@.. โปรเตสแตนต์ ๓ ..@

คริสตสัมพันธ์ เอกภาพในคริสตศาสนา
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ เม.ย. 22, 2005 12:20 pm

คณะเมธอดิสต์ (Methodist or Wesleyan)

ชื่อและที่มา

คณะเมธอดิสต์ (Methodist) เริ่มจากจอห์น เวสเลย์ ศาสนาจารย์ของคริสตจักรแห่งอังกฤษ ซึ่งไม่ได้คิดจะแยกตัวออกจากคณะแองกลิกันแต่อย่างไร แต่สถานการณ์ได้ผลักดันให้เขาต้องจัดหาบุคลากรทำพันธกิจที่มีมากมาย จนกระทั่งมีการแต่งตั้งฆราวาสประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งทำให้ภาพแปลกแยกจากคริสตจักรอังกฤษชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นปีคริสตศักราช 1784 มีการประชุมใหญ่ของกลุ่มที่ติดตาม จอห์น เวสเลย์ และได้กลายเป็นปีแห่งการก่อตั้งคริสตจักรเมธอดิสต์ เพราะมีการรับรองธรรมนูญการปกครองของคริสตจักร และจดทะเบียนตามกฎหมายว่าเป็นคริสตจักรของคณะเมธอดิสต์

ลักษณะพิเศษ

ลักษณะพิเศษของคณะเมธอดิสต์คือ การรวมจุดเด่นของหลายๆ คณะเข้าด้วยกัน

1. มีรูปแบบการนมัสการใกล้เคียงกับคริสตจักรแห่งอังกฤษ ( Church of England )
2. เน้นประสบการณ์ส่วนตัวกับพระเจ้า ตามรูปแบบของกลุ่มจิตศรัทธานิยม และการดำเนินชีวิตที่เคร่งครัดบริสุทธิ์
3. ให้ความสำคัญกับการสามัคคีธรรม ตามรูปแบบของคณะโมเรเวียนที่รักซึ่งกันและกัน สนใจเอาใจใส่ต่อผู้อื่น
4. ใช้หลักคำสอนตามรูปแบบของคณะลูเธอแรนที่เน้นเรื่องพระคุณของพระเจ้า
5. สิ่งที่เป็นจุดต่างกับคณะอื่นๆ คือสอนเรื่องประสบการณ์ครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นแนวความคิดเรื่องชีวิตที่สมบูรณ์หรือบริสุทธิ์ (Perfectionism)

หลักข้อเชื่อ

1. เชื่อว่าพระคัมภีร์เท่านั้นเป็นมาตรฐานของความเชื่อและการดำเนินชีวิต
2. มีหนังสือหลักข้อเชื่อ 25 ข้อ ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือหลักความเชื่อ 39 ข้อของ
คริสตจักรแห่งอังกฤษเป็นหนังสือหลักความเชื่อ และแนวทางปฎิบัติ
3. หนังสืออรรถาธิบายพระคัมภีร์ใหม่และคำเทศนา 44 บทของเวสเลย์ถูกใช้เป็นมาตรฐานในการอรรถาธิบายความเชื่อ และการเทศนา

หลักคำสอน:

1. มีศาสนศาสตร์แบบลูเธอร์ที่เน้นเรื่องพระคุณ (Doctrine of Grace) เพราะฉะนั้นความรอดเกิดขึ้นเพราะพระคุณของพระเจ้า ผู้ที่เชื่อวางใจก็จะบังเกิดใหม่ รับชีวิตใหม่จากพระเจ้า นับเป็นผู้ชอบธรรม
2. แต่การเข้าสู่ชีวิตที่บริสุทธิ์พร้อมอย่างสมบูรณ์นั้นเป็นพระพรอีกขั้นหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ควรมีประสบการณ์ที่สอง ซึ่งเป็นเรื่องของการชำระให้บริสุทธิ์ การยอมจำนน ดำเนินชีวิตที่เคร่งครัด บากบั่นต่อสู้ เป็นต้น
3. คำสอนเกี่ยวกับพิธีศักดิ์สิทธิ์ มีลักษณะใกล้เคียงกับคริสตจักรโปรเตสแตนต์อื่นๆ แม้ว่าพิธีบัพติศมาไม่ได้มีผลต่อความรอด แต่ก็เป็นสัญญาลักษณ์อย่างหนึ่งของการบังเกิดใหม่ พิธีมหาสนิทถือว่าเป็นพระวรกายและพระโลหิตจริงในด้านจิตวิญญาณ
4. คำสอนด้านระบบการปกครอง ได้มีความพยายามนำรูปแบบของคริสตจักรแห่งอังกฤษซึ่งเป็นระบบสังฆธิปไตยมาใช้ แต่ในสหรัฐอเมริกา คริสตจักรส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วยจึงแยกตนเป็นคริสจักรเมธอดิสต์สมัชชาธิปไตย ฉะนั้นรูปแบบการปกครองคริสตจักรของคณะนี้ จึงมีความหลากหลาย ตามสภาพความต้องการของคริสตจักรท้องถิ่น
5. ตั้งแต่เริ่มต้นคริสตจักรเมธอดิสต์ จะให้ความสำคัญกับการดูแลเอาใจใส่ผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ให้ความสำคัญกับการประกาศพระกิตติคุณ จอห์น เวสเลย์ได้ประกาศว่า “โลกทั้งโลกเป็นเขตอภิบาลของข้าพเจ้า” และการให้ความสำคัญกับอารมณ์ความรู้สึกก็เป็นแบบอย่างที่สอนสืบเนื่องต่อมาตลอด หลักคำสอนเรื่องชีวิตที่บริสุทธิ์ ต้องมีประสบการณ์ที่สองได้เป็นแนวทางให้เกิดคริสตจักรแห่งความบริสุทธิ์ (Holiness) คริสตจักรเพ็นเตคอส (Pentecostal) และคริสตจักรนาซารีน (Nazarene)

----------------------------

หมายเหตุ คณะ เมธอดิสต์ และนาซารีน ยังเป็นคณะที่เข้ามาใหม่ ในประเทศไทย ดังนั้นจึงยังมีคริสตจักร และสมาชิกไม่มากเข้าสังกัดสหกิจฯ
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ เม.ย. 22, 2005 12:22 pm

คณะสาวกของพระคริสต์ (Disciples of Christ,Christians)

ชื่อและที่ มา

เริ่มจากเห็นว่าคณะต่าง ๆ ในนิกายโปรเตสแตนต์มีมากมาย และขาดความเป็นเอกภาพ โธมัส แคมป์เบลล์ (Thomas Campbell: 1763-1854) กับบุตรชายอเล็กซานเดอร์แคมป์เบลล์ (Alaxander Campbell :1788-1866) จึงเป็นผู้รณรงค์ให้คริสตจักรคณะต่างๆ ได้รวมตัวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่าได้ถือพวกถือคณะ ทั้งสองและเพื่อนร่วมงานคนอื่นตระหนักอยู่เสมอว่าการรณรงค์นี้เป็นขบวนการ (Movement) ไม่ใช่เป็นคริสตจักรใหม่ เพราะฉะนั้นจึงใช้ชื่อสาวกของพระคริสต์ก็ดี หรือคริสเตียนก็ดีเป็นแนวทางที่จะรวบรวมคริสตจักรต่างๆ เข้าด้วยกัน แต่สุดท้ายในปีคริสตศักราช 1810 ก็กลายเป็นคริสตจักรใหม่ขึ้นมา ในนามคริสตจักรที่ 1 ของภาคีสมาชิกคริสเตียนแห่งวอชิงตัน (The First Church of the Christian Association of Washington) และต่อมาได้กลายเป็นคณะหนึ่ง

