**+ กล้าเผชิญความขัดสน +**
โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ค. 09, 2008 6:33 am
กล้าเผชิญความขัดสน
โปรดปราน ( พีพี )
“ ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า” (ฟป.4.13 )
ไล่ตงจิ้น เป็นคนหนึ่งที่เผชิญความขัดสนด้วยความกล้าหาญ “เขาเกิดในปี 1959 เป็นช่วงที่ไต้หวันอยู่ในยุคสมัยของการเกษตรกรรม และสงครามโลกครั้งที่สองเพิ่งเสร็จสิ้น ตอนนั้นประเทศไต้หวันค่อนข้างยากจน เขาลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรก ที่สุสาน กระดูกคนตายคือของเล่น พวก เขา ต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี้มานับ 10 ปี เขา มีบิดาเป็นขอทานตาบอด ส่วนมารดาเป็นคนปัญญาอ่อน มีไอคิวเพียง 58 มีน้องๆอีก 10 คน ซึ่ง เด็กชาย “ไล่ตงจิ้น”ต้องดูแลในฐานะลูกชายคนโต พวกเขา ‘ยังชีพ’ ด้วยการขอทาน เรื่องการเรียนหนังสือ คือ ความเป็นไปไม่ได้ อาชีพขอทานต้องพเนจรไปเรื่อยๆ จึงไม่เคยคิดว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร มีชีวิตอยู่ให้ได้แค่วันนี้ก็พอ อาหารที่ดีที่สุดของเขาคือ อาหารที่คนอื่นกินเหลือ เสื้อผ้าที่ใส่ ก็เก็บมาจากเสื้อผ้าคนตายที่ญาติๆ เขา เอามาทิ้งไว้ พวกเขาใช้พันร่างกาย กันร้อนหนาวและกันความอุจาด … ต่อมา “ไล่ตงจิ้น” ได้เรียนหนังสือ ก็เพราะเงินของพี่สาวที่ได้มาจากการขายตัว เวลาเขาไปโรงเรียน มีนักเรียนบางคนล้อเลียนว่าเป็นลูกขอทาน เขาไม่เคยโต้ตอบ ได้แต่อดทนเสมอมา เพราะเขาสำนึกว่าการได้เรียนก็เพราะความลำบากของพี่สาว ดังนั้นจึงอดทนเพื่อพ่อ แม่ พี่สาว และเพื่อน้องๆ
ไล่ตงจิ้น ไม่เคยยอมแพ้ต่อคำดูถูกและคำสบประมาท แต่เขานำมาเป็นแรงผลักดันให้เกิดความมานะพยายาม ความอดทนจนในที่สุดเขาก็ได้รับการยอมรับจากเพื่อนๆ ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าชั้นตลอดมา เขามีผลการเรียนดีมาก จึงได้รับเกียรติบัตรจากความรู้ความสามารถ มากถึง 130 ใบ เคยได้รับรางวัล 10 สุดยอดเยาวชนของไต้หวันในด้านต่างๆ
ไล่ตงจิ้น มุมานะจนเรียนจบเทคนิค สาขาการไฟฟ้า ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าโรงงานของบริษัทแห่งหนึ่ง ที่เขามีส่วนเป็นผู้ร่วมบุกเบิก ฐานะของเขาและครอบครัวมีความเป็นอยู่สุขสบาย ไม่ลำบากเหมือนก่อนอีกแล้ว พี่สาวก็เช่นกัน อาจิ้นยังคงดูแลและช่วยเหลือทุกคนในครอบครัวอยู่เสมอ เขามีภรรยาที่รักเขาและมีลูกๆ ที่น่ารัก
ขอนำเรื่องการเผชิญกับการขัดสนของหญิงม่าย ที่บันทึกในพระคัมภีร์เก่า มาศึกษา เพราะเราจะสัมผัสกับความรักของพระเจ้าโดยการทรงเลี้ยงดู พระองค์ทรงใช้ประกาศกเอลียาห์ไปหาแม่ม่ายชาวศาเรฟัทผู้นี้เพียงผู้เดียว (1พกษ.17-8-16,ลูกา 4.25-26 ) ดังพระวาจา 9“ลุกขึ้นไปยังเมืองศาเรฟัทเถิด ซึ่งขึ้นแก่เมืองไซดอน และอาศัยอยู่ที่นั่น ดูเถิด เราได้บัญชาหญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นให้เลี้ยงเจ้า” 10ท่านจึงลุกขึ้นไปยังเมืองศาเรฟัท และเมื่อมาถึงประตูเมือง ดูเถิด หญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นกำลังเก็บฟืน ท่านจึงเรียกนางว่า “ขอน้ำเล็กน้อยใส่ภาชนะมาให้ฉัน เพื่อฉันจะได้ดื่มน้ำ” 11และขณะเมื่อนางจะไปเอาน้ำมา ท่านก็เรียกนางแล้วบอกว่า “ขอนำอาหารใส่มือมาให้ฉันสักหน่อยหนึ่ง” 12และนางตอบว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ดิฉันไม่มีอะไรที่ปิ้งเสร็จ มีแต่แป้งสักกำมือหนึ่งในหม้อ และน้ำมันเล็กน้อยที่ในไห บัดนี้ดิฉันกำลังเก็บฟืนเล็กน้อย เพื่อจะเข้าไปทำสำหรับตัวดิฉัน และบุตรชายของดิฉัน เพื่อเราจะได้กินแล้วก็จะตาย” 13และเอลียาห์บอกนางว่า “อย่ากลัวเลย จงไปทำตามที่เจ้าพูด แต่จงทำขนมก้อนเล็กให้ฉันก่อน แล้วเอามาให้ฉัน ภายหลังจึงทำสำหรับตัวเจ้าและบุตรของเจ้า 14เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า 'แป้งในหม้อนั้นจะไม่หมด และน้ำมันในไหนั้นจะไม่ขาด จนกว่าจะถึงวันที่พระเจ้าทรงส่งฝนลงมายังพื้นดิน' ” 15นางก็ไปกระทำตามคำของเอลียาห์ นาง ตัวท่านและครอบครัวของนางก็รับประทานอยู่หลายวัน 16แป้งในหม้อก็ไม่หมด น้ำมันในไหก็ไม่ขาด ตามพระวจนะของพระเจ้าซึ่งตรัสทางเอลียาห์
ที่ใดก็ตามเมื่อเกิดการกันดารอาหาร ที่นั่นแห้งแล้ง ไม่มีอาหารไม่มีพืชผล ไม่มีสัตว์เลี้ยง ไม่มีฝน ไม่มีแหล่งน้ำ ประชาชนอดอยาก แม่ม่ายและลูกกำพร้า ต่างผอม หิวโซ เป็นภาพน่าเวทนามาก สมัยนั้น ประกาศกเอลียาห์เป็นผู้เผยพระวจนะ ส่วนกษัตริย์อาหับได้ลบหลู่พระเจ้าโดยหันไปสร้างแท่นบูชาพระบาอัล และอาเชราห์ เพื่อให้ประชาชนกราบไหว้ พระเจ้าทรงลงโทษ ที่เขาเชื่อว่าพระบาอัลเป็นพระแห่งฟ้าฝนและอวยพรผลิตผล ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลงโทษ ให้อิสราเอลเกิดภัยแล้ง 3 ปี 6 เดือน ประกาศกเอลียาห์สัมผัสถึงความรักของพระเจ้ายามขัดสนเช่นนี้ โดยการจัดเตรียมของพระเจ้าให้อีกาคาบเนื้อและขนมปังให้เขาทุกเช้าเย็น และมีน้ำดื่มจากลำธารครีท
ทำไมพระเจ้าทรงดูแลหญิงม่ายที่ขัดสนคนนี้
1.นางเป็นหญิงชาวเมืองศาเรฟัท (หญิงต่างชาติ) เมืองศาเรฟัทเป็นเมืองเล็กๆอยู่ริมฝั่งทะเลเมดิเตอเรเนียน เมืองที่นางอยู่เป็นศูนย์กลางของการบูชาพระบาอัล พื้นเพของนางเคยเชื่อพระบาอัล แต่บัดนี้ได้กลับใจเชื่อพระยาเวห์ พระเจ้าของอิสราเอลและของทุกคน กระทั่งหญิงม่ายชาวต่างชาติ
2.นางเป็นคนยากจน ปกติหญิงม่ายจะยากจน เพราะขาดสามีเลี้ยงดู ชีวิตจึงลำบากมาก ยากจนอย่างไรดัง พระคัมภีร์บันทึกว่าเหลือแป้งหนึ่งกำมือ และน้ำมันเล็กน้อย เพียงพอสำหรับสองแม่ลูกกินเป็นมื้อสุดท้าย แล้วตาย
3.นางเป็นหญิงมีน้ำใจ เมื่อพระเจ้าทรงใช้เอลียาห์ และบอกว่าพระองค์จะเลี้ยงดูเขาผ่านหญิงม่าย ทว่ามีหญิงม่ายมากมายเหลือเกิน เขาได้ภาวนาหากหญิงม่ายคนไหนให้น้ำดื่มแก่เขา ก็เป็นคนนั้นแน่นอน ในที่สุดหญิงม่ายชาวศาเรฟัท ก็เป็นคนที่ประกาศกเอลียาห์ขอน้ำดื่ม นางก็ให้เขาดื่มน้ำ
4.นางมีความเชื่อมาก เมื่อประกาศกเอลียาห์ขอน้ำแล้วยังขออาหาร นางทำอาหารให้เขากิน ตามสิ่งที่เธอมีทั้งหมด เธอเชื่อ เธอวิงวอนว่าพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เอลียาห์บอกนางว่า พระเจ้าทรงสัญญาจะเลี้ยงดูนางแน่นอน (เช่นเดียวกับ กษัตริย์ดาวิด สดุดี 23 มีพระเจ้าเป็นพระผู้เลี้ยง)
5.นางเชื่อฟัง เธอไม่มีข้อแม้ใด หรือข้อสงสัยเลย เมื่อประกาศกเอลิยาห์ขอให้นางทำขนมปังก้อนเล็กๆ นางรีบทำตามทันที เป็นการบ่งบอกถึงการเชื่อฟังและการเสียสละเพื่อคนอื่น
6.นางให้เกียรติแก่คนของพระเจ้า ทั้งๆที่อาหารจากแป้งและน้ำมันนั้นกำลังจะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายของครอบครัวนาง เธอยังกล้ามอบอาหารชิ้นสุดท้ายให้แก่ประกาศกเอลียาห์ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า
7.นางดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ หลังจากนางได้เลี้ยงเอลียาห์แล้ว พระเจ้าทรงอวยพรให้แป้งและน้ำมันของนางไม่ขาด เพราะความกล้าเผชิญความขัดสนเธอจึงได้รับพระพร ตามพระสัญญา
โปรดปราน ( พีพี )
“ ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า” (ฟป.4.13 )
ไล่ตงจิ้น เป็นคนหนึ่งที่เผชิญความขัดสนด้วยความกล้าหาญ “เขาเกิดในปี 1959 เป็นช่วงที่ไต้หวันอยู่ในยุคสมัยของการเกษตรกรรม และสงครามโลกครั้งที่สองเพิ่งเสร็จสิ้น ตอนนั้นประเทศไต้หวันค่อนข้างยากจน เขาลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรก ที่สุสาน กระดูกคนตายคือของเล่น พวก เขา ต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี้มานับ 10 ปี เขา มีบิดาเป็นขอทานตาบอด ส่วนมารดาเป็นคนปัญญาอ่อน มีไอคิวเพียง 58 มีน้องๆอีก 10 คน ซึ่ง เด็กชาย “ไล่ตงจิ้น”ต้องดูแลในฐานะลูกชายคนโต พวกเขา ‘ยังชีพ’ ด้วยการขอทาน เรื่องการเรียนหนังสือ คือ ความเป็นไปไม่ได้ อาชีพขอทานต้องพเนจรไปเรื่อยๆ จึงไม่เคยคิดว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร มีชีวิตอยู่ให้ได้แค่วันนี้ก็พอ อาหารที่ดีที่สุดของเขาคือ อาหารที่คนอื่นกินเหลือ เสื้อผ้าที่ใส่ ก็เก็บมาจากเสื้อผ้าคนตายที่ญาติๆ เขา เอามาทิ้งไว้ พวกเขาใช้พันร่างกาย กันร้อนหนาวและกันความอุจาด … ต่อมา “ไล่ตงจิ้น” ได้เรียนหนังสือ ก็เพราะเงินของพี่สาวที่ได้มาจากการขายตัว เวลาเขาไปโรงเรียน มีนักเรียนบางคนล้อเลียนว่าเป็นลูกขอทาน เขาไม่เคยโต้ตอบ ได้แต่อดทนเสมอมา เพราะเขาสำนึกว่าการได้เรียนก็เพราะความลำบากของพี่สาว ดังนั้นจึงอดทนเพื่อพ่อ แม่ พี่สาว และเพื่อน้องๆ
ไล่ตงจิ้น ไม่เคยยอมแพ้ต่อคำดูถูกและคำสบประมาท แต่เขานำมาเป็นแรงผลักดันให้เกิดความมานะพยายาม ความอดทนจนในที่สุดเขาก็ได้รับการยอมรับจากเพื่อนๆ ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าชั้นตลอดมา เขามีผลการเรียนดีมาก จึงได้รับเกียรติบัตรจากความรู้ความสามารถ มากถึง 130 ใบ เคยได้รับรางวัล 10 สุดยอดเยาวชนของไต้หวันในด้านต่างๆ
ไล่ตงจิ้น มุมานะจนเรียนจบเทคนิค สาขาการไฟฟ้า ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าโรงงานของบริษัทแห่งหนึ่ง ที่เขามีส่วนเป็นผู้ร่วมบุกเบิก ฐานะของเขาและครอบครัวมีความเป็นอยู่สุขสบาย ไม่ลำบากเหมือนก่อนอีกแล้ว พี่สาวก็เช่นกัน อาจิ้นยังคงดูแลและช่วยเหลือทุกคนในครอบครัวอยู่เสมอ เขามีภรรยาที่รักเขาและมีลูกๆ ที่น่ารัก
ขอนำเรื่องการเผชิญกับการขัดสนของหญิงม่าย ที่บันทึกในพระคัมภีร์เก่า มาศึกษา เพราะเราจะสัมผัสกับความรักของพระเจ้าโดยการทรงเลี้ยงดู พระองค์ทรงใช้ประกาศกเอลียาห์ไปหาแม่ม่ายชาวศาเรฟัทผู้นี้เพียงผู้เดียว (1พกษ.17-8-16,ลูกา 4.25-26 ) ดังพระวาจา 9“ลุกขึ้นไปยังเมืองศาเรฟัทเถิด ซึ่งขึ้นแก่เมืองไซดอน และอาศัยอยู่ที่นั่น ดูเถิด เราได้บัญชาหญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นให้เลี้ยงเจ้า” 10ท่านจึงลุกขึ้นไปยังเมืองศาเรฟัท และเมื่อมาถึงประตูเมือง ดูเถิด หญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นกำลังเก็บฟืน ท่านจึงเรียกนางว่า “ขอน้ำเล็กน้อยใส่ภาชนะมาให้ฉัน เพื่อฉันจะได้ดื่มน้ำ” 11และขณะเมื่อนางจะไปเอาน้ำมา ท่านก็เรียกนางแล้วบอกว่า “ขอนำอาหารใส่มือมาให้ฉันสักหน่อยหนึ่ง” 12และนางตอบว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ดิฉันไม่มีอะไรที่ปิ้งเสร็จ มีแต่แป้งสักกำมือหนึ่งในหม้อ และน้ำมันเล็กน้อยที่ในไห บัดนี้ดิฉันกำลังเก็บฟืนเล็กน้อย เพื่อจะเข้าไปทำสำหรับตัวดิฉัน และบุตรชายของดิฉัน เพื่อเราจะได้กินแล้วก็จะตาย” 13และเอลียาห์บอกนางว่า “อย่ากลัวเลย จงไปทำตามที่เจ้าพูด แต่จงทำขนมก้อนเล็กให้ฉันก่อน แล้วเอามาให้ฉัน ภายหลังจึงทำสำหรับตัวเจ้าและบุตรของเจ้า 14เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า 'แป้งในหม้อนั้นจะไม่หมด และน้ำมันในไหนั้นจะไม่ขาด จนกว่าจะถึงวันที่พระเจ้าทรงส่งฝนลงมายังพื้นดิน' ” 15นางก็ไปกระทำตามคำของเอลียาห์ นาง ตัวท่านและครอบครัวของนางก็รับประทานอยู่หลายวัน 16แป้งในหม้อก็ไม่หมด น้ำมันในไหก็ไม่ขาด ตามพระวจนะของพระเจ้าซึ่งตรัสทางเอลียาห์
ที่ใดก็ตามเมื่อเกิดการกันดารอาหาร ที่นั่นแห้งแล้ง ไม่มีอาหารไม่มีพืชผล ไม่มีสัตว์เลี้ยง ไม่มีฝน ไม่มีแหล่งน้ำ ประชาชนอดอยาก แม่ม่ายและลูกกำพร้า ต่างผอม หิวโซ เป็นภาพน่าเวทนามาก สมัยนั้น ประกาศกเอลียาห์เป็นผู้เผยพระวจนะ ส่วนกษัตริย์อาหับได้ลบหลู่พระเจ้าโดยหันไปสร้างแท่นบูชาพระบาอัล และอาเชราห์ เพื่อให้ประชาชนกราบไหว้ พระเจ้าทรงลงโทษ ที่เขาเชื่อว่าพระบาอัลเป็นพระแห่งฟ้าฝนและอวยพรผลิตผล ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลงโทษ ให้อิสราเอลเกิดภัยแล้ง 3 ปี 6 เดือน ประกาศกเอลียาห์สัมผัสถึงความรักของพระเจ้ายามขัดสนเช่นนี้ โดยการจัดเตรียมของพระเจ้าให้อีกาคาบเนื้อและขนมปังให้เขาทุกเช้าเย็น และมีน้ำดื่มจากลำธารครีท
ทำไมพระเจ้าทรงดูแลหญิงม่ายที่ขัดสนคนนี้
1.นางเป็นหญิงชาวเมืองศาเรฟัท (หญิงต่างชาติ) เมืองศาเรฟัทเป็นเมืองเล็กๆอยู่ริมฝั่งทะเลเมดิเตอเรเนียน เมืองที่นางอยู่เป็นศูนย์กลางของการบูชาพระบาอัล พื้นเพของนางเคยเชื่อพระบาอัล แต่บัดนี้ได้กลับใจเชื่อพระยาเวห์ พระเจ้าของอิสราเอลและของทุกคน กระทั่งหญิงม่ายชาวต่างชาติ
2.นางเป็นคนยากจน ปกติหญิงม่ายจะยากจน เพราะขาดสามีเลี้ยงดู ชีวิตจึงลำบากมาก ยากจนอย่างไรดัง พระคัมภีร์บันทึกว่าเหลือแป้งหนึ่งกำมือ และน้ำมันเล็กน้อย เพียงพอสำหรับสองแม่ลูกกินเป็นมื้อสุดท้าย แล้วตาย
3.นางเป็นหญิงมีน้ำใจ เมื่อพระเจ้าทรงใช้เอลียาห์ และบอกว่าพระองค์จะเลี้ยงดูเขาผ่านหญิงม่าย ทว่ามีหญิงม่ายมากมายเหลือเกิน เขาได้ภาวนาหากหญิงม่ายคนไหนให้น้ำดื่มแก่เขา ก็เป็นคนนั้นแน่นอน ในที่สุดหญิงม่ายชาวศาเรฟัท ก็เป็นคนที่ประกาศกเอลียาห์ขอน้ำดื่ม นางก็ให้เขาดื่มน้ำ
4.นางมีความเชื่อมาก เมื่อประกาศกเอลียาห์ขอน้ำแล้วยังขออาหาร นางทำอาหารให้เขากิน ตามสิ่งที่เธอมีทั้งหมด เธอเชื่อ เธอวิงวอนว่าพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เอลียาห์บอกนางว่า พระเจ้าทรงสัญญาจะเลี้ยงดูนางแน่นอน (เช่นเดียวกับ กษัตริย์ดาวิด สดุดี 23 มีพระเจ้าเป็นพระผู้เลี้ยง)
5.นางเชื่อฟัง เธอไม่มีข้อแม้ใด หรือข้อสงสัยเลย เมื่อประกาศกเอลิยาห์ขอให้นางทำขนมปังก้อนเล็กๆ นางรีบทำตามทันที เป็นการบ่งบอกถึงการเชื่อฟังและการเสียสละเพื่อคนอื่น
6.นางให้เกียรติแก่คนของพระเจ้า ทั้งๆที่อาหารจากแป้งและน้ำมันนั้นกำลังจะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายของครอบครัวนาง เธอยังกล้ามอบอาหารชิ้นสุดท้ายให้แก่ประกาศกเอลียาห์ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า
7.นางดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ หลังจากนางได้เลี้ยงเอลียาห์แล้ว พระเจ้าทรงอวยพรให้แป้งและน้ำมันของนางไม่ขาด เพราะความกล้าเผชิญความขัดสนเธอจึงได้รับพระพร ตามพระสัญญา