<<: หญิงร้าย VS ชายชั่ว:>>
โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 12, 2006 11:29 am
หญิงร้าย VS ชายชั่ว
โดย: โปรดปราน ( พีพี )
��มื่อเร็วๆนี้มีคริสตชนถามฉันว่า “ใครคือผู้ชายที่เลว หรือชั่วร้ายที่สุดในพระคัมภีร์” พูดจริงๆเป็นเรื่องยากมาก ที่คนบาปอย่างฉันจะตัดสินว่า ใครเลวที่สุด พร้อมทั้งเสี่ยงต่อข้อกล่าวหาว่าลบหลู่สุภาพบุรุษ ก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ไปรับประทานอาหารเที่ยงฝีมือ มาเซอร์คณะ คาร์เมลไลท์ ( Carmelite Pilgrim Centre “Stella Maris” Haifa-Israel ) และขึ้นไปบนภูเขาคาราเมล ที่แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ฉันคิดถึง คู่สามี-ภรรยา ที่ชั่วร้าย คู่หนึ่งที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิม คือ “ พระมเหสีเยเซเบล และกษัตริย์อาหับ” ก็ต้องกลับไปอ่านพระคัมภีร์เก่า ๑ พงศ์กษัตริย์ บทที่ ๑๘-๑๙ เป็นเรื่องมเหสีชั่วร้ายของกษัติรย์ อาหับ ที่ละทิ้งพระบัญญัติ หลงไปนับถือ พระบาอัล อาหับนั้นเมียทำให้หลง แต่ตัวเขาได้นำคนอิสราเอลออกห่างจากพระเจ้า ไปนับถือ ประกาศกเท็จ ถึง ๘๕๐ คน (ของพระบาอัล ๔๐๐ คนและของแม่อาเชาราห์ พระคู่พระบาอัล อีก ๔๕๐ คน ) ดังนั้นพระเจ้าทรงใช้ประกาศก เอลิยาห์ ต่อสู้กับพระราชินีชั่วร้าย เยเซเบล นายหญิง หลังบ้าน ของชายชั่วอย่างกษัตริย์อาหับ การประลองยุทธกันครั้งนั้น ระหว่าง ประกาศก เอลียาห์ และประกาศกเท็จที่ภูเขาคาราเมล เอลียาห์ชนะ เพราะพระเจ้าเที่ยงแท้ ทรงช่วยไว้ แต่ผล พระราชินี เยเซเบลลั่นวาจาว่าจะฆ่าเขาให้ได้
บทความนี้ ขอนำ เรื่องสวนองุ่นของนาโบท มาตีแผ่นิสัยของ หญิงร้าย-ชายชั่ว ( ดู ๑ พงศ์กษัตริย์ ๒๑.๑-๒๙ ) เรื่องมีดังนี้ “นาโบท”ชาวยิศเรเอลมีสวนองุ่นอยู่แปลงหนึ่ง ซึ่งเป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษ พระราชาอาหับต้องการสวนแปลงนี้ของนาโบท โดยขอซื้อ ในราคายุติธรรม หรือแลกกับที่ดินแปลงอื่นของเขา อาหับอยากได้ที่ดินแปลงนี้ เพื่อ ปลูกผัก ( ประยุกต์กับปัจจุบัน คือ พวกสถานที่หย่อนใจ ) เพราะสวนองุ่นนี้อยู่ใกล้กับพระราชวังหลังหนึ่ง อาหับต้องการใช้ในช่วงแปรพระราชฐาน นาโบทปฏิเสธพระราชา เพราะเขาเคร่งพระบัญญัติ เขายอมขัดใจพระราชาแต่ไม่ยอมขัดพระบัญญัติของพระเจ้า ( ดู กดว.๓๖.๗,ลวน.๒๕.๒๓-๒๙ ) เพราะที่ดินแปลงนี้เป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษ ซึ่งคนคนอิสราเอลต้องอยู่ในที่ดินมรดก ขายไม่ได้ ถ้าขายต้องให้ญาติคนถัดมาไถ่ถอน ถ้าไม่มีเงินไถ่ถอน ต้องรอปีเสียงเขาสัตว์ จึงจะได้ที่ดินคืน การขาย การแลก เป็นการทำผิดต่อน้ำพระทัยพระเป็นเจ้าและเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ ...พระคัมภีร์ตอนนี้เราสามารถเรียนรู้ดังนี้