ลักษณะพิเศษ

1. เน้นความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคริสเตียน อุดมการณ์ตั้งแต่เริ่มต้นนั้นยังคงมีอยู่ แม้แนวทางปฏิบัติเป็นสิ่งที่ยากก็ตาม
2. ผลจากอุดมการณ์ที่ต้องการเห็นความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จึงมีแนวความคิดหรือศาสนศาสตร์ที่เปิดกว้าง และมีความกระตือรือร้นในขบวนการเอกสัมพันธ์ของ คริสตจักรและสภาคริสตจักรสากล (WCC)
3. ลักษณะพิเศษอีกอย่างคือ มีแนวความเชื่อและคำสอนค่อนไปทางคณะแบ๊บติสต์แต่จะอนุรักษ์กว่าในแง่พระคัมภีร์ ถึงกับเป็นคำคมที่ใช้ในคณะคือ พระคัมภีร์พูดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น เมื่อพระคัมภีร์เงียบก็เงียบด้วย
4. เน้นการปฏิบัติตามคริสตจักรในยุคแรก และสิ่งที่สอนในพระคัมภีร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธสัญญาใหม่ เช่นการให้มหาสนิทซึ่งก็จัดให้มีมหาสนิททุกวันอาทิตย์โดยอ้างจากแบบอย่างในพระคัมภีร์

หลักข้อเชื่อ

พระคัมภีร์เท่านั้นเป็นมาตรฐานของความเชื่อ และการดำเนินชีวิต ให้ความสำคัญมากในจุดนี้ถึงกับว่า ถ้าพระคัมภีร์เงียบก็ให้เงียบด้วย นั้นหมายความว่าสิ่งที่พระคัมภีร์ไม่ได้บอก ก็ไม่ควรทำด้วย ทุกอย่างต้องทำตามพระคัมภีร์

หลักคำสอน

1. ถือว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นกฎที่ต้องปฏิบัติตาม มีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้นำให้ดำเนินการ และมีพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด
2. มีแนวคำสอนแบบคณะแบ๊บติสต์ไม่เน้นในพิธีกรรม หรือรูปแบบการนมัสการ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีหลักเกณฑ์การนมัสการอะไรมาก นอกจากให้ความสำคัญกับคำเทศนา
3. แต่กับพิธีศักดิ์สิทธิ์ คือบัพติสมาและมหาสนิทให้ความสำคัญมาก เพราะถือว่าเป็นพระบัญชาของพระเยซูคริสต์ ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะพิธีมหาสนิทจึงกำหนดให้มีทุกอาทิตย์ เพื่อระลึกการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ และแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคริสเตียนทุกคน
4. คำสอนเกี่ยวกับ ระบบการปกครองเป็นแบบสมัชชาธิปไตย คริสตจักรท้องถิ่นมีบทบาท และสิทธิอำนาจของตน
------------------

ในสภาคริสตจักรคริสตจักร คือ คริสตจักร ภาคที่ 11 ศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัด นครปฐม
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ เม.ย. 22, 2005 12:26 pm

คณะโมเรเวียน (Moravians,Brethren)

ชื่อและที่มา

เริ่มจากท่านเคาน์ตชินเซนดอร์ฟ (Nikolaus Ludwig Zinzendorf:1700-1760) ได้ต้อนรับพี่น้องชาวโมเฮเมียที่หนีการกดขี่ข่มเหงเพราะติดตามแนวทางของจอห์น ฮัส(John Huss:1373-1415) หลังจากที่จอห์น ฮัสถูกเผาทั้งเป็น ชินเซนดอร์ฟได้ตั้งเป็นคณะโมเรเวียนในปีคริสตศักราช 1724 ที่เยอรมัน และเนื่องจากพี่น้องโมเรเวียนให้ความสำคัญกับพันธกิจมิชชันมาก จึงได้เดินทางไปประเทศต่าง ๆ ประกาศพระกิตติคุณ เป็นพยานเรื่องการบังเกิดใหม่ นำคนต้อนรับพระเยซูคริสต์ โดยไม่ได้มุ่งหวังแต่แรกจะตั้งเป็นคริสตจักรต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงตามสภาพของแต่ละท้องถิ่น จึงได้จัดตั้งเป็นคริสตจักรขึ้น เช่นคริสตจักรโมเรเวียนในอเมริกา ตั้งขึ้นในปีคริสตศักราช 1734 เพราะไม่ได้มุ่งจะตั้งคริสตจักรยกเว้นสถานการณ์ที่จำเป็น ทำให้คริสตจักรโมเรเวียนมีเฉพาะบางแห่งเท่านั้น แม้ว่าการส่งมิชชันนารี และผลงานของมิชชันนารีจะมีมากมาย

ลักษณะพิเศษ

1. เป็นกลุ่มจิตศรัทธานิยม ที่ให้ความสำคัญกับชีวิตภายใน (Inner life) เน้นการบังเกิดใหม่ สันติสุขภายใน
2. มีลักษณะเป็นพี่น้อง ไม่ได้แบ่งฐานะหรือตำแหน่งจะเรียกกันเป็นพี่น้อง แม้ต่อมาจะมีตำแหน่งในคริสตจักร ก็ยังคงรักษาความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง ด้วยเหตุนี้ชาวโมเรเวียนชอบร้องเพลงด้วยกันเสมอเป็นที่รู้จักกันดีในนาม "ชุมชนพี่น้อง" (A Philadeplian Community)
3. ให้ความสำคัญกับพันธกิจมิชชันเพราะเป็นพระมหาบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า
4. ใช้ชีวิตที่เคร่งครัดตามพระคัมภีร์ แต่แสดงชีวิตที่ร่าเริงมีสันติสุขและมีแบบอย่างชีวิตที่สมถะและเสียสละ

หลักข้อเชื่อ

มีพระคัมภีร์เท่านั้น ที่เป็นมาตรฐานสูงสุดของความเชื่อและการดำเนินชีวิต ซึ่งค่อนข้างจะเน้นพระคริสต์เป็นศูนย์กลาง (Christocentric)

หลักคำสอน

1. ในหลักคำสอนจะเน้นความรักของพระเจ้า และความรักฉันพี่น้องมาก เพราะฉะนั้นจึงยอมเสียสละ อุทิศตนเพื่อสำแดงความรักนี้ ได้รับการยกย่องว่า ศาสนศาสตร์ของโมเรเวียนคือศาสนศาสตร์แห่งโลหิต (Blood Theology) เต็มไปด้วยการยอมเสียสละแม้กระทั่งชีวิต
2. เพราะความรักและเคร่งครัดต่อพระคัมภีร์ จึงสอนตกทอดลงมา ปฏิเสธการเป็นทหารเพื่อออกศึกทำสงครามปฏิเสธการสาบาน และปฏิเสธการเป็นข้าราชการ
3. คำสอนเกี่ยวกับพิธีศักดิ์สิทธิ์ มีบัพติสมา โดยให้ตามแบบลูเธอร์แรน ให้ตั้งแต่เด็กและเป็นแบบพรม ส่วนมหาสนิทใกล้เคียงกับลูเธอร์และคาลวินมาก เชื่อว่าเป็นการสถิตอยู่จริงของพระคริสต์ในขนมปัง และน้ำองุ่นแต่ขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ในส่วนนี้จะเน้นอาหารแห่งความรักมากกว่า ซึ่งมีการทานอาหารร่วมกัน การร้องเพลง พิธีมหาสนิท และอธิษฐานด้วยกัน
4. คำสอนเกี่ยวกับระบบการปกครอง เป็นแบบกึ่งสังฆธิปไตยกับพฤฒาธิปไตย มีสังฆราชซึ่งเป็นผู้สืบทอดสิทธิอำนาจจากอัครสาวก (Apostolic Succession) เน้นในเรื่องนี้มากด้วย แต่อำนาจการปกครองหรือบริหารพันธกิจเป็นของคณะผู้ปกครอง และมีมัคนายกหรือกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งจากคณะผู้ปกครอง

