รวมกระทู้น้องหมิงคร๊าฟ
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
แต่ถ้าคิดจะกินกุ้ง กุ้งก็สู้คน
-
- โพสต์: 960
- ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ส.ค. 31, 2007 2:35 pm
ถามมาให้แล้วนะครับ
เขาไม่เอาแล้ว รู้สึก เอา ชิสุห์ มาเลี้ยงไปแล้วนะครับ
เขาไม่เอาแล้ว รู้สึก เอา ชิสุห์ มาเลี้ยงไปแล้วนะครับ
ผมไม่เคยกินกุ้งเต้นเป็น ๆ เคยกินแต่พล่ากุ้งแม่น้ำเผา อร่อยสุด ๆ เลยครับ ไปทานที่ร้านกุ้งเต้น ของแท้ดั้งเดิมที่ตัวจังหวัดปทุมธานี เค้าเรียกพล่ากุ้งว่า "กุ้งเต้น" แต่ก็แปลกใจเพราะไม่เคยเห็นกุ้งที่นี้เต้นสักครั้งนึง เจอที่ไรมันก็นอนสงบสุกอยู่บนจานเรียบร้อยแล้ว
อันนั้นพล่ากุ้งครับ ไม่ใช่กุ้งเต้นAndreas เขียน: ผมไม่เคยกินกุ้งเต้นเป็น ๆ เคยกินแต่พล่ากุ้งแม่น้ำเผา อร่อยสุด ๆ เลยครับ ไปทานที่ร้านกุ้งเต้น ของแท้ดั้งเดิมที่ตัวจังหวัดปทุมธานี เค้าเรียกพล่ากุ้งว่า "กุ้งเต้น" แต่ก็แปลกใจเพราะไม่เคยเห็นกุ้งที่นี้เต้นสักครั้งนึง เจอที่ไรมันก็นอนสงบสุกอยู่บนจานเรียบร้อยแล้ว
ไว้ไปกินเมื่อไหร่ จะเอา clip มาให้ดู
ปล. ถ้าผมไม่ลืมซะก่อนนะ
เก็บมันดีๆ สิลูกgodlike เขียน:ไม่แน่นะพี่ยศ วันก่อนมันยังวิ่งไล่ฉกแมวข้างห้องอยู่เลย ดีนะเห็นทัน ไม่งั้นแมวคงลงไปอยู่ในท้องงูนัทแล้วอ่ะยศิยล:ผู้แสวงหาพระเจ้า เขียน:พี่ว่าพาสเทลของน้องนัท จะโดน บีเกิ้ลน้องหมิง เล่นจนมึนตายมากกว่านะ555+~ฮีUโปฟัuxaoxน้ๅโJ~ เขียน: งูกินหมากลางห้องพักนักศึกษา=[]=เรื่องใหญ่เลยและ
หวีผมปิดด้วย คนอื่นจะได้ไม่เห็น
งะ หมายถึงงูไรนิEdwardius เขียน:เก็บมันดีๆ สิลูกgodlike เขียน:ไม่แน่นะพี่ยศ วันก่อนมันยังวิ่งไล่ฉกแมวข้างห้องอยู่เลย ดีนะเห็นทัน ไม่งั้นแมวคงลงไปอยู่ในท้องงูนัทแล้วอ่ะยศิยล:ผู้แสวงหาพระเจ้า เขียน: พี่ว่าพาสเทลของน้องนัท จะโดน บีเกิ้ลน้องหมิง เล่นจนมึนตายมากกว่านะ555+
หวีผมปิดด้วย คนอื่นจะได้ไม่เห็น
กินดีๆ เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน เป็นวิธีการรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะที่สุด
(และถ้าทำเช่นนั้นกุ้งทั้งหลายก็คงจะแน่นิ่งตั้งแต่อยู่ในปากแล้ว)
แต่ดูลักษณะของหลอดอาหาร ช่วงที่เป็นยูสเตเชียน เวลาที่คนเรากลืนอาหาร
ลิ้นไก่จะปิดหลอดลมสนิท ไม่ว่ากุ้งจะดิ้นหรือว่าเป็นอาหารใดใดก็ไม่น่าจะหลุดรอดเข้าไปได้
อันตรายของพวกกุ้งเต้นจึงน่าจะอยู่ที่ว่าบางร้านทำไม่สะอาด หรือว่าพวกพยาธิน้ำจืดมากกว่า
เพราะไม่ว่าอาหารอะไร ถ้ากินไม่ดีรีบเคี้ยงรีบกลืนก็สามารถติดคอตายกันได้ทั้งนั้น
(และถ้าทำเช่นนั้นกุ้งทั้งหลายก็คงจะแน่นิ่งตั้งแต่อยู่ในปากแล้ว)
แต่ดูลักษณะของหลอดอาหาร ช่วงที่เป็นยูสเตเชียน เวลาที่คนเรากลืนอาหาร
ลิ้นไก่จะปิดหลอดลมสนิท ไม่ว่ากุ้งจะดิ้นหรือว่าเป็นอาหารใดใดก็ไม่น่าจะหลุดรอดเข้าไปได้
อันตรายของพวกกุ้งเต้นจึงน่าจะอยู่ที่ว่าบางร้านทำไม่สะอาด หรือว่าพวกพยาธิน้ำจืดมากกว่า
เพราะไม่ว่าอาหารอะไร ถ้ากินไม่ดีรีบเคี้ยงรีบกลืนก็สามารถติดคอตายกันได้ทั้งนั้น
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
เคยเห็นแต่ไม่กล้ากินค่ะ กินที่ตายแล้วดีกว่า อย่างน้อย "เราก็ไม่ได้เป็นคนฆ่าสิ่งมีชีวิต แค่กินสิ่งที่เคยมีชีวิตแต่ไม่มีแล้วแค่นั้น"
- Ministry Of Men
- โพสต์: 3972
- ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ เม.ย. 18, 2007 3:09 pm
ก็เอาเข้าปากก่อน อย่าเพิ่งเคี้ยว อย่าเพิ่งกลืนValkyrie_chan เขียน: เคยเห็นแต่ไม่กล้ากินค่ะ กินที่ตายแล้วดีกว่า อย่างน้อย "เราก็ไม่ได้เป็นคนฆ่าสิ่งมีชีวิต แค่กินสิ่งที่เคยมีชีวิตแต่ไม่มีแล้วแค่นั้น"
เดี๋ยวมันอยู่นานๆๆ ก็เป็นลมตายไปเอง
กลิ่นกำจัด โดยเราไม่ได้กำจัด
งูบนหัวgodlike เขียน:งะ หมายถึงงูไรนิ : emo036 :Edwardius เขียน:เก็บมันดีๆ สิลูกgodlike เขียน: ไม่แน่นะพี่ยศ วันก่อนมันยังวิ่งไล่ฉกแมวข้างห้องอยู่เลย ดีนะเห็นทัน ไม่งั้นแมวคงลงไปอยู่ในท้องงูนัทแล้วอ่ะ
หวีผมปิดด้วย คนอื่นจะได้ไม่เห็น
-
- โพสต์: 519
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ต.ค. 27, 2009 10:09 pm
BoYz - The Series เขียน:ก็เอาเข้าปากก่อน อย่าเพิ่งเคี้ยว อย่าเพิ่งกลืนValkyrie_chan เขียน: เคยเห็นแต่ไม่กล้ากินค่ะ กินที่ตายแล้วดีกว่า อย่างน้อย "เราก็ไม่ได้เป็นคนฆ่าสิ่งมีชีวิต แค่กินสิ่งที่เคยมีชีวิตแต่ไม่มีแล้วแค่นั้น"
เดี๋ยวมันอยู่นานๆๆ ก็เป็นลมตายไปเอง
กลิ่นกำจัด โดยเราไม่ได้กำจัด
555555น่าลองๆ
- BloodyCross
- โพสต์: 413
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร มิ.ย. 10, 2008 9:49 pm
- ที่อยู่: หน้าจอคอม
เคยกินอ่ะ มันเต้นในปากอ่ะจั๊กจี้ดี มันๆ อร่อยโฮกกก
-
- โพสต์: 519
