<<:สตรีโลหิตตก รับการอัศจรรย์:>>
โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 02, 2007 11:06 pm
สตรีโลหิตตก รับการอัศจรรย์
โปรดปราน ( พีพี )
“ลูกหญิงเอ๋ย จงชื่นใจเถิด ที่เจ้าหายโรคนั้นก็เพราะเจ้าเชื่อ” (มัทธิว 9.22 )
จุดเด่นประการหนึ่งในชีวิตและพระราชกิจของพระเยซูเจ้า คือการอัศจรรย์แม้กระทั่งศัตรูของพระองค์ยังต้องยอมรับในจุดนี้ การอัศจรรย์ที่บันทึกในพระวรสารสหทรรศน์( Synoptic Gospel ) มีขอบข่ายกว้างขวางตั้งแต่รักษาโรค ขับผี สั่งพายุให้สงบ และชุบคนตายให้ฟื้นบางครั้ง พระคัมภีร์เรียกการอัศจรรย์ว่าการมหัศจรรย์ เพราะทำด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า และการมหัศจรรย์ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ การคืนชีพของพระเยซูคริสต์ พระเยซูเจ้าทรงมอบฤทธิ์อำนาจทำอัศจรรย์ให้สาวกด้วย ตั้งแต่วันเพ็นเทคอสต์เป็นต้นมา เหล่าสาวกทำการรักษาโรคด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเยซูอย่างไม่หยุดยั้ง และการอัศจรรย์เป็นส่วนหนึ่งในกิจการของพระศาสนจักรยุคแรก ของประทาน ( พระพรพิเศษ )ฝ่ายวิญญาณอย่างหนึ่งที่อัครทูตเปาโลพูดถึงคือการอัศจรรย์ อีกอย่างหนึ่งคือการรักษาโรค แต่ฤทธิ์อำนาจที่ทำให้หายโรคนั้นมิใช่อยู่ที่คริสตชนแต่เป็นพระเจ้าเอง ( ดูอ้างอิงได้ มก. 10:27; รม. 1:4; มธ. 4:5-7; 11:2-6, 20-21; ลก. 9:1; กจ. 3:6; กท. 3:5; 1 คร. 12:9-10 )
เรื่องของสตรีสองคนที่ได้รับความเมตตาจากพระเยซูเจ้า ทั้งสองคนได้ตายไปแล้ว แล้วได้รับการอัศจรรย์จากพระเยซูผู้ซึ่งได้ประทานชีวิตใหม่ให้พวกเธอ คนแรกลูกสาวไยรัส นายธรรมศาลา เด็กสาวได้ตายฝ่ายกาย คือสิ้นลมหายใจ หัวใจหยุดเต้น คนที่สองสตรีโลหิตตก 12 ปี นางได้ตายจากสังคม คือ ครอบครัวและชุมชนของตัวเองและตายจากศาสนพิธีกรรมเพราะเธอมีมลทิน ในที่สุดพวกนางได้รับความรักและเมตตาจากพระเยซูเจ้า ทรงประทานชีวิตกลับคืนให้พวกเธอ ให้ครอบครัว และให้สังคม
เรื่องสตรีโลหิตตก ถูกบันทึกในพระวรสารสหทรรศน์ ( Synoptic Gospel) ในพระวรสารนักบุญมัทธิวมี รายละเอียดน้อยที่สุด ส่วนในพระวรสารน.ลูกาและพระวรสารน.มาระโก ให้รายละเอียดมากกว่า ต่อไปนี้ติดตามดูการอัศจรรย์ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ
1.อัศจรรย์เกิดขึ้นเพราะความเชื่อ