คณะโมเรเวียนเป็นแบบอย่างในการส่งมิชชันนารี ของกลุ่มโปรเตสแตนต์......จึงขออธิบายเพิ่มเติมดังนี้

ซินเซ็นดอร์ฟกับคณะโมเรเวียน เคานล์ นิโกลเลาส์ ลุดวิง ซินเซ็นดอร์ฟ (Count Nikolaus Ludwing von Zinzendorf:1700-1760) เกิดในครอบครัวที่มีแนวคิดแบบกลุ่มจิตศรัทธานิยม ดังนั้นท่านจึงถูกส่งไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาลเลย์ ซินเซ็นดอร์ฟเป็นทั้งลูกในทูนหัว และศิษย์เอกของฟรังเก ต่อมา เขาได้พบกับกลุ่มโมเรเวียน ซึ่งเป็นชาว โบเฮเมียติดตามยอห์น ฮัสมาก่อน พวกนี้หนีการกดขี่ข่มเหงมายังประเทศเยอรมัน เขาจึงอนุเคราะห์คนเหล่านี้โดยให้อาศัยอยู่ในที่ดินของเขา และด้วยความชื่นชมยินดีในชีวิตของพวกโมเรเวียน ซึ่งมีลักษณะความเชื่อแบบเดียวกับกลุ่มจิตศรัทธานิยม เขาจึงรับเป็นผู้นำของโมเรเวียน และพัฒนางานของคณะให้ก้าวหน้าไปอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธกิจด้านมิชชั่น ในปีค.ศ. 1732

ซินเซ็นดอร์ฟ ส่งพี่น้องโมเรเวียนไปเป็นมิชชันนารีที่ประเทศแถบคาริบเบียน และต่อมาอีกไม่กี่ ปีก็ส่งพี่น้องในโมเรเวียนเป็นมิชชันนารีที่ประเทศแถบทวีปอัฟริกา ทวีปอเมริกาใต้ ทวีปอเมริกาเหนือและที่ประเทศอินเดีย

จากผู้อพยพหนีภัยการเมือง กว่า 200 คน ที่ต้องมาอาศัยผู้อื่น พี่น้องโมเรเวียนมากกว่าร้อยคน ได้ไปเป็นมิชชันนารียังประเทศต่างๆ นับเป็นคณะมิชชันนารีที่ใหญ่ที่สุดในขณะนั้น ปีค.ศ. 1737 ซินเซนดอร์ฟได้รับการสถาปนาให้เป็นสังฆราชของคณะโมเรเวียน ปีค.ศ. 1738 -1739 เขาเดินทางไปตั้งชุมชนของพี่น้องโมเรเวียนที่ยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ฮอลแลนด์ และอังกฤษ ปี ค.ศ. 1741 ได้เดินทางไปยังอเมริกาเหนือ และตั้งชุมชนเบ็ธเลเฮมที่เมืองเพนน์ซิลวาเนีย (Pennsylvania) ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นศูนย์กลาง ของคณะโมเรเวียนในอเมริกา หลังจากกลับมาจาก การไปเป็นมิชชันนารีในหลายประเทศ ซินเซ็นดอร์ฟก็ได้ทุ่มเทชีวิตกับการบริหารงานในคริสตจักรตลอดมา จนสิ้นชีวิตในปี ค.ศ. 1760 เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น ศิษยาภิบาล และครูที่ดี นอกจากนั้นเขายัง เป็นทั้งนักศาสนศาสตร์ มิชชันนารี นักแต่งเพลงนมัสการ และนักบริหาร ซินเซนดอร์ฟและพี่น้องโมเรเวียนจะเน้นชีวิตที่มีประสบการณ์ลึกซึ้งกับพระเจ้าตามลักษณะของกลุ่มจิตศรัทธานิยม นอกจากนั้นคือหัวใจแห่งความรัก คือรักกันฉันพี่น้อง และรักผู้อื่นที่ยังไม่ได้รับความรอด ซึ่งเป็นเหตุให้คณะโมเรเวียนได้ส่งมิชชันนารีไปประกาศพระกิตติคุณยังประเทศต่างๆตามพระมหาบัญชา และด้วยความเชื่อที่มั่นคงตลอดจนการยอมอุทิศชีวิตเพื่อกระทำพันธกิจของพระเจ้าให้สำเร็จสูงสุด ในพันธกิจด้านมิชชั่น แม้คณะโมเรเวียนจะไม่ใหญ่มาก แต่เป็นคณะที่มีอิทธิพลความดีมากที่สุด จอห์น เวสเลย์ ก็เป็นผู้หนึ่งที่ได้รับอิทธิพลจากพี่น้องโมเรเวียน

--------------------

1.สองพี่น้องตระกูลเวสเลย์ ได้กลับใจใหม่ และเอาจริงเอาจังกับพระเจ้าเพราะความเชื่อของพี่น้องโมเรเวียน....จอห์น และชาลส์ เวสเลย์ คือผู้ก่อตั้งคณะเมธอดิสต์ในเวลาต่อมา
2.ถึงแม้คณะนี้ไม่มีในประเทศไทย แต่เป็นคณะที่กระตุ้นให้ผู้ทาสของพระเจ้ากลับใจใหม่ และเน้นสัมพันธภาพระหว่างมนุษย์กับองค์พระผู้เป็นเจ้า และเป็นแบบอย่างในการส่งมิชชันนารี เพราะความรักของพระเยซูเจ้าที่สวมทับจิตใจพวกเขา
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ เม.ย. 22, 2005 12:29 pm

คณะกองทัพแห่งความรอด (Salvation Army)

ชื่อและที่มา

เริ่มจากศาสนาจารย์วิลเลียม บูช (William Booth)ในคณะเมธอดิสต์ในประเทศอังกฤษที่สนใจการประกาศพระกิตติคุณ และช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากในสังคม จึงปลีกตัวจากคณะเมธอดิสต์ออกมาตั้งชื่อพันธกิจคริสเตียน (Christian Mission) ขึ้นในปีคริสตศักราช 1865 สำหรับชื่อกองทัพแห่งความรอด (Salvation Army) ถูกใช้จริง ๆ อยู่ในปีคริสตศักราช 1878 ในลักษณะของ ขบวนการกลุ่มอีแวนเจลิคอลเท่านั้น ไม่ได้เป็นคริสตจักร และเรียกสถานที่ตั้งพันธกิจว่าสถานี แม้ว่าจะมีแนวความเชื่อ และการปฎิบัติพันธกิจเหมือนกับคริสตจักรโปรเตสแตนต์ทั่วไป ยกเว้นพิธีศักดิ์สิทธิ์ และรูปแบบการนมัสการ

ลักษณะพิเศษ

1. ภาพที่เด่นชัดมากคือการแต่งกายชุดทหาร มียศชั้น ธงชัย และใช้วินัยแบบทหาร
2. ปฏิเสธพิธีศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าพิธีบัพติสมา และพิธีมหาสนิท โดยอ้างว่านี่เป็นส่วนเกินพระมหาบัญชาที่ให้รับบัพติสมาในพระนามพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ถูกอ้างว่าเป็นการรับบัพติสมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่รูปแบบการรับบัพติสมาที่ พระศาสนจักร หรือคริสตจักรทำอยู่
3. เน้นการประกาศพระกิตติคุณ และการช่วยเหลือผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยาก เพราะฉะนั้นจะมีวงดนตรีของกองทัพเพื่องานประกาศพระกิตติคุณ มีสถานที่สงเคราะห์เพื่อทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบากในสังคม ภาพที่เด่นมากภาพหนึ่งของกองทัพแห่งความรอด คือการรณรงค์ขอการถวายหรือบริจาคประชาชนทั่วไปตามชุมชนต่างๆ เพื่อนำเงินหรือสิ่งของที่ได้ไปช่วยเหลือผู้ที่ต้องการ

หลักข้อเชื่อ

1. ยึดถือพระคัมภีร์เท่านั้นทีมีอำนาจสูงสุด และเป็นมาตรฐานของความเชื่อและการดำเนินชีวิต
2. มีหนังสือวินัยและคำสัตยาบัน 16 ข้อ ที่เป็นทั้งหลักข้อเชื่อ หลักคำสอน รวมทั้งกฎเกณฑ์ที่เป็นแนวทางปฏิบัติของกองทัพ ซึ่งทุกคนที่เข้าเป็นสมาชิกของกองทัพต้องทำสัตยาบัน ฝึกฝน และยึดถือข้อกำหนดทั้ง 16 ข้อนี้อย่างเคร่งครัด

หลักคำสอน

1. นอกจากหนังสือวินัยและคำสัตยาบัน 16 ข้อ แล้วผู้ที่จะเข้าสู่กองทัพก็ต้องให้คำมั่นสัญญาว่า จะละทิ้งความสุขของโลกนี้ใช้ชีวิตที่บริสุทธิ์ ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า ไม่เล่นการพนัน ต้องสัตย์ซื่อ และจงรักภักดีต่อกองทัพแห่งความรอด
2. เมื่อได้ทำสัตยาบันแล้ว ก็มีขั้นตอนของการอบรมสั่งสอน เน้นเรื่องการเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา รวมทั้งการแต่งงานก็ต้องได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชา และจะไม่แต่งเมื่อถูกห้ามไม่ให้แต่งงาน ต้องคำนึงว่ามีผลประโยชน์ต่อกองทัพเป็นที่ตัวในกรณีที่ไม่เชื่อฟังก็จะถูกลดยศเป็นเพียงพลทหารเท่านั้น
3. คำสอนเกี่ยวกับพิธีศักดิ์สิทธิ์ และการนมัสการปฏิเสธพิธีศักดิ์สิทธิ์ ที่นิกายโปรเตสแตนต์แทบทุกคณะปฏิบัติสืบทอดมาตลอด โดยอ้างว่าสิ่งที่สำคัญเท่ากันคือการอธิษฐานติดสนิทกับพระเจ้า เพราะฉะนั้นในกองทัพแห่งความรอดจึงไม่มีการให้บัพติสมา และพิธีมหาสนิท และสำหรับการนมัสการก็ไม่มีพิธีกรรมใด ๆ เรียบง่ายเหมือนการประกาศพระกิตติคุณมากกว่า และสิ่งที่สนใจมากอย่างหนึ่งคือการเป็นพยานของสมาชิก
4. คำสอนเกี่ยวกับการปกครอง ใช้รูปแบบทหารในกองทัพเคร่งครัดและมีวินัย มีระดับชั้นดังนี้ จอมพลคือผู้ที่มีอำนาจสูงสุด มาจากการเลือกตั้งของสภาทหารสูงสุด ที่มียศสูงสุด 55 ท่านเป็นผู้เลือกจอมพล นอกจากนี้ลงมาเป็นนายพล นายพัน นายร้อยจ่าคือผู้ที่กำลังรับการฝึกอบรม เพื่อก้าวสู่การเป็นนายร้อยและพลทหารก็คือสมาชิกธรรมดา.

*****************

ในประเทศไทยเท่าที่ทราบ ยังไม่มีคริสเตียนคณะนี้ ...ที่ผู้เขียนมีโอกาส ร่วมนมัสการ และพบปะคริสตชนกลุ่มนี้สมัยเรียน ที่ประเทศสิงคโปร์ ( ค.ศ. 1996-1997 ) เราเรียนสถาบันเดียวกัน ตอนแรกที่เจอคิดว่าพวกเขาเป็นทหารเรือ เพราะสตรีแต่งเครื่องแบบกระโปรงน้ำเงิน เสื้อขาว ติดยศ มีหมวกน้ำเงิน...ส่วนผู้ชายใส่ชุดสีขาว หมวกขาว และติดยศ...เห็นเขามาใช้ห้องสมุด เข้าเรียนในชั้นต่างๆ และมีโอกาสรู้จักกัน พอเขาบอกว่าเขาเป็นกลุ่ม กองทัพพระคริสต์ เลยถึงบางอ้อ
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

ศุกร์ เม.ย. 22, 2005 12:32 pm

คณะ เมนโนไนต์ ( Mennonite )

เมนโนไนต์ เป็นคริสตจักรฝ่ายโปรเตสแตนต์อีกคณะหนึ่งซึ่ง ตั้งขึ้นในยุโรปเป็นครั้งแรกในคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยเมนโนไซมอนส์ พ.ศ 2039 -2104 (Menno Simons ค.ศ 1496-1561) ชาวดัชท์ผู้เป็นนักบวชในนิกายโรมันคาทอลิกมาก่อน ต่อมาเป็น อนาแบ๊ปไทส์ (Anabaptise) และภายหลังได้แยกมาเป็นเมนโนไนต์

คริสตจักรคณะนี้มีเอกลักษณ์สำคัญคือ เป็นผู้ที่รักสันติและพยายามที่จะมีชีวิตอย่างเรียบง่าย และปฎิบัติอย่างเคร่งครัดตามแบบอย่างจากพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ (New Testeament ) โดยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และช่วยเหลือผู้อื่น เนื่องจากคณะนี้มีการดำเนินชีวิตที่แตกต่างไปจากคนทั่วๆไป จึงมักถูกกดขี่ ข่มเหงต่างๆ แต่ก็ยอมทนทุกข์ลำบาก เพราะตั้งใจอย่างแน่วแน่ ที่จะทนทุกข์ตามแบบอย่างและคำสอนของพระเยซูคริสต์ที่ทรงสอนให้เรารักศัตรู ดังที่ทรงสอนไว้ว่า “ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มซ้ายให้เขาตบด้วย” ต่อมาเมื่อถูกประหัตประหารมากขึ้น และเมื่อเกิดสงครามโลกทั้งสองครั้ง คริสตชนกลุ่มนี้ก็ได้อพยพกระจัดกระจายไปในส่วนต่างของโลก เช่น รัสเซีย แคนาดา สหรัฐอเมริกา เมื่อพวกเขาอพยพไป ณที่ใดก็จะนำแนวความคิดของเมนโนไนต์เข้าไปเผยแพร่. ที่นั้นด้วยโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาซึ่ง มีศูนย์ที่สำคัญ ตั้งอยู่ที่เพนซิลเวเนีย (Pennsylvania) และเมืองแคนซัส (Kansas City ) ในมลรัฐอาร์คันซอ (Arkansas) มลรัฐโอไฮโอ (Ohio)และมลรัฐอินเดียนา (Indiana)

ถึงแม้คณะเมนโนไนต์จะมีชีวิตและศรัทธาตามที่ปรากฎในคัมภีร์ภาคพันธสัญญา ใหม่ แต่ก็ไม่เหมือนกันทุกกลุ่ม กลุ่มที่เคร่งครัดที่สุดและตึความหมายพระคัมภีร์ ตามตัวอักษรทุกอย่างคือ กลุ่มอามิชดั้งเดิม (The Old Order Amish)ซึ่งเรียกย่อว่ากลุ่มอามิช ในคณะนี้ทุกกลุ่มถือการรับบับติสมาโดยวิธีการจุ่มเฉพาะผู้ใหญ่เท่านั้น (Adult baptism by immersion )แต่อย่างอื่นถือต่างกัน เช่น พิธีล้างเท้า (foot-washing )พิธีเจิมน้ำมันเพื่อรักษาคนป่วย (the anointing of the sick )พิธีจุบบริสุทธิ์ระหว่างเพศวัยเดียวกันบางกลุ่มมีใจกว้างเปิดให้ผู้ที่ไม่ ได้เป็นเมนโนไนต์เข้าร่วมพิธีมหาสนิทด้วย บางกลุ่มในขณะนี้ไม่ยอมมีอาคารเพื่อให้เป็นที่นมัสการโดยเฉพาะ แต่นมัสการตามบ้านเรือน หรือในโรงนา นอกจากนี้ สถานที่นมัสการหรือบ้านที่อยู่อาศัย ห้ามปูพรม ห้ามติดม่าน หรือมีรูปภาพ หรือเครื่องประดับใด ๆไม่ใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า ไม่ใช่รถยนต์ การแต่งกาย บางกลุ่มยังแต่งกายแบบโบราณ และต้องแต่งกายแบบเรียบร้อยทั้งชายและหญิง โดยเฉพาะสตรีต้องมีหมวกเป็นผ้าแบบมีระบายและต้องสวมตลอดเวลาทั้วในและนอก บ้าน ห้ามทำประกันชีวิต ห้ามกล่าวคำสาบาน แม้ในขณะที่มีการปฏิวัติและสงครามกลางเมือง ไม่ยอมจับอาวุธ แต่ได้ขอเข้าไปทำงานในโรงพยาบาลแทน และมีบางกลุ่มที่พยายามปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ เพื่อมีส่วนร่วมมือกับโลกสมัยใหม่ จึงได้สร้างโรงเรียน วิทยาลัยต่างๆ โรงพิมพ์ ซึ่งล้วนแต่มีชื่อเสียงทั้งนั้น มีบางกลุ่มที่ได้ส่งมิชชั่นนารี เพื่อทำพันธกิจอย่างกว้างขวางและแพร่หลายโดยมีผู้ปฎิบัติการที่ไม่ได้รับ เงินเดือน ซึ่งมีทั้งศาสนาจารย์และฆราวาสผู้ถวายตัว

คณะเมนโนไนต์ยังมีชื่อเสียงในเรื่องเป็นนักบรรเทาทุกข์ เช่น เมื่อเกิดแผ่นไหวหรือพายุร้ายที่ทำลายบ้านเรือนในถิ่นที่คณะนี้มีศูนย์ปฎิ บัติการอยู่ พวกเขามักจะเป็นพวกแรกที่จะเข้าไปช่วยผู้ประสบภัย และจะอยู่ช่วยเพื่อซ่อมแซมหรือก่อสร้างที่นั่นจนเสร็จ

นอกจากนี้คณะเมนโนไนต์ยังได้ส่งคนหนุ่มสาวไปทั่วโลก เพื่อให้พันธกิจเช่น สร้างค่ายที่พักให้ผู้ลี้ภัย รวบรวมเงินส่งไปให้ผู้อดยาก และส่งผู้เชี่ยวชาญทางการเกษตรกรรมไปช่วยประชาชาติต่างๆ ให้รู้จักกรรมวิธีในด้านเกษตร มีผู้คนมากหลายทั่งโลกที่ยังไม่รู้จักคณะนี้ แต่ได้รับผลประโยชน์จากผลของการบริการของคณะนี้มากมาย

คณะเมนโนไนต์จากสหรัฐอเมริกาได้ส่งมิชชั่นนารีเข้ามาในประเทศไทย โดยสังกัดในสภาคริสตจักรในประเทศไทยตั่งแต่ พ.ศ 2503 เป็นต้นมา มิชชั่นนารีที่เข้ามาได้ช่วยเหลือในงานด้านต่างๆ เช่น การแพทย์ การเกษตร การช่วยผู้ติดยาเสพย์ติด การช่วยแก้ปัญหาหญิงบริการ การช่วยเหลือผู้อพยพ ส่วนการศึกษาได้ช่วยสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนของสภาคริสตจักรในประเทศไทย นอกจากนี้ยังได้ร่วมงานและให้เงินอุดหนุนเพื่อพัฒนาและบริการสังคมแก่กอง สังคมพัฒนาและบริการของสภาคริสตจักรในประเทศไทย
***************
คณะเมนโนไนต์ให้ทุน หนุ่ม - สาวคริสเตียน อายุตั้งแต่ 18 - 30 ปี ผ่านสภาคริสตจักรในประเทศไทย ปีละ 3 ทุน เพื่อให้หนุ่ม สาว ไปฝึกการรับใช้ที่สหรัฐอเมริกา หรือ คานาดา งานที่ให้ฝึกฝน เขาจะพิจารณา ตามความเหมาะสม...เช่นถ้าเป็นผู้รับใช้หนุ่มสาว ก็จะให้ฝึกฝนงานในคริสตจักร ต่างๆ ถ้าไม่ทราบว่าตัวเองทำอะไรได้ เขาจะให้ฝึกงานสังคมสงเคราะห์ เช่น ดูแลคนป่วยในโรงพยาบาล พับผ้า พับสำลี เป็นพี่เลี้ยงผู้อาวุโสที่บ้านพักคนชรา ฯลฯ บางคน ต้องเปลี่ยนงาน และ host parent ทุกๆ 3 เดือน บางคนทุกๆครึ่งปี และบางคนจะอยู่ที่เดียวตลอด....หนุ่มสาวคริสเตียนคนไหนอายุไม่ถึง 30 ปี อยากมีประสบการณ์ แบบนี้ และพอจะพุดภาษาอังกฤษได้ ลองสมัคร ที่สภาคริสตักรฯ ติดต่อ อจ.วรนุช หรือแผนก พันธกิจ ต่างประเทศ...ใครได้มีโอกาสไปโครงการนี้จะเป็นประโยชน์ในการฝึกฝนชีวิต คริสเตียนที่ เดินตามรอยพระบาทพระเยซู ...อ้อ ถ้าใครเกิดไปตกหลุมรัก หนุ่ม หรือสาวฝรั่ง ต้องรอสองปี ถึงจะกลับเข้าไปสหรัฐอเมริกาได้ J )

------------------

- คริสเตียนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะต่อต้านการคุมกำเนิดอย่างจริงจัง
Buddy
โพสต์: 3057
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ มี.ค. 09, 2005 10:48 am
ที่อยู่: USA

ศุกร์ เม.ย. 22, 2005 10:42 pm

Thanks a lot ka.. P' PP.. I haven't finished them all but I've got a question.. :)

What is เรื่องประสบการณ์ครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นแนวความคิดเรื่องชีวิตที่สมบูรณ์หรือบริสุทธิ์ (Perfectionism) in Methodist teaching ka?

As I've read about protestant church, both the belief and the spirituality are different.. For catholic congregations, belief is the same but spirituality is different, right? Like .. we have Jesuit, redemptorist, etc... Is my understanding is right?
Announcer

อาทิตย์ เม.ย. 24, 2005 3:53 pm

ขอบคุณมากครับที่เอามาฝาก ขอให้พระเจ้าอวยพรน่ะครับ
B_U_D_D_Y

พุธ พ.ค. 11, 2005 8:27 pm

I'm sorry I don't want to post in the new topic as it is a short answer question...

How long does it take for the Presbyterian church for the Sunday service? I've also seen the schedule for Friday. What do you do on Friday? And how long does it take?

Thanks ka.. :)
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

พฤหัสฯ. พ.ค. 12, 2005 6:47 am

B_U_D_D_Y เขียน:
How long does it take for the Presbyterian church for the Sunday service? I've also seen the schedule for Friday. What do you do on Friday? And how long does it take?

Thanks ka.. :)
คริสตจักรของโปรเตสแตนต์ จะไม่เหมือนคาทอลิก ที่ทั่วโลกจะเหมือนกัน ของคริสเตียนขึ้นอยู่กับคณะ
ชนชาติ และอื่นๆค่ะ

-เช่นคริสตจักรเพรสไบทีเรียนในไทย นมัสการจนสิ้นสุดการนมัสการ ประมาณ ๙๐ นาที
จะเน้นที่เทศนา เทศนาจะยาว ประมาณ ๓๐- ๔๕ นาที

-คริสตจักร อื่นๆ เช่นพวกเพ็นตาคอสจะค่อนข้างยาวกว่า เพรสไบทีเรียน เช่น สองชั่วโมง หรือ สามชั่วโมง เพราะจะเน้นเรื่องการร้องเพลง การอธิษฐานด้วยภาษาลิ้น การพยากรณ์ การเป็นพยาน และการเทศนาจะยาวเป็นชั่วโมงค่ะ

----------------------------------

เนื่องจากการ โปรเตสแตนต์ไม่ได้มีนมัสการทุกวัน ดังนั้นเมื่อมีวันศุกร์ด้วย วันศุกร์ อาจจะเป็นการนมัสการ เพื่อ อธิษฐานพิเศษ หรือ concern เรื่องต่างๆ ก็ได้ เช่นคริสตจักรบางแห่งในไทยที่ นมัสการวันศุกร์ และเสาร์ เพื่อการอธิษฐานค่ะ
B_U_D_D_Y

พฤหัสฯ. พ.ค. 12, 2005 10:37 pm

Thanks for the info ka.. :) I think I may join the Service this Sunday... :)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Q
โพสต์: 103
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. พ.ค. 26, 2005 5:45 am

พฤหัสฯ. มิ.ย. 02, 2005 12:57 am

คุณพีพีครับ ตอนนี้ผมกำลังอ่านผลงานของ Schleiermacher อยู่
ทราบว่าท่านเป็นนักเทววิทยาคนสำคัญ และดังมากๆ ของโปเตสแตนท์
คุณพีพี เคยอ่านผลงานของท่านไหมครับ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับพระเยซูเจ้า
พอดีผมพึ่งจะเริ่มหยิบมาอ่าน หนังสือหนาพอสมควร เลยลังเลเหมือนกันว่าจะอ่านดีไหม (ผีขี้เกียจเข้าสิง..อิอิ) อยากให้คุณพีพีให้กำลังใจหน่อย ว่าเรื่องราวและผลงานของท่านผู้นี้ น่าสนใจแค่ไหน ทราบว่าคุณพีพีเคยไปศึกษาต่อด้านนี้มา
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Nihil
~@
โพสต์: 1763
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 4:36 pm
ที่อยู่: Pax
ติดต่อ:

พฤหัสฯ. มิ.ย. 02, 2005 1:00 am

ขอบคุณพี่พีพีที่เอาสาระมาให้อ่านกันครับ :D
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

เสาร์ มิ.ย. 04, 2005 2:59 am

Q เขียน: คุณพีพีครับ ตอนนี้ผมกำลังอ่านผลงานของ Schleiermacher อยู่
ทราบว่าท่านเป็นนักเทววิทยาคนสำคัญ และดังมากๆ ของโปเตสแตนท์
คุณพีพี เคยอ่านผลงานของท่านไหมครับ โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับพระเยซูเจ้า
พอดีผมพึ่งจะเริ่มหยิบมาอ่าน หนังสือหนาพอสมควร เลยลังเลเหมือนกันว่าจะอ่านดีไหม (ผีขี้เกียจเข้าสิง..อิอิ) อยากให้คุณพีพีให้กำลังใจหน่อย ว่าเรื่องราวและผลงานของท่านผู้นี้ น่าสนใจแค่ไหน ทราบว่าคุณพีพีเคยไปศึกษาต่อด้านนี้มา
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
สวัสดีค่ะ คุณ Q เมื่อเป็นนักอ่าน หนังสือ จะหนาแค่ไหน หรือมีกี่ vol. ก็ต้องอ่านนะคะ

คุณ Friedrich Schleirmacher นักศาสนศาสตร์ ( theologian) ชาวเยอรมัน ทางโปรเตสแตนต์ หลายกลุ่ม ( สายหลัก )
จะเรียกเขาว่า บิดาแห่งเสรีนิยม ( the founding father of liberal ) จำได้แต่ว่าเขาได้รับอิทธิพลจาก Moravian ก่อน แล้วไปเรียนปรัชญา ที่ Halle แล้วชุบตัว ตามแนวคิด ของ Kant and Plato

งานเขียน มีอะไรบ้างล่ะ On Religion: Speeches to its Cultured Despisers, The Christian Faith, Church Dogmatics แล้วอะไรอีกล่ะ ยุคของเขา อีกคนที่ดังคู่ขนาน คือ Barth

ขอให้กำลังใจ ว่า "รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามค่ะ" ไม่ทราบว่า เป็นนักปรัชญา หรือ เทวศาสตร์คะ สำหรับเราคริสเตียน ที่กำลังทำพันธกิจ ไม่ได้อ่านหนังสือ ประเภทคลาสสิค แบบนี้หรอก เราจะอ่าน พวก Comtemporary theology หรือ พวก practical theology เพราะพวกนี้ปฏิบัติเลยค่ะ

ปล. หนูเป็นศิษย์ Calvin ( อ่าน Calvin's Institues ) อิอิ คืนทั่นหมดแล้วค่ะ ;D
ภาพประจำตัวสมาชิก
Q
โพสต์: 103
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. พ.ค. 26, 2005 5:45 am

เสาร์ มิ.ย. 04, 2005 7:18 am

ขอบคุณที่ช่วยเป็นกำลังใจให้ครับ คุณพีพี

ผมไม่ใช่ทั้งนักปรัชญา และนักเทวศาสตร์ที่ไหนหรอกครับ
แต่เป็นคริสตังนอนขนานแท้ ที่ถูกแม่บังคับให้เข้าวัดทุกๆคืนตั้งแต่เล็กๆ (ขอย้ำ....ทุกๆคืน) หาเรื่องไม่ยอมเข้าวัดเมื่อไหร่ล่ะเป็นต้องทะเลาะกันทุกที)
ก็เลยผูกพันกับพระมาตั้งแต่เด็กๆ ครับ
โตขึ้นมาก็เลยอยากจะรู้จักเรื่องราวของพระองค์ให้มากขึ้น
แต่อย่างว่าล่ะครับ สมองมนุษย์เรา มันช่างแค่หางอึ่ง
สมองเล็กๆของเรา ไม่มีวันจะเข้าใจพระธรรมชาติของพระองค์ได้แม้แต่น้อยเลย ยิ่งสมองขี้เลื่อยอย่างผมนี่ ..บางที แค่กระดาษหน้าเดียว
ผมยังต้องกลับมาอ่านเป็นสิบๆรอบกว่าจะเข้าใจ
พระองค์นี่ช่างยิ่งใหญ่มากจริงๆ ศึกษาจนตายก็ไม่มีวันหมด

Schleiermacher เป็นผู้บุกเบิกเทววิทยาสมัยใหม่คนสำคัญคนหนึ่ง
ถึงแม้จะเป็นโปเตสแตนท์ แต่ก็มีอะไรหลายเรื่องที่ท่านเสนอ น่าสนใจทีเดียว เพียงแต่ผมไม่ค่อยเคยชินกับคำสอนของโปเตสแตนท์เท่าไรนัก จะอ่านมากหน่อย ก็เป็นผลงานของ Kierkegaard มากกว่า เลยอยากจะขอคำแนะนำจากคุณพีพีซักหน่อย
แต่ถ้าคุณพีพีไม่เคยอ่านผลงานของท่าน ก็ไม่เป็นไรครับ
เอาเป็นว่าถ้าผมอ่านไปแล้ว ไม่ชัดเจนตรงไหน
จะกลับเข้ามาขอคำชี้แนะอีกทีแล้วกัน

ยินดีที่ได้รู้จักศิษย์ของ Calvin ครับคุณพีพี ;D
ผม..แค่ศิษย์ปลายแถวของ Hans Urs Von Balthazar
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

เสาร์ มิ.ย. 04, 2005 11:26 am

Q เขียน: ขอบคุณที่ช่วยเป็นกำลังใจให้ครับ คุณพีพี

ยินดีที่ได้รู้จักศิษย์ของ Calvin ครับคุณพีพี ;D
ผม..แค่ศิษย์ปลายแถวของ Hans Urs Von Balthazar
มานั่งฟัง ผู้อาวุโสคุยกันงับ ท่าทาง พี่ Q เป็นคนชอบอ่อนอก อ่อนใจนะฮะ เห็นมาขอกำลังใจ
และบอกว่า ขอจากพี่พีพีต้อง "ทัมไจ" ฮะ

ฺBalthasar ( Balthazar ) เนี่ย เขียนหนังสือเป็นภาษาเยอรมันใช่ป่าวฮะ ตอนนี้ยังมีชีวิต หรือป่าว
ถ้ายังอยู่ ก็ร่วม ร้อยล่ะ งานของท่าน มีแปลไทยบ้างไหมฮะ จะได้ยืมอ่าน ท่านเป็นนักคิดที่ยิ่งใหญ่
ใช่ไหมฮับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

เสาร์ มิ.ย. 04, 2005 12:37 pm

Q เขียน:
แต่เป็นคริสตังนอนขนานแท้ ที่ถูกแม่บังคับให้เข้าวัดทุกๆคืนตั้งแต่เล็กๆ (ขอย้ำ....ทุกๆคืน)

ว๊าว~~~~~~~ เยี่ยมยอดเลยคะ
ทำ สแปร์เก็บมิสซาตั้งแต่เด็ก

มิสซาที่เราร่วมในโลกนี้ 1 มิสซา
ยังมีค่ามากกว่ามิสซาที่คนขอให้เราเมื่อตายเป็น ร้อยมิสซานะคะ

เยี่ยมกู๊ด เลยคะ *no1
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

เสาร์ มิ.ย. 04, 2005 10:23 pm

Jeab Agape เขียน:
Q เขียน: ขอบคุณที่ช่วยเป็นกำลังใจให้ครับ คุณพีพี

ยินดีที่ได้รู้จักศิษย์ของ Calvin ครับคุณพีพี ;D
ผม..แค่ศิษย์ปลายแถวของ Hans Urs Von Balthazar
มานั่งฟัง ผู้อาวุโสคุยกันงับ ท่าทาง พี่ Q เป็นคนชอบอ่อนอก อ่อนใจนะฮะ เห็นมาขอกำลังใจ
และบอกว่า ขอจากพี่พีพีต้อง "ทัมไจ" ฮะ

ฺBalthasar ( Balthazar ) เนี่ย เขียนหนังสือเป็นภาษาเยอรมันใช่ป่าวฮะ ตอนนี้ยังมีชีวิต หรือป่าว
ถ้ายังอยู่ ก็ร่วม ร้อยล่ะ งานของท่าน มีแปลไทยบ้างไหมฮะ จะได้ยืมอ่าน ท่านเป็นนักคิดที่ยิ่งใหญ่
ใช่ไหมฮับ
5555 เกินไปมั้งน้องเจี๊ยบ :D

Von Balthazar เป็นนักศาสนศาสตร์ คาทอลิก ชาวสวิส เป็นนักคิดที่ยิ่งใหญ่ และที่น่าสนใจมากท่านหนึ่งของ ศตวรรษที่ 20

ไม่ทราบว่าเรื่อง Trinitarian theories on Calvary ได้รับการตอบสนองอย่างไร ต่อฝ่ายคริสตังคะ

และเรื่อง Incarnational and Trinitarian doctrine เป็นอย่างไรบ้าง

อยากฟังนะคะ เพราะว่า พีพีมีความรู้น้อยกว่าหางอึ่ง อีกค่ะ ;D
ภาพประจำตัวสมาชิก
Q
โพสต์: 103
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. พ.ค. 26, 2005 5:45 am

เสาร์ มิ.ย. 04, 2005 11:29 pm

บอกแล้วงัยครับ .... เป็นเพียงแค่ศิษย์ปลายแถวของท่าน
พึ่งจะมีโอกาสได้อ่านผลงานของพ่อ Balthasar ไม่กี่เรื่องเอง
ล่าสุดที่พึ่งอ่านจบไปเมื่อสองเดือนที่แล้ว ก็เป็นเรื่องที่ท่านเขียนเกี่ยวกับ
แม่พระในแผนการของความรอด ประทับใจสุดๆ
แต่ว่ายังมีผลงานของท่านอีกมากครับ ... ยังไม่ได้แตะเลย
ยากอะ ..... ยากมากๆๆๆๆ อุปสรรคของผมคือเรื่องภาษาครับ
ความสามารถในการติดตามผลงานของท่านมันเลยเร็วเหมือนเต่าเดิน
ท่าทางผมกับท่าน คงจะต้องเป็นศิษย์-อาจารย์กันอีกนาน

ขอตอบน้องเจี๊ยบ....... ถูกต้องแล้วครับ
ผลงานของพ่อBalthasar เป็นภาษาเยอรมันครับ
มีผลงานออกมาหลายเล่ม แต่ไม่มีงานแปลเป็นภาษาไทยเลย :'( (เศร้าๆๆ)
ท่านเกิดที่สวิส ต่อมาได้รับการบวชเป็นพระสงฆ์ในคณะเยซูอิต
เป็นคนในรุ่นพวกเรานี่เองครับ เกิดก่อนผม 65 ปีเอง
หล่อมากๆๆ ขอบอก แต่เสียชีวิตไปแล้วครับ เมื่อ 17 ปีที่แล้ว
ก่อนวันจะได้รับหมวกพระคาร์ดินัลจาก Pope John Paul 2 เพียงสองวันเอง
(อายุของท่านตอนนั้น 83 ปีแล้วครับ)
มีหลายคนบอกว่า ท่านเป็นนักเทววิทยาที่ชื่นชอบของโป๊ปมากๆ
ตอนนี้ กลายเป็นนักเทววิทยาที่ชื่นชอบของผมไปแล้ว...อิอิ ;D
Hans Urs Von Balthazar
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

เสาร์ มิ.ย. 04, 2005 11:36 pm

Q เขียน:
ขอตอบน้องเจี๊ยบ....... ถูกต้องแล้วครับ
ผลงานของพ่อBalthasar เป็นภาษาเยอรมันครับ
มีผลงานออกมาหลายเล่ม แต่ไม่มีงานแปลเป็นภาษาไทยเลย :'( (เศร้าๆๆ)
ท่านเกิดที่สวิส ต่อมาได้รับการบวชเป็นพระสงฆ์ในคณะเยซูอิต
เป็นคนในรุ่นพวกเรานี่เองครับ เกิดก่อนผม 65 ปีเอง
หล่อมากๆๆ ขอบอก แต่เสียชีวิตไปแล้วครับ เมื่อ 17 ปีที่แล้ว
ก่อนวันจะได้รับหมวกพระคาร์ดินัลจาก Pope John Paul 2 เพียงสองวันเอง
(อายุของท่านตอนนั้น 83 ปีแล้วครับ)
มีหลายคนบอกว่า ท่านเป็นนักเทววิทยาที่ชื่นชอบของโป๊ปมากๆ
ตอนนี้ กลายเป็นนักเทววิทยาที่ชื่นชอบของผมไปแล้ว...อิอิ ;D
Hans Urs Von Balthazar
พี่ Q. อ่านจากภาษา Deutsch เลยเหรอฮะ

หนูชอบดูคนหล่อๆฮะ พี่ช่วยโพสต์รูป (รูปVon Balthazar นะฮะ ไม่ใช่รูปพี่ Qนะ )ให้ดูเป็นขวัญตาหน่อยสิคับ ........................แล้วพี่ชอบ คุณพ่อ Balthsar เรื่องอะไรบ้างฮะ 8)

พี่ Q เกิด ปี 1970 ปลายยุค เอลวิส ใช่ป่าวฮับ
แก้ไขล่าสุดโดย Jeab Agape เมื่อ เสาร์ มิ.ย. 04, 2005 11:49 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
Q
โพสต์: 103
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. พ.ค. 26, 2005 5:45 am

อาทิตย์ มิ.ย. 05, 2005 12:16 am

ต้องขอโทษด้วยครับ
ความสามารถด้านคอมของผมมีขีดจำกัดครับ
คุยด้วยได้.. แต่ถ้าให้ส่งรูปลงมาให้ดูในนี้...อิอิ...ไม่เป็นอะ :'(
ผมมีรูปหล่อๆของพ่อ Balthasar ครับ แต่เป็นรูปตอนอายุราวๆเจ็ดสิบกว่าได้
เป็นรูปที่ได้จากในหนังสืออ่ะครับ ขาวดำ ไม่ถึงกับชัดมาก
ส่วนเรื่องอายุผมเนี่ย ถูกต้องอีกแล้วครับ
พยายามหาทางรู้จนได้แฮะ (บวกลบกันน่าดู)
วัยวุฒิผมมากครับ แต่ปัญญาอ่อนไปนิด (ความฉลาดติดลบ)
ตอนนี้ได้แต่ประทังอายุสมองไปกับกองหนังสือ
แต่ปัญหาสำคัญที่สุดที่พบอยู่ตอนนี้ก็คือ อ่านแล้วลืม อ่านแล้วลืมนี่ล่ะ :'(
กว่าจะอ่านหน้าสุดท้ายจบ หน้าแรกๆก็ลืมไปแล้วว่าอ่านอะไรไป ???
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

อาทิตย์ มิ.ย. 05, 2005 11:53 am

รูปภาพ คนนี้ใช่มั๊ยคะ
Jeab Agape
~@
โพสต์: 8259
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
ที่อยู่: Bangkok

อาทิตย์ มิ.ย. 05, 2005 8:53 pm

Q เขียน:
ส่วนเรื่องอายุผมเนี่ย ถูกต้องอีกแล้วครับ
พยายามหาทางรู้จนได้แฮะ (บวกลบกันน่าดู)
วัยวุฒิผมมากครับ แต่ปัญญาอ่อนไปนิด (ความฉลาดติดลบ)
ตอนนี้ได้แต่ประทังอายุสมองไปกับกองหนังสือ
แต่ปัญหาสำคัญที่สุดที่พบอยู่ตอนนี้ก็คือ อ่านแล้วลืม อ่านแล้วลืมนี่ล่ะ :'(
กว่าจะอ่านหน้าสุดท้ายจบ หน้าแรกๆก็ลืมไปแล้วว่าอ่านอะไรไป ???
55555 ป่าวคับ หนูแอบถาม ปีเกิด ของ คุณพ่อ จากพี่พีพี แล้วบวก กับอายุที่คุณพ่อมากกว่า
พี่ Q 65 ปี งับ

พี่Q อายุยังน้อย ยังมีเวลา เรียนรู้อีกมาก แหมแกล้งถล่มตัวอะไรประมาณนั้น

เรื่องอ่านแล้วลืมเป็นเรื่องปกติงับ ขืนจำหมด ปวดหัวตาย หรือรกขมอง แฮะๆๆ ;D
ภาพประจำตัวสมาชิก
Q
โพสต์: 103
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. พ.ค. 26, 2005 5:45 am

จันทร์ มิ.ย. 06, 2005 1:09 am

ใบหน้าแบบนี้ล่ะ ....ใช่เลยครับคุณ Little Lamp
นี่ล่ะ พ่อ Von Balthasar ขอบคุณมากที่ช่วยลงให้นะครับ
แต่บอกตรงๆ ผมไม่ค่อยชอบภาพนี้ซักเท่าไหร่...อิอิ
(หน้าตาดูไม่ค่อยรับแขกเลยภาพนี้) ::)
ภาพที่ผมมี ดูจะหล่อกว่านี้หน่อย และก็ดูเป็นผู้ใหญ่ใจดีมากๆ
แต่ก้อ .... ขอบคุณครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

จันทร์ มิ.ย. 06, 2005 1:28 am

ยินดีรับใช้คะ รูปนั้นก็หาเอาในเนตนี่แหละคะ :D


ปล.
LAMB คะ ลูกแกะๆ *no1
LamP เนี่ย...ตะเกียง *pif
ภาพประจำตัวสมาชิก
Q
โพสต์: 103
ลงทะเบียนเมื่อ: พฤหัสฯ. พ.ค. 26, 2005 5:45 am

จันทร์ มิ.ย. 06, 2005 1:52 am

อุ๊ย.....ต้องขอโทษอย่างแรงนะ..คุณ Little lamb
เผลอพิมพ์ผิดได้งัยเนี่ย ???
สงสัยใจลอยไปหน่อย
แต่อันที่จริง Lamp ตะเกียงก็ความหมายดีนะ
เป็นตะเกียงส่องแสงของพระเยซูเจ้า ให้ผู้อื่นได้เห็นทางไปสวรรค์ ;D
ภาพประจำตัวสมาชิก
~@Little lamb@~
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 9396
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:00 pm
ติดต่อ:

จันทร์ มิ.ย. 06, 2005 2:03 am

หุ หุ

เดี๋ยวจะไม่เข้าคอนเซปของหนูคะ
แกะเต็มรูปAvatar และ Signature ข้างล่างเลย

เป็นลูกแกะดีแล้วคะ น่ารัก *inlove
ถ้าเป็นตะเกียง... รู้สึกเหมือนหน้ามันจนสะท้อนแสงได้คะ 5555 *dirty
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

เสาร์ มิ.ย. 25, 2005 10:54 pm

ดึงขึ้นมาให้น้องเทียนและท่านผู้สนใจค่ะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Holy
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 10011
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 3:06 pm

อาทิตย์ มิ.ย. 26, 2005 3:20 am

ถ้าจะเอาลงหน้าบทความ เหล่านี้พี่พีพีเขียนเองหมดใช่ไม๊ครับ
Prod Pran
Defender of lawS
Defender of lawS
โพสต์: 3324
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
ที่อยู่: Bangkok

อาทิตย์ มิ.ย. 26, 2005 4:03 pm

Holy เขียน: ถ้าจะเอาลงหน้าบทความ เหล่านี้พี่พีพีเขียนเองหมดใช่ไม๊ครับ
ค่ะ ไว้ให้พี่ edit ทำให้เหมาะกับเป็น บทความก่อนค่ะ จะได้ใช้อ้างอิงง่ายเมื่อมีคำถาม

น้องโฮลี่ น่าจะ ลง " ศรัทธา พาหลง" ของคุณพ่อ ไพบูลย์ ที่บอร์ดบทความนะคะจะได้อ้างโยงง่ายด้วย ;D
ตอบกลับโพส