++หญิงสะมาเรียพบน้ำธำรงชีวิต++

รวม ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับพระคัมภีร์ไบเบิ้ล
เข้าใจ พระคัมภีร์ ชีวิต และคำสั่งสอนของพระเยซูคริสต์ ตามลำดับ อย่างง่ายๆ
ตอบกลับโพส
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

เสาร์ พ.ย. 10, 2007 6:53 am

หญิงสะมาเรีย พบ น้ำธำรงชีวิต
โปรดปราน (พีพี )



ถ้าเจ้าได้รู้จักของที่พระเจ้าประทาน และรู้จักผู้ที่พูดกับเจ้าว่า 'ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง' เจ้าก็คงจะได้ขอจากท่านผู้นั้น และท่านผู้นั้นก็คงจะให้น้ำธำรงชีวิตแก่เจ้า” (ยอห์น 4.10)

รูปภาพ

สาเหตุที่ชาวยิวไม่คบหาชาวสะมาเรีย ตามที่ปรากฏในประวัติศาสตร์คือหลังจากกษัตริย์ซาโลมอนสิ้นพระชนม์ ชาติอิสราเอลถูกแบ่งออกเป็น 2 ชาติ คืออิสราเอล (หรือเรียกว่าสะมาเรีย)ตั้งอยู่ภาคเหนือ และยูดาห์ ตั้งอยู่ภาคใต้ ( 1 พงศ์กษัตริย์ 12.1-20 ในปี 922 ก.ค.ศ. ) ต่อมาอีก สองร้อยปี ชาวอัสซีเรียได้ยกทัพมาปราบชาวสะมาเรีย แล้วกวาดต้อนชาวสะมาเรียจำนวนมากไปเป็นเชลย พร้อมทั้งนำคนจากชาติอื่นๆมาอยู่แทนจำนวนมาก ซึ่งคนชาติอื่นๆได้นำพระของตนมาด้วย ( 2 พงศ์กษัตริย์ 17.23-41 ในปี 722 ก.ค.ศ.) ดังนั้นชาวสะมาเรียจึงกลายเป็นชาติผสม เขานมัสการพระเจ้าอย่างไม่บริสุทธิ์เพราะได้นับถือรูปเคารพด้วย นอกจากนั้นพวกเขาได้นับถือ หนังสือ ห้าเล่มแรกของพระคัมภีร์ แต่ได้ละทิ้งพระคัมภีร์หมวด ผู้เผยพระวจนะ (ประกาศก) และหนังสือสดุดี

เมื่อชาวยิวกลับจากการเป็นเชลยที่บาบิโลนมาที่กรุงเยรูซาเล็ม พวกเขาไม่ยอมให้ชาวสะมาเรียช่วยพวกเขาสร้างพระนิเวศของพระเจ้า ( เอสรา 4.1-4 ) ดังนั้นจึงทำให้ความบาดหมางใจเพิ่มขึ้น และต่อมาเมื่อชาวสะมาเรียได้สร้างพระวิหารของตนที่ภูเขาเกราซิม แต่ชาวยิวก็ได้ทำลายพระวิหารของชาวสะมาเรีย จึงเป็นเหตุให้การแตกแยกจึงเพิ่มมากขึ้น เมื่อถึงสมัยพระเยซูเจ้าทั้งสองฝ่ายรู้สึกเป็นศัตรูกันอย่างถาวร เช่นอาจารย์ของชาวยิว เช่น นิโคเดมัส คงจะไม่ยอมพูดกับชาวสะมาเรียโดยเฉพาะสตรี อย่างไรก็ตามพระเยซูเจ้าทรงสนทนาทั้งคนเคร่งศาสนายิวอย่างนิโคเดมัส และสตรีต่างชาติที่เป็นคนบาปอย่างหญิงสะมาเรียและสิ่งที่พระองค์ตรัสกับบุคคลทั้งสองเป็นเรื่องเดียวกัน คือเรื่องชีวิตใหม่ทางพระองค์เอง ในพระวรสารนักบุญยอห์น พระเยซูเจ้าทรงใช้น้ำเป็นสัญลักษณ์ ของชีวิต

รูปภาพ

1.น้ำธำรงชีวิต ( ยอห์น 4.10-20 )