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ต.ค. 27, 2009 10:09 pm
ปืนคาบศิลา เป็นปืนยาวชนิดหนึ่งและเป็นต้นแบบของปืนไรเฟิลในปัจจุบันด้วย ไม่มีผู้ทราบว่าใครประดิษฐ์ขึ้น แต่ว่าในเอกสารทางการทหารของจีนได้มีการกล่าวถึงอาวุธชนิดหนึ่งเรียกว่า "หั่วหลงจิง (火龙经)" ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14 ในแรกเริ่มปืนคาบศิลาไค้มีการออกแบบให้ใช้กับทหารราบเท่านั้นและได้มีการปรับปรุงขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นช่วงการปฏิวัติอุตสาหกรรม เช่นมีเกลียวในลำกล้อง การมีกล้องเล็ง มีกระสุนปลายแหลมซี่งแต่เดิมนั้นเป็นลูกกลมๆ และในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ก็มีการประดิษฐ์ปืนชนิดที่บรรจุกระสุนทางพานท้ายปืนซึ่งแต่เดิมนั้นบรรจุกระสุนทางปากลำกล้องเข้ามาแทนที่
ดินปืนค้นพบโดยชาวจีนโดยบังเอิญในสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันตก(ซีจิ้น) แต่ยังไม่ได้มีการใช้อย่างจริงจัง คงนำมาใช่ในลักษณะของพิธีกรรมขับไล่สิ่งชั่วร้าย ชาวจีนเริ่มจะใช้ดินปืนอย่างจริงจัง ก็คือช่วงสมัยราชวงศ์หยวน โดย เจ็งกิสข่าน ได้นำปืนใหญ่มาใช้เพื่อรวมแคว้นต่าง ๆ และได้มีการประดิษฐ์อาวุธปืนขึ้นในประเทศจีนในสมัยราชวงศ์หมิง ปืนคาบศิลาเริ่มปรากฏขึ้นในประเทศสเปน แต่จะรู้จักกันดีในนามของ ปืนคาบชุด (MATCH LOCK) ในทศวรรษที่ 1500 แต่ทหารเจนนิสซารี่ของจักรวรรดิออตโตมานก็ปรากฏว่ามีการใช้ปืนคาบศิลาในช่วงทศวรรษที่ 1440 แล้ว เทคโนโลยีปืนคาบศิลาได้พัฒนาขึ้นในยุโรปตะวันตกอย่างรวดเร็ว และเกิดอาวุธที่มีประสิทธิภาพการทำลายล้างมากกว่าแต่ก่อนทำให้เกิดการแสวงหาวัตถุดิบดินปืนซึ่งทำให้เกิดลัทธิจักรวรรดินิยมขึ้น
ในคริสต์ศตวรรษที่15 ทหารราบของยุคกลางได้ มีการใช้อาวุธดินปืนชนิดหนึ่งเรียกว่า "ปืนใหญ่ที่ยิงด้วยมือ" ถึงอย่างไรก็ดีอาวุธดังกล่าวก็ยุ่งยากในการใช้ซึ่งต้องใช้เวลานานในการบรรจุ กระสุนปืนและไม่ค่อยจะมีประสิทธิภาพในการยิง เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 16 ก็เริ่มมีการประดิษฐ์ปืนสั้นขึ้นและในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 ปืนคาบศิลาก็ได้เข้ามาแทนที่หอกยาวซึ่งเคยเป็นอาวุธหลักของทหารราบในสมัยนั้น ปืนคาบศิลาในสมัยศตวรรษที่ 16 เรียกว่า อาร์กิวบัส (ภาษาอังกฤษ: Arquebus) หรือปืนคาบชุด กลไกของปืนชนิดนี้คือใส่ดินปืนลงบนจานดินปืนแล้วใส่กระสุนกลมๆ และดินปืนทางปากกระบอกปืนแล้วกระทุ้งให้ดินปืนและกระสุนไปอยู่ในรังดินปืน ทางท้ายลำกล้อง เมื่อเหนี่ยวไกก็จะมีเหล็กรูปงูตีที่จานดินปืนจะเป็นการจุดสายชนวนไปที่ท้าย ลำกล้องทำให้ดินปืนระเบิดขึ้น แรงระเบิดจะทำให้กระสุนพุ่งออกไปทางปากลำกล้องอย่างรวดเร็ว
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ก็มีการพัฒนาปืนคาบชุดเป็น "ปืนสั้นแบบลูกล้อ" (ภาษาอังกฤษ: Wheellock) แต่อย่างไรก็ดีปืนคาบชุดก็มีข้อเสียอยู่มากเช่น บรรจุกระสุนช้า มีความแม่นยำน้อย ไม่สามารถใช้ได้เมื่ออากาศชื้นเพราะจะทำให้จุดชนวนดินปืนไม่ติด แต่อย่างไรก็ตามปืนคาบชุดก็เป็นสิ่งที่เปลี่ยนโฉมหน้าสงครามของยุโรป และทำให้กษัตริย์ยุโรปมีสถานภาพมั่นคงขึ้นเพราะทำให้มีผู้ก่อกบฏยากเนื่อง จากสงครามที่ใช้ปืนไฟจะเสียค่าใข้จ่ายในการรบสูงมาก ปืนคาบชุดสามารถทำให้อาณาจักรที่สำคัญล่มสลายเช่นอินคา เอซเท็คเป็นต้นแต่มันก็สามารถสร้างอาณาจักรให้มีเอกราชได้ เช่นจักรวรรดิรัสเซียสามารใช้ปืนไฟขับไล่มองโกลออกไปได้แล้วสถาปนาราชวงศ์โรมานอฟ(romanov) ขึ้น ต่อมาได้มีการดัดแปลงปืนคาบชุดให้พกพาได้สะดวกขึ้นเป็นปืนสั้นซึ่งเป็นที่นิยมของทหารม้าในสมัยนั้น
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 ได้มีการพัฒนาปืนไฟแบบคาบชุด ให้เป็นปืนคาบศิลา (ภาษาอังกฤษ: Flintlock อ่านว่าฟรินท์ล็อก) ขึ้น ซึ่งมีกลไกคือใส่หินเหล็กไฟที่ตัวนกของปืนแล้วบรรจุกระสุนและดินปืนทาง ปากกระบอกแล้วกระทุ้งจากนั้น เมื่อเหนี่ยวไกเหล็กรูปนกสับหินเหล็กไฟทำให้เก็ดประกายไฟลามไปที่รังดินปืน ทางท้ายกระบอกทำให้ดินปืนระเบิดและผลักกระสุนให้พุ่งไปข้างหน้า ต่อมาอาวุธชิ้นนี้ได้กลายเป็นอาวุธหลักของกองทัพยุโรปและอเมริกา เมื่อศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมได้มีการประดิษฐ์เกลียวในลำกล้องทำให้กระสุน พุ่งไปข้างหน้าในแนวตรง มีพิสัยไกลกว่าเดิม และมีความแม่นยำมากขึ้น และมีการประดิษฐ์แก๊บในตัวปืนทำให้ไม่ต้องคอยใส่ดินปืนอีกต่อไปเห็นได้จากสงครามไครเมีย การมีกล้องเล็งซึ่งทำมองเห็นเป้าหมายในระยะที่ใกล้และแม่นยำทำให้เกิดหน่วยซุ่มยิงขึ้น เห็นได้จากสงครามกลางเมืองอเมริกา