��
๑.ผลจากความโลภ
ความโลภ นำไปสู่ความหายนะ พระราชาอาหับเมื่อถูกราษฏรอย่าง นาโบท ปฏิเสธ ก็เสียหน้า ทำให้เขาไม่พอใจ กลัดกลุ้มใจทั้งๆที่เขามีทรัพย์สินมากมาย แต่เขาเป็นโรคจิตที่ไม่พอใจต่อสิ่งที่ตัวเองมี เขา ยังแสวงหาความพอใจด้วยการครอบครองที่ดินมากยิ่งๆขึ้น ไม่รู้จักพอ
ฝ่ายเยเซเบลพระราชินีชั่วร้าย ก็ปลอบใจ สามี บอกว่าความเป็นกษัตริย์ของอาหับนั้นมีอำนาจจะได้ทุกๆอย่างที่เขาต้องการ ดังนั้นนางจึงใช้กฏหมายบทบัญญัติของโมเสส เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองบังหน้า คือพระนางได้เอาศาสนามาบังหน้า สั่งผ่านเจ้านาย และผู้ใหญ่ในเมืองยิศราเอลประกาศให้ประชาชนถืออดอาหาร แล้วให้เชิญนาโบท มาร่วมในพิธีอดอาหาร ให้เชิญนาโบทได้นั่งในที่มีเกียรติ เพื่อแสดงว่านาโบทเป็นที่นับถือของคนในเมืองนั้น แผนต่อมาให้คนถ่อย หรือคนเลวมานั่งตรงข้ามนาโบทและด่าว่าเขาอย่างเสียหาย ด้วยถ้อยคำหยาบคาย เนื้อความที่ฟ้องร้องว่านาโบทคือ “นาโบทแช่งด่าพระเจ้า และพระราชา”นั่นคือดูหมิ่นพระเจ้า และพระราชา ซึ่งตามบัญญัติของโมเสสแล้ว ผู้นั้นจะต้องถูกหินขว้างตาย ( ดู ฉธบ.๑๗.๖,๑๙.๑๕,อพย.๒๒.๒๘,ลวต.๒๔.๑๖ ) ในที่สุดทั้งนาโบทและลูกชายทั้งสองคน ก็เสียชีวิตไปเพราะคำตัดสินที่ไม่ชอบธรรม ( ๒ พกษ.๙.๒๖ )
เจ้านายและพวกผู้ใหญ่ได้หลงกล พระราชินีเยเซเบล ที่มีจดหมายไปถึงพวกเขาในเมืองให้ถืออดอาหาร จนมีคนถ่อยมาโกหก แช่งด่าและฟ้องร้องนาโบท แล้วพวกผู้ใหญ่รีบตัดสินใช้บัญญัติของโมเสสจัดการกับคนไร้ความผิด ซึ่งน่าเสียดายที่พวกผู้ใหญ่ และผู้ปกครองเมือง หูเบา ไม่ได้ปกป้องคนชอบธรรม กลับเข้าข้างคนอธรรม โดยไม่ยอมไต่ถามความจริง ปล่อยให้คนคดโกงอาศัยช่องว่าง ตีความทางพระบัญญัติ เป็นจุดของการทำผิดบาป
เมื่อ เดือน กุมภาพันธ์ ๒๐๐๖ ฉันมีโอกาส ร่วมทีมกับเพื่อนชาวอินเดียเสนอผลงานวิชาการทางศาสนศาสตร์ ( Theology )เกี่ยว กับ ชนกลุ่มน้อย ชาวเขา ชาวเผ่า ในเอเชีย ณ ประเทศ บราซิล เราเสนอบทความในมุมมองของ ชนกลุ่มน้อยที่ดินแดนต้องตกไปอยู่ในกำมือของนักล่าเมืองขึ้น และนายทุนส่วนของบทความที่ชนเผ่าสอนลูกหลานว่า “ที่ดินเป็นของพระผู้อยู่เหนือธรรมชาติ ไม่มีใครร่ำรวยจากการขายผืนดิน อย่าโลภเรื่องที่ดินถ้าอยากมีอายุยืนยาว ผืนดินคือชีวิต คนที่ไม่มีที่ดินมักจะโกง และเขาจะเป็นพลเมืองที่เลว ผืนดินจะร้องไห้ ถ้ามันตกอยู่ในมือของคนโลภ ผืนดินไม่เคยโกหก ใครที่ปล้นผืนดินของผู้อื่นจะอายุสั้น ผืนดินจะเหมือนนก มันจะบินไปจากมือคนโลภ คุณสามารถขายอะไรก็ได้ ไม่ใช่ผืนดิน”
โดย: โปรดปราน ( พีพี )
��มื่อเร็วๆนี้มีคริสตชนถามฉันว่า “ใครคือผู้ชายที่เลว หรือชั่วร้ายที่สุดในพระคัมภีร์” พูดจริงๆเป็นเรื่องยากมาก ที่คนบาปอย่างฉันจะตัดสินว่า ใครเลวที่สุด พร้อมทั้งเสี่ยงต่อข้อกล่าวหาว่าลบหลู่สุภาพบุรุษ ก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ไปรับประทานอาหารเที่ยงฝีมือ มาเซอร์คณะ คาร์เมลไลท์ ( Carmelite Pilgrim Centre “Stella Maris” Haifa-Israel ) และขึ้นไปบนภูเขาคาราเมล ที่แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ฉันคิดถึง คู่สามี-ภรรยา ที่ชั่วร้าย คู่หนึ่งที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เดิม คือ “ พระมเหสีเยเซเบล และกษัตริย์อาหับ” ก็ต้องกลับไปอ่านพระคัมภีร์เก่า ๑ พงศ์กษัตริย์ บทที่ ๑๘-๑๙ เป็นเรื่องมเหสีชั่วร้ายของกษัติรย์ อาหับ ที่ละทิ้งพระบัญญัติ หลงไปนับถือ พระบาอัล อาหับนั้นเมียทำให้หลง แต่ตัวเขาได้นำคนอิสราเอลออกห่างจากพระเจ้า ไปนับถือ ประกาศกเท็จ ถึง ๘๕๐ คน (ของพระบาอัล ๔๐๐ คนและของแม่อาเชาราห์ พระคู่พระบาอัล อีก ๔๕๐ คน ) ดังนั้นพระเจ้าทรงใช้ประกาศก เอลิยาห์ ต่อสู้กับพระราชินีชั่วร้าย เยเซเบล นายหญิง หลังบ้าน ของชายชั่วอย่างกษัตริย์อาหับ การประลองยุทธกันครั้งนั้น ระหว่าง ประกาศก เอลียาห์ และประกาศกเท็จที่ภูเขาคาราเมล เอลียาห์ชนะ เพราะพระเจ้าเที่ยงแท้ ทรงช่วยไว้ แต่ผล พระราชินี เยเซเบลลั่นวาจาว่าจะฆ่าเขาให้ได้
บทความนี้ ขอนำ เรื่องสวนองุ่นของนาโบท มาตีแผ่นิสัยของ หญิงร้าย-ชายชั่ว ( ดู ๑ พงศ์กษัตริย์ ๒๑.๑-๒๙ ) เรื่องมีดังนี้ “นาโบท”ชาวยิศเรเอลมีสวนองุ่นอยู่แปลงหนึ่ง ซึ่งเป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษ พระราชาอาหับต้องการสวนแปลงนี้ของนาโบท โดยขอซื้อ ในราคายุติธรรม หรือแลกกับที่ดินแปลงอื่นของเขา อาหับอยากได้ที่ดินแปลงนี้ เพื่อ ปลูกผัก ( ประยุกต์กับปัจจุบัน คือ พวกสถานที่หย่อนใจ ) เพราะสวนองุ่นนี้อยู่ใกล้กับพระราชวังหลังหนึ่ง อาหับต้องการใช้ในช่วงแปรพระราชฐาน นาโบทปฏิเสธพระราชา เพราะเขาเคร่งพระบัญญัติ เขายอมขัดใจพระราชาแต่ไม่ยอมขัดพระบัญญัติของพระเจ้า ( ดู กดว.๓๖.๗,ลวน.๒๕.๒๓-๒๙ ) เพราะที่ดินแปลงนี้เป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษ ซึ่งคนคนอิสราเอลต้องอยู่ในที่ดินมรดก ขายไม่ได้ ถ้าขายต้องให้ญาติคนถัดมาไถ่ถอน ถ้าไม่มีเงินไถ่ถอน ต้องรอปีเสียงเขาสัตว์ จึงจะได้ที่ดินคืน การขาย การแลก เป็นการทำผิดต่อน้ำพระทัยพระเป็นเจ้าและเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ ...พระคัมภีร์ตอนนี้เราสามารถเรียนรู้ดังนี้
��
๑.ผลจากความโลภ
ความโลภ นำไปสู่ความหายนะ พระราชาอาหับเมื่อถูกราษฏรอย่าง นาโบท ปฏิเสธ ก็เสียหน้า ทำให้เขาไม่พอใจ กลัดกลุ้มใจทั้งๆที่เขามีทรัพย์สินมากมาย แต่เขาเป็นโรคจิตที่ไม่พอใจต่อสิ่งที่ตัวเองมี เขา ยังแสวงหาความพอใจด้วยการครอบครองที่ดินมากยิ่งๆขึ้น ไม่รู้จักพอ
ฝ่ายเยเซเบลพระราชินีชั่วร้าย ก็ปลอบใจ สามี บอกว่าความเป็นกษัตริย์ของอาหับนั้นมีอำนาจจะได้ทุกๆอย่างที่เขาต้องการ ดังนั้นนางจึงใช้กฏหมายบทบัญญัติของโมเสส เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองบังหน้า คือพระนางได้เอาศาสนามาบังหน้า สั่งผ่านเจ้านาย และผู้ใหญ่ในเมืองยิศราเอลประกาศให้ประชาชนถืออดอาหาร แล้วให้เชิญนาโบท มาร่วมในพิธีอดอาหาร ให้เชิญนาโบทได้นั่งในที่มีเกียรติ เพื่อแสดงว่านาโบทเป็นที่นับถือของคนในเมืองนั้น แผนต่อมาให้คนถ่อย หรือคนเลวมานั่งตรงข้ามนาโบทและด่าว่าเขาอย่างเสียหาย ด้วยถ้อยคำหยาบคาย เนื้อความที่ฟ้องร้องว่านาโบทคือ “นาโบทแช่งด่าพระเจ้า และพระราชา”นั่นคือดูหมิ่นพระเจ้า และพระราชา ซึ่งตามบัญญัติของโมเสสแล้ว ผู้นั้นจะต้องถูกหินขว้างตาย ( ดู ฉธบ.๑๗.๖,๑๙.๑๕,อพย.๒๒.๒๘,ลวต.๒๔.๑๖ ) ในที่สุดทั้งนาโบทและลูกชายทั้งสองคน ก็เสียชีวิตไปเพราะคำตัดสินที่ไม่ชอบธรรม ( ๒ พกษ.๙.๒๖ )
เจ้านายและพวกผู้ใหญ่ได้หลงกล พระราชินีเยเซเบล ที่มีจดหมายไปถึงพวกเขาในเมืองให้ถืออดอาหาร จนมีคนถ่อยมาโกหก แช่งด่าและฟ้องร้องนาโบท แล้วพวกผู้ใหญ่รีบตัดสินใช้บัญญัติของโมเสสจัดการกับคนไร้ความผิด ซึ่งน่าเสียดายที่พวกผู้ใหญ่ และผู้ปกครองเมือง หูเบา ไม่ได้ปกป้องคนชอบธรรม กลับเข้าข้างคนอธรรม โดยไม่ยอมไต่ถามความจริง ปล่อยให้คนคดโกงอาศัยช่องว่าง ตีความทางพระบัญญัติ เป็นจุดของการทำผิดบาป
เมื่อ เดือน กุมภาพันธ์ ๒๐๐๖ ฉันมีโอกาส ร่วมทีมกับเพื่อนชาวอินเดียเสนอผลงานวิชาการทางศาสนศาสตร์ ( Theology )เกี่ยว กับ ชนกลุ่มน้อย ชาวเขา ชาวเผ่า ในเอเชีย ณ ประเทศ บราซิล เราเสนอบทความในมุมมองของ ชนกลุ่มน้อยที่ดินแดนต้องตกไปอยู่ในกำมือของนักล่าเมืองขึ้น และนายทุนส่วนของบทความที่ชนเผ่าสอนลูกหลานว่า “ที่ดินเป็นของพระผู้อยู่เหนือธรรมชาติ ไม่มีใครร่ำรวยจากการขายผืนดิน อย่าโลภเรื่องที่ดินถ้าอยากมีอายุยืนยาว ผืนดินคือชีวิต คนที่ไม่มีที่ดินมักจะโกง และเขาจะเป็นพลเมืองที่เลว ผืนดินจะร้องไห้ ถ้ามันตกอยู่ในมือของคนโลภ ผืนดินไม่เคยโกหก ใครที่ปล้นผืนดินของผู้อื่นจะอายุสั้น ผืนดินจะเหมือนนก มันจะบินไปจากมือคนโลภ คุณสามารถขายอะไรก็ได้ ไม่ใช่ผืนดิน”