เรื่องนี้เกิดขึ้นขณะที่พระเยซูเสด็จออกจากเยรูซาเล็ม ( แคว้นยูเดีย )กลับไปแคว้นกาลิลีเพื่อหลีกเลี่ยงการพบกับฟาริสี (เพราะยังไม่ถึงเวลา ) จึงเสด็จผ่านแคว้นสะมาเรีย เกี่ยวกับน้ำที่พระเยซูเจ้าตรัสถึงในพระวรสาร นักบุญยอห์น บทที่ 4 คือ น้ำฝ่ายวิญญาณจิต ในชีวิตจริงทุกคนต้องดื่มน้ำเพื่อความต้องการฝ่ายกาย ในทำนองเดียวกันเราต้องได้น้ำฝ่ายจิตวิญญาณซึ่งพระเยซูตรัสว่า น้ำนั้นคือ น้ำธำรงชีวิต เพราะน้ำนั้นจะไม่ทำให้กระหายอีกเลย... บ่อน้ำนั้นจะบังเกิดบ่อน้ำพุในตัวเขาพุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์ “แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้น จะไม่กระหายอีกเลย น้ำซึ่งเราจะให้เขานั้น จะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์” ( ยน.4.14 ) ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม พระเจ้าตรัสว่า “เพราะว่าประชากรของเราได้กระทำ ความชั่วถึงสองประการ เขาได้ทอดทิ้งเราเสีย ซึ่งเป็นแหล่งน้ำเป็น แล้วสกัดหินขังน้ำไว้สำหรับตนเอง เป็นแอ่งแตกที่ขังน้ำตาย ซึ่งขังน้ำไม่ได้” (ยรม.2.13 ) นอกจากนี้แล้วมีการเปรียบเทียบฝ่ายจิตวิญญาณว่า “เพราะว่าเจ้าจะเป็นเหมือนต้นก่อหลวงใบที่แห้งเหี่ยวและเหมือนสวนที่ขาดน้ำ” (อสย.1.30 )

รูปภาพ

ทั่วโลกมีคนกระหายน้ำฝ่ายวิญญาณจิต ยิ่งกว่านั้นคนจำนวนมากซึ่งอยู่รอบๆตัวเรา ก็กำลังแสวงหาน้ำไว้หล่อเลี้ยงชีวิตฝ่ายจิตกำลังแสวงหาผิดบ่อ เพราะพวกเขาแสวงหาน้ำแห่งความพอใจ น้ำแห่งความสำเร็จ น้ำแห่งฐานะมั่นคง เป็นต้น ซึ่งตลอดชีวิตจะไม่พบน้ำที่จะให้เขาอิ่มเอมใจเลย เพราะน้ำที่สามารถให้จิตวิญญาณไม่แห้งแล้งอีกเลย นั่นคือ “พระเยซูเจ้า ผู้เป็นน้ำธำรงชีวิต แก่ทุกคนที่เสาะแสวงหา” การแสวงหาของมนุษย์ไม่เคยถึงจุดอิ่มตัว ไม่เคยพอ เราต้องแสวงหาไปเรื่อยๆ

เมื่อพระเยซูและเหล่าสาวกมาถึงเมืองสิคาร์ พระเยซูเจ้าประทับลงที่ข้างบ่อน้ำของยาโคบบรรพบุรุษของอิสราเอล (ยอห์น 4.6,ปฐมกาล 32.28 ) ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงวัน บรรดาสาวกเข้าไปในเมืองไปซื้อหาอาหาร ตามปกติแล้วสตรีที่ไปตักน้ำที่บ่อต้องไปตอนเย็น เพราะแดดร่มลมตก แต่ผู้หญิงคนนี้ฝ่าเปลวแดดมาตักน้ำตอนเที่ยงวัน เธอมาพร้อมกับภาชนะที่ใช้ตักน้ำ เมื่อพระเยซูเจ้าเอ่ยขอน้ำเธอดื่ม นางคงช็อค เพราะว่าชาวยิวไม่คบหากับชาวสะมาเรีย โดยเฉพาะกับสตรี ซึ่งพระเยซูได้แหกกฎของชาวยิวคือการแบ่งแยกเชื้อชาติ สิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงเป็นแบบอย่างในชีวิตจริงของเราคือพระองค์ไม่ประสงค์ให้เราแบ่งแยก เชื้อชาติ สีผิว ศาสนา เมื่อพระองค์ตรัสว่า “ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง” นางตอบกลับไปทันทีว่า “ไฉนท่านผู้เป็นยิวจึงขอน้ำดื่มจากดิฉัน ผู้เป็นหญิงชาวสะมาเรีย” (ข้อ9) พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ถ้าเจ้าได้รู้จักของที่พระเจ้าประทาน และรู้จักผู้ที่พูดกับเจ้าว่า 'ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง' เจ้าก็คงจะได้ขอจากท่านผู้นั้น และท่านผู้นั้นก็คงจะให้น้ำธำรงชีวิตแก่เจ้า” (ข้อ 10 ) พระเยซูทรงเปิดเผยพระองค์เองชัดเจน พระองค์ทรงเป็นพระวาทะ ที่บังเกิดเป็นมนุษย์ ทรงเป็นของขวัญที่พระเจ้าทรงประทานแก่โลก เพราะความตายบนไม้กางเขนและคืนพระชนม์ของพระองค์

ความสงสัยของหญิงสะมาเรียนางนี้ยังไม่หายไป เรื่องน้ำธำรงชีวิตที่พระเยซูตรัส โดยนางกล่าวว่าว่า “ท่านเจ้าคะ ท่านไม่มีถังตัก และบ่อนี้ก็ลึก ท่านจะได้น้ำธำรงชีวิตนั้นมาจากไหน” (ข้อ 11 ) ส่วนข้อ 12 นางจึงถามพระเยซูว่าพระองค์ เป็นใหญ่กว่าบรรพบุรุษคือยาโคบผู้ได้ให้บ่อน้ำนี้ และเขากับฝูงสัตว์ก็ดื่มจากบ่อนี้เช่นกัน นางไม่เข้าใจสิ่งที่พระเยซูเจ้าตรัสถึง เธอเข้าใจอย่างพื้นๆคือน้ำที่เราใช้อาบดื่มกินกันทั่วๆไป ความจริงสิ่งที่พระเยซูตรัสเป็นน้ำธำรงชีวิต ที่เกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์ เพราะคนส่วนใหญ่จะมีสายตาทางกายภาพดีมองได้ไกลลิบ หรือหากสายตาบกพร่องก็ใช้เลนซ์เข้าช่วย แต่ตาฝ่ายวิญญาณบอดสนิท ดังนักบุญเปาโลบันทึกไว้ว่า “แต่มนุษย์ธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่ได้ เพราะเขาเห็นว่าเป็นสิ่งโง่เขลา และเขาไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ก็ต้องสังเกตด้วยวิญญาณ” (1คร.2.14 )

ในพระวรสารน.ยอห์น พระเยซูตรัสตอบว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้น จะไม่กระหายอีกเลย น้ำซึ่งเราจะให้เขานั้น จะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์” ( ยน.4.13-14 ) เมื่อสตรีได้ฟังเช่นนั้น นางตอบสนองแบบเย้ยอยู่ในทีว่า ตัวเธออยากได้ เพื่อไม่ต้องเทียวตักน้ำเหมือนที่เป็นอยู่ บทสนทนานี้เหมือนกับการพูดคนละเรื่องเดียวกัน เพราะพระเยซูเจ้าตรัสกับเธอว่าให้ไปเรียก ผัว (พระคัมภีร์ใช้คำนี้)ของนางมา หน้ากากของหญิงคนนี้ถูกฉีก เพราะเธอบอกว่าตัวเองไม่มีผัว ซึ่งพระเยซูตรัสว่า จริงเพราะนางมีผัวมาแล้วห้าคนและผู้ชายที่นางอยู่ด้วยปัจจุบัน ก็ไม่ใช่ผัว ความเป็นองค์สัพพัญญู (คือรู้ทุกอย่าง )ของพระเยซู พระองค์ทรงรู้จักมนุษย์ทุก คนจึงไม่มีใครจะซ่อนความผิดบาปของตัวเองไว้มิด หญิงสะมาเรียนางนี้จึงตะลึงกับสิ่งที่พระเยซูกล่าวถึงพฤติกรรมของนาง เลยมั่นใจว่า พระเยซูทรงเป็นประกาศก คนหนึ่ง เพราะสามารถบอกถึงความบาปเธอของนางถูกต้องทั้งๆที่นางและพระเยซูไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ดังนั้นนางรีบเปลี่ยนบทสนทนา เป็น เรื่อง ความเชื่อของยิว และชาวสะมาเรีย คือ“การนมัสการ”

