหรือโต้เถียง 15ท่านทั้งหลายจะได้ไม่ถูกตำหนิปราศจากเล่ห์กล เป็นบุตรของพระเจ้า ไร้มลทินในหมู่พงศ์พันธุ์ที่คดโกงและชั่วร้าย ฉายแสงในหมู่ชนนี้เสมือนดวงประทีปอยู่ในโลก 16จงยึดพระวาจาแห่งชีวิตมั่นไว้ เพื่อข้าพเจ้าจะได้ภาคภูมิใจในวันของพระคริสตเจ้า ว่าข้าพเจ้ามิได้วิ่งและตรากตรำทำงานโดยเปล่าประโยชน์ 17แม้ว่าข้าพเจ้าจะต้องหลั่งโลหิตเป็นพลีบูชา พร้อมกับที่ท่านถวายความเชื่อ เป็นพลีบูชาแด่พระเจ้า ข้าพเจ้าก็ยินดีและร่วมยินดีกับท่านทุกคน 18ขอให้ท่านทั้งหลายยินดีและร่วมยินดีกับข้าพเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน