พระจิตเจ้าทรงเป็นครู
-
- Defender of lawS
- โพสต์: 3324
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
- ที่อยู่: Bangkok
พระจิตเจ้าทรงเป็นครู
โปรดปราน ( พีพี )
ช่วงนี้ฉันดูโทรทัศน์ รู้สึกขบขันกับโฆษณา ที่ มารดา บิดา ของนักเรียน (พรีเซนเตอร์) ใส่ชุดนักเรียนหรือใส่รองเท้าของลูกๆ ไปโรงเรียน ทำให้ครู และเพื่อนๆของลูกๆงง นั่นคือการนำเสนอภาพบรรยากาศ ใกล้เปิดเทอม นำความ ตื่นเต้น มาถึง บิดา มารดา ครู อาจารย์ และพวกร้านขายอุปกรณ์การเรียน ต่าง นำเสนอลดแลกแจกแถมกันยกใหญ่ ฉันคิดถึงบทบาทของ ครู เชื่อว่าเราทุกคนมีบทบาทเป็นทั้งครูและนักเรียนด้วยกันทั้งนั้น ถึงแม้ว่าพวกผู้ใหญ่พ้นสภาพจากนักเรียนนักศึกษาแล้ว บางคนอยู่บ้านต้องสอนลูก สอนภรรยา สอนคนงาน สอนผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เป็นต้น ส่วนคริสตชนเองต้องเรียนรู้ (คือเป็นนักเรียน) จนกว่าจะหมดวาระขัยของอายุ แล้วใครคือครูของพวกเราล่ะ ฉันขอแนะนำครูที่สำคัญคือพระจิตของพระเจ้า หรือเรียกง่ายๆว่า“พระจิตเจ้าทรงเป็นครู” ( ดู จดหมายฝากจากนักบุญเปาโลถึงชาวโครินธ์ฉบับที่ 1 บทที่ 1-2 )
เบื้องหลัง ใน จดหมายฝากของนักบุญเปาโลถึงชาวเมืองโครินธ์ ฉบับที่ 1 บทที่ 1 และ 2 ต้นๆ นั้น เมื่อเราอ่านจะพบว่า นักบุญเปาโลเปรียบเทียบให้เห็นถึงปัญญาของมนุษย์ กับอำนาจทางพระปัญญาของพระเจ้า ซึ่งในสมัยนั้นพวก “ซอฟ-อิซท” ( Sophists ) ได้ออกตระเวนสอนชักชวนให้โต้เถียงปัญหาเพื่ออวดความรู้ความฉลาดหรืออวดภูมิปัญญากัน แต่การเทศนาของท่านเปาโล ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงใช้ท่านให้ประกาศข่าวดี มิใช่ด้วยชั้นเชิงชักชวน เพื่ออวดฉลาดในการพูด เพราะเกรงว่าเรื่องกางเขนของพระคริสต์จะหมดฤทธิ์เดช (1:17) การเทศนาของอัครทูตเปาโลนั้นขึ้นอยู่กับความเชื่อไม่ได้อยู่ที่สติปัญญาของมนุษย์ แต่เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า
เมื่ออัครทูตเปาโลประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ท่ามกลางผู้มีความรู้ ที่เรียกกันว่านักปราชญ์ ความจริงแล้วนักบุญเปาโลสารภาพว่ารู้สึก ‘กลัว หวั่นไหว และอ่อนกำลัง’ แต่ที่เขากล้าประกาศข่าวดี (เทศนา)นั้น เพราะไม่ได้พูดด้วยปัญญาของตนเอง แต่เป็นคำพูดที่มาจากพระเจ้า ซึ่งพระจิตเจ้าทรงสำแดงเดชานุภาพ ไม่ต้องอาศัยปัญญาของมนุษย์ แต่อาศัยฤทธิ์เดชจากพระเจ้า
ขอนำพิจารณาเรื่อง พระจิตทรงสอนอย่างไรในฐานะที่ทรงเป็นครู
1.พระจิตเจ้าทรงสอนถึงความล้ำลึกของพระเจ้า ( ดู 1 โครินธ์ 2 )
ในจดหมายฝาก 1 โครินธ์ บทที่ 2 อัครทูต เปาโลไม่ได้พูดถึงปัญญาของโลกนี้ แต่ท่านกำลังเป็นพยานถึงความล้ำลึกของพระเจ้า ความล้ำลึก (Mystery) คืออะไร ในพระคัมภีร์ใหม่ ปรากฏอยู่ 27 ครั้ง หมายถึงสิ่งที่ไม่เคยค้นพบมาก่อน โดยสติปัญญาของมนุษย์ แต่ได้ถูกสำแดงให้มนุษย์เข้าใจโดยพระจิต ความล้ำลึกที่นักบุญเปาโลเป็นพยานคือพระเยซูคริสต์ถูกตรึง ซึ่งเมื่อก่อนตัวท่านอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติ จึงไม่เคยกล่าวถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่ขณะนี้เปาโลกำลังเป็นพยานถึงพระเยซูเจ้าผู้ที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน คือ พระผู้ช่วยให้รอด ผู้ตายแทนความผิดบาปของโลกนี้
สิ่งที่อัครทูตเปาโลประกาศ คือความล้ำลึกของพระเจ้า ซึ่งท่านรู้จักได้โดยการทรงสำแดงของพระเจ้า แผนการรอดที่พระเจ้าทรงเตรียมทางพระบิดา พระบุตรและโดยการทรงนำของพระจิต (เอเฟซัส 1:3-14) ต่อบรรดาผู้เชื่อทั้งหมด เพราะความรักของพระเจ้า (1 ยอห์น 4:19) “เราทั้งหลายรักก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน” ด้วยเหตุนี้ชาวคริสต์สามารถรู้ได้โดยพระจิต ซึ่งสำแดงแก่เราโดยความล้ำลึกต่างๆจากพระเจ้าเกี่ยวกับความรอด ซึ่ง คือสิ่งที่ตามองไม่เห็นหูไม่ได้ยิน แต่เราจะรู้โดยการสอนของพระจิต
ผู้อ่านลองย้อนคิดถึงชีวิตของเราแต่ละคน มีหลายสิ่งที่พระเจ้าทรงให้พระจิตเป็นผู้สอนเรา ให้เราเข้าใจถึงความล้ำลึกที่ซ่อนอยู่ เชื่อว่าแต่ละคนจะมีประสบการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับการสอนถึงความล้ำลึกที่ซ่อนอยู่ จากประสบการณ์ของฉันเมื่อได้ต้อนรับพระเยซูเป็นพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระจิตทรงสำแดงถึงความล้ำลึกว่าทำไมถึงเลือกฉัน ไม่ใช่เพราะฉันน่ารัก หรือเป็นคนดีมาก หรือเป็นคนพิเศษ แต่ฉันเข้าใจว่าพระเยซูเจ้าทรงรักฉันขณะที่เป็นคนบาป การที่ทรงเลือกฉันเพราะ 1 )เพื่อนำพระพรของพระเจ้าถึงครอบครัว เพราะพระองค์มีประสงค์ให้ฉันเป็นแสงสว่างให้ครอบครัว และพระจิตที่ประทับในฉันให้ความมั่นใจว่าบุคคลในครอบครัวของฉันจะรู้จักพระองค์ ซึ่งต่อมาน้องสาวก็ได้รับเชื่อวางใจในพระเยซูเจ้า 2) เพื่อเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ พระเจ้าทรงสำแดงโดยพระจิตเจ้า คือกระแสเรียกให้ฉันถวายตัวรับใช้พระองค์ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันเดินบนถนนที่ตัวเองอาศัย หรือสัญจร ฉันสัมผัสกับจิตใจคน และรู้สึกสงสารวิญญาณจิตของพวกเขา ไม่ว่าฉันเจอะเจอคนหลายเชื้อชาติ ภาษา ฐานะต่างกัน อยู่ในช่วงชั้นสังคมที่ต่างกัน แต่สิ่งสำคัญที่พระจิตสำแดงแก่ฉันคือเมื่อคนเหล่านั้นจากโลกนี้ แล้วเขาจะไปไหน? เขาต้องแยกกับพระเจ้านิรันดร์หรือ? ดังนั้นฉันในฐานะผู้รู้จักความล้ำลึกของพระเจ้าแล้ว มีภาระที่จะต้องประกาศถึงความล้ำลึกคือเรื่องพระเยซูคริสต์แก่คนที่ยังไม่รู้จักพระองค์ ฉันจึงตอบรับพระกระแสเรียก เข้ารับการอบรมที่สถาบันพระคริสตธรรม ( Seminary )
สมัยที่อัครทูตเปาโลประกาศข่าวดีเรื่องของพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระมหาไถ่ คนยิวแสวงหานิมิต คนกรีก เสาะหาปัญญา คนยิวกำลังรอคอยพระสัญญา มองหาความรอด โดยรอคอยพระเมสสิยาห์ ( พระผู้ช่วยให้รอด )พวกเขาเข้าใจว่าการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์เขาต้องเห็นนิมิตหรือหมายสำคัญต่างๆ ไม่ว่าอยู่ในท้องฟ้า หรือบนพื้นโลก ยิ่งกว่านั้นพระเมสสิยาห์ของเขาควรจะสำแดง ฤทธานุภาพโดยการทำลาย อำนาจของความชั่วหรือศัตรูของพระเจ้า แต่เมื่อพระเยซูเจ้าถูกประกาศว่าเป็นพระเมสสิยาห์ผู้ถูกตรึงโดยพวกเขาไม่เห็นหมายสำคัญอะไรเลย พระเยซูถูกลงโทษโดยถูกตรึงที่กางเขนเหมือนผู้ทำผิดกฎหมายบ้านเมือง พวกยิวรับพระองค์ไม่ได้
ประกาศความล้ำลึกโดยพระจิตเจ้า เพื่อให้ผู้เชื่อหลุดพ้นจากอำนาจเทพเจ้า พระต่างๆ ภูตผี หมอผี หมอดู พ้นจากอำนาจความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน และอำนาจของความตาย คนที่ปฏิเสธพระเจ้า สำหรับเขา กางเขนเป็นเรื่องโง่ คนในยุคที่นักบุญเปาโลประกาศ หรือแม้ในยุคปัจจุบัน พระจิตจึงไม่สามารถสอนเรื่องความล้ำลึกข้อนี้ได้
แท้จริงแล้ว มนุษย์ทุกคนต้องการมากที่สุด คือความรู้เรื่องพระเจ้า ไม่มีมนุษย์คนใดจะสามารถรู้จักพระเจ้าได้โดยปัญญาของตน ยิ่งเสาะหาพระเจ้าด้วยสติปัญญาของตัวเอง ผู้นั้นยิ่งไกลพระเจ้าทุกที
โปรดปราน ( พีพี )
ช่วงนี้ฉันดูโทรทัศน์ รู้สึกขบขันกับโฆษณา ที่ มารดา บิดา ของนักเรียน (พรีเซนเตอร์) ใส่ชุดนักเรียนหรือใส่รองเท้าของลูกๆ ไปโรงเรียน ทำให้ครู และเพื่อนๆของลูกๆงง นั่นคือการนำเสนอภาพบรรยากาศ ใกล้เปิดเทอม นำความ ตื่นเต้น มาถึง บิดา มารดา ครู อาจารย์ และพวกร้านขายอุปกรณ์การเรียน ต่าง นำเสนอลดแลกแจกแถมกันยกใหญ่ ฉันคิดถึงบทบาทของ ครู เชื่อว่าเราทุกคนมีบทบาทเป็นทั้งครูและนักเรียนด้วยกันทั้งนั้น ถึงแม้ว่าพวกผู้ใหญ่พ้นสภาพจากนักเรียนนักศึกษาแล้ว บางคนอยู่บ้านต้องสอนลูก สอนภรรยา สอนคนงาน สอนผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เป็นต้น ส่วนคริสตชนเองต้องเรียนรู้ (คือเป็นนักเรียน) จนกว่าจะหมดวาระขัยของอายุ แล้วใครคือครูของพวกเราล่ะ ฉันขอแนะนำครูที่สำคัญคือพระจิตของพระเจ้า หรือเรียกง่ายๆว่า“พระจิตเจ้าทรงเป็นครู” ( ดู จดหมายฝากจากนักบุญเปาโลถึงชาวโครินธ์ฉบับที่ 1 บทที่ 1-2 )
เบื้องหลัง ใน จดหมายฝากของนักบุญเปาโลถึงชาวเมืองโครินธ์ ฉบับที่ 1 บทที่ 1 และ 2 ต้นๆ นั้น เมื่อเราอ่านจะพบว่า นักบุญเปาโลเปรียบเทียบให้เห็นถึงปัญญาของมนุษย์ กับอำนาจทางพระปัญญาของพระเจ้า ซึ่งในสมัยนั้นพวก “ซอฟ-อิซท” ( Sophists ) ได้ออกตระเวนสอนชักชวนให้โต้เถียงปัญหาเพื่ออวดความรู้ความฉลาดหรืออวดภูมิปัญญากัน แต่การเทศนาของท่านเปาโล ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงใช้ท่านให้ประกาศข่าวดี มิใช่ด้วยชั้นเชิงชักชวน เพื่ออวดฉลาดในการพูด เพราะเกรงว่าเรื่องกางเขนของพระคริสต์จะหมดฤทธิ์เดช (1:17) การเทศนาของอัครทูตเปาโลนั้นขึ้นอยู่กับความเชื่อไม่ได้อยู่ที่สติปัญญาของมนุษย์ แต่เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า
เมื่ออัครทูตเปาโลประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ท่ามกลางผู้มีความรู้ ที่เรียกกันว่านักปราชญ์ ความจริงแล้วนักบุญเปาโลสารภาพว่ารู้สึก ‘กลัว หวั่นไหว และอ่อนกำลัง’ แต่ที่เขากล้าประกาศข่าวดี (เทศนา)นั้น เพราะไม่ได้พูดด้วยปัญญาของตนเอง แต่เป็นคำพูดที่มาจากพระเจ้า ซึ่งพระจิตเจ้าทรงสำแดงเดชานุภาพ ไม่ต้องอาศัยปัญญาของมนุษย์ แต่อาศัยฤทธิ์เดชจากพระเจ้า
ขอนำพิจารณาเรื่อง พระจิตทรงสอนอย่างไรในฐานะที่ทรงเป็นครู
1.พระจิตเจ้าทรงสอนถึงความล้ำลึกของพระเจ้า ( ดู 1 โครินธ์ 2 )
ในจดหมายฝาก 1 โครินธ์ บทที่ 2 อัครทูต เปาโลไม่ได้พูดถึงปัญญาของโลกนี้ แต่ท่านกำลังเป็นพยานถึงความล้ำลึกของพระเจ้า ความล้ำลึก (Mystery) คืออะไร ในพระคัมภีร์ใหม่ ปรากฏอยู่ 27 ครั้ง หมายถึงสิ่งที่ไม่เคยค้นพบมาก่อน โดยสติปัญญาของมนุษย์ แต่ได้ถูกสำแดงให้มนุษย์เข้าใจโดยพระจิต ความล้ำลึกที่นักบุญเปาโลเป็นพยานคือพระเยซูคริสต์ถูกตรึง ซึ่งเมื่อก่อนตัวท่านอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติ จึงไม่เคยกล่าวถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่ขณะนี้เปาโลกำลังเป็นพยานถึงพระเยซูเจ้าผู้ที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน คือ พระผู้ช่วยให้รอด ผู้ตายแทนความผิดบาปของโลกนี้
สิ่งที่อัครทูตเปาโลประกาศ คือความล้ำลึกของพระเจ้า ซึ่งท่านรู้จักได้โดยการทรงสำแดงของพระเจ้า แผนการรอดที่พระเจ้าทรงเตรียมทางพระบิดา พระบุตรและโดยการทรงนำของพระจิต (เอเฟซัส 1:3-14) ต่อบรรดาผู้เชื่อทั้งหมด เพราะความรักของพระเจ้า (1 ยอห์น 4:19) “เราทั้งหลายรักก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน” ด้วยเหตุนี้ชาวคริสต์สามารถรู้ได้โดยพระจิต ซึ่งสำแดงแก่เราโดยความล้ำลึกต่างๆจากพระเจ้าเกี่ยวกับความรอด ซึ่ง คือสิ่งที่ตามองไม่เห็นหูไม่ได้ยิน แต่เราจะรู้โดยการสอนของพระจิต
ผู้อ่านลองย้อนคิดถึงชีวิตของเราแต่ละคน มีหลายสิ่งที่พระเจ้าทรงให้พระจิตเป็นผู้สอนเรา ให้เราเข้าใจถึงความล้ำลึกที่ซ่อนอยู่ เชื่อว่าแต่ละคนจะมีประสบการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับการสอนถึงความล้ำลึกที่ซ่อนอยู่ จากประสบการณ์ของฉันเมื่อได้ต้อนรับพระเยซูเป็นพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระจิตทรงสำแดงถึงความล้ำลึกว่าทำไมถึงเลือกฉัน ไม่ใช่เพราะฉันน่ารัก หรือเป็นคนดีมาก หรือเป็นคนพิเศษ แต่ฉันเข้าใจว่าพระเยซูเจ้าทรงรักฉันขณะที่เป็นคนบาป การที่ทรงเลือกฉันเพราะ 1 )เพื่อนำพระพรของพระเจ้าถึงครอบครัว เพราะพระองค์มีประสงค์ให้ฉันเป็นแสงสว่างให้ครอบครัว และพระจิตที่ประทับในฉันให้ความมั่นใจว่าบุคคลในครอบครัวของฉันจะรู้จักพระองค์ ซึ่งต่อมาน้องสาวก็ได้รับเชื่อวางใจในพระเยซูเจ้า 2) เพื่อเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ พระเจ้าทรงสำแดงโดยพระจิตเจ้า คือกระแสเรียกให้ฉันถวายตัวรับใช้พระองค์ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันเดินบนถนนที่ตัวเองอาศัย หรือสัญจร ฉันสัมผัสกับจิตใจคน และรู้สึกสงสารวิญญาณจิตของพวกเขา ไม่ว่าฉันเจอะเจอคนหลายเชื้อชาติ ภาษา ฐานะต่างกัน อยู่ในช่วงชั้นสังคมที่ต่างกัน แต่สิ่งสำคัญที่พระจิตสำแดงแก่ฉันคือเมื่อคนเหล่านั้นจากโลกนี้ แล้วเขาจะไปไหน? เขาต้องแยกกับพระเจ้านิรันดร์หรือ? ดังนั้นฉันในฐานะผู้รู้จักความล้ำลึกของพระเจ้าแล้ว มีภาระที่จะต้องประกาศถึงความล้ำลึกคือเรื่องพระเยซูคริสต์แก่คนที่ยังไม่รู้จักพระองค์ ฉันจึงตอบรับพระกระแสเรียก เข้ารับการอบรมที่สถาบันพระคริสตธรรม ( Seminary )
สมัยที่อัครทูตเปาโลประกาศข่าวดีเรื่องของพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระมหาไถ่ คนยิวแสวงหานิมิต คนกรีก เสาะหาปัญญา คนยิวกำลังรอคอยพระสัญญา มองหาความรอด โดยรอคอยพระเมสสิยาห์ ( พระผู้ช่วยให้รอด )พวกเขาเข้าใจว่าการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์เขาต้องเห็นนิมิตหรือหมายสำคัญต่างๆ ไม่ว่าอยู่ในท้องฟ้า หรือบนพื้นโลก ยิ่งกว่านั้นพระเมสสิยาห์ของเขาควรจะสำแดง ฤทธานุภาพโดยการทำลาย อำนาจของความชั่วหรือศัตรูของพระเจ้า แต่เมื่อพระเยซูเจ้าถูกประกาศว่าเป็นพระเมสสิยาห์ผู้ถูกตรึงโดยพวกเขาไม่เห็นหมายสำคัญอะไรเลย พระเยซูถูกลงโทษโดยถูกตรึงที่กางเขนเหมือนผู้ทำผิดกฎหมายบ้านเมือง พวกยิวรับพระองค์ไม่ได้
ประกาศความล้ำลึกโดยพระจิตเจ้า เพื่อให้ผู้เชื่อหลุดพ้นจากอำนาจเทพเจ้า พระต่างๆ ภูตผี หมอผี หมอดู พ้นจากอำนาจความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน และอำนาจของความตาย คนที่ปฏิเสธพระเจ้า สำหรับเขา กางเขนเป็นเรื่องโง่ คนในยุคที่นักบุญเปาโลประกาศ หรือแม้ในยุคปัจจุบัน พระจิตจึงไม่สามารถสอนเรื่องความล้ำลึกข้อนี้ได้
แท้จริงแล้ว มนุษย์ทุกคนต้องการมากที่สุด คือความรู้เรื่องพระเจ้า ไม่มีมนุษย์คนใดจะสามารถรู้จักพระเจ้าได้โดยปัญญาของตน ยิ่งเสาะหาพระเจ้าด้วยสติปัญญาของตัวเอง ผู้นั้นยิ่งไกลพระเจ้าทุกที
-
- Defender of lawS
- โพสต์: 3324
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
- ที่อยู่: Bangkok
2. พระจิตทรงสอนคนที่มีพระจิต (1 โครินธ์ 2.12-14 )
นักเรียนของพระจิต ต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญคือ ต้องมีพระจิต กุญแจที่จะเข้าใจพระปัญญาของพระเจ้านั้นขึ้นอยู่กับพระจิตของพระองค์ เพราะพระเจ้าทรงเป็นตัวเชื่อมระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ เพราะโดยพระจิตเท่านั้น ที่จะทำให้บรรดาผู้เชื่อมีความเชื่อ มีความรู้เรื่องพระเจ้า
อัครทูตเปาโลพูดถึง “ปัญญา” (Wisdom) เพราะชาวโครินธ์ (บางคน) ไม่เอาจริง เอาจังกับพระวาจา พระราชกิจที่พระเจ้าทรงสำแดงนั้น (1:21) พระองค์ทรงประทานพระคริสต์ให้เป็น “ปัญญา”ของเรา (ข้อ 12 ) เราไม่ได้รับปัญญาของโลกนี้ แต่รับพระจิตจากพระเจ้า เพื่อว่าพระองค์จะทรงสำแดงหรือสอนแก่เรา (ข้อ 13 ) ท่าน เปาโลเน้นว่าคนที่จะเข้าใจเรื่องปัญญาของพระเจ้า ซึ่งทรงสอนโดยพระจิต ผู้ที่จะเข้าใจคือคนที่มีพระจิต ทุกคนที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอด เชื่อว่าการทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซู คือการทรงเป็นผู้จ่ายค่าจ้างแห่งความผิดบาปแทนเรา คนนั้นมีพระจิตแน่นอน (ข้อ 14 ) คนยุคนี้ (ยุคน.เปาโล) คิดเช่นเดียวกับคนปัจจุบันจะดูถูกว่าเรื่องฝ่ายวิญญาณจิตและเรื่องกางเขนเป็นเรื่องโง่ เพราะว่าเขาไม่มีพระจิตเจ้า คนที่ไม่มีพระจิตของพระเจ้า เขาไม่สามารถรับพระวาจาคือปัญญาของพระเจ้าได้
เชื่อว่าผู้อ่านหลายคนมีประสบการณ์เกี่ยวกับการเลือกสถานศึกษาของตัวเอง หรือเลือกให้ลูกหลาน การที่เราเลือกเรียนคณะวิชาหนึ่ง ของมหาวิทยาลัยใดนั้น เคยถามตัวเองไหมว่ามีองค์ประกอบอะไรที่ทำให้เราเลือกเรียนคณะ/สาขาวิชานั้น และมหาวิทยาลัยเหล่านั้น ความจริงคือเพราะเรามั่นใจว่า คณะที่เราเลือก สาขาวิชาที่เราเรียน และสถานศึกษาที่เราเข้าไปรับศึกษาอบรมนั้นมีการสอนความรู้สาขาวิชาที่เราเลือกแน่นอน ทำไมเรามั่นใจล่ะทั้งๆที่เราไม่เคยเข้าเรียนมาก่อน ที่เรามั่นใจเพราะเราสัมผัสกับผลงานของบุคคลที่จบการศึกษาสถาบันแห่งนั้น หรือเราฟังจากการประชาสัมพันธ์ ก่อนจะเป็นนักศึกษา ผู้เรียนต้องสมัครเข้าไปก่อน และผ่านขบวนการคัดเลือก