ในการระดมยิงกรุงคอนสแตนติโนเบิลเมืองหลวงของอาณาจักรไบเซนไทน์ ทหารชาวเติร์กก็ใช้ปืนใหญ่และ ปืนคาบชุดรุ่นแรก ๆ ในการระดมยิงกำแพงเมืองทั้งจากทางบกและทางเรือ ในการรบขยายอาณาจักรของสุลต่านสุไลมานปืนคาบชุดก็เป็นอาวุธสำคัญในการปิด ล้อมเมืองเห็นได้จากสงครามฮับส์เบิร์ก-ออตโตมาน ทหารปืนคาบชุดของจักรวรรดิออตโตมานเรียกว่าแจนนิสซารี่ซึ่งส่วนใหญ่จะสืบ เชื้อสายมาจากพลทหารอาร์เมเนียน และ จอร์เจียน ที่ถูกจับมาเป็นทาสเชลย และแม่ทัพของอาณาจักรออตโตมานส่วนใหญ่จะครอบครองปืนสั้นเป็นจำนวนมากอีกด้วย ปืนคาบชุดยังคงเป็นอาวุธหลักของจักรวรรดิออตโตมานจนเมื่อจักรวรรดิล่มสลายใน ปี 1919
[แก้] เปอร์เซีย
จากหลักฐานการบันทึกของพ่อค้าชาวเวนิสได้ พบว่าปืนคาบชุดได้แพร่หลายในอาณาจักรเปอร์เซียอย่างรวดเร็วอันเนื่องมาจาก การค้ากับยุโรปและทหารม้าของราชวงศ์ซาร์ฟาวิดของเปอร์เซียจะนิยมพกปืนคาบชุด ทุกคน ปืนคาบชุดของเปอร์เซียจะมีลวดลายประณีตบรรจงมาก ปืนคาบชุดยังคงเป็นอาวุธหลักของเปอร์เซียจนเมื่อราชวงศ์ซาร์ฟาวิดล่มสลาย
[แก้] อินเดีย
ในอินเดียสมัยราชวงศ์โมกุลเริ่ม ปรากฏว่ามีการใช้ปืนคาบศิลาในช่วงทศวรรษที่ 1510 ซึ่งในสมัยนี้พระเจ้าบาบูร์และพระเจ้าอัคบาร์ได้ใช้ปืนคาบศิลาเป็นอาวุธหลัก ของทหารราบในการปราบปรามหัวเมืองฮินดูและ มุสลิมของเจ้าผู้ครองแคว้นทางภาคใต้ เสียงของปืนคาบศิลายังทำให้ช้างหลายเชือกของฝ่ายหัวเมืองทางใต้ตกใจอีกด้วย ทำให้อาณาจักรโมกุลสามารถรวบรวมอินเดียเป็นเอกภาพในสมัยพระเจ้าอัคบาร์ มหาราช ปืนคาบศิลาของโมกุลจะเป็นแบบคาบชุดซึ่งเป็นงานหัถกรรมอย่างหนึ่งมีการตี เหล็กอย่างประณีตไม่ได้มีการใช้เหล็กหล่อเหมือนทางตะวันตก ต่อมาเมืออินเดียตกเป็นอณานิคมของอังกฤษ ทางข้าหลวงชาวอังกฤษได้จัดตั้งทหารซีปอยซึ่งมีการจัดระเบียบแบบอังกฤษมี อาวุธหลักเป็นปืนคาบศิลาแบบฟรินท์ล็อกหรือปืนนกสับจนมีปืนแบบบรรจุกระสุนทาง พานท้ายปืนมาแทนที่
[แก้] ญี่ปุ่น
ปืนคาบชุดของญี่ปุ่นในศตวรรษที่16
ญี่ปุ่นได้เผชิญกับอาวุธปืนครั้งแรกเมื่อจักรพรรดิกุบไลข่านรุกรานญี่ปุ่นในปี 1259 ในซึชิมา ต่อมาในปี 1543 ได้มีเรือโปรตุเกสเข้ามาเทียบท่านำโดยนักบวชชื่อ "เฟอร์เนา เมนเดส ปินโต" ชาวโปรตุเกสได้นำปืนไฟแบบคาบชุดมาด้วย ไดเมียวโอดะ โนะบุนางะได้ ซื้อปืนคาบชุดของชาวโปรตุเกสมาศึกษากลไกแล้วให้ช่างเหล็กตีเลียนแบบจน กระทั่งสามารถผลิตปืนคาบชุดได้มากที่สุดในโลกและสามารถสร้างกองทหารที่เกณฑ์ มาจากชาวนาหรือ "อาชิการุ ((あしがる))" ที่ติดอาวุธปืนเหมือนชาวยุโรปได้เป็นจำนวนมาก จนเมื่อปี 1575 โนะบุนางะได้นำทหารอาชิการุที่ติดอาวุธปืนยึดปราสาทนางาชิโนได้ ยุทธวิธีของโอดะคือแบ่งทหารอาชิการุเป็นสองแถวอยู่หลังรั้วไม้ เมื่อแถวแรกยิงทหารม้าของทาเคดะแล้วบรรจุกระสุนใหม่แถวที่สองเข้ามายิงต่อ เมื่อแถวที่สองบรรจุกระสุนแถวแรกจะยิงทำให้ทหารม้าของทาเคดะตายเป็นจำนวนมาก อาวุธของทหารม้าเป็นอาวุธแบบเดิมคือธนู "ยูมิ" และดาบคาตานะ ชัยชนะครั้งนี้ทำให้โอดะได้ตั้งตนเป็นโชกุน เมื่อโนะบุนางะถึงแก่อนิจกรรม โตโยโตมิได้รับตำแหน่งโชกุนแทน ต่อมาเมื่อปี 1592 ญี่ปุ่นรุกรานเกาหลี ญี่ปุ่นได้ใช้ปืนคาบศิลาเป็นอาวุธหลักในการรบแต่ต่อมาญี่ปุ่นต้องถอยทัพกลับ เพราะโตโยโตมิถึงแก่อนิจกรรมในปี 1598 ต่อมาเมื่อโทกุงาวะ อิเยยะสึดำเนินนโยบายปิดประเทศในปี 1603 ห้ามทำการค้ากับชาวต่างชาติและห้ามนำเข้าและผลิตอาวุธปืนเพราะอาจจะทำให้ สถานภาพของโชกุนไม่มั่นคง ทำให้ปืนคาบศิลาแบบคาบชุดอยู่ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นเพียงห้าทศวรรษเท่านั้น จนกระทั่งในปี 1854 นายพลแมททิว เปอร์รี่บังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศ สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิได้ทำการยึดอำนาจของโชกุนโทกุงาวะ โยชิโนบุและจัดตั้งกองทัพสมัยใหม่มีการนำเข้าปืนคาบศิลาแบบฟรินท์ล็อกจากสหรัฐอเมริกาจำนวน มาก ต่อมาญี่ปุ่นสามารถผลิตเองได้เป็นจำนวนมากและปืนคาบศิลายังคงเป็นอาวุธหลัก ของญี่ปุ่นจนมีปืนแบบบรรจุกระสุนทางพานท้ายปืนมาแทนที่
[แก้] จีน
จีนเป็นชาติแรกที่ประดิษฐ์อาวุธปืนขึ้น ปืนที่เป็นต้นแบบของปืนคาบศิลาที่จีนประดิษฐ์ขึ้นมีลักษณะคล้ายปืนคาบศิลา แต่มีวิธียิงเหมือนปืนใหญ๋ อาวุธปืนของจีนมักจะไม่ได้รับการพัฒนาเพราะในการรบกับชนเผ่าเร่ร่อนทางภาค เหนือจีนก็มีกำแพงเมืองจีนป้องกันอยู่แล้วและบ้านเมืองช่วงนี้มักจะสงบและในการรบจีนมักจะตั้งรับมากกว่ารุกราน จีนเผชิญกับอาวุธปืนครั้งแรกในสมัยราชวงศ์หมิงเมื่อ สงครามอิมจินในปี 1592-1598 เกิดขึ้น โชกุนโตโยโตมิรุกรานเกาหลีเพื่อยึดเกาหลีซึ่งเป็นอาณานิคมของจีน จีนได้ส่งกองทัพจำนวนมากไปช่วยเกาหลีและสามารถรบชนะญี่ปุ่นได้หลายครั้ง เพราะปืนคาบศิลาของโปรตุเกสที่ญี่ปุ่นใช้ในสมัยนั้นไม่มีประสิทธิภาพมากพอ ที่จะสู้กับหน้าไม้กลของจีนได้ ต่อมาในสมัยราชวงศ์ชิง อาวุธปืนไม่แพร่หลายในจีนมากนักจนเมื่อปี่ 1839 ในรัชสมัยจักรพรรดิเต้ากวง จีนทำสงครามฝิ่นกับ อังกฤษอังกฤษยกพลขี้นบกที่แหลมเกาลูนแล้วใช้ปืนคาบศิลายิงทหารจีนตายเป็น จำนวนมาก จีนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จีนจึงจัดตั้งกองทัพ "เป่ย์หยาง" และ "หนานหยาง" ขึ้นซึ่งมีการบริหารกองทัพเป็นแบบยุโรปมีปืนคาบศิลาเป็นอาวุธหลัก ในการระดมยิงจากกำแพงกองทัพเป่ย์หยางจะใช้ปืนคาบศิลาขนาดใหญ๋ยิงลงจากกำแพง เรียกว่า"จินกอล" เห็นได้จากสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 1
[แก้] เกาหลี
เกาหลีได้รู้จักกับปืนคาบศิลาครั้งแรกในสมัยราชวงศ์โชซอนเมื่อ ครั้งญี่ปุ่นรุกรานเกาหลีปี 1592-1598 ถึงแม้ญี่ปุ่นจะพ่ายแพ้แต่แม่ทัพลีซุนชินก็เสียชีวิตจากกระสุนปืนคาบศิลา เกาหลีตระหนักดีว่าปืนคาบศิลาก่อให้เกิดความได้เปรียบในการรบ จึงจัดตั้งหน่วยปืนคาบศิลาขึ้นต่อมาปี 1627 เผ่าแมนจูจาก จีนรุกรานเกาหลีเป็นครั้งแรกกองกำลังปืนคาบศิลาของเกาหลีสามารถทำลายกองทหาร ม้าของแมนจูซึ่งมีจำนวนมากกว่าจนแตกพ่ายต่อมาจีนมีกรณีพิพาทเรื่องเขตแดนกับ ร้สเซียในแมนจูเรีย จึงขอกำลังหน่วยปืนคาบศิลา 400 นายของเกาหลีมารบซึ่งกองปืนคาบศิลาของเกาหลีสามารถทำลายทหารม้าคอสแซกของรัส เซียได้อย่างง่ายดายต่อมาในปลายศตวรรษที่ 19 ญี่ปุ่นพยายามมีอำนาจเหนือเกาหลีโดยมอบปืนคาบศิลาให้กบฏตงฮักซึ่งพยายามต่อ ต้านชนชั้นยางบานซึ่งเป็นชนชั้นสูงและขุนนางหัวเก่าของเกาหลี กบฏตงฮักต้องการปฏิรูปเกาหลีให้ทันสมัยโดยเอาญี่ปุ่นเป็นแบบอย่างจึงจับกุมพระเจ้าโกจง แล้วก็ได้ใช้ปืนคาบศิลาเป็นอาวุธในการบุกพระราชวังด้วย
[แก้] ไทย
ประเทศไทยรู้จักกับปืนคาบชุดในกลางสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อรัชสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชจากชาวโปรตุเกส "เฟอร์เนา เมนเดส ปินโต" เช่นเดียวกับญี่ปุ่นที่กล่าวไว้ข้างต้นปืนคาบชุดถูกใช้ครั้งแรกเมื่ออาณาจักรล้านนาคิดแข็งเมือง ทางอยุธยาจึงส่งกำลังไปปราบและได้ใช้ปืนคาบชุดเป็นอาวุธในครั้งนี้ด้วย ต่อมาเกิดสงครามเมืองเชียงกรานกับพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้อยุธยาได้ใช้ปืนคาบชุดในการรบจนชนะอยุธยาได้ใช้ปืนคาบชุดในการรบเรื่อยมาปืนคาบชุดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในสมัยนี้คือพระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตงซึ่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงยิงปืนคาบชุดข้ามแม่น้ำสะโตงถูกแม่ทัพสุรกรรมาตาย
ข้อมูล
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B% ... 5%E0%B8%B2
ดินปืนค้นพบโดยชาวจีนโดยบังเอิญในสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันตก(ซีจิ้น) แต่ยังไม่ได้มีการใช้อย่างจริงจัง คงนำมาใช่ในลักษณะของพิธีกรรมขับไล่สิ่งชั่วร้าย ชาวจีนเริ่มจะใช้ดินปืนอย่างจริงจัง ก็คือช่วงสมัยราชวงศ์หยวน โดย เจ็งกิสข่าน ได้นำปืนใหญ่มาใช้เพื่อรวมแคว้นต่าง ๆ และได้มีการประดิษฐ์อาวุธปืนขึ้นในประเทศจีนในสมัยราชวงศ์หมิง ปืนคาบศิลาเริ่มปรากฏขึ้นในประเทศสเปน แต่จะรู้จักกันดีในนามของ ปืนคาบชุด (MATCH LOCK) ในทศวรรษที่ 1500 แต่ทหารเจนนิสซารี่ของจักรวรรดิออตโตมานก็ปรากฏว่ามีการใช้ปืนคาบศิลาในช่วงทศวรรษที่ 1440 แล้ว เทคโนโลยีปืนคาบศิลาได้พัฒนาขึ้นในยุโรปตะวันตกอย่างรวดเร็ว และเกิดอาวุธที่มีประสิทธิภาพการทำลายล้างมากกว่าแต่ก่อนทำให้เกิดการแสวงหาวัตถุดิบดินปืนซึ่งทำให้เกิดลัทธิจักรวรรดินิยมขึ้น
ในคริสต์ศตวรรษที่15 ทหารราบของยุคกลางได้ มีการใช้อาวุธดินปืนชนิดหนึ่งเรียกว่า "ปืนใหญ่ที่ยิงด้วยมือ" ถึงอย่างไรก็ดีอาวุธดังกล่าวก็ยุ่งยากในการใช้ซึ่งต้องใช้เวลานานในการบรรจุ กระสุนปืนและไม่ค่อยจะมีประสิทธิภาพในการยิง เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 16 ก็เริ่มมีการประดิษฐ์ปืนสั้นขึ้นและในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 ปืนคาบศิลาก็ได้เข้ามาแทนที่หอกยาวซึ่งเคยเป็นอาวุธหลักของทหารราบในสมัยนั้น ปืนคาบศิลาในสมัยศตวรรษที่ 16 เรียกว่า อาร์กิวบัส (ภาษาอังกฤษ: Arquebus) หรือปืนคาบชุด กลไกของปืนชนิดนี้คือใส่ดินปืนลงบนจานดินปืนแล้วใส่กระสุนกลมๆ และดินปืนทางปากกระบอกปืนแล้วกระทุ้งให้ดินปืนและกระสุนไปอยู่ในรังดินปืน ทางท้ายลำกล้อง เมื่อเหนี่ยวไกก็จะมีเหล็กรูปงูตีที่จานดินปืนจะเป็นการจุดสายชนวนไปที่ท้าย ลำกล้องทำให้ดินปืนระเบิดขึ้น แรงระเบิดจะทำให้กระสุนพุ่งออกไปทางปากลำกล้องอย่างรวดเร็ว
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ก็มีการพัฒนาปืนคาบชุดเป็น "ปืนสั้นแบบลูกล้อ" (ภาษาอังกฤษ: Wheellock) แต่อย่างไรก็ดีปืนคาบชุดก็มีข้อเสียอยู่มากเช่น บรรจุกระสุนช้า มีความแม่นยำน้อย ไม่สามารถใช้ได้เมื่ออากาศชื้นเพราะจะทำให้จุดชนวนดินปืนไม่ติด แต่อย่างไรก็ตามปืนคาบชุดก็เป็นสิ่งที่เปลี่ยนโฉมหน้าสงครามของยุโรป และทำให้กษัตริย์ยุโรปมีสถานภาพมั่นคงขึ้นเพราะทำให้มีผู้ก่อกบฏยากเนื่อง จากสงครามที่ใช้ปืนไฟจะเสียค่าใข้จ่ายในการรบสูงมาก ปืนคาบชุดสามารถทำให้อาณาจักรที่สำคัญล่มสลายเช่นอินคา เอซเท็คเป็นต้นแต่มันก็สามารถสร้างอาณาจักรให้มีเอกราชได้ เช่นจักรวรรดิรัสเซียสามารใช้ปืนไฟขับไล่มองโกลออกไปได้แล้วสถาปนาราชวงศ์โรมานอฟ(romanov) ขึ้น ต่อมาได้มีการดัดแปลงปืนคาบชุดให้พกพาได้สะดวกขึ้นเป็นปืนสั้นซึ่งเป็นที่นิยมของทหารม้าในสมัยนั้น
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 ได้มีการพัฒนาปืนไฟแบบคาบชุด ให้เป็นปืนคาบศิลา (ภาษาอังกฤษ: Flintlock อ่านว่าฟรินท์ล็อก) ขึ้น ซึ่งมีกลไกคือใส่หินเหล็กไฟที่ตัวนกของปืนแล้วบรรจุกระสุนและดินปืนทาง ปากกระบอกแล้วกระทุ้งจากนั้น เมื่อเหนี่ยวไกเหล็กรูปนกสับหินเหล็กไฟทำให้เก็ดประกายไฟลามไปที่รังดินปืน ทางท้ายกระบอกทำให้ดินปืนระเบิดและผลักกระสุนให้พุ่งไปข้างหน้า ต่อมาอาวุธชิ้นนี้ได้กลายเป็นอาวุธหลักของกองทัพยุโรปและอเมริกา เมื่อศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมได้มีการประดิษฐ์เกลียวในลำกล้องทำให้กระสุน พุ่งไปข้างหน้าในแนวตรง มีพิสัยไกลกว่าเดิม และมีความแม่นยำมากขึ้น และมีการประดิษฐ์แก๊บในตัวปืนทำให้ไม่ต้องคอยใส่ดินปืนอีกต่อไปเห็นได้จากสงครามไครเมีย การมีกล้องเล็งซึ่งทำมองเห็นเป้าหมายในระยะที่ใกล้และแม่นยำทำให้เกิดหน่วยซุ่มยิงขึ้น เห็นได้จากสงครามกลางเมืองอเมริกา
ในการระดมยิงกรุงคอนสแตนติโนเบิลเมืองหลวงของอาณาจักรไบเซนไทน์ ทหารชาวเติร์กก็ใช้ปืนใหญ่และ ปืนคาบชุดรุ่นแรก ๆ ในการระดมยิงกำแพงเมืองทั้งจากทางบกและทางเรือ ในการรบขยายอาณาจักรของสุลต่านสุไลมานปืนคาบชุดก็เป็นอาวุธสำคัญในการปิด ล้อมเมืองเห็นได้จากสงครามฮับส์เบิร์ก-ออตโตมาน ทหารปืนคาบชุดของจักรวรรดิออตโตมานเรียกว่าแจนนิสซารี่ซึ่งส่วนใหญ่จะสืบ เชื้อสายมาจากพลทหารอาร์เมเนียน และ จอร์เจียน ที่ถูกจับมาเป็นทาสเชลย และแม่ทัพของอาณาจักรออตโตมานส่วนใหญ่จะครอบครองปืนสั้นเป็นจำนวนมากอีกด้วย ปืนคาบชุดยังคงเป็นอาวุธหลักของจักรวรรดิออตโตมานจนเมื่อจักรวรรดิล่มสลายใน ปี 1919
[แก้] เปอร์เซีย
จากหลักฐานการบันทึกของพ่อค้าชาวเวนิสได้ พบว่าปืนคาบชุดได้แพร่หลายในอาณาจักรเปอร์เซียอย่างรวดเร็วอันเนื่องมาจาก การค้ากับยุโรปและทหารม้าของราชวงศ์ซาร์ฟาวิดของเปอร์เซียจะนิยมพกปืนคาบชุด ทุกคน ปืนคาบชุดของเปอร์เซียจะมีลวดลายประณีตบรรจงมาก ปืนคาบชุดยังคงเป็นอาวุธหลักของเปอร์เซียจนเมื่อราชวงศ์ซาร์ฟาวิดล่มสลาย
[แก้] อินเดีย
ในอินเดียสมัยราชวงศ์โมกุลเริ่ม ปรากฏว่ามีการใช้ปืนคาบศิลาในช่วงทศวรรษที่ 1510 ซึ่งในสมัยนี้พระเจ้าบาบูร์และพระเจ้าอัคบาร์ได้ใช้ปืนคาบศิลาเป็นอาวุธหลัก ของทหารราบในการปราบปรามหัวเมืองฮินดูและ มุสลิมของเจ้าผู้ครองแคว้นทางภาคใต้ เสียงของปืนคาบศิลายังทำให้ช้างหลายเชือกของฝ่ายหัวเมืองทางใต้ตกใจอีกด้วย ทำให้อาณาจักรโมกุลสามารถรวบรวมอินเดียเป็นเอกภาพในสมัยพระเจ้าอัคบาร์ มหาราช ปืนคาบศิลาของโมกุลจะเป็นแบบคาบชุดซึ่งเป็นงานหัถกรรมอย่างหนึ่งมีการตี เหล็กอย่างประณีตไม่ได้มีการใช้เหล็กหล่อเหมือนทางตะวันตก ต่อมาเมืออินเดียตกเป็นอณานิคมของอังกฤษ ทางข้าหลวงชาวอังกฤษได้จัดตั้งทหารซีปอยซึ่งมีการจัดระเบียบแบบอังกฤษมี อาวุธหลักเป็นปืนคาบศิลาแบบฟรินท์ล็อกหรือปืนนกสับจนมีปืนแบบบรรจุกระสุนทาง พานท้ายปืนมาแทนที่
[แก้] ญี่ปุ่น
ปืนคาบชุดของญี่ปุ่นในศตวรรษที่16
ญี่ปุ่นได้เผชิญกับอาวุธปืนครั้งแรกเมื่อจักรพรรดิกุบไลข่านรุกรานญี่ปุ่นในปี 1259 ในซึชิมา ต่อมาในปี 1543 ได้มีเรือโปรตุเกสเข้ามาเทียบท่านำโดยนักบวชชื่อ "เฟอร์เนา เมนเดส ปินโต" ชาวโปรตุเกสได้นำปืนไฟแบบคาบชุดมาด้วย ไดเมียวโอดะ โนะบุนางะได้ ซื้อปืนคาบชุดของชาวโปรตุเกสมาศึกษากลไกแล้วให้ช่างเหล็กตีเลียนแบบจน กระทั่งสามารถผลิตปืนคาบชุดได้มากที่สุดในโลกและสามารถสร้างกองทหารที่เกณฑ์ มาจากชาวนาหรือ "อาชิการุ ((あしがる))" ที่ติดอาวุธปืนเหมือนชาวยุโรปได้เป็นจำนวนมาก จนเมื่อปี 1575 โนะบุนางะได้นำทหารอาชิการุที่ติดอาวุธปืนยึดปราสาทนางาชิโนได้ ยุทธวิธีของโอดะคือแบ่งทหารอาชิการุเป็นสองแถวอยู่หลังรั้วไม้ เมื่อแถวแรกยิงทหารม้าของทาเคดะแล้วบรรจุกระสุนใหม่แถวที่สองเข้ามายิงต่อ เมื่อแถวที่สองบรรจุกระสุนแถวแรกจะยิงทำให้ทหารม้าของทาเคดะตายเป็นจำนวนมาก อาวุธของทหารม้าเป็นอาวุธแบบเดิมคือธนู "ยูมิ" และดาบคาตานะ ชัยชนะครั้งนี้ทำให้โอดะได้ตั้งตนเป็นโชกุน เมื่อโนะบุนางะถึงแก่อนิจกรรม โตโยโตมิได้รับตำแหน่งโชกุนแทน ต่อมาเมื่อปี 1592 ญี่ปุ่นรุกรานเกาหลี ญี่ปุ่นได้ใช้ปืนคาบศิลาเป็นอาวุธหลักในการรบแต่ต่อมาญี่ปุ่นต้องถอยทัพกลับ เพราะโตโยโตมิถึงแก่อนิจกรรมในปี 1598 ต่อมาเมื่อโทกุงาวะ อิเยยะสึดำเนินนโยบายปิดประเทศในปี 1603 ห้ามทำการค้ากับชาวต่างชาติและห้ามนำเข้าและผลิตอาวุธปืนเพราะอาจจะทำให้ สถานภาพของโชกุนไม่มั่นคง ทำให้ปืนคาบศิลาแบบคาบชุดอยู่ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นเพียงห้าทศวรรษเท่านั้น จนกระทั่งในปี 1854 นายพลแมททิว เปอร์รี่บังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศ สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิได้ทำการยึดอำนาจของโชกุนโทกุงาวะ โยชิโนบุและจัดตั้งกองทัพสมัยใหม่มีการนำเข้าปืนคาบศิลาแบบฟรินท์ล็อกจากสหรัฐอเมริกาจำนวน มาก ต่อมาญี่ปุ่นสามารถผลิตเองได้เป็นจำนวนมากและปืนคาบศิลายังคงเป็นอาวุธหลัก ของญี่ปุ่นจนมีปืนแบบบรรจุกระสุนทางพานท้ายปืนมาแทนที่
[แก้] จีน
จีนเป็นชาติแรกที่ประดิษฐ์อาวุธปืนขึ้น ปืนที่เป็นต้นแบบของปืนคาบศิลาที่จีนประดิษฐ์ขึ้นมีลักษณะคล้ายปืนคาบศิลา แต่มีวิธียิงเหมือนปืนใหญ๋ อาวุธปืนของจีนมักจะไม่ได้รับการพัฒนาเพราะในการรบกับชนเผ่าเร่ร่อนทางภาค เหนือจีนก็มีกำแพงเมืองจีนป้องกันอยู่แล้วและบ้านเมืองช่วงนี้มักจะสงบและในการรบจีนมักจะตั้งรับมากกว่ารุกราน จีนเผชิญกับอาวุธปืนครั้งแรกในสมัยราชวงศ์หมิงเมื่อ สงครามอิมจินในปี 1592-1598 เกิดขึ้น โชกุนโตโยโตมิรุกรานเกาหลีเพื่อยึดเกาหลีซึ่งเป็นอาณานิคมของจีน จีนได้ส่งกองทัพจำนวนมากไปช่วยเกาหลีและสามารถรบชนะญี่ปุ่นได้หลายครั้ง เพราะปืนคาบศิลาของโปรตุเกสที่ญี่ปุ่นใช้ในสมัยนั้นไม่มีประสิทธิภาพมากพอ ที่จะสู้กับหน้าไม้กลของจีนได้ ต่อมาในสมัยราชวงศ์ชิง อาวุธปืนไม่แพร่หลายในจีนมากนักจนเมื่อปี่ 1839 ในรัชสมัยจักรพรรดิเต้ากวง จีนทำสงครามฝิ่นกับ อังกฤษอังกฤษยกพลขี้นบกที่แหลมเกาลูนแล้วใช้ปืนคาบศิลายิงทหารจีนตายเป็น จำนวนมาก จีนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จีนจึงจัดตั้งกองทัพ "เป่ย์หยาง" และ "หนานหยาง" ขึ้นซึ่งมีการบริหารกองทัพเป็นแบบยุโรปมีปืนคาบศิลาเป็นอาวุธหลัก ในการระดมยิงจากกำแพงกองทัพเป่ย์หยางจะใช้ปืนคาบศิลาขนาดใหญ๋ยิงลงจากกำแพง เรียกว่า"จินกอล" เห็นได้จากสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 1
[แก้] เกาหลี
เกาหลีได้รู้จักกับปืนคาบศิลาครั้งแรกในสมัยราชวงศ์โชซอนเมื่อ ครั้งญี่ปุ่นรุกรานเกาหลีปี 1592-1598 ถึงแม้ญี่ปุ่นจะพ่ายแพ้แต่แม่ทัพลีซุนชินก็เสียชีวิตจากกระสุนปืนคาบศิลา เกาหลีตระหนักดีว่าปืนคาบศิลาก่อให้เกิดความได้เปรียบในการรบ จึงจัดตั้งหน่วยปืนคาบศิลาขึ้นต่อมาปี 1627 เผ่าแมนจูจาก จีนรุกรานเกาหลีเป็นครั้งแรกกองกำลังปืนคาบศิลาของเกาหลีสามารถทำลายกองทหาร ม้าของแมนจูซึ่งมีจำนวนมากกว่าจนแตกพ่ายต่อมาจีนมีกรณีพิพาทเรื่องเขตแดนกับ ร้สเซียในแมนจูเรีย จึงขอกำลังหน่วยปืนคาบศิลา 400 นายของเกาหลีมารบซึ่งกองปืนคาบศิลาของเกาหลีสามารถทำลายทหารม้าคอสแซกของรัส เซียได้อย่างง่ายดายต่อมาในปลายศตวรรษที่ 19 ญี่ปุ่นพยายามมีอำนาจเหนือเกาหลีโดยมอบปืนคาบศิลาให้กบฏตงฮักซึ่งพยายามต่อ ต้านชนชั้นยางบานซึ่งเป็นชนชั้นสูงและขุนนางหัวเก่าของเกาหลี กบฏตงฮักต้องการปฏิรูปเกาหลีให้ทันสมัยโดยเอาญี่ปุ่นเป็นแบบอย่างจึงจับกุมพระเจ้าโกจง แล้วก็ได้ใช้ปืนคาบศิลาเป็นอาวุธในการบุกพระราชวังด้วย
[แก้] ไทย
ประเทศไทยรู้จักกับปืนคาบชุดในกลางสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อรัชสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชจากชาวโปรตุเกส "เฟอร์เนา เมนเดส ปินโต" เช่นเดียวกับญี่ปุ่นที่กล่าวไว้ข้างต้นปืนคาบชุดถูกใช้ครั้งแรกเมื่ออาณาจักรล้านนาคิดแข็งเมือง ทางอยุธยาจึงส่งกำลังไปปราบและได้ใช้ปืนคาบชุดเป็นอาวุธในครั้งนี้ด้วย ต่อมาเกิดสงครามเมืองเชียงกรานกับพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้อยุธยาได้ใช้ปืนคาบชุดในการรบจนชนะอยุธยาได้ใช้ปืนคาบชุดในการรบเรื่อยมาปืนคาบชุดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในสมัยนี้คือพระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตงซึ่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงยิงปืนคาบชุดข้ามแม่น้ำสะโตงถูกแม่ทัพสุรกรรมาตาย
ข้อมูล
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B% ... 5%E0%B8%B2
เคยไปค้นหนังสือเกี่ยวกับคาทอลิกในหอสมุดของมหาลัยมาอ่านsasuke เขียน:ไม่มีใครยืนยันได้ครับTHE i 'dol เขียน: ขอบคุณครับ
เลย์เคยได้ยินมาว่า สมเด็จพระไชยราชาธิราชแห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงรับศีลล้างบาปเป็นคาทอลิกครับ จริงหรือ
ป่าวครับ
เหมือนว่าทางบันทึกของฝรั่ง(จำไม่ได้ว่าชาติไหน) เค้าบันทึกไว้
แต่ของไทยไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้
โดยส่วนใหญ่ เรื่องพวกนี้มันเป็นเหมือน gossip ทางประวัติศาสตร์Y u K i เขียน:เคยไปค้นหนังสือเกี่ยวกับคาทอลิกในหอสมุดของมหาลัยมาอ่านsasuke เขียน:ไม่มีใครยืนยันได้ครับTHE i 'dol เขียน: ขอบคุณครับ
เลย์เคยได้ยินมาว่า สมเด็จพระไชยราชาธิราชแห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงรับศีลล้างบาปเป็นคาทอลิกครับ จริงหรือ
ป่าวครับ
เหมือนว่าทางบันทึกของฝรั่ง(จำไม่ได้ว่าชาติไหน) เค้าบันทึกไว้
แต่ของไทยไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้
มองได้หลายด้าน คนโน้นก็ว่าอย่างนี้ พี่ไทยก็ว่าอย่างนั้น ใครพูดจริงไม่จริงก็ไม่รู้
บทกวีของคาริล ยิบราน
" บุตรของเธอ ไม่ใช่บุตรของเธอ
เขาเหล่านั้นเป็นบุตรและธิดาแห่งชีวิต
เขามาทางเธอ แต่ไม่ได้มาจากเธอ
และแม้ว่าเขาอยู่กับเธอ แต่ก็ไม่ใช่สมบัติของเธอ
เธออาจให้ความรักแก่เขา แต่ไม่อาจให้ความนึกคิดได้
เพราะว่าเขาก็มีความคิดของตนเอง
เธออาจจะให้ที่อยู่อาศับแก่ร่างกายเขาได้
แต่มิใช่แก่วิญญาณของเขา "
" วาสลาฟ " เป็นชื่อที่ฮิตในเช็กมากแถมผมไม่รู้ชื่อของผู้ชายคนนี้จึงขอใช้ชื่อนี้ว่า " วาสลาฟ " แล้วคิดว่าถ้าเป็นตัวผมเจอกีดกันอย่างนี้ล่ะก็ ในสนามรบผู้ชายคนนี้ต้องทำเช่นนี้เช่นกันเป็นแน่แท้ เหม่อมองไปยังฟากฟ้าแล้วเอ่ยชื่อคนรักของตนพร้อมกับพูดว่า" ผมรักคุณ "
กาลครั้งหนึ่ง...นานมาแล้ว มีตระกูลราชวงศ์แห่งหนึ่งของเช็กที่โด่งดังมีพระนามว่า " ชวาเซนเบิร์ก "( Schwarzenberg ) ที่ตั้งของวังชวาเซนเบิร์ก (Schwarzenberg Palace ) นั้นตั้งอยู่หน้าปราสาทปราก ท่านพ่อผู้แสนหยิ่ง ทะนงคนนึง มีลูกสาวที่บอบบาง น่ารักดุจแก้วตาดวงใจเธอมีพระนามว่า " อัลซเบียต้า " ( alzbeta) กาลเวลาร่วงโรยพัดผ่านจนย่างเข้าสู่วัยหนุ่มสาว คิวปิดกามเทพแสนซนได้แผลงศรรักใส่ " อัลซเบียต้า " และชายหนุ่มธรรมดาๆคนนึงที่ชื่อ " วาสลาฟ " ฐานะที่แตกต่างกันเยี่ยงนี้ความสัมพันธ์จะเป็นอย่างไรนั้นทั้งคู่รู้แก่ใจกันเป็นอย่างดี (ความรักไม่เคยเข้าใครออกใครอยู่แล้ว ) ทั้งคู่ถูกกำหนดมาเพื่อกันและกัน โดยเฉพาะ " วาสลาฟ " นั้นยากจนได้พักอาศัยอยู่ห้องใต้หลังคากับแม่เพียงลำพังสองคน พ่อของอัลซเบียต้าเองย่อมรู้ความเป็นไปทุกอย่างของชาวบ้านและลูกสาวอยู่แล้ว ทุกๆเย็น " วาสลาฟ " จะไปที่รูปแกะสลักของพระแม่มารี ใกล้กับวังชวาเซนเบิร์ก เฝ้ารอแล้วเดินไปอย่างไร้จุดหมาย กระวนกระวาย รุ่มร้อน ไร้ซึ่งความหวัง ผู้เป็นพ่อได้พูดกับลูกสาวว่า
" ลูกต้องการที่จะเลือกคนยากจนงั้นหรือ ? ลูกคาดหวังให้พ่อยกลูกสาวให้ขอทานที่ไม่มีมีรองเท้าใส่และสวมเสื้อผ้าขาดกระรุ่งกระริ่ง ต่อจากนั้นเขาจะเข้ามาใช้จ่ายเงินของพ่ออย่างสิ้นเปลือง? พ่อจะไม่มีทางยอมรับคนยากจนโสมมเข้ามาเป็นคนในครอบครัวเด็ดขาด!!!! " " อัลซเบียต้า " นั้นเชื่อมั่นในรักแท้ รักที่พระเจ้าประทานมาให้ว่า " วาสลาฟ " คือทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ และแล้ววันต่อมาผู้เป็นพ่อได้จัดงานเลี้ยงเชิญผู้สูงศักดิ์มา(กะคลุมถุงชน) " อัลซเบียต้า " เองไม่แม้แต่จะชายตามองชายเหล่านี้เลยสักคน คืนแล้วคืนเล่า ปฏิเสธหมด ผู้เป็นพ่อเองโน้มน้าวด้วยการทั้งปลอบและขู่ " นี่ลูก..พ่อเองแก่ปานนี้แล้วอยากเห็นลูกสาวของพ่อแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาซะที " เฝ้ามองดูทุกย่างก้าว ในที่สุดก็กักบริเวณไม่ให้ออกไปจากวัง
" วาสลาฟ " และ " อัลซเบียต้า " จึงมิได้พบเจอกัน แต่...ทั้งหมดก็ไม่เป็นผลสำเร็จ คู่รักต่างชนชั้นได้ใช้ แสงไฟ ทันทีที่ค่ำคืนมาเยือน " อัลซเบียต้า " จะเปิดไฟที่ห้องของเธอ " วาสลาฟ " ก้จะเปิดตะเกียงที่ห้องใต้หลังคาของตนเช่นกัน ทั้งคู่เฝ้ามองเห็นกันและกันด้วยแสงจากตะเกียงไกลๆแทนความหมายของความคิดถึง ฝ่ายหญิงได้ทนไม่ไหวอยากพบเจอคนรักของเธอ " ขอแค่ครั้งเดียวเท่านั้น " ได้ลอบออกมาจากวังไปยังที่นัดพบ คือ รูปปั้นพระแม่มารีแถวขั้นบันไดด้านข้างปราสาทปราก เมื่อพ่อของเธอรู้เข้า จัดการพรากจากคนทั้งคู่ซะโดยการเรียกใช้กองทัพเอา " วาสลาฟ " เข้าเป็นทหารและพร้อมออกศึกเข้าสนามรบในทันที โดยให้อยู่แนวหน้าที่อันตรายที่สุดและไม่ให้ได้ทานอะไรเลยสักนิด
ทั้งคู่ได้พบกันที่ รูปปั้นพระแม่มารีเป็นครั้งสุดท้าย " ฉันจะรอเธอทุกวัน ทุกๆเย็น ฉันจะมองออกมาจากหน้าต่าง จนกว่าเธอจะส่งสัญญาณเปิดไฟสว่างขึ้นจากห้องของเธอ ฉันจะมาพบเธอ ณ ที่ของเราแห่งนี้ ฉันจะรอ รอ...แม้มันจะยาวนานเท่าที่ฉันมีชีวิตอยู่ " " ฉันรักเธอ " ผู้เป็นพ่อทนไม่ได้ที่เห็นคนทั้งคู่สวมกอดจุมพิตกัน แต่ก็ทำเฉยเพราะรู้ว่าไม่มีทางได้กลับมา " วาสลาฟ " ได้ให้คำมั่นสัญญาและจากไปเป็นทหาร
ในวาระสุดท้ายของชายหนุ่มได้มาเยือน " วาสลาฟ " ได้แหงนหน้ามองดวงดาวที่ส่องประกายบนฟากฟ้า พูดชื่อคนรักออกมา อัลซเบียต้า " ผมรักคุณ " เหลือเกิน มโนภาพครั้งสุดท้ายปรากฏอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่ม " อัลซเบียต้า " เองก็ไม่เคยได้ยินข่าวคราวชายคนรักของตนอีกเลย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน นานแม้กระทั่งแม่ของชายหนุ่มได้เสียชีวิตลง " อัลซเบียต้า " และพ่อย้ายออกจากวังไปแล้ว ทุกวันเธอจะไปอยู่ที่จุดนัดพบแต่งชุดเดียวกับที่ใส่ตอนพบคนรักเสมอ มองไปยังที่ห้องใต้หลังคารอคอย เฝ้ารอ รอแล้วรอเล่า จนผมของเธอกลายเป็นสีเงิน ชราลงเธอก็ยังแต่งชุดเดียวกับที่ใส่ตอนพบคนรักเสมอ วันหนึ่ง ในฤดูที่อากาศหนาวจัด หิมะได้ตกลงมาจากฟากฟ้า " อัลซเบียต้า " ได้หลั่งน้ำตานอนรอคนรักของเธอบนพื้นน้ำหิมะ ใบหน้าของหล่อนขาวซีดเหมือนหินอ่อน บนแก้มน้ำตาที่กลายเป็นน้ำแข็งทอ" แสงสว่าง " อยู่สองหยด คำมั่นสัญญาของเธอกลายเป็นตำนานรักแห่งกรุงปราก
finale
" บุตรของเธอ ไม่ใช่บุตรของเธอ
เขาเหล่านั้นเป็นบุตรและธิดาแห่งชีวิต
เขามาทางเธอ แต่ไม่ได้มาจากเธอ
และแม้ว่าเขาอยู่กับเธอ แต่ก็ไม่ใช่สมบัติของเธอ
เธออาจให้ความรักแก่เขา แต่ไม่อาจให้ความนึกคิดได้
เพราะว่าเขาก็มีความคิดของตนเอง
เธออาจจะให้ที่อยู่อาศับแก่ร่างกายเขาได้
แต่มิใช่แก่วิญญาณของเขา "
" วาสลาฟ " เป็นชื่อที่ฮิตในเช็กมากแถมผมไม่รู้ชื่อของผู้ชายคนนี้จึงขอใช้ชื่อนี้ว่า " วาสลาฟ " แล้วคิดว่าถ้าเป็นตัวผมเจอกีดกันอย่างนี้ล่ะก็ ในสนามรบผู้ชายคนนี้ต้องทำเช่นนี้เช่นกันเป็นแน่แท้ เหม่อมองไปยังฟากฟ้าแล้วเอ่ยชื่อคนรักของตนพร้อมกับพูดว่า" ผมรักคุณ "
กาลครั้งหนึ่ง...นานมาแล้ว มีตระกูลราชวงศ์แห่งหนึ่งของเช็กที่โด่งดังมีพระนามว่า " ชวาเซนเบิร์ก "( Schwarzenberg ) ที่ตั้งของวังชวาเซนเบิร์ก (Schwarzenberg Palace ) นั้นตั้งอยู่หน้าปราสาทปราก ท่านพ่อผู้แสนหยิ่ง ทะนงคนนึง มีลูกสาวที่บอบบาง น่ารักดุจแก้วตาดวงใจเธอมีพระนามว่า " อัลซเบียต้า " ( alzbeta) กาลเวลาร่วงโรยพัดผ่านจนย่างเข้าสู่วัยหนุ่มสาว คิวปิดกามเทพแสนซนได้แผลงศรรักใส่ " อัลซเบียต้า " และชายหนุ่มธรรมดาๆคนนึงที่ชื่อ " วาสลาฟ " ฐานะที่แตกต่างกันเยี่ยงนี้ความสัมพันธ์จะเป็นอย่างไรนั้นทั้งคู่รู้แก่ใจกันเป็นอย่างดี (ความรักไม่เคยเข้าใครออกใครอยู่แล้ว ) ทั้งคู่ถูกกำหนดมาเพื่อกันและกัน โดยเฉพาะ " วาสลาฟ " นั้นยากจนได้พักอาศัยอยู่ห้องใต้หลังคากับแม่เพียงลำพังสองคน พ่อของอัลซเบียต้าเองย่อมรู้ความเป็นไปทุกอย่างของชาวบ้านและลูกสาวอยู่แล้ว ทุกๆเย็น " วาสลาฟ " จะไปที่รูปแกะสลักของพระแม่มารี ใกล้กับวังชวาเซนเบิร์ก เฝ้ารอแล้วเดินไปอย่างไร้จุดหมาย กระวนกระวาย รุ่มร้อน ไร้ซึ่งความหวัง ผู้เป็นพ่อได้พูดกับลูกสาวว่า
" ลูกต้องการที่จะเลือกคนยากจนงั้นหรือ ? ลูกคาดหวังให้พ่อยกลูกสาวให้ขอทานที่ไม่มีมีรองเท้าใส่และสวมเสื้อผ้าขาดกระรุ่งกระริ่ง ต่อจากนั้นเขาจะเข้ามาใช้จ่ายเงินของพ่ออย่างสิ้นเปลือง? พ่อจะไม่มีทางยอมรับคนยากจนโสมมเข้ามาเป็นคนในครอบครัวเด็ดขาด!!!! " " อัลซเบียต้า " นั้นเชื่อมั่นในรักแท้ รักที่พระเจ้าประทานมาให้ว่า " วาสลาฟ " คือทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ และแล้ววันต่อมาผู้เป็นพ่อได้จัดงานเลี้ยงเชิญผู้สูงศักดิ์มา(กะคลุมถุงชน) " อัลซเบียต้า " เองไม่แม้แต่จะชายตามองชายเหล่านี้เลยสักคน คืนแล้วคืนเล่า ปฏิเสธหมด ผู้เป็นพ่อเองโน้มน้าวด้วยการทั้งปลอบและขู่ " นี่ลูก..พ่อเองแก่ปานนี้แล้วอยากเห็นลูกสาวของพ่อแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาซะที " เฝ้ามองดูทุกย่างก้าว ในที่สุดก็กักบริเวณไม่ให้ออกไปจากวัง
" วาสลาฟ " และ " อัลซเบียต้า " จึงมิได้พบเจอกัน แต่...ทั้งหมดก็ไม่เป็นผลสำเร็จ คู่รักต่างชนชั้นได้ใช้ แสงไฟ ทันทีที่ค่ำคืนมาเยือน " อัลซเบียต้า " จะเปิดไฟที่ห้องของเธอ " วาสลาฟ " ก้จะเปิดตะเกียงที่ห้องใต้หลังคาของตนเช่นกัน ทั้งคู่เฝ้ามองเห็นกันและกันด้วยแสงจากตะเกียงไกลๆแทนความหมายของความคิดถึง ฝ่ายหญิงได้ทนไม่ไหวอยากพบเจอคนรักของเธอ " ขอแค่ครั้งเดียวเท่านั้น " ได้ลอบออกมาจากวังไปยังที่นัดพบ คือ รูปปั้นพระแม่มารีแถวขั้นบันไดด้านข้างปราสาทปราก เมื่อพ่อของเธอรู้เข้า จัดการพรากจากคนทั้งคู่ซะโดยการเรียกใช้กองทัพเอา " วาสลาฟ " เข้าเป็นทหารและพร้อมออกศึกเข้าสนามรบในทันที โดยให้อยู่แนวหน้าที่อันตรายที่สุดและไม่ให้ได้ทานอะไรเลยสักนิด
ทั้งคู่ได้พบกันที่ รูปปั้นพระแม่มารีเป็นครั้งสุดท้าย " ฉันจะรอเธอทุกวัน ทุกๆเย็น ฉันจะมองออกมาจากