++หลั่งโลหิตกับพระเยซูคริสต์ด้วยคำภาวนา++
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ย. 30, 2005 5:46 am
หลั่งโลหิตกับพระเยซูคริสต์ด้วยคำภาวนา
โดย: โปรดปราน ( พีพี )
“หลั่งโลหิตกับพระเยซูคริสต์ด้วยคำภาวนา” วลีทองนี้โดนใจผู้เขียนมากเมื่อได้ฟัง “มิสซิส วาสสุลา ไรเด็น” ฆราวาส นักฟื้นฟูจิตวิญญาณ นิกายกรีก ออทอดอกซ์ ฉันได้ ฟังการเทศนา ฟื้นฟูหัวข้อชีวิตแท้ในพระเจ้า ที่วัดพระมหาไถ่ เมื่อ ปลายปี 2002 มิส ซิส ไรเด็น เป็นพยานว่า พระเยซูเจ้า ตรัสกับเธอถึงการภาวนาให้ผู้อื่น ว่า เป็นการหลั่งโลหิตให้คนอื่น เหมือนพระเยซู ที่ทรงหลั่งโลหิตให้คนบาปบนไม้กางเขนโดยไม่สนใจตัวเอง เพราะการภาวนาเพื่อผู้อื่น นั้นเป็น การแสดงออกถึงความรัก ที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายๆที่เราจะอดทนอธิษฐานภาวนาให้ใครสักคน อย่างใจจดจ่อ อย่างสม่ำเสมอ ด้วยความร้อนรน ด้วยความทุ่มเท และจะเกิดขึ้นได้เมื่อผู้ภาวนาคนนั้นมีความรักความสงสาร ( compassion )ต่อคนที่เขามีภาระใจอธิษฐานภาวนาให้และยิ่งกว่านั้นเขาต้องเข้าใจเรื่องการภาวนาอย่างไม่หยุดหย่อน นั่นหมายถึงมีใจจดจ่อระลึกถึงพระเจ้า พระเยซู และวางใจฤทธิ์เดชของพระจิตตลอดเวลา
ไม่มีสูตรสำเร็จ สำหรับการภาวนาอธิษฐาน อัครทูตเปาโลก็คาดหวังให้การสวดภาวนาเป็นส่วนสำคัญมากต่อชีวิตคริสตชน โดยเหตุนี้ท่านเปาโลได้จำย้ำเตือนในจดหมายฝากของท่านว่า “จงภาวนาอย่างสม่ำเสมอ” (๑ ธส.๕.๑๗ ) “จงภาวนาโดยพระจิตเจ้าทุกเวลา” (อฟ.๖.๑๘ ) หรือ “จงภาวนาในทุกที่ทุกแห่ง” ( ๑ ทธ.๒.๘ ) “ข้าพเจ้าขอร้องท่านทั้งหลายให้วิงวอนอธิษฐานทูลขอ และขอบพระคุณเพื่อคนทั้งปวง” ( ๑ ทธ.๒.๑ ) เมื่อมนุษย์ได้คืนดีกับพระเจ้า โดยพระโลหิตของพระบุตรแล้วเขาต้องมีธรรมชาติใหม่ เพราะเขาเป็นผู้ที่ถูกสร้างใหม่แล้ว ดังนั้นคริสตชนที่มีชีวิตแท้ในพระเจ้า ต้องมีความหิวกระหายอยากจะพูดคุยกับพระเจ้าตลอดเวลา การพูดคุยกับพระบิดาเจ้านั้นคือการอธิษฐานภาวนา
ในหนังสือนักบุญยากอบบทที่ ๕.