ในเรื่องนี้มีสตรี โลหิตตก 12 ปี ภาษาปัจจุบันนางคงเป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็งในมดลูก เรื้อรังและร้ายแรง นางอยากหายจึงไปรับการรักษา ไปหาหมอมาทั่ว การแพทย์ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 ได้ใช้การรักษาโดยสมุนไพรแพร่หลายกว่าวิธีใดๆ การผ่าตัดนั้น วิธีสุดท้าย เพราะส่วนใหญ่ตายคามีด คาเตียง ฝ่าย สตรีรายนี้ได้รักษาโรคจนสิ้นเนื้อประดาตัว อะไรที่มีค่านางได้ขายรักษาตัวจนหมดสิ้น เพราะเธอต้องการหายจากโรคและ อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ไม่มีหมอคนไหน สามรถรักษาโรคที่เธอเป็นให้หายได้ อย่างไรก็ตามเธอไม่เคยสิ้นหวัง นางยังมีความหวังเสมอ ณ เมืองคาร์เปอร์นาฮูม หมู่บ้านนาฮูม เขตชายฝั่งทางเหนือของทะเลสาบกาลิลี ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงทำพันธกิจชื่อเสียงของพระองค์ก็เลื่องลือ ว่าเป็นหมอวิเศษ หมอเทวดา เพราะเป็นหมอที่มาจากพระเจ้า ทรงรักษาสารพัดโรค ทรงเชี่ยวชาญทุกๆโรค ดังนั้น สตรีคนนี้ มีความหวังใจ ดังนั้นนางจึงต้องการได้รับการรักษา ตามนักบุญมัทธิวบันทึกว่า “20ดูเถิด มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นโรคตกโลหิตได้สิบสองปีมาแล้ว แอบมาข้างหลังถูกต้องชายฉลองพระองค์ 21เพราะนางคิดในใจว่า “ถ้าเราได้แตะต้องฉลองพระองค์เท่านั้น เราก็จะหายโรค” 22 ฝ่ายพระเยซูทรงเหลียวหลังทอดพระเนตรเห็นเข้า จึงตรัสว่า “ลูกหญิงเอ๋ย จงชื่นใจเถิด ที่เจ้าหายโรคนั้นก็เพราะเจ้าเชื่อ” นับตั้งแต่เวลานั้น ผู้หญิงนั้นก็หายป่วยเป็นปกติ” (มัทธิว 9.20-22 )
สตรีรายนี้ได้อดทน หรือทนทุกข์เพราะโรคโลหิตของเธอมา 12 ปี จริงๆแล้วตามพระบัญญัติ นางไม่สามารถอยู่ร่วมในครอบครัวในสังคมกับคนอื่นได้ และกระทั่งนางไม่สามารถ ทำพิธีกรรมทางศาสนา จนกว่าจะหายเป็นมลทิน คือต้องได้รับการชำระ ( ดู เลวีนิติ 15.19-31 ) ตามพระบัญญัตินี้ สตรีปกติ ระหว่างมีประจำเดือน 5-7 วัน เป็นระยะเวลาที่เป็นมลทิน แต่สตรีรายนี้สุขภาพมีปัญหา เพราะตกเลือดมาตลอด 12 ปี นางไม่สามารถ ออกไปข้างนอก แตะต้องบุคคลในครอบครัวก็ไม่ได้ ทำให้นางไม่สามารถใช้ชีวิตตามปกติ เธอจึงมีชีวิตที่ต้องทนทุกข์มาตลอด
ต่อมาเมื่อเธอรับรู้เรื่องพระเยซูทำพันธกิจไม่ไกลจากแหล่งที่นางอาศัย นางจึงกล้าฝืนพระบัญญัติ คือออกจากบ้าน เพื่อไปรับการรักษา นางจึงสอดแทรกตัวเองฝ่าฝูงชน แล้วนางได้แอบเข้าไปข้างหลังใกล้พระเยซู ในลักษณะแอบซ่อนตัวเอง เพราะนางไม่กล้าที่จะทูลขอพระเยซูแบบไยรัส ที่เขาได้เข้าไปหาพระองค์ แล้วอ้อนวอนขอพระเยซูให้ไปรักษาบุตรสาวของเขาถึงที่บ้าน แต่สตรีรายนี้ไม่กล้าแม้จะเอ่ยปากขอพระเยซูเจ้า ถึงกระนั้นก็ตาม นางเต็มไปด้วยความเชื่อ ซึ่งความเชื่อของนางสูงส่งเหลือเกิน เพราะเธอคิดเพียงว่าเมื่อตัวเอง แตะต้องแค่ชายเสื้อของพระเยซูเจ้าเท่านั้นก็จะหายโรค และนางได้ทำตามที่คิด ทันใดนั้น โลหิตของเธอก็หยุดไหล เธอได้รับการรักษาทันทีที่เธอแสดงออกถึงความเชื่อโดยยื่นมือออกไปแตะชายฉลองพระองค์ของพระเยซูเจ้า
ปลายปี ค.ศ.1994 ฉันมีอาการแพ้เป็นผื่นที่ผิวหนังอย่างรุนแรง บริเวณขาทั้งสอง และแขนทั้งสองในบางครั้ง เมื่อเกิดผื่นครั้งแรก ฉันคิดว่าเป็นลมพิษ จึงได้ใช้ยาทารักษาลมพิษก็ไม่หาย จึงไปหาหมอ ที่โรงพยาบาล ในกระบวนการรักษาที่ยาวนาน ผ่าน ไป เกือบปี เจาะเลือด 14 ครั้ง เปลี่ยนหมอ ไป 4 คน ฉันมีนัดพบแพทย์ทุก สองสัปดาห์ คุณหมอสั่งงดอาหารหลายอย่าง เปลี่ยนยากินยาทาเป็นระยะๆ เพื่อช่วยรักษาอาการแพ้ที่เรื้อรังของฉัน โดยส่วนตัวอธิษฐานภาวนาจนอ่อนแรง จนกระทั่งได้เปลี่ยนไปหาหมอจีน แล้วต้มยาจีนกิน ฉันอดทนข่มใจกินยาขมๆ ผ่านไป 3 เดือน อาการก็ไม่หายหรือทุเลาเลย ดังนั้นฉันกลับไปที่โรงพยาบาลเดิม เพื่อนรักได้แนะนำให้หาหมอรายหนึ่งโดยรับรองว่าเขาเก่งมาก เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ณ วินาทีที่นั่งต่อหน้าแพทย์รายนี้ ซึ่งเขาได้อ่านรายงานการแพทย์ของหมอคนก่อนๆทั้ง 4 ราย หมอกล่าวขึ้นว่า “ผมว่าคุณมีปัญหาเรื่องจิต วิตกจริต ดูสิคุณเปลี่ยนหมอมาตลอด วันนี้ผมจะไม่ให้ยา เราจะคุยกันเท่านั้น” ฉันก็ถามปัญหาของโรคที่เป็น และขอร้องให้นายแพทย์อ่านรายงานของหมอ ทั้ง 4 รายที่ผ่านมา และช่วยตรวจอาการที่ปรากฏออกมาที่ผิวหนังทั้งหมด คุณหมอก็ได้ตรวจแผลของผื่นทั้งเก่าและใหม่ทั้งที่มือและขา แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ผมว่าคุณมีปัญหาเรื่องโลหิตเป็นพิษ สักอย่าง แต่ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร” ในที่สุดนายแพทย์ท่านนี้ได้เขียนจดหมายนำฝากไปหาอาจารย์ของหมอ ที่สถาบันโรคผิวหนัง พร้อมกำชับว่า “อาจารย์หมอของผมเก่งมาก คุณต้องไปเช้าๆนะเพราะคนไข้ของท่านเยอะมาก เบื่อรักษากับอาจารย์ผมเมื่อไหร่ให้กลับมาหาผมนะครับ”
ฉันอำลาคุณหมอพร้อมจดหมายหนึ่งฉบับ ขณะนั่งรถกลับบ้านใจฉันครุ่นคิดเรื่องราวที่คุยกับคุณหมอทั้งหมดว่าตัวเองเป็นโรคอะไรกันแน่ ฉันภาวนาทูลถามพระเจ้าว่าตัวเองเป็นอะไรขอพระองค์ตรัสกับลูกเถิด เพราะทุกข์ใจเหลือเกิน อยากหายจากโรค ทันใดนั้น ฉันได้รับคำตอบว่า โลหิตเป็นพิษ=สตรีโลหิตตก 12 ปีที่บันทึกในพระวรสาร เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันอ่านพระวรสารทั้ง 3 เล่ม อ่านแล้วอ่านอีก ในที่สุดฉันเข้าใจทั้งหมดว่า พระเยซูแพทย์ผู้ประเสริฐจะทรงรักษาให้เอง ฉันแสดงความเชื่อโดย เชิญเพื่อนคนหนึ่งมาร่วมอธิษฐาน และได้ฉีกจดหมายของคุณหมอทิ้งไปแล้ววิงวอนต่อพระเยซูคริสต์ขอทรงแตะต้องสัมผัสทุกส่วนของร่างกาย ขอทรงขับพิษร้ายที่อยู่ในเลือดของฉัน ขอพระโลหิตของพระเยซูเจ้าที่ทรงหลั่งบนไม้กางเขนในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์นั้นชำระฉันให้สะอาด และขับพิษร้ายต่างๆออกจากร่างกายของฉัน...รุ่งเช้าฉันตื่นขึ้นมาสำรวจร่างกายอย่างถี่ถ้วน น้ำตาไหลขอบคุณพระเจ้า เพราะผื่นแผลต่างๆที่ได้จารึกไว้เป็นปี ได้หายไปชั่วข้ามคืน ฉันจึงเข้าใจพระวาจาที่ว่า “ไม่มีสักสิ่งหนึ่งที่พระเจ้าทรงกระทำมิได้”
โปรดปราน ( พีพี )
“ลูกหญิงเอ๋ย จงชื่นใจเถิด ที่เจ้าหายโรคนั้นก็เพราะเจ้าเชื่อ” (มัทธิว 9.22 )
จุดเด่นประการหนึ่งในชีวิตและพระราชกิจของพระเยซูเจ้า คือการอัศจรรย์แม้กระทั่งศัตรูของพระองค์ยังต้องยอมรับในจุดนี้ การอัศจรรย์ที่บันทึกในพระวรสารสหทรรศน์( Synoptic Gospel ) มีขอบข่ายกว้างขวางตั้งแต่รักษาโรค ขับผี สั่งพายุให้สงบ และชุบคนตายให้ฟื้นบางครั้ง พระคัมภีร์เรียกการอัศจรรย์ว่าการมหัศจรรย์ เพราะทำด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า และการมหัศจรรย์ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ การคืนชีพของพระเยซูคริสต์ พระเยซูเจ้าทรงมอบฤทธิ์อำนาจทำอัศจรรย์ให้สาวกด้วย ตั้งแต่วันเพ็นเทคอสต์เป็นต้นมา เหล่าสาวกทำการรักษาโรคด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเยซูอย่างไม่หยุดยั้ง และการอัศจรรย์เป็นส่วนหนึ่งในกิจการของพระศาสนจักรยุคแรก ของประทาน ( พระพรพิเศษ )ฝ่ายวิญญาณอย่างหนึ่งที่อัครทูตเปาโลพูดถึงคือการอัศจรรย์ อีกอย่างหนึ่งคือการรักษาโรค แต่ฤทธิ์อำนาจที่ทำให้หายโรคนั้นมิใช่อยู่ที่คริสตชนแต่เป็นพระเจ้าเอง ( ดูอ้างอิงได้ มก. 10:27; รม. 1:4; มธ. 4:5-7; 11:2-6, 20-21; ลก. 9:1; กจ. 3:6; กท. 3:5; 1 คร. 12:9-10 )
เรื่องของสตรีสองคนที่ได้รับความเมตตาจากพระเยซูเจ้า ทั้งสองคนได้ตายไปแล้ว แล้วได้รับการอัศจรรย์จากพระเยซูผู้ซึ่งได้ประทานชีวิตใหม่ให้พวกเธอ คนแรกลูกสาวไยรัส นายธรรมศาลา เด็กสาวได้ตายฝ่ายกาย คือสิ้นลมหายใจ หัวใจหยุดเต้น คนที่สองสตรีโลหิตตก 12 ปี นางได้ตายจากสังคม คือ ครอบครัวและชุมชนของตัวเองและตายจากศาสนพิธีกรรมเพราะเธอมีมลทิน ในที่สุดพวกนางได้รับความรักและเมตตาจากพระเยซูเจ้า ทรงประทานชีวิตกลับคืนให้พวกเธอ ให้ครอบครัว และให้สังคม
เรื่องสตรีโลหิตตก ถูกบันทึกในพระวรสารสหทรรศน์ ( Synoptic Gospel) ในพระวรสารนักบุญมัทธิวมี รายละเอียดน้อยที่สุด ส่วนในพระวรสารน.ลูกาและพระวรสารน.มาระโก ให้รายละเอียดมากกว่า ต่อไปนี้ติดตามดูการอัศจรรย์ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ
1.อัศจรรย์เกิดขึ้นเพราะความเชื่อ
ในเรื่องนี้มีสตรี โลหิตตก 12 ปี ภาษาปัจจุบันนางคงเป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็งในมดลูก เรื้อรังและร้ายแรง นางอยากหายจึงไปรับการรักษา ไปหาหมอมาทั่ว การแพทย์ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 ได้ใช้การรักษาโดยสมุนไพรแพร่หลายกว่าวิธีใดๆ การผ่าตัดนั้น วิธีสุดท้าย เพราะส่วนใหญ่ตายคามีด คาเตียง ฝ่าย สตรีรายนี้ได้รักษาโรคจนสิ้นเนื้อประดาตัว อะไรที่มีค่านางได้ขายรักษาตัวจนหมดสิ้น เพราะเธอต้องการหายจากโรคและ อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ไม่มีหมอคนไหน สามรถรักษาโรคที่เธอเป็นให้หายได้ อย่างไรก็ตามเธอไม่เคยสิ้นหวัง นางยังมีความหวังเสมอ ณ เมืองคาร์เปอร์นาฮูม หมู่บ้านนาฮูม เขตชายฝั่งทางเหนือของทะเลสาบกาลิลี ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงทำพันธกิจชื่อเสียงของพระองค์ก็เลื่องลือ ว่าเป็นหมอวิเศษ หมอเทวดา เพราะเป็นหมอที่มาจากพระเจ้า ทรงรักษาสารพัดโรค ทรงเชี่ยวชาญทุกๆโรค ดังนั้น สตรีคนนี้ มีความหวังใจ ดังนั้นนางจึงต้องการได้รับการรักษา ตามนักบุญมัทธิวบันทึกว่า “20ดูเถิด มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นโรคตกโลหิตได้สิบสองปีมาแล้ว แอบมาข้างหลังถูกต้องชายฉลองพระองค์ 21เพราะนางคิดในใจว่า “ถ้าเราได้แตะต้องฉลองพระองค์เท่านั้น เราก็จะหายโรค” 22 ฝ่ายพระเยซูทรงเหลียวหลังทอดพระเนตรเห็นเข้า จึงตรัสว่า “ลูกหญิงเอ๋ย จงชื่นใจเถิด ที่เจ้าหายโรคนั้นก็เพราะเจ้าเชื่อ” นับตั้งแต่เวลานั้น ผู้หญิงนั้นก็หายป่วยเป็นปกติ” (มัทธิว 9.20-22 )
สตรีรายนี้ได้อดทน หรือทนทุกข์เพราะโรคโลหิตของเธอมา 12 ปี จริงๆแล้วตามพระบัญญัติ นางไม่สามารถอยู่ร่วมในครอบครัวในสังคมกับคนอื่นได้ และกระทั่งนางไม่สามารถ ทำพิธีกรรมทางศาสนา จนกว่าจะหายเป็นมลทิน คือต้องได้รับการชำระ ( ดู เลวีนิติ 15.19-31 ) ตามพระบัญญัตินี้ สตรีปกติ ระหว่างมีประจำเดือน 5-7 วัน เป็นระยะเวลาที่เป็นมลทิน แต่สตรีรายนี้สุขภาพมีปัญหา เพราะตกเลือดมาตลอด 12 ปี นางไม่สามารถ ออกไปข้างนอก แตะต้องบุคคลในครอบครัวก็ไม่ได้ ทำให้นางไม่สามารถใช้ชีวิตตามปกติ เธอจึงมีชีวิตที่ต้องทนทุกข์มาตลอด
ต่อมาเมื่อเธอรับรู้เรื่องพระเยซูทำพันธกิจไม่ไกลจากแหล่งที่นางอาศัย นางจึงกล้าฝืนพระบัญญัติ คือออกจากบ้าน เพื่อไปรับการรักษา นางจึงสอดแทรกตัวเองฝ่าฝูงชน แล้วนางได้แอบเข้าไปข้างหลังใกล้พระเยซู ในลักษณะแอบซ่อนตัวเอง เพราะนางไม่กล้าที่จะทูลขอพระเยซูแบบไยรัส ที่เขาได้เข้าไปหาพระองค์ แล้วอ้อนวอนขอพระเยซูให้ไปรักษาบุตรสาวของเขาถึงที่บ้าน แต่สตรีรายนี้ไม่กล้าแม้จะเอ่ยปากขอพระเยซูเจ้า ถึงกระนั้นก็ตาม นางเต็มไปด้วยความเชื่อ ซึ่งความเชื่อของนางสูงส่งเหลือเกิน เพราะเธอคิดเพียงว่าเมื่อตัวเอง แตะต้องแค่ชายเสื้อของพระเยซูเจ้าเท่านั้นก็จะหายโรค และนางได้ทำตามที่คิด ทันใดนั้น โลหิตของเธอก็หยุดไหล เธอได้รับการรักษาทันทีที่เธอแสดงออกถึงความเชื่อโดยยื่นมือออกไปแตะชายฉลองพระองค์ของพระเยซูเจ้า
ปลายปี ค.ศ.1994 ฉันมีอาการแพ้เป็นผื่นที่ผิวหนังอย่างรุนแรง บริเวณขาทั้งสอง และแขนทั้งสองในบางครั้ง เมื่อเกิดผื่นครั้งแรก ฉันคิดว่าเป็นลมพิษ จึงได้ใช้ยาทารักษาลมพิษก็ไม่หาย จึงไปหาหมอ ที่โรงพยาบาล ในกระบวนการรักษาที่ยาวนาน ผ่าน ไป เกือบปี เจาะเลือด 14 ครั้ง เปลี่ยนหมอ ไป 4 คน ฉันมีนัดพบแพทย์ทุก สองสัปดาห์ คุณหมอสั่งงดอาหารหลายอย่าง เปลี่ยนยากินยาทาเป็นระยะๆ เพื่อช่วยรักษาอาการแพ้ที่เรื้อรังของฉัน โดยส่วนตัวอธิษฐานภาวนาจนอ่อนแรง จนกระทั่งได้เปลี่ยนไปหาหมอจีน แล้วต้มยาจีนกิน ฉันอดทนข่มใจกินยาขมๆ ผ่านไป 3 เดือน อาการก็ไม่หายหรือทุเลาเลย ดังนั้นฉันกลับไปที่โรงพยาบาลเดิม เพื่อนรักได้แนะนำให้หาหมอรายหนึ่งโดยรับรองว่าเขาเก่งมาก เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ณ วินาทีที่นั่งต่อหน้าแพทย์รายนี้ ซึ่งเขาได้อ่านรายงานการแพทย์ของหมอคนก่อนๆทั้ง 4 ราย หมอกล่าวขึ้นว่า “ผมว่าคุณมีปัญหาเรื่องจิต วิตกจริต ดูสิคุณเปลี่ยนหมอมาตลอด วันนี้ผมจะไม่ให้ยา เราจะคุยกันเท่านั้น” ฉันก็ถามปัญหาของโรคที่เป็น และขอร้องให้นายแพทย์อ่านรายงานของหมอ ทั้ง 4 รายที่ผ่านมา และช่วยตรวจอาการที่ปรากฏออกมาที่ผิวหนังทั้งหมด คุณหมอก็ได้ตรวจแผลของผื่นทั้งเก่าและใหม่ทั้งที่มือและขา แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ผมว่าคุณมีปัญหาเรื่องโลหิตเป็นพิษ สักอย่าง แต่ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร” ในที่สุดนายแพทย์ท่านนี้ได้เขียนจดหมายนำฝากไปหาอาจารย์ของหมอ ที่สถาบันโรคผิวหนัง พร้อมกำชับว่า “อาจารย์หมอของผมเก่งมาก คุณต้องไปเช้าๆนะเพราะคนไข้ของท่านเยอะมาก เบื่อรักษากับอาจารย์ผมเมื่อไหร่ให้กลับมาหาผมนะครับ”
ฉันอำลาคุณหมอพร้อมจดหมายหนึ่งฉบับ ขณะนั่งรถกลับบ้านใจฉันครุ่นคิดเรื่องราวที่คุยกับคุณหมอทั้งหมดว่าตัวเองเป็นโรคอะไรกันแน่ ฉันภาวนาทูลถามพระเจ้าว่าตัวเองเป็นอะไรขอพระองค์ตรัสกับลูกเถิด เพราะทุกข์ใจเหลือเกิน อยากหายจากโรค ทันใดนั้น ฉันได้รับคำตอบว่า โลหิตเป็นพิษ=สตรีโลหิตตก 12 ปีที่บันทึกในพระวรสาร เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันอ่านพระวรสารทั้ง 3 เล่ม อ่านแล้วอ่านอีก ในที่สุดฉันเข้าใจทั้งหมดว่า พระเยซูแพทย์ผู้ประเสริฐจะทรงรักษาให้เอง ฉันแสดงความเชื่อโดย เชิญเพื่อนคนหนึ่งมาร่วมอธิษฐาน และได้ฉีกจดหมายของคุณหมอทิ้งไปแล้ววิงวอนต่อพระเยซูคริสต์ขอทรงแตะต้องสัมผัสทุกส่วนของร่างกาย ขอทรงขับพิษร้ายที่อยู่ในเลือดของฉัน ขอพระโลหิตของพระเยซูเจ้าที่ทรงหลั่งบนไม้กางเขนในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์นั้นชำระฉันให้สะอาด และขับพิษร้ายต่างๆออกจากร่างกายของฉัน...รุ่งเช้าฉันตื่นขึ้นมาสำรวจร่างกายอย่างถี่ถ้วน น้ำตาไหลขอบคุณพระเจ้า เพราะผื่นแผลต่างๆที่ได้จารึกไว้เป็นปี ได้หายไปชั่วข้ามคืน ฉันจึงเข้าใจพระวาจาที่ว่า “ไม่มีสักสิ่งหนึ่งที่พระเจ้าทรงกระทำมิได้”