++หญิงสะมาเรียพบน้ำธำรงชีวิต++
โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 10, 2007 6:53 am
หญิงสะมาเรีย พบ น้ำธำรงชีวิต
โปรดปราน (พีพี )
ถ้าเจ้าได้รู้จักของที่พระเจ้าประทาน และรู้จักผู้ที่พูดกับเจ้าว่า 'ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง' เจ้าก็คงจะได้ขอจากท่านผู้นั้น และท่านผู้นั้นก็คงจะให้น้ำธำรงชีวิตแก่เจ้า” (ยอห์น 4.10)
สาเหตุที่ชาวยิวไม่คบหาชาวสะมาเรีย ตามที่ปรากฏในประวัติศาสตร์คือหลังจากกษัตริย์ซาโลมอนสิ้นพระชนม์ ชาติอิสราเอลถูกแบ่งออกเป็น 2 ชาติ คืออิสราเอล (หรือเรียกว่าสะมาเรีย)ตั้งอยู่ภาคเหนือ และยูดาห์ ตั้งอยู่ภาคใต้ ( 1 พงศ์กษัตริย์ 12.1-20 ในปี 922 ก.ค.ศ. ) ต่อมาอีก สองร้อยปี ชาวอัสซีเรียได้ยกทัพมาปราบชาวสะมาเรีย แล้วกวาดต้อนชาวสะมาเรียจำนวนมากไปเป็นเชลย พร้อมทั้งนำคนจากชาติอื่นๆมาอยู่แทนจำนวนมาก ซึ่งคนชาติอื่นๆได้นำพระของตนมาด้วย ( 2 พงศ์กษัตริย์ 17.23-41 ในปี 722 ก.ค.ศ.) ดังนั้นชาวสะมาเรียจึงกลายเป็นชาติผสม เขานมัสการพระเจ้าอย่างไม่บริสุทธิ์เพราะได้นับถือรูปเคารพด้วย นอกจากนั้นพวกเขาได้นับถือ หนังสือ ห้าเล่มแรกของพระคัมภีร์ แต่ได้ละทิ้งพระคัมภีร์หมวด ผู้เผยพระวจนะ (ประกาศก) และหนังสือสดุดี
เมื่อชาวยิวกลับจากการเป็นเชลยที่บาบิโลนมาที่กรุงเยรูซาเล็ม พวกเขาไม่ยอมให้ชาวสะมาเรียช่วยพวกเขาสร้างพระนิเวศของพระเจ้า ( เอสรา 4.1-4 ) ดังนั้นจึงทำให้ความบาดหมางใจเพิ่มขึ้น และต่อมาเมื่อชาวสะมาเรียได้สร้างพระวิหารของตนที่ภูเขาเกราซิม แต่ชาวยิวก็ได้ทำลายพระวิหารของชาวสะมาเรีย จึงเป็นเหตุให้การแตกแยกจึงเพิ่มมากขึ้น เมื่อถึงสมัยพระเยซูเจ้าทั้งสองฝ่ายรู้สึกเป็นศัตรูกันอย่างถาวร เช่นอาจารย์ของชาวยิว เช่น นิโคเดมัส คงจะไม่ยอมพูดกับชาวสะมาเรียโดยเฉพาะสตรี อย่างไรก็ตามพระเยซูเจ้าทรงสนทนาทั้งคนเคร่งศาสนายิวอย่างนิโคเดมัส และสตรีต่างชาติที่เป็นคนบาปอย่างหญิงสะมาเรียและสิ่งที่พระองค์ตรัสกับบุคคลทั้งสองเป็นเรื่องเดียวกัน คือเรื่องชีวิตใหม่ทางพระองค์เอง ในพระวรสารนักบุญยอห์น พระเยซูเจ้าทรงใช้น้ำเป็นสัญลักษณ์ ของชีวิต
1.น้ำธำรงชีวิต ( ยอห์น 4.10-20 )
เรื่องนี้เกิดขึ้นขณะที่พระเยซูเสด็จออกจากเยรูซาเล็ม ( แคว้นยูเดีย )กลับไปแคว้นกาลิลีเพื่อหลีกเลี่ยงการพบกับฟาริสี (เพราะยังไม่ถึงเวลา ) จึงเสด็จผ่านแคว้นสะมาเรีย เกี่ยวกับน้ำที่พระเยซูเจ้าตรัสถึงในพระวรสาร นักบุญยอห์น บทที่ 4 คือ น้ำฝ่ายวิญญาณจิต ในชีวิตจริงทุกคนต้องดื่มน้ำเพื่อความต้องการฝ่ายกาย ในทำนองเดียวกันเราต้องได้น้ำฝ่ายจิตวิญญาณซึ่งพระเยซูตรัสว่า น้ำนั้นคือ น้ำธำรงชีวิต เพราะน้ำนั้นจะไม่ทำให้กระหายอีกเลย... บ่อน้ำนั้นจะบังเกิดบ่อน้ำพุในตัวเขาพุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์ “แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้น จะไม่กระหายอีกเลย น้ำซึ่งเราจะให้เขานั้น จะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์” ( ยน.4.14 ) ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม พระเจ้าตรัสว่า “เพราะว่าประชากรของเราได้กระทำ ความชั่วถึงสองประการ เขาได้ทอดทิ้งเราเสีย ซึ่งเป็นแหล่งน้ำเป็น แล้วสกัดหินขังน้ำไว้สำหรับตนเอง เป็นแอ่งแตกที่ขังน้ำตาย ซึ่งขังน้ำไม่ได้” (ยรม.2.13 ) นอกจากนี้แล้วมีการเปรียบเทียบฝ่ายจิตวิญญาณว่า “เพราะว่าเจ้าจะเป็นเหมือนต้นก่อหลวงใบที่แห้งเหี่ยวและเหมือนสวนที่ขาดน้ำ” (อสย.1.30 )
ทั่วโลกมีคนกระหายน้ำฝ่ายวิญญาณจิต ยิ่งกว่านั้นคนจำนวนมากซึ่งอยู่รอบๆตัวเรา ก็กำลังแสวงหาน้ำไว้หล่อเลี้ยงชีวิตฝ่ายจิตกำลังแสวงหาผิดบ่อ เพราะพวกเขาแสวงหาน้ำแห่งความพอใจ น้ำแห่งความสำเร็จ น้ำแห่งฐานะมั่นคง เป็นต้น ซึ่งตลอดชีวิตจะไม่พบน้ำที่จะให้เขาอิ่มเอมใจเลย เพราะน้ำที่สามารถให้จิตวิญญาณไม่แห้งแล้งอีกเลย นั่นคือ “พระเยซูเจ้า ผู้เป็นน้ำธำรงชีวิต แก่ทุกคนที่เสาะแสวงหา” การแสวงหาของมนุษย์ไม่เคยถึงจุดอิ่มตัว ไม่เคยพอ เราต้องแสวงหาไปเรื่อยๆ
เมื่อพระเยซูและเหล่าสาวกมาถึงเมืองสิคาร์ พระเยซูเจ้าประทับลงที่ข้างบ่อน้ำของยาโคบบรรพบุรุษของอิสราเอล (ยอห์น 4.6,ปฐมกาล 32.28 ) ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงวัน บรรดาสาวกเข้าไปในเมืองไปซื้อหาอาหาร ตามปกติแล้วสตรีที่ไปตักน้ำที่บ่อต้องไปตอนเย็น เพราะแดดร่มลมตก แต่ผู้หญิงคนนี้ฝ่าเปลวแดดมาตักน้ำตอนเที่ยงวัน เธอมาพร้อมกับภาชนะที่ใช้ตักน้ำ เมื่อพระเยซูเจ้าเอ่ยขอน้ำเธอดื่ม นางคงช็อค เพราะว่าชาวยิวไม่คบหากับชาวสะมาเรีย โดยเฉพาะกับสตรี ซึ่งพระเยซูได้แหกกฎของชาวยิวคือการแบ่งแยกเชื้อชาติ สิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงเป็นแบบอย่างในชีวิตจริงของเราคือพระองค์ไม่ประสงค์ให้เราแบ่งแยก เชื้อชาติ สีผิว ศาสนา เมื่อพระองค์ตรัสว่า “ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง” นางตอบกลับไปทันทีว่า “ไฉนท่านผู้เป็นยิวจึงขอน้ำดื่มจากดิฉัน ผู้เป็นหญิงชาวสะมาเรีย” (ข้อ9) พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ถ้าเจ้าได้รู้จักของที่พระเจ้าประทาน และรู้จักผู้ที่พูดกับเจ้าว่า 'ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง' เจ้าก็คงจะได้ขอจากท่านผู้นั้น และท่านผู้นั้นก็คงจะให้น้ำธำรงชีวิตแก่เจ้า” (ข้อ 10 ) พระเยซูทรงเปิดเผยพระองค์เองชัดเจน พระองค์ทรงเป็นพระวาทะ ที่บังเกิดเป็นมนุษย์ ทรงเป็นของขวัญที่พระเจ้าทรงประทานแก่โลก เพราะความตายบนไม้กางเขนและคืนพระชนม์ของพระองค์
ความสงสัยของหญิงสะมาเรียนางนี้ยังไม่หายไป เรื่องน้ำธำรงชีวิตที่พระเยซูตรัส โดยนางกล่าวว่าว่า “ท่านเจ้าคะ ท่านไม่มีถังตัก และบ่อนี้ก็ลึก ท่านจะได้น้ำธำรงชีวิตนั้นมาจากไหน” (ข้อ 11 ) ส่วนข้อ 12 นางจึงถามพระเยซูว่าพระองค์ เป็นใหญ่กว่าบรรพบุรุษคือยาโคบผู้ได้ให้บ่อน้ำนี้ และเขากับฝูงสัตว์ก็ดื่มจากบ่อนี้เช่นกัน นางไม่เข้าใจสิ่งที่พระเยซูเจ้าตรัสถึง เธอเข้าใจอย่างพื้นๆคือน้ำที่เราใช้อาบดื่มกินกันทั่วๆไป ความจริงสิ่งที่พระเยซูตรัสเป็นน้ำธำรงชีวิต ที่เกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์ เพราะคนส่วนใหญ่จะมีสายตาทางกายภาพดีมองได้ไกลลิบ หรือหากสายตาบกพร่องก็ใช้เลนซ์เข้าช่วย แต่ตาฝ่ายวิญญาณบอดสนิท ดังนักบุญเปาโลบันทึกไว้ว่า “แต่มนุษย์ธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่ได้ เพราะเขาเห็นว่าเป็นสิ่งโง่เขลา และเขาไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ก็ต้องสังเกตด้วยวิญญาณ” (1คร.2.14 )
ในพระวรสารน.ยอห์น พระเยซูตรัสตอบว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้น จะไม่กระหายอีกเลย น้ำซึ่งเราจะให้เขานั้น จะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์” ( ยน.4.13-14 ) เมื่อสตรีได้ฟังเช่นนั้น นางตอบสนองแบบเย้ยอยู่ในทีว่า ตัวเธออยากได้ เพื่อไม่ต้องเทียวตักน้ำเหมือนที่เป็นอยู่ บทสนทนานี้เหมือนกับการพูดคนละเรื่องเดียวกัน เพราะพระเยซูเจ้าตรัสกับเธอว่าให้ไปเรียก ผัว (พระคัมภีร์ใช้คำนี้)ของนางมา หน้ากากของหญิงคนนี้ถูกฉีก เพราะเธอบอกว่าตัวเองไม่มีผัว ซึ่งพระเยซูตรัสว่า จริงเพราะนางมีผัวมาแล้วห้าคนและผู้ชายที่นางอยู่ด้วยปัจจุบัน ก็ไม่ใช่ผัว ความเป็นองค์สัพพัญญู (คือรู้ทุกอย่าง )ของพระเยซู พระองค์ทรงรู้จักมนุษย์ทุก คนจึงไม่มีใครจะซ่อนความผิดบาปของตัวเองไว้มิด หญิงสะมาเรียนางนี้จึงตะลึงกับสิ่งที่พระเยซูกล่าวถึงพฤติกรรมของนาง เลยมั่นใจว่า พระเยซูทรงเป็นประกาศก คนหนึ่ง เพราะสามารถบอกถึงความบาปเธอของนางถูกต้องทั้งๆที่นางและพระเยซูไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ดังนั้นนางรีบเปลี่ยนบทสนทนา เป็น เรื่อง ความเชื่อของยิว และชาวสะมาเรีย คือ“การนมัสการ”
เมื่อ ต้นปี ค.ศ. 2005 ฉันได้รู้จักศิษยาภิบาลชาวอเมริกันคนหนึ่ง ที่ได้เข้ามาสำรวจหาข้อมูลเพื่อทำพันธกิจ กับผู้หญิงขายบริการทางเพศ ย่านถนนสุขุมวิทซอยต้นๆ เขาได้ลงพื้นที่ ไปเดินสำรวจถนนสายนั้น เขาเข้าไปพูดคุยเป็นเพื่อนกับสตรีที่ขายบริการ เขาได้ซื้อชั่วโมงหญิงสาวเหล่านั้นเพื่อสร้างสัมพันธ์ เป็นมิตรเป็นเพื่อน และแนะนำให้รู้จักพระเยซูเจ้า ผู้ที่รัก เข้าใจ เห็นใจ พวกเธอ พระองค์เข้ามาในโลกนี้มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด นำคนบาปให้หลุดพ้นบ่วงบาปกรรม ฯลฯ มีสตรีขายบริการคนหนึ่งได้ตัดสินใจต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด และบอกว่า เธอจะกลับไปบอกข่าวดี (แพร่ธรรม )เกี่ยวกับพระเยซูให้พ่อ แม่ พี่น้อง และเพื่อนร่วมหมู่บ้านได้รู้จักพระเยซู เพื่อว่าพวกเขาจะได้พึ่งพระเยซู จะได้ไม่ส่งลูกสาวเข้ากรุงเพื่อขายบริการทางเพศ ศิษยาภิบาลรายนี้ จึงคิดถึงเรื่องหญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำทันที ดังนั้น อีกไม่กี่เดือนต่อมาเขาและครอบครัวได้เข้ามาประเทศไทยในฐานะมิสชันนารี เขาตั้งชื่อพันธกิจของเขาว่า “พันธกิจบ่อน้ำ” (The Well Ministry) เพราะเป้าหมายหลักคือการนำสตรีที่อพยพมาจากต่างจังหวัด เพื่อขายบริการทางเพศให้สัมผัสความรักของพระเยซูคริสต์ แล้วดูแลให้พวกเธอเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณ และส่งเสริมการฝึกอาชีพ เพื่อพวกเธอจะได้มีอาชีพติดตัวกลับบ้าน และสามารถเป็นพยานถึงพระเยซูเจ้าแก่คนในครอบครัวและเพื่อนบ้านได้
โปรดปราน (พีพี )
ถ้าเจ้าได้รู้จักของที่พระเจ้าประทาน และรู้จักผู้ที่พูดกับเจ้าว่า 'ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง' เจ้าก็คงจะได้ขอจากท่านผู้นั้น และท่านผู้นั้นก็คงจะให้น้ำธำรงชีวิตแก่เจ้า” (ยอห์น 4.10)
สาเหตุที่ชาวยิวไม่คบหาชาวสะมาเรีย ตามที่ปรากฏในประวัติศาสตร์คือหลังจากกษัตริย์ซาโลมอนสิ้นพระชนม์ ชาติอิสราเอลถูกแบ่งออกเป็น 2 ชาติ คืออิสราเอล (หรือเรียกว่าสะมาเรีย)ตั้งอยู่ภาคเหนือ และยูดาห์ ตั้งอยู่ภาคใต้ ( 1 พงศ์กษัตริย์ 12.1-20 ในปี 922 ก.ค.ศ. ) ต่อมาอีก สองร้อยปี ชาวอัสซีเรียได้ยกทัพมาปราบชาวสะมาเรีย แล้วกวาดต้อนชาวสะมาเรียจำนวนมากไปเป็นเชลย พร้อมทั้งนำคนจากชาติอื่นๆมาอยู่แทนจำนวนมาก ซึ่งคนชาติอื่นๆได้นำพระของตนมาด้วย ( 2 พงศ์กษัตริย์ 17.23-41 ในปี 722 ก.ค.ศ.) ดังนั้นชาวสะมาเรียจึงกลายเป็นชาติผสม เขานมัสการพระเจ้าอย่างไม่บริสุทธิ์เพราะได้นับถือรูปเคารพด้วย นอกจากนั้นพวกเขาได้นับถือ หนังสือ ห้าเล่มแรกของพระคัมภีร์ แต่ได้ละทิ้งพระคัมภีร์หมวด ผู้เผยพระวจนะ (ประกาศก) และหนังสือสดุดี
เมื่อชาวยิวกลับจากการเป็นเชลยที่บาบิโลนมาที่กรุงเยรูซาเล็ม พวกเขาไม่ยอมให้ชาวสะมาเรียช่วยพวกเขาสร้างพระนิเวศของพระเจ้า ( เอสรา 4.1-4 ) ดังนั้นจึงทำให้ความบาดหมางใจเพิ่มขึ้น และต่อมาเมื่อชาวสะมาเรียได้สร้างพระวิหารของตนที่ภูเขาเกราซิม แต่ชาวยิวก็ได้ทำลายพระวิหารของชาวสะมาเรีย จึงเป็นเหตุให้การแตกแยกจึงเพิ่มมากขึ้น เมื่อถึงสมัยพระเยซูเจ้าทั้งสองฝ่ายรู้สึกเป็นศัตรูกันอย่างถาวร เช่นอาจารย์ของชาวยิว เช่น นิโคเดมัส คงจะไม่ยอมพูดกับชาวสะมาเรียโดยเฉพาะสตรี อย่างไรก็ตามพระเยซูเจ้าทรงสนทนาทั้งคนเคร่งศาสนายิวอย่างนิโคเดมัส และสตรีต่างชาติที่เป็นคนบาปอย่างหญิงสะมาเรียและสิ่งที่พระองค์ตรัสกับบุคคลทั้งสองเป็นเรื่องเดียวกัน คือเรื่องชีวิตใหม่ทางพระองค์เอง ในพระวรสารนักบุญยอห์น พระเยซูเจ้าทรงใช้น้ำเป็นสัญลักษณ์ ของชีวิต
1.น้ำธำรงชีวิต ( ยอห์น 4.10-20 )
เรื่องนี้เกิดขึ้นขณะที่พระเยซูเสด็จออกจากเยรูซาเล็ม ( แคว้นยูเดีย )กลับไปแคว้นกาลิลีเพื่อหลีกเลี่ยงการพบกับฟาริสี (เพราะยังไม่ถึงเวลา ) จึงเสด็จผ่านแคว้นสะมาเรีย เกี่ยวกับน้ำที่พระเยซูเจ้าตรัสถึงในพระวรสาร นักบุญยอห์น บทที่ 4 คือ น้ำฝ่ายวิญญาณจิต ในชีวิตจริงทุกคนต้องดื่มน้ำเพื่อความต้องการฝ่ายกาย ในทำนองเดียวกันเราต้องได้น้ำฝ่ายจิตวิญญาณซึ่งพระเยซูตรัสว่า น้ำนั้นคือ น้ำธำรงชีวิต เพราะน้ำนั้นจะไม่ทำให้กระหายอีกเลย... บ่อน้ำนั้นจะบังเกิดบ่อน้ำพุในตัวเขาพุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์ “แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้น จะไม่กระหายอีกเลย น้ำซึ่งเราจะให้เขานั้น จะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์” ( ยน.4.14 ) ในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม พระเจ้าตรัสว่า “เพราะว่าประชากรของเราได้กระทำ ความชั่วถึงสองประการ เขาได้ทอดทิ้งเราเสีย ซึ่งเป็นแหล่งน้ำเป็น แล้วสกัดหินขังน้ำไว้สำหรับตนเอง เป็นแอ่งแตกที่ขังน้ำตาย ซึ่งขังน้ำไม่ได้” (ยรม.2.13 ) นอกจากนี้แล้วมีการเปรียบเทียบฝ่ายจิตวิญญาณว่า “เพราะว่าเจ้าจะเป็นเหมือนต้นก่อหลวงใบที่แห้งเหี่ยวและเหมือนสวนที่ขาดน้ำ” (อสย.1.30 )
ทั่วโลกมีคนกระหายน้ำฝ่ายวิญญาณจิต ยิ่งกว่านั้นคนจำนวนมากซึ่งอยู่รอบๆตัวเรา ก็กำลังแสวงหาน้ำไว้หล่อเลี้ยงชีวิตฝ่ายจิตกำลังแสวงหาผิดบ่อ เพราะพวกเขาแสวงหาน้ำแห่งความพอใจ น้ำแห่งความสำเร็จ น้ำแห่งฐานะมั่นคง เป็นต้น ซึ่งตลอดชีวิตจะไม่พบน้ำที่จะให้เขาอิ่มเอมใจเลย เพราะน้ำที่สามารถให้จิตวิญญาณไม่แห้งแล้งอีกเลย นั่นคือ “พระเยซูเจ้า ผู้เป็นน้ำธำรงชีวิต แก่ทุกคนที่เสาะแสวงหา” การแสวงหาของมนุษย์ไม่เคยถึงจุดอิ่มตัว ไม่เคยพอ เราต้องแสวงหาไปเรื่อยๆ
เมื่อพระเยซูและเหล่าสาวกมาถึงเมืองสิคาร์ พระเยซูเจ้าประทับลงที่ข้างบ่อน้ำของยาโคบบรรพบุรุษของอิสราเอล (ยอห์น 4.6,ปฐมกาล 32.28 ) ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงวัน บรรดาสาวกเข้าไปในเมืองไปซื้อหาอาหาร ตามปกติแล้วสตรีที่ไปตักน้ำที่บ่อต้องไปตอนเย็น เพราะแดดร่มลมตก แต่ผู้หญิงคนนี้ฝ่าเปลวแดดมาตักน้ำตอนเที่ยงวัน เธอมาพร้อมกับภาชนะที่ใช้ตักน้ำ เมื่อพระเยซูเจ้าเอ่ยขอน้ำเธอดื่ม นางคงช็อค เพราะว่าชาวยิวไม่คบหากับชาวสะมาเรีย โดยเฉพาะกับสตรี ซึ่งพระเยซูได้แหกกฎของชาวยิวคือการแบ่งแยกเชื้อชาติ สิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงเป็นแบบอย่างในชีวิตจริงของเราคือพระองค์ไม่ประสงค์ให้เราแบ่งแยก เชื้อชาติ สีผิว ศาสนา เมื่อพระองค์ตรัสว่า “ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง” นางตอบกลับไปทันทีว่า “ไฉนท่านผู้เป็นยิวจึงขอน้ำดื่มจากดิฉัน ผู้เป็นหญิงชาวสะมาเรีย” (ข้อ9) พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ถ้าเจ้าได้รู้จักของที่พระเจ้าประทาน และรู้จักผู้ที่พูดกับเจ้าว่า 'ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง' เจ้าก็คงจะได้ขอจากท่านผู้นั้น และท่านผู้นั้นก็คงจะให้น้ำธำรงชีวิตแก่เจ้า” (ข้อ 10 ) พระเยซูทรงเปิดเผยพระองค์เองชัดเจน พระองค์ทรงเป็นพระวาทะ ที่บังเกิดเป็นมนุษย์ ทรงเป็นของขวัญที่พระเจ้าทรงประทานแก่โลก เพราะความตายบนไม้กางเขนและคืนพระชนม์ของพระองค์
ความสงสัยของหญิงสะมาเรียนางนี้ยังไม่หายไป เรื่องน้ำธำรงชีวิตที่พระเยซูตรัส โดยนางกล่าวว่าว่า “ท่านเจ้าคะ ท่านไม่มีถังตัก และบ่อนี้ก็ลึก ท่านจะได้น้ำธำรงชีวิตนั้นมาจากไหน” (ข้อ 11 ) ส่วนข้อ 12 นางจึงถามพระเยซูว่าพระองค์ เป็นใหญ่กว่าบรรพบุรุษคือยาโคบผู้ได้ให้บ่อน้ำนี้ และเขากับฝูงสัตว์ก็ดื่มจากบ่อนี้เช่นกัน นางไม่เข้าใจสิ่งที่พระเยซูเจ้าตรัสถึง เธอเข้าใจอย่างพื้นๆคือน้ำที่เราใช้อาบดื่มกินกันทั่วๆไป ความจริงสิ่งที่พระเยซูตรัสเป็นน้ำธำรงชีวิต ที่เกี่ยวกับชีวิตนิรันดร์ เพราะคนส่วนใหญ่จะมีสายตาทางกายภาพดีมองได้ไกลลิบ หรือหากสายตาบกพร่องก็ใช้เลนซ์เข้าช่วย แต่ตาฝ่ายวิญญาณบอดสนิท ดังนักบุญเปาโลบันทึกไว้ว่า “แต่มนุษย์ธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่ได้ เพราะเขาเห็นว่าเป็นสิ่งโง่เขลา และเขาไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ก็ต้องสังเกตด้วยวิญญาณ” (1คร.2.14 )
ในพระวรสารน.ยอห์น พระเยซูตรัสตอบว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้น จะไม่กระหายอีกเลย น้ำซึ่งเราจะให้เขานั้น จะบังเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์” ( ยน.4.13-14 ) เมื่อสตรีได้ฟังเช่นนั้น นางตอบสนองแบบเย้ยอยู่ในทีว่า ตัวเธออยากได้ เพื่อไม่ต้องเทียวตักน้ำเหมือนที่เป็นอยู่ บทสนทนานี้เหมือนกับการพูดคนละเรื่องเดียวกัน เพราะพระเยซูเจ้าตรัสกับเธอว่าให้ไปเรียก ผัว (พระคัมภีร์ใช้คำนี้)ของนางมา หน้ากากของหญิงคนนี้ถูกฉีก เพราะเธอบอกว่าตัวเองไม่มีผัว ซึ่งพระเยซูตรัสว่า จริงเพราะนางมีผัวมาแล้วห้าคนและผู้ชายที่นางอยู่ด้วยปัจจุบัน ก็ไม่ใช่ผัว ความเป็นองค์สัพพัญญู (คือรู้ทุกอย่าง )ของพระเยซู พระองค์ทรงรู้จักมนุษย์ทุก คนจึงไม่มีใครจะซ่อนความผิดบาปของตัวเองไว้มิด หญิงสะมาเรียนางนี้จึงตะลึงกับสิ่งที่พระเยซูกล่าวถึงพฤติกรรมของนาง เลยมั่นใจว่า พระเยซูทรงเป็นประกาศก คนหนึ่ง เพราะสามารถบอกถึงความบาปเธอของนางถูกต้องทั้งๆที่นางและพระเยซูไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ดังนั้นนางรีบเปลี่ยนบทสนทนา เป็น เรื่อง ความเชื่อของยิว และชาวสะมาเรีย คือ“การนมัสการ”
เมื่อ ต้นปี ค.ศ. 2005 ฉันได้รู้จักศิษยาภิบาลชาวอเมริกันคนหนึ่ง ที่ได้เข้ามาสำรวจหาข้อมูลเพื่อทำพันธกิจ กับผู้หญิงขายบริการทางเพศ ย่านถนนสุขุมวิทซอยต้นๆ เขาได้ลงพื้นที่ ไปเดินสำรวจถนนสายนั้น เขาเข้าไปพูดคุยเป็นเพื่อนกับสตรีที่ขายบริการ เขาได้ซื้อชั่วโมงหญิงสาวเหล่านั้นเพื่อสร้างสัมพันธ์ เป็นมิตรเป็นเพื่อน และแนะนำให้รู้จักพระเยซูเจ้า ผู้ที่รัก เข้าใจ เห็นใจ พวกเธอ พระองค์เข้ามาในโลกนี้มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด นำคนบาปให้หลุดพ้นบ่วงบาปกรรม ฯลฯ มีสตรีขายบริการคนหนึ่งได้ตัดสินใจต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด และบอกว่า เธอจะกลับไปบอกข่าวดี (แพร่ธรรม )เกี่ยวกับพระเยซูให้พ่อ แม่ พี่น้อง และเพื่อนร่วมหมู่บ้านได้รู้จักพระเยซู เพื่อว่าพวกเขาจะได้พึ่งพระเยซู จะได้ไม่ส่งลูกสาวเข้ากรุงเพื่อขายบริการทางเพศ ศิษยาภิบาลรายนี้ จึงคิดถึงเรื่องหญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำทันที ดังนั้น อีกไม่กี่เดือนต่อมาเขาและครอบครัวได้เข้ามาประเทศไทยในฐานะมิสชันนารี เขาตั้งชื่อพันธกิจของเขาว่า “พันธกิจบ่อน้ำ” (The Well Ministry) เพราะเป้าหมายหลักคือการนำสตรีที่อพยพมาจากต่างจังหวัด เพื่อขายบริการทางเพศให้สัมผัสความรักของพระเยซูคริสต์ แล้วดูแลให้พวกเธอเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณ และส่งเสริมการฝึกอาชีพ เพื่อพวกเธอจะได้มีอาชีพติดตัวกลับบ้าน และสามารถเป็นพยานถึงพระเยซูเจ้าแก่คนในครอบครัวและเพื่อนบ้านได้