๑๓-๑๕ เป็นตอนที่คริสตชน คุ้นเคยมากทีเดียว และหลายๆคนได้ นำไปใช้ในชีวิตจริง การอธิษฐานภาวนาดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องลงทุนด้วยเงินทองเลย แต่กลับพบความจริงว่าการภาวนากลับกลายเป็นสิ่งที่ยากที่สุดเรื่องหนึ่งของชาวคริสต์ มีคริสตชนจำนวนมากยินดีทำงานหนักเพื่อให้ได้เงินมาทำบุญให้วัด หรือถวายโบสถ์ หรือให้ความช่วยเหลือคนที่ขัดสน แต่เรามักจะขาดความอดทน ใน การภาวนาให้กันและกัน ฉันเข้าใจว่าการอธิษฐานภาวนาต้องสำคัญมาก “ เพราะพระเยซูเจ้า ยังเป็นนักอธิษฐาน ทรงสอนการอธิษฐาน” จนวาระสุดท้ายของชีวิตที่สวนเกสมานี ก็ทรงอธิษฐานต่อพระบิดาเจ้า และบนกางเขน ๗ พระวาทะสุดท้าย ก็เป็นการพูดกับพระบิดา
๑.ภาวนา เมื่อทุกข์ยาก และเมื่อชื่นชมยินดี
“ มีผู้ใดในพวกท่านทนทุกข์หรือ จงให้ผู้นั้นอธิษฐาน” (ข้อ ๑๓ ) ในยุคของท่านยากอบคริสตชนเป็นชนกลุ่มน้อย และได้รับการเบียดเบียนทั้งจากชาวยิวด้วยกันเอง และจากการปกครองของโรมัน เช่นการขูดรีดภาษี คริสตชนกลุ่มน้อยนี้ทุกข์ยากจนเลือดตากระเด็น แล้วเขาจึงพบวิธีแก้ปัญหานั่นคือ ทูลขอต่อพระเจ้าพระบิดา ด้วยสำนึกว่าตัวเองเป็นลูกเล็กๆ เป็นที่รักของพระเจ้า จึงทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์ สำหรับพวกเราเชื่อว่าพระเจ้าคือ “พ่อ หรือบิดา” เมื่อเราทุกข์ลำบาก เราควรบอกพ่อมิใช่หรือ ตามที่ศึกษาประวัติศาสตร์พระศาสนจักรช่วงไหนที่คริสตชนทุกข์ลำบาก ถูกกดขี่ข่มเหงอย่างหนัก ช่วงนั้นพระศาสนจักร และชุมชนผู้เชื่อเติบโตอย่างรวดเร็ว และเข้มแข็งด้วย เพราะพระเจ้าทรงทำงานในชีวิตคริสตชนแต่ละคน พวกเขาจนมุม จึงต้องพึ่งพาพระเจ้า เพราะเขารู้ว่าไม่สามารถช่วยตัวเองได้ เขาจึง ทูลขอพระเจ้าผู้ที่เขาเชื่อและวางใจ
เมื่อไม่นานมานี้ฉันมีโอกาสสอนศิษยาภิบาลจากประเทศลาว และได้ข้ามฝั่งโขงไปเยี่ยมคริสตจักรและชุมชนคริสเตียนภายในกำแพงนครเวียงจันทน์ จึงพบว่าขณะนี้คริสเตียน ในประเทศลาว เติบโตมาก มีผู้ถวายตัวมอบใจให้พระเยซูคริสต์มากมายทั้งๆที่ รัฐบาลเบียดเบียนและจำกัดเสรีภาพในการนมัสการพระเจ้า คริสตชนที่นั่นพบเคล็ดลับว่า ไม่มีใครหรือ อำนาจใดจะขวางกั้น เสียงอธิษฐานคร่ำครวญต่อพระบิดาที่รัก ฉันจึงไม่แปลกใจเลย ที่พี่น้องคริสตชนในประเทศลาวได้เห็น การอัศจรรย์อย่างมากมาย และมีคนรับเชื่อพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทุกๆวัน นั่นเพราะพวกเขาขะมักเขม้นภาวนาด้วยใจจดจ่อ ดังนั้น พระเจ้าทรงเทพระพรแก่พวกเขาอย่างล้นเหลือพระเจ้าทรงนำผู้ทุกข์ยากด้านจิตวิญญาณมาพักสงบกับพระองค์