ด้วยการไว้วางใจสถาบันการศึกษาภาควิชาที่เลือกเป็นต้น เราเลือกเข้าไปศึกษาก่อนแล้วเราจึงได้คำตอบ
เรื่องชีวิตคริสตชน หรือเรื่องราวของพระเจ้า พระบุตร เรื่องแผ่นดินสวรรค์นั้น ผู้ที่เป็นนักศึกษาต้องมั่นใจว่าเป็นความจริง ต้องมีความเชื่อ แล้วพระจิตจะทรงสอนแก่จิตวิญญาณของเราถึงเรื่องราวของพระองค์ ตลอดถึงการทรงนำในการดำเนินชีวิตแต่ละวัน ผู้มีจิตวิญญาณเท่านั้นจึงสามารถรับคำสอนของพระจิตได้
หลายปีแล้วฉันได้ต้อนรับชาวเนปาลคนหนึ่งมาพักที่บ้าน ซึ่งเธอเพิ่งสำเร็จการศึกษาปริญญาเอกด้านศาสนศาสตร์ (เทวศาสตร์ ) จากสหรัฐอเมริกา และกำลังเดินทางกลับประเทศ ขณะที่พักด้วยกันฉันจึงได้ฟังคำพยานว่า เธอได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ขณะที่เป็นนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ เมื่อสำเร็จศึกษาเธอเป็นพยาบาลตามปกติ แต่เธออยากช่วยเหลือคนฝ่ายจิตมากกว่าฝ่ายกาย ต่อมา เธอได้รับทุนไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ ขณะที่เธอกำลังศึกษาอยู่พระจิตตรัสกับเธออย่างชัดเจนว่า พระเจ้าจะไม่ใช้เธอด้านพยาบาล ให้เธอกลับบ้านไปอบรมด้านเทวศาสตร์เพื่อรับใช้พระองค์ พระจิตตรัสกับเธอเป็นระยะว่าต้องทำอย่างไร ตั้งแต่ เรื่องตั๋วเครื่องบิน ค่าลงทะเบียนเรียน ค่าหอพัก ค่าใช้จ่ายส่วนตัว และในที่สุดเธอสำเร็จการศึกษา ซึ่งปัจจุบันเธอมีงานรับใช้พระเจ้าที่เข้มแข็งในประเทศเนปาล
หลายครั้งจากเหตุการณ์ต่างๆ เราได้เรียนรู้ว่าพระเจ้ามีพระประสงค์ต่อชีวิตของเราแต่ละคนอย่างไร ตามพระคัมภีร์บันทึกว่าความเขลาของพระเจ้า ฉลาดกว่าปัญญาของมนุษย์ ความอ่อนแอของพระเจ้า เข้มแข็งกว่ากำลังของมนุษย์ ความอ่อนแอของพระเจ้า คือการตายของพระเยซูเจ้า มนุษย์เข้าใจว่าการตายเกิดจากความอ่อนแอ (คือต่อสู้ไม่ไหวแล้ว) แต่ความจริงคือการตายของพระเยซูคริสต์มีฤทธิ์อำนาจเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด เพราะความตายของพระเยซูเจ้าได้ช่วยคนบาปให้รอด ให้ได้รับชีวิตนิรันดร์
คนฉลาด หรือความฉลาด ในสายตามนุษย์ เช่นเมื่อผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัยประกาศใครสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ถือว่าเป็นผู้ฉลาด เพราะสามารถต่อสู้กับผู้ลงสนามสอบแข่งจำนวนแสน ยิ่งกว่านั้นใครสอบได้ที่ 1 ของแต่ละสาย หรือแต่ละคณะ ถือว่าเป็นอัจฉริยะ เพราะว่าสมองของเขายอดเยี่ยมมาก อย่างไรก็ตามความฉลาดที่เราดูกันนั้น ดูจากระดับการศึกษา ทักษะของอาชีพ หรือความรู้ปรัชญา หรือความรู้บางอย่างสำหรับยุคนั้น เมื่อพูดถึงอำนาจ โดยทั่วไปเราจะคิดถึง อำนาจในระดับรัฐบาล คือคนมีตำแหน่งสูง หรือคนที่มีอิทธิพลต่อสังคมนั้น แต่อำนาจที่พระจิตทรงสอนนั้นคือคนฝ่ายจิตวิญญาณ คืออำนาจของความตายของพระเยซูคริสต์ ที่ทำลายความผิดบาปของโลกนี้ และอำนาจนั้นนำบรรดาผู้เชื่อไปถึงความรอด พระจิตทรงเป็นครูของเรา พระองค์ทรงสอนในการอธิษฐานภาวนา การภาวนาที่แท้จริงต้องอาศัยพระจิต คือพระจิตเจ้าทรงนำและทรงดลใจในการภาวนา เมื่อเราอธิษฐานภาวนาไม่เป็น ผู้เขียนสดุดี ภาวนาว่า “ขอทรงเปิดตาของข้าพเจ้า เพื่อให้แลเห็นความประเสริฐลึกซึ้งในพระบัญญัติของพระองค์” (สดุดี 119:18)
ความจริงแล้วคนที่ติดสนิทกับพระเจ้า พระองค์ทรงสำแดงโดยพระจิตให้เรารู้และเข้าใจถึงการดำเนินชีวิต ควรแก้ปัญหาชีวิตเป็นขั้นตอน ทำให้เราเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต เพราะพระจิตทรงเป็นผู้นำ พระองค์ตรัสในจิตใจในจิตสำนึก ของผู้ที่มีวิญญาณจิตของพระองค์(ยอห์น 16:13-14)
(ตีพิมพ์ที่อิสระรายปักษ์ ฉบับที่ 86 ปักษ์แรก –มิถุนายน 2007 ) หน้า7-11
นักเรียนของพระจิต ต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญคือ ต้องมีพระจิต กุญแจที่จะเข้าใจพระปัญญาของพระเจ้านั้นขึ้นอยู่กับพระจิตของพระองค์ เพราะพระเจ้าทรงเป็นตัวเชื่อมระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ เพราะโดยพระจิตเท่านั้น ที่จะทำให้บรรดาผู้เชื่อมีความเชื่อ มีความรู้เรื่องพระเจ้า
อัครทูตเปาโลพูดถึง “ปัญญา” (Wisdom) เพราะชาวโครินธ์ (บางคน) ไม่เอาจริง เอาจังกับพระวาจา พระราชกิจที่พระเจ้าทรงสำแดงนั้น (1:21) พระองค์ทรงประทานพระคริสต์ให้เป็น “ปัญญา”ของเรา (ข้อ 12 ) เราไม่ได้รับปัญญาของโลกนี้ แต่รับพระจิตจากพระเจ้า เพื่อว่าพระองค์จะทรงสำแดงหรือสอนแก่เรา (ข้อ 13 ) ท่าน เปาโลเน้นว่าคนที่จะเข้าใจเรื่องปัญญาของพระเจ้า ซึ่งทรงสอนโดยพระจิต ผู้ที่จะเข้าใจคือคนที่มีพระจิต ทุกคนที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอด เชื่อว่าการทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซู คือการทรงเป็นผู้จ่ายค่าจ้างแห่งความผิดบาปแทนเรา คนนั้นมีพระจิตแน่นอน (ข้อ 14 ) คนยุคนี้ (ยุคน.เปาโล) คิดเช่นเดียวกับคนปัจจุบันจะดูถูกว่าเรื่องฝ่ายวิญญาณจิตและเรื่องกางเขนเป็นเรื่องโง่ เพราะว่าเขาไม่มีพระจิตเจ้า คนที่ไม่มีพระจิตของพระเจ้า เขาไม่สามารถรับพระวาจาคือปัญญาของพระเจ้าได้
เชื่อว่าผู้อ่านหลายคนมีประสบการณ์เกี่ยวกับการเลือกสถานศึกษาของตัวเอง หรือเลือกให้ลูกหลาน การที่เราเลือกเรียนคณะวิชาหนึ่ง ของมหาวิทยาลัยใดนั้น เคยถามตัวเองไหมว่ามีองค์ประกอบอะไรที่ทำให้เราเลือกเรียนคณะ/สาขาวิชานั้น และมหาวิทยาลัยเหล่านั้น ความจริงคือเพราะเรามั่นใจว่า คณะที่เราเลือก สาขาวิชาที่เราเรียน และสถานศึกษาที่เราเข้าไปรับศึกษาอบรมนั้นมีการสอนความรู้สาขาวิชาที่เราเลือกแน่นอน ทำไมเรามั่นใจล่ะทั้งๆที่เราไม่เคยเข้าเรียนมาก่อน ที่เรามั่นใจเพราะเราสัมผัสกับผลงานของบุคคลที่จบการศึกษาสถาบันแห่งนั้น หรือเราฟังจากการประชาสัมพันธ์ ก่อนจะเป็นนักศึกษา ผู้เรียนต้องสมัครเข้าไปก่อน และผ่านขบวนการคัดเลือก
ด้วยการไว้วางใจสถาบันการศึกษาภาควิชาที่เลือกเป็นต้น เราเลือกเข้าไปศึกษาก่อนแล้วเราจึงได้คำตอบ
เรื่องชีวิตคริสตชน หรือเรื่องราวของพระเจ้า พระบุตร เรื่องแผ่นดินสวรรค์นั้น ผู้ที่เป็นนักศึกษาต้องมั่นใจว่าเป็นความจริง ต้องมีความเชื่อ แล้วพระจิตจะทรงสอนแก่จิตวิญญาณของเราถึงเรื่องราวของพระองค์ ตลอดถึงการทรงนำในการดำเนินชีวิตแต่ละวัน ผู้มีจิตวิญญาณเท่านั้นจึงสามารถรับคำสอนของพระจิตได้
หลายปีแล้วฉันได้ต้อนรับชาวเนปาลคนหนึ่งมาพักที่บ้าน ซึ่งเธอเพิ่งสำเร็จการศึกษาปริญญาเอกด้านศาสนศาสตร์ (เทวศาสตร์ ) จากสหรัฐอเมริกา และกำลังเดินทางกลับประเทศ ขณะที่พักด้วยกันฉันจึงได้ฟังคำพยานว่า เธอได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ขณะที่เป็นนิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ เมื่อสำเร็จศึกษาเธอเป็นพยาบาลตามปกติ แต่เธออยากช่วยเหลือคนฝ่ายจิตมากกว่าฝ่ายกาย ต่อมา เธอได้รับทุนไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ ขณะที่เธอกำลังศึกษาอยู่พระจิตตรัสกับเธออย่างชัดเจนว่า พระเจ้าจะไม่ใช้เธอด้านพยาบาล ให้เธอกลับบ้านไปอบรมด้านเทวศาสตร์เพื่อรับใช้พระองค์ พระจิตตรัสกับเธอเป็นระยะว่าต้องทำอย่างไร ตั้งแต่ เรื่องตั๋วเครื่องบิน ค่าลงทะเบียนเรียน ค่าหอพัก ค่าใช้จ่ายส่วนตัว และในที่สุดเธอสำเร็จการศึกษา ซึ่งปัจจุบันเธอมีงานรับใช้พระเจ้าที่เข้มแข็งในประเทศเนปาล
หลายครั้งจากเหตุการณ์ต่างๆ เราได้เรียนรู้ว่าพระเจ้ามีพระประสงค์ต่อชีวิตของเราแต่ละคนอย่างไร ตามพระคัมภีร์บันทึกว่าความเขลาของพระเจ้า ฉลาดกว่าปัญญาของมนุษย์ ความอ่อนแอของพระเจ้า เข้มแข็งกว่ากำลังของมนุษย์ ความอ่อนแอของพระเจ้า คือการตายของพระเยซูเจ้า มนุษย์เข้าใจว่าการตายเกิดจากความอ่อนแอ (คือต่อสู้ไม่ไหวแล้ว) แต่ความจริงคือการตายของพระเยซูคริสต์มีฤทธิ์อำนาจเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด เพราะความตายของพระเยซูเจ้าได้ช่วยคนบาปให้รอด ให้ได้รับชีวิตนิรันดร์
คนฉลาด หรือความฉลาด ในสายตามนุษย์ เช่นเมื่อผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัยประกาศใครสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ถือว่าเป็นผู้ฉลาด เพราะสามารถต่อสู้กับผู้ลงสนามสอบแข่งจำนวนแสน ยิ่งกว่านั้นใครสอบได้ที่ 1 ของแต่ละสาย หรือแต่ละคณะ ถือว่าเป็นอัจฉริยะ เพราะว่าสมองของเขายอดเยี่ยมมาก อย่างไรก็ตามความฉลาดที่เราดูกันนั้น ดูจากระดับการศึกษา ทักษะของอาชีพ หรือความรู้ปรัชญา หรือความรู้บางอย่างสำหรับยุคนั้น เมื่อพูดถึงอำนาจ โดยทั่วไปเราจะคิดถึง อำนาจในระดับรัฐบาล คือคนมีตำแหน่งสูง หรือคนที่มีอิทธิพลต่อสังคมนั้น แต่อำนาจที่พระจิตทรงสอนนั้นคือคนฝ่ายจิตวิญญาณ คืออำนาจของความตายของพระเยซูคริสต์ ที่ทำลายความผิดบาปของโลกนี้ และอำนาจนั้นนำบรรดาผู้เชื่อไปถึงความรอด พระจิตทรงเป็นครูของเรา พระองค์ทรงสอนในการอธิษฐานภาวนา การภาวนาที่แท้จริงต้องอาศัยพระจิต คือพระจิตเจ้าทรงนำและทรงดลใจในการภาวนา เมื่อเราอธิษฐานภาวนาไม่เป็น ผู้เขียนสดุดี ภาวนาว่า “ขอทรงเปิดตาของข้าพเจ้า เพื่อให้แลเห็นความประเสริฐลึกซึ้งในพระบัญญัติของพระองค์” (สดุดี 119:18)
ความจริงแล้วคนที่ติดสนิทกับพระเจ้า พระองค์ทรงสำแดงโดยพระจิตให้เรารู้และเข้าใจถึงการดำเนินชีวิต ควรแก้ปัญหาชีวิตเป็นขั้นตอน ทำให้เราเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต เพราะพระจิตทรงเป็นผู้นำ พระองค์ตรัสในจิตใจในจิตสำนึก ของผู้ที่มีวิญญาณจิตของพระองค์(ยอห์น 16:13-14)
(ตีพิมพ์ที่อิสระรายปักษ์ ฉบับที่ 86 ปักษ์แรก –มิถุนายน 2007 ) หน้า7-11
-
- โพสต์: 548
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 07, 2007 8:07 pm
ขอบคุณครับ
คำถาม
แล้วเมื่อไรผมจะติดสนิทกับพระเจ้าครับ
คำว่า แท้จริงแล้ว มนุษย์ทุกคนต้องการมากที่สุด คือความรู้เรื่องพระเจ้า ไม่มีมนุษย์คนใดจะสามารถรู้จักพระเจ้าได้โดยปัญญาของตน ยิ่งเสาะหาพระเจ้าด้วยสติปัญญาของตัวเอง ผู้นั้นยิ่งไกลพระเจ้าทุกที
จะเสาะหาพระเจ้าด้วยอะไรครับ
คำถาม
แล้วเมื่อไรผมจะติดสนิทกับพระเจ้าครับ
คำว่า แท้จริงแล้ว มนุษย์ทุกคนต้องการมากที่สุด คือความรู้เรื่องพระเจ้า ไม่มีมนุษย์คนใดจะสามารถรู้จักพระเจ้าได้โดยปัญญาของตน ยิ่งเสาะหาพระเจ้าด้วยสติปัญญาของตัวเอง ผู้นั้นยิ่งไกลพระเจ้าทุกที
จะเสาะหาพระเจ้าด้วยอะไรครับ
แก้ไขล่าสุดโดย holy holy holy เมื่อ เสาร์ ก.ค. 28, 2007 9:07 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
-
- Defender of lawS
- โพสต์: 3324
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
- ที่อยู่: Bangkok
พระเจ้าไม่เคยอยู่ไกลเรา อยู่กับเรา อยู่ในเราholy holy holy เขียน: ขอบคุณครับ
คำถาม
แล้วเมื่อไรผมจะติดสนิทกับพระเจ้าครับ
คำว่า แท้จริงแล้ว มนุษย์ทุกคนต้องการมากที่สุด คือความรู้เรื่องพระเจ้า ไม่มีมนุษย์คนใดจะสามารถรู้จักพระเจ้าได้โดยปัญญาของตน ยิ่งเสาะหาพระเจ้าด้วยสติปัญญาของตัวเอง ผู้นั้นยิ่งไกลพระเจ้าทุกที
จะเสาะหาพระเจ้าด้วยอะไรครับ
ติดสนิท ให้เข้าใจง่ายๆ เปรียบเทียบกับว่าน้องสนิทสนมกับใคร เช่นพ่อ แม่ หรือเพื่อนรัก น้องจะคิดถึง พวกเขาเสมอใช่ไหม เช่นจะไปไหน หรือทำอะไร
จะคิดถึงเพื่อนคนนี้ ต้องการความช่วยเหลือ ก็คิดถึงพ่อแม่ มีปัญหาทุกข์ท้อแท้ใจ อยากเล่าอยากบอก แก่ xxx อยากอยู่ด้วย อยากอยู่ใกล้ตลอดเวลา
เดินทางไปไหน หรือ ทำอะไร อยากให้ xxx ไปด้วย ช่วยทำด้วย ฯลฯ ตื่นเช้าขึ้นมา คิดถึงxxx สิ่งแรก ก่อนเข้านอน คิดถึงxxx สุดท้าย
สรุปถ้าพระองค์ เข้ามาเป็นส่วน xxx/พ่อ แม่ เพื่อนรัก ได้แล้ว นั่นคือการสนิทสนม กับพระเจ้าแล้วค่ะ
จะเสาะหาพระเจ้าด้วยอะไรครับ
พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ ให้เสาะหาด้วยจิตวิญญาณของเรา ซึ่งจะนำน้องไปถึงความเชื่อ และการไว้วางใจ
สุภาษิต 3.5-7
5จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า
และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง
6จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า
และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น
7อย่าคิดว่าตนฉลาด
จงยำเกรงพระเจ้า และหันจากความชั่วร้าย
อย่าใจร้อน แต่ขอให้ตั้งใจที่จะรู้จักพระองค์ไปเรื่อยๆ อย่าท้อ และพระองค์จะค่อยๆเผยแสดงให้เราเอง จะสนิทกับใคร ก็ต้องให้เวลากับคนนั้นมากๆ อยากสนิทกับพระ ก็ต้องให้เวลากับพระholy holy holy เขียน: ขอบคุณครับ
คำถาม
แล้วเมื่อไรผมจะติดสนิทกับพระเจ้าครับ
คำว่า แท้จริงแล้ว มนุษย์ทุกคนต้องการมากที่สุด คือความรู้เรื่องพระเจ้า ไม่มีมนุษย์คนใดจะสามารถรู้จักพระเจ้าได้โดยปัญญาของตน ยิ่งเสาะหาพระเจ้าด้วยสติปัญญาของตัวเอง ผู้นั้นยิ่งไกลพระเจ้าทุกที
จะเสาะหาพระเจ้าด้วยอะไรครับ
สิ่งสำคัญคือการเปิดใจ และจริงใจ ยิ่งเราจริงใจมากเท่าไหร่ พระองค์ก็จะเผยแสดงพระองค์กับเรามากเท่านั้น เหมือนเพื่อนสนิทที่จริงใจต่อกัน ไม่มีอะไรมาปิดบัง มีอะไรพูดกับพระองค์ตรงๆ ไม่ต้องปกปิด
- Deo Gratias
- โพสต์: 1100
- ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. มี.ค. 16, 2006 11:53 pm
ขอบคุณค่า เซฟเก็บไว้เป็นอนุสรณ์(ไว้อ่าน)แล้วค่ะ
-
- ~@
- โพสต์: 2546
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ม.ค. 18, 2005 10:54 pm
อาเมนครับ
-
- โพสต์: 2
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ค. 31, 2007 1:43 pm
ในนิตยสารอิสระก็มีไปสมัครสมาชิกสิครับ
every shot!!Romeno Latino เขียน: ในนิตยสารอิสระก็มีไปสมัครสมาชิกสิครับ
ปล.อาจารย์จากโบสถ์(นิกายอื่น)อื่น เขียนบทความในอิสระได้ด้วยหรือครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Zaliaus เมื่อ อังคาร ก.ค. 31, 2007 2:15 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ได้ครับ เพราะคือทอลิคเปิดกว้าง และไม่มีหลักสูตรคอยว่าว่าใครสอนผิดยังไง เราจึงยินดี ถ้ามีคนสอนถูกมาสอนเราไม่ว่าเขาจะมาจากไหนZaliaus เขียน:every shot!!Romeno Latino เขียน: ในนิตยสารอิสระก็มีไปสมัครสมาชิกสิครับ
ปล.อาจารย์จากโบสถ์(นิกายอื่น)อื่น เขียนบทความในอิสระได้ด้วยหรือครับ
ศูนย์สื่อมวลชนคณะพระมหาไถ่B-berrie เขียน:สมัครยังงัยคะRomeno Latino เขียน: ในนิตยสารอิสระก็มีไปสมัครสมาชิกสิครับ
โบสถ์พระมหาไถ่ 123/19 ซอยร่วมฤดี 5 ถ.วิทยุ ลุมพินี ปทุมวัน กทม. 10330
โทร 0-2256-6076 โทรสาร 0-2256-6077
เปิดทำการ ทุกวัน จันทร์
ศูนย์สื่อมวลชนคณะพระมหาไถ่Holy เขียน:B-berrie เขียน:สมัครยังงัยคะRomeno Latino เขียน: ในนิตยสารอิสระก็มีไปสมัครสมาชิกสิครับ
โบสถ์พระมหาไถ่ 123/19 ซอยร่วมฤดี 5 ถ.วิทยุ ลุมพินี ปทุมวัน กทม. 10330
โทร 0-2256-6076 โทรสาร 0-2256-6077
เปิดทำการ ทุกวัน จันทร์
"เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดจากน้ำและพระวิญญาณ ผู้นั้นจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้
3:6 ซึ่งบังเกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง และซึ่งบังเกิดจากพระวิญญาณก็คือจิตวิญญาณ
3:7 อย่าประหลาดใจที่เราบอกท่านว่า ท่านต้องบังเกิดใหม่
3:8 ลมใคร่จะพัดไปข้างไหนก็พัดไปข้างนั้น และท่านได้ยินเสียงลมนั้น แต่ท่านไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหน คนที่บังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นอย่างนั้นทุกคน"
ยอห์น
ลูกแกะที่ดีย่อมจำเสียงของพระองค์ได้ อาเมน
3:6 ซึ่งบังเกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง และซึ่งบังเกิดจากพระวิญญาณก็คือจิตวิญญาณ
3:7 อย่าประหลาดใจที่เราบอกท่านว่า ท่านต้องบังเกิดใหม่
3:8 ลมใคร่จะพัดไปข้างไหนก็พัดไปข้างนั้น และท่านได้ยินเสียงลมนั้น แต่ท่านไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหน คนที่บังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นอย่างนั้นทุกคน"
ยอห์น
ลูกแกะที่ดีย่อมจำเสียงของพระองค์ได้ อาเมน