รูปภาพ


เมื่อ ต้นปี ค.ศ. 2005 ฉันได้รู้จักศิษยาภิบาลชาวอเมริกันคนหนึ่ง ที่ได้เข้ามาสำรวจหาข้อมูลเพื่อทำพันธกิจ กับผู้หญิงขายบริการทางเพศ ย่านถนนสุขุมวิทซอยต้นๆ เขาได้ลงพื้นที่ ไปเดินสำรวจถนนสายนั้น เขาเข้าไปพูดคุยเป็นเพื่อนกับสตรีที่ขายบริการ เขาได้ซื้อชั่วโมงหญิงสาวเหล่านั้นเพื่อสร้างสัมพันธ์ เป็นมิตรเป็นเพื่อน และแนะนำให้รู้จักพระเยซูเจ้า ผู้ที่รัก เข้าใจ เห็นใจ พวกเธอ พระองค์เข้ามาในโลกนี้มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด นำคนบาปให้หลุดพ้นบ่วงบาปกรรม ฯลฯ มีสตรีขายบริการคนหนึ่งได้ตัดสินใจต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด และบอกว่า เธอจะกลับไปบอกข่าวดี (แพร่ธรรม )เกี่ยวกับพระเยซูให้พ่อ แม่ พี่น้อง และเพื่อนร่วมหมู่บ้านได้รู้จักพระเยซู เพื่อว่าพวกเขาจะได้พึ่งพระเยซู จะได้ไม่ส่งลูกสาวเข้ากรุงเพื่อขายบริการทางเพศ ศิษยาภิบาลรายนี้ จึงคิดถึงเรื่องหญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำทันที ดังนั้น อีกไม่กี่เดือนต่อมาเขาและครอบครัวได้เข้ามาประเทศไทยในฐานะมิสชันนารี เขาตั้งชื่อพันธกิจของเขาว่า “พันธกิจบ่อน้ำ” (The Well Ministry) เพราะเป้าหมายหลักคือการนำสตรีที่อพยพมาจากต่างจังหวัด เพื่อขายบริการทางเพศให้สัมผัสความรักของพระเยซูคริสต์ แล้วดูแลให้พวกเธอเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณ และส่งเสริมการฝึกอาชีพ เพื่อพวกเธอจะได้มีอาชีพติดตัวกลับบ้าน และสามารถเป็นพยานถึงพระเยซูเจ้าแก่คนในครอบครัวและเพื่อนบ้านได้
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ เสาร์ พ.ย. 10, 2007 10:48 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

เสาร์ พ.ย. 10, 2007 7:01 am

2.นมัสการแบบใหม่ ( ยอห์น 4.21-26 )

หญิงสะมาเรียรายนี้ เริ่มรู้สึกอึดอัดที่พระเยซูเจ้าทรงล่วงรู้ถึงความบาปผิดของนาง ดังนั้น นางรีบเปลี่ยนบทสนทนา จากน้ำธำรงชีวิต เป็น เรื่อง ความเชื่อของยิว และชาวสะมาเรีย คือ“การนมัสการ” โดยนางเริ่มออกความเห็นเรื่องการนมัสการพระเจ้าว่า “บรรพบุรุษของพวกเรานมัสการที่ภูเขานี้ แต่พวกท่านว่าตำบลที่ควรนมัสการนั้น คือเยรูซาเล็ม” หัวข้อสนทนานี้นางคงคิดว่าจะไม่เข้าเนื้อตัวเอง แต่ที่จริงแล้วเป็นคำถามที่พระเยซูทรงยินดีตอบเพราะเป็นโอกาสที่พระองค์จะได้ตรัสถึงลักษณะแท้ของพระเจ้า และการนมัสการที่แท้จริง

21พระเยซูตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด คงมีวันหนึ่งที่พวกเจ้าจะมิได้ไหว้นมัสการพระบิดา เฉพาะที่ภูเขานี้หรือที่เยรูซาเล็ม
22ซึ่งเจ้านมัสการนั้นเจ้าไม่รู้จัก ซึ่งพวกเรานมัสการเรารู้จัก เพราะความรอดนั้นมาจากพวกยิว
23แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์” ( ยอห์น 4.20-23 )


รูปภาพ

ในข้อ 21 และ 23 พระเยซูทรงเสนอวิธีการนมัสการแบบใหม่ซึ่งไม่ใช่ทั้งที่ภูเขาเกราซิม (ชาวสะมาเรีย) และไม่ใช่ที่เยรูซาเล็ม (ชาวยิว) แน่นอนความรอดนั้นผ่านทางยิว เพราะพระเมสสิยาห์เป็นชาวยิว ( ดู โรม 9.4-5 ) ความรอดยุคใหม่เป็นของพระจิตเจ้า ซึ่งน้ำธำรงชีวิตของพระจิตเจ้าจะพลุ่งขึ้นภายในใจของผู้ที่วางใจ ดังนั้นจึงทำให้การนมัสการพระเจ้าได้ในทุกหนทุกแห่ง ไม่เพียงแต่ในศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์ เช่น วัด โบสถ์ คริสตจักร เพราะว่าการนมัสการพระเจ้านั้นต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง พระเยซูตรัสกับหญิงสะมาเรีย ถึงการนมัสการไม่ใช่รูปแบบภายนอก แต่เป็นการแสดงออกมาจากภายใน การนมัสการพระเจ้าต้องอาศัยความจริงที่พระองค์ทรงสำแดงแก่มนุษย์ พระเจ้าทรงเป็นวิญญาณจิต (ไม่ใช่วัตถุ ) มนุษย์เองที่นมัสการพระเจ้าก็ต้องอาศัยวิญญาณจิต โดยไม่ต้องอาศัยวัตถุภายนอก

ดังนั้นคริสตชนโปรเตสแตนต์ จึงตอบสนองการนมัสการรูปแบบภายในกันมาก กว่ารูปแบบภายนอก ศาสนสถานจึงเรียบง่าย เป็นห้องแถว เป็นบ้าน ไม่ว่าสถานการณ์ด้านการเมืองเป็นอย่างไร ก็จัดรูปแบบการนมัสการพระเจ้าได้เสมอ เพราะเราเชื่อว่าเมื่อมีผู้เชื่อ สอง สามคนรวมตัวกันที่ไหน พระเยซูเจ้าทรงประทับอยู่ท่ามกลางพวกเขาเสมอ

สตรีรายนี้ไม่แน่ใจว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ใด สิ่งที่พระเยซูตรัสนั้นมีแต่พระเมสสิยาห์เท่านั้นจึงได้พูดแบบนี้หรือกระทำแบบนี้ 25นางทูลพระองค์ว่า “ดิฉันทราบว่าพระเมสสิยาห์ จะเสด็จมา เมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์จะทรงชี้แจงทุกสิ่งแก่เรา” 26พระเยซูตรัสกับนางว่า “เราที่พูดกับเจ้าคือท่านผู้นั้น” พระเยซูคริสต์เมื่อสนทนากับคนยิวพระองค์ไม่ได้เผยตัวเองแต่เมื่อสนทนากับชาวต่างชาติทรงเปิดเผยอย่างชัดเจนว่าทรงเป็น “ท่านผู้นั้น” ซึ่งตามภาษากรีกคือคำว่า “ego eimi” (เอโก้ เอมี) คือเราดำรงอยู่ ซึ่งเป็นคำที่ชี้ให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เพราะตามตัวอักษรหมายถึง “ก่อนอับราฮัมเกิดเราเป็น” แน่นอนวันนั้นหญิงสะมาเรียผู้ต่ำต้อยได้รับพระเมตตาจากพระเยซูเจ้าตรัสเรียกด้วยพระองค์เอง เช่นเดียวกับพวกเราที่พระองค์ตรัสเรียกด้วยประจักษ์พยานทั้งชีวิตที่ทรงมอบถวายบนไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์นั้น เพื่อคนบาปจะได้รับน้ำธำรงชีวิตที่มีอย่างครบบริบูรณ์ในพระองค์แล้ว


“… ผู้ใดมีใจปรารถนา ก็ให้ผู้นั้นมารับน้ำแห่งชีวิต โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย” (วิวรณ์ 22.17)



( หมายเหตุ: ตีพิมพ์ ในอิสระรายปักษ์ ฉบับที่ 95 ปักษ์-หลังเดือนตุลาคม 2007 หน้า ....................... )
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ เสาร์ พ.ย. 10, 2007 10:49 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

อาทิตย์ พ.ย. 11, 2007 8:02 am

ขอบคุณน้องโฮลี่ค่ะ ที่ช่วยหารูปใส่ให้อย่างงดงามค่ะ : xemo026 :
:+: seraphim :+:
~@
โพสต์: 7624
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 23, 2005 9:49 pm
ที่อยู่: Pattaya Chonburi

อาทิตย์ พ.ย. 11, 2007 3:24 pm

::001:: ภาพสวย บทความยอดเยี่ยมเช่นเคยคะ ::004::
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

พุธ พ.ย. 14, 2007 12:17 am

เมื่อ ต้นปี ค.ศ. 2005 ฉันได้รู้จักศิษยาภิบาลชาวอเมริกันคนหนึ่ง ที่ได้เข้ามาสำรวจหาข้อมูลเพื่อทำพันธกิจ กับผู้หญิงขายบริการทางเพศ ย่านถนนสุขุมวิทซอยต้นๆ เขาได้ลงพื้นที่ ไปเดินสำรวจถนนสายนั้น เขาเข้าไปพูดคุยเป็นเพื่อนกับสตรีที่ขายบริการ เขาได้ซื้อชั่วโมงหญิงสาวเหล่านั้นเพื่อสร้างสัมพันธ์ เป็นมิตรเป็นเพื่อน และแนะนำให้รู้จักพระเยซูเจ้า ผู้ที่รัก เข้าใจ เห็นใจ พวกเธอ พระองค์เข้ามาในโลกนี้มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด นำคนบาปให้หลุดพ้นบ่วงบาปกรรม ฯลฯ มีสตรีขายบริการคนหนึ่งได้ตัดสินใจต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด และบอกว่า เธอจะกลับไปบอกข่าวดี (แพร่ธรรม )เกี่ยวกับพระเยซูให้พ่อ แม่ พี่น้อง และเพื่อนร่วมหมู่บ้านได้รู้จักพระเยซู เพื่อว่าพวกเขาจะได้พึ่งพระเยซู จะได้ไม่ส่งลูกสาวเข้ากรุงเพื่อขายบริการทางเพศ ศิษยาภิบาลรายนี้ จึงคิดถึงเรื่องหญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำทันที ดังนั้น อีกไม่กี่เดือนต่อมาเขาและครอบครัวได้เข้ามาประเทศไทยในฐานะมิสชันนารี เขาตั้งชื่อพันธกิจของเขาว่า “พันธกิจบ่อน้ำ” (The Well Ministry) เพราะเป้าหมายหลักคือการนำสตรีที่อพยพมาจากต่างจังหวัด เพื่อขายบริการทางเพศให้สัมผัสความรักของพระเยซูคริสต์ แล้วดูแลให้พวกเธอเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณ และส่งเสริมการฝึกอาชีพ เพื่อพวกเธอจะได้มีอาชีพติดตัวกลับบ้าน และสามารถเป็นพยานถึงพระเยซูเจ้าแก่คนในครอบครัวและเพื่อนบ้านได้
เป็น ministry ที่น่ารักมากๆ : emo045 : มีเพื่อนเคยทำเหมือนกัน แต่เค้าไม่ได้ประกาศพระเยซู เค้าแค่คุยเฉยๆ ผู้หญิงบอกว่า เค้าไม่เคยรู้สึกดีแบบนี้มาก่อน เพราะไม่เคยมีคนที่อยากรู้จักว่า เธอคือใคร
หญิงสะมาเรียรายนี้ เริ่มรู้สึกอึดอัดที่พระเยซูเจ้าทรงล่วงรู้ถึงความบาปผิดของนาง ดังนั้น นางรีบเปลี่ยนบทสนทนา จากน้ำธำรงชีวิต เป็น เรื่อง ความเชื่อของยิว และชาวสะมาเรีย


อันนี้ feminist นิดๆหรือเปล่าคะพี่ : xemo016 :
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

พุธ พ.ย. 14, 2007 2:40 am

ผมชอบเรื่องนี้อยู่จุดหนึ่ง คือหญิงชาวสะมาเรียคนนนี้เป็นหนึ่งในนักแพร่ธรรมยุคแรกๆเลยทีเดียว พอเธอพบน้ำทรงชีวิต สิ่งแรกที่ทำคือเธอรีบไปประกาศบอกทุกคนในหมู่บ้านทันที มีจิตวิญญาณของผู้ประกาศข่าวดีอยู่ในตัวนะครับ
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ พ.ย. 16, 2007 7:30 pm

:+: seraphim :+: เขียน: ::001:: ภาพสวย บทความยอดเยี่ยมเช่นเคยคะ ::004::
ขอบคุณค่ะ
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ พ.ย. 16, 2007 7:42 pm

เมื่อ ต้นปี ค.ศ. 2005 ฉันได้รู้จักศิษยาภิบาลชาวอเมริกันคนหนึ่ง ที่ได้เข้ามาสำรวจหาข้อมูลเพื่อทำพันธกิจ กับผู้หญิงขายบริการทางเพศ ย่านถนนสุขุมวิทซอยต้นๆ เขาได้ลงพื้นที่ ไปเดินสำรวจถนนสายนั้น เขาเข้าไปพูดคุยเป็นเพื่อนกับสตรีที่ขายบริการ เขาได้ซื้อชั่วโมงหญิงสาวเหล่านั้นเพื่อสร้างสัมพันธ์ เป็นมิตรเป็นเพื่อน และแนะนำให้รู้จักพระเยซูเจ้า ผู้ที่รัก เข้าใจ เห็นใจ พวกเธอ พระองค์เข้ามาในโลกนี้มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด นำคนบาปให้หลุดพ้นบ่วงบาปกรรม ฯลฯ มีสตรีขายบริการคนหนึ่งได้ตัดสินใจต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด และบอกว่า เธอจะกลับไปบอกข่าวดี (แพร่ธรรม )เกี่ยวกับพระเยซูให้พ่อ แม่ พี่น้อง และเพื่อนร่วมหมู่บ้านได้รู้จักพระเยซู เพื่อว่าพวกเขาจะได้พึ่งพระเยซู จะได้ไม่ส่งลูกสาวเข้ากรุงเพื่อขายบริการทางเพศ ศิษยาภิบาลรายนี้ จึงคิดถึงเรื่องหญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำทันที ดังนั้น อีกไม่กี่เดือนต่อมาเขาและครอบครัวได้เข้ามาประเทศไทยในฐานะมิสชันนารี เขาตั้งชื่อพันธกิจของเขาว่า “พันธกิจบ่อน้ำ” (The Well Ministry) เพราะเป้าหมายหลักคือการนำสตรีที่อพยพมาจากต่างจังหวัด เพื่อขายบริการทางเพศให้สัมผัสความรักของพระเยซูคริสต์ แล้วดูแลให้พวกเธอเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณ และส่งเสริมการฝึกอาชีพ เพื่อพวกเธอจะได้มีอาชีพติดตัวกลับบ้าน และสามารถเป็นพยานถึงพระเยซูเจ้าแก่คนในครอบครัวและเพื่อนบ้านได้
เป็น ministry ที่น่ารักมากๆ : emo045 : มีเพื่อนเคยทำเหมือนกัน แต่เค้าไม่ได้ประกาศพระเยซู เค้าแค่คุยเฉยๆ ผู้หญิงบอกว่า เค้าไม่เคยรู้สึกดีแบบนี้มาก่อน เพราะไม่เคยมีคนที่อยากรู้จักว่า เธอคือใคร

การทำงานกับสตรีกลุ่มนี้ จะอาศัยสายสัมพันธ์ค่ะ เพื่อต้องการรู้จักพวกเขา ทำให้เขาไม่ขาดรายได้ เราอาจจะซื้อดิ้งท์ แล้วนั่งคุย เป็นเพื่อนเป็นมิตร
หรืออยากคุยที่สงบบรรยากาศดี ก็ซื้อชั่วโมง การทำงานของเธอ พาพวกเธอไปนั่งที่Park หรือบ้านรับรอง หรือที่ร้านกาแฟ ชวนพูดคุย พวกเธอต้องถามแน่นอนว่า เรา (มิสชันนารี )เราเป็นใคร ทำไมไม่คิดกับพวกเธอแบบคนอื่นๆ เวลานั้นเราก็ตรงประเด็นเลย ว่าเราเป็นศิษย์สาวกของพระเยซูเจ้า
เรานำความรักของพระองค์มาฝาก ( เราจะแพร่ธรรมอย่างรวดเร็ว ) พันธกิจนี้เป็นพันธกิจที่ยากมาก เราทำกันเป็นทีม เมื่อมีผู้เชื่อแล้ว โดยมากเขาตัดสินใจออกจากงานบริการ ก็ต้องมาอยู่บ้านหนึ่ง ที่เตรียมไว้แล้ว แล้วมีกระบวนการรักษาเยียวยา ศึกษาพระวจนะ นมัสการ ฝึกฝนอาชีพ ฯลฯ

วิญญาณชั่วทางเพศ การโสโครก ลามก จะแรงมาก ดังนั้นจึงต้องการนักภาวนา เพราะมิฉะนั้นผู้หญิงเหล่านี้ก็เลิกไม่ได้ ต้องกลับไปอีก
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ พ.ย. 16, 2007 7:50 pm

หญิงสะมาเรียรายนี้ เริ่มรู้สึกอึดอัดที่พระเยซูเจ้าทรงล่วงรู้ถึงความบาปผิดของนาง ดังนั้น นางรีบเปลี่ยนบทสนทนา จากน้ำธำรงชีวิต เป็น เรื่อง  ความเชื่อของยิว และชาวสะมาเรีย


อันนี้ feminist นิดๆหรือเปล่าคะพี่    : xemo016 :
[/quote]

นัก feminist คริสตชน จะยกย่องว่า พระเยซูคริสต์คือนักเฟมมินิสตัวจริง : emo036 : และพระองค์ทรงวางแบบไว้ให้บุรุษแล้ว
ว่าควรปฏิบัติต่อสตรีอย่างไร เพราะตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์มีสตรีใจศรัทธาสนับสนุนพระราชกิจ ในเวลาเดียวกัน พระองค์
ทรงยกย่องสตรี เสมอๆ  อย่างกรณีเรื่องที่แล้ว

พระองค์ ทรงเป็นผู้ประกาศการปลดปล่อย สตรีจากการเป็นมลทิน เพราะโลหิตตก ตามธรรมเนียมของยิว
เรื่องผู้หญิงที่บ่อน้ำ ทรงสนทนา กับสตรี สะมาเรีย และสตรีมากชู้ และได้สนทนากันถึงหลักTheology จริงๆ
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

ศุกร์ พ.ย. 16, 2007 8:47 pm

Prod Pran เขียน:
หญิงสะมาเรียรายนี้ เริ่มรู้สึกอึดอัดที่พระเยซูเจ้าทรงล่วงรู้ถึงความบาปผิดของนาง ดังนั้น นางรีบเปลี่ยนบทสนทนา จากน้ำธำรงชีวิต เป็น เรื่อง  ความเชื่อของยิว และชาวสะมาเรีย


อันนี้ feminist นิดๆหรือเปล่าคะพี่    : xemo016 :
นัก feminist คริสตชน จะยกย่องว่า พระเยซูคริสต์คือนักเฟมมินิสตัวจริง : emo036 : และพระองค์ทรงวางแบบไว้ให้บุรุษแล้ว
ว่าควรปฏิบัติต่อสตรีอย่างไร เพราะตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์มีสตรีใจศรัทธาสนับสนุนพระราชกิจ ในเวลาเดียวกัน พระองค์
ทรงยกย่องสตรี เสมอๆ  อย่างกรณีเรื่องที่แล้ว

พระองค์ ทรงเป็นผู้ประกาศการปลดปล่อย สตรีจากการเป็นมลทิน เพราะโลหิตตก ตามธรรมเนียมของยิว
เรื่องผู้หญิงที่บ่อน้ำ ทรงสนทนา กับสตรี สะมาเรีย และสตรีมากชู้ และได้สนทนากันถึงหลักTheology จริงๆ
[/quote]

ไม่ค้านค่ะพี่ว่า  พระเยซูเป็น feminist  สิ่งที่พระองค์ทำน่ะใช่เลย  แต่การตีความน่ะค่ะ  คือเคยอ่าน commentary บางที่  เค้าชอบเลี่ยงความสัมพันธ์หญิงชาย (กลัวพระไม่ศักดิ์สิทธิ์มั้ง  ::002::)  และพอนางถามคำถามนี้  เค้าไม่มองว่า  เลี่ยงไปพูดเรื่องอื่นน่ะค่ะ  แต่มองว่า  นางสนใจจริงๆ  แต่ถ้าผู้หญิงอ่านจะรู้ว่า  "เลี่ยง"  คือเวลาผู้หญิงกับผู้ชายผู้ชายถูกแทงใจดำ  ปฎิกิริยาจะต่างกันน่ะค่ะ  ก็เลยแอบแซวพี่นิดนึง  : xemo016 :
วิญญาณชั่วทางเพศ การโสโครก ลามก จะแรงมาก ดังนั้นจึงต้องการนักภาวนา  เพราะมิฉะนั้นผู้หญิงเหล่านี้ก็เลิกไม่ได้ ต้องกลับไปอีก
และบางทีตัวคนแพร่ธรรมเองก็ตกหลุมเองด้วยล่ะ  ยากเหมือนกัน  : xemo017 :
ตอบกลับโพส