การอธิษฐานเมื่อชื่นชมยินดี ในข้อที่ ๑๓ เช่นกัน ท่านยากอบหนุนใจ ให้คริสตชนอธิษฐานเมื่อชื่นชมยินดี ให้ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ทำไมท่านยากอบพูดเช่นนี้ เพราะท่านเตือนคริสตชนให้ตระหนักว่า สิ่งดีๆทั้งหลายที่เข้ามาในชีวิตของเราแต่ละวันนั้น ไม่ใช่เพราะความสามารถ หรือเพราะความเก่ง ความดีของเราเอง แต่เพราะพระเมตตาของพระเจ้าต่างหาก ดังนั้นเราก็ต้องภาวนาขอบคุณพระเจ้า คือการบอกพ่อว่า เราผู้เป็นลูกขอบคุณพ่อที่ให้สิ่งที่ดีๆในชีวิต จึงสมควรที่ลูกต้องสรรเสริญ ชื่นชมคุณพ่อ ที่แสนดีของเรา ในพระคัมภีร์ได้บันทึกบุคคลมากมายที่มีชีวิตด้วยการสรรเสริญพระเจ้า เช่น โมเสส ได้ให้แบบอย่างที่ดีในการขอบพระคุณพระเจ้าเมื่อผ่านพ้นวิกฤติ ( ดู อพยพ ๑๕ ) นางฮันนาห์ ได้ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าเมื่อพระองค์ทรงประทานบุตรชายให้ ( ๑ซามูเอล ๒.๑-๑๐ ) และพระนางมารีย์ เมื่อได้รับการยืนยันจากพี่สาวอลิซาเบธว่าเป็นมารดาของพระผู้เป็นเจ้า พระนางจึงภาวนาสรรเสริญพระเจ้า ด้วยความชื่นชมยินดี ( ลูกา ๑.๔๖-๕๕ ) นอกจากนี้แล้ว ในหนังสือสดุดีเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับการอธิษฐานสรรเสริญด้วยความชื่นชมยินดี
แล้วพวกเราล่ะ ได้รับสิ่งที่ดีมากมายจากพระเจ้าทุกๆวัน จึงสมควรขอบพระคุณพระองค์ด้วยความชื่นชมยินดี อย่างต่อเนื่อง มิใช่หรือ???
โดย: โปรดปราน ( พีพี )
“หลั่งโลหิตกับพระเยซูคริสต์ด้วยคำภาวนา” วลีทองนี้โดนใจผู้เขียนมากเมื่อได้ฟัง “มิสซิส วาสสุลา ไรเด็น” ฆราวาส นักฟื้นฟูจิตวิญญาณ นิกายกรีก ออทอดอกซ์ ฉันได้ ฟังการเทศนา ฟื้นฟูหัวข้อชีวิตแท้ในพระเจ้า ที่วัดพระมหาไถ่ เมื่อ ปลายปี 2002 มิส ซิส ไรเด็น เป็นพยานว่า พระเยซูเจ้า ตรัสกับเธอถึงการภาวนาให้ผู้อื่น ว่า เป็นการหลั่งโลหิตให้คนอื่น เหมือนพระเยซู ที่ทรงหลั่งโลหิตให้คนบาปบนไม้กางเขนโดยไม่สนใจตัวเอง เพราะการภาวนาเพื่อผู้อื่น นั้นเป็น การแสดงออกถึงความรัก ที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายๆที่เราจะอดทนอธิษฐานภาวนาให้ใครสักคน อย่างใจจดจ่อ อย่างสม่ำเสมอ ด้วยความร้อนรน ด้วยความทุ่มเท และจะเกิดขึ้นได้เมื่อผู้ภาวนาคนนั้นมีความรักความสงสาร ( compassion )ต่อคนที่เขามีภาระใจอธิษฐานภาวนาให้และยิ่งกว่านั้นเขาต้องเข้าใจเรื่องการภาวนาอย่างไม่หยุดหย่อน นั่นหมายถึงมีใจจดจ่อระลึกถึงพระเจ้า พระเยซู และวางใจฤทธิ์เดชของพระจิตตลอดเวลา
ไม่มีสูตรสำเร็จ สำหรับการภาวนาอธิษฐาน อัครทูตเปาโลก็คาดหวังให้การสวดภาวนาเป็นส่วนสำคัญมากต่อชีวิตคริสตชน โดยเหตุนี้ท่านเปาโลได้จำย้ำเตือนในจดหมายฝากของท่านว่า “จงภาวนาอย่างสม่ำเสมอ” (๑ ธส.๕.๑๗ ) “จงภาวนาโดยพระจิตเจ้าทุกเวลา” (อฟ.๖.๑๘ ) หรือ “จงภาวนาในทุกที่ทุกแห่ง” ( ๑ ทธ.๒.๘ ) “ข้าพเจ้าขอร้องท่านทั้งหลายให้วิงวอนอธิษฐานทูลขอ และขอบพระคุณเพื่อคนทั้งปวง” ( ๑ ทธ.๒.๑ ) เมื่อมนุษย์ได้คืนดีกับพระเจ้า โดยพระโลหิตของพระบุตรแล้วเขาต้องมีธรรมชาติใหม่ เพราะเขาเป็นผู้ที่ถูกสร้างใหม่แล้ว ดังนั้นคริสตชนที่มีชีวิตแท้ในพระเจ้า ต้องมีความหิวกระหายอยากจะพูดคุยกับพระเจ้าตลอดเวลา การพูดคุยกับพระบิดาเจ้านั้นคือการอธิษฐานภาวนา
ในหนังสือนักบุญยากอบบทที่ ๕.๑๓-๑๕ เป็นตอนที่คริสตชน คุ้นเคยมากทีเดียว และหลายๆคนได้ นำไปใช้ในชีวิตจริง การอธิษฐานภาวนาดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องลงทุนด้วยเงินทองเลย แต่กลับพบความจริงว่าการภาวนากลับกลายเป็นสิ่งที่ยากที่สุดเรื่องหนึ่งของชาวคริสต์ มีคริสตชนจำนวนมากยินดีทำงานหนักเพื่อให้ได้เงินมาทำบุญให้วัด หรือถวายโบสถ์ หรือให้ความช่วยเหลือคนที่ขัดสน แต่เรามักจะขาดความอดทน ใน การภาวนาให้กันและกัน ฉันเข้าใจว่าการอธิษฐานภาวนาต้องสำคัญมาก “ เพราะพระเยซูเจ้า ยังเป็นนักอธิษฐาน ทรงสอนการอธิษฐาน” จนวาระสุดท้ายของชีวิตที่สวนเกสมานี ก็ทรงอธิษฐานต่อพระบิดาเจ้า และบนกางเขน ๗ พระวาทะสุดท้าย ก็เป็นการพูดกับพระบิดา
๑.ภาวนา เมื่อทุกข์ยาก และเมื่อชื่นชมยินดี
“ มีผู้ใดในพวกท่านทนทุกข์หรือ จงให้ผู้นั้นอธิษฐาน” (ข้อ ๑๓ ) ในยุคของท่านยากอบคริสตชนเป็นชนกลุ่มน้อย และได้รับการเบียดเบียนทั้งจากชาวยิวด้วยกันเอง และจากการปกครองของโรมัน เช่นการขูดรีดภาษี คริสตชนกลุ่มน้อยนี้ทุกข์ยากจนเลือดตากระเด็น แล้วเขาจึงพบวิธีแก้ปัญหานั่นคือ ทูลขอต่อพระเจ้าพระบิดา ด้วยสำนึกว่าตัวเองเป็นลูกเล็กๆ เป็นที่รักของพระเจ้า จึงทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์ สำหรับพวกเราเชื่อว่าพระเจ้าคือ “พ่อ หรือบิดา” เมื่อเราทุกข์ลำบาก เราควรบอกพ่อมิใช่หรือ ตามที่ศึกษาประวัติศาสตร์พระศาสนจักรช่วงไหนที่คริสตชนทุกข์ลำบาก ถูกกดขี่ข่มเหงอย่างหนัก ช่วงนั้นพระศาสนจักร และชุมชนผู้เชื่อเติบโตอย่างรวดเร็ว และเข้มแข็งด้วย เพราะพระเจ้าทรงทำงานในชีวิตคริสตชนแต่ละคน พวกเขาจนมุม จึงต้องพึ่งพาพระเจ้า เพราะเขารู้ว่าไม่สามารถช่วยตัวเองได้ เขาจึง ทูลขอพระเจ้าผู้ที่เขาเชื่อและวางใจ
เมื่อไม่นานมานี้ฉันมีโอกาสสอนศิษยาภิบาลจากประเทศลาว และได้ข้ามฝั่งโขงไปเยี่ยมคริสตจักรและชุมชนคริสเตียนภายในกำแพงนครเวียงจันทน์ จึงพบว่าขณะนี้คริสเตียน ในประเทศลาว เติบโตมาก มีผู้ถวายตัวมอบใจให้พระเยซูคริสต์มากมายทั้งๆที่ รัฐบาลเบียดเบียนและจำกัดเสรีภาพในการนมัสการพระเจ้า คริสตชนที่นั่นพบเคล็ดลับว่า ไม่มีใครหรือ อำนาจใดจะขวางกั้น เสียงอธิษฐานคร่ำครวญต่อพระบิดาที่รัก ฉันจึงไม่แปลกใจเลย ที่พี่น้องคริสตชนในประเทศลาวได้เห็น การอัศจรรย์อย่างมากมาย และมีคนรับเชื่อพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทุกๆวัน นั่นเพราะพวกเขาขะมักเขม้นภาวนาด้วยใจจดจ่อ ดังนั้น พระเจ้าทรงเทพระพรแก่พวกเขาอย่างล้นเหลือพระเจ้าทรงนำผู้ทุกข์ยากด้านจิตวิญญาณมาพักสงบกับพระองค์
การอธิษฐานเมื่อชื่นชมยินดี ในข้อที่ ๑๓ เช่นกัน ท่านยากอบหนุนใจ ให้คริสตชนอธิษฐานเมื่อชื่นชมยินดี ให้ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ทำไมท่านยากอบพูดเช่นนี้ เพราะท่านเตือนคริสตชนให้ตระหนักว่า สิ่งดีๆทั้งหลายที่เข้ามาในชีวิตของเราแต่ละวันนั้น ไม่ใช่เพราะความสามารถ หรือเพราะความเก่ง ความดีของเราเอง แต่เพราะพระเมตตาของพระเจ้าต่างหาก ดังนั้นเราก็ต้องภาวนาขอบคุณพระเจ้า คือการบอกพ่อว่า เราผู้เป็นลูกขอบคุณพ่อที่ให้สิ่งที่ดีๆในชีวิต จึงสมควรที่ลูกต้องสรรเสริญ ชื่นชมคุณพ่อ ที่แสนดีของเรา ในพระคัมภีร์ได้บันทึกบุคคลมากมายที่มีชีวิตด้วยการสรรเสริญพระเจ้า เช่น โมเสส ได้ให้แบบอย่างที่ดีในการขอบพระคุณพระเจ้าเมื่อผ่านพ้นวิกฤติ ( ดู อพยพ ๑๕ ) นางฮันนาห์ ได้ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าเมื่อพระองค์ทรงประทานบุตรชายให้ ( ๑ซามูเอล ๒.๑-๑๐ ) และพระนางมารีย์ เมื่อได้รับการยืนยันจากพี่สาวอลิซาเบธว่าเป็นมารดาของพระผู้เป็นเจ้า พระนางจึงภาวนาสรรเสริญพระเจ้า ด้วยความชื่นชมยินดี ( ลูกา ๑.๔๖-๕๕ ) นอกจากนี้แล้ว ในหนังสือสดุดีเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับการอธิษฐานสรรเสริญด้วยความชื่นชมยินดี
แล้วพวกเราล่ะ ได้รับสิ่งที่ดีมากมายจากพระเจ้าทุกๆวัน จึงสมควรขอบพระคุณพระองค์ด้วยความชื่นชมยินดี อย่างต่อเนื่อง มิใช่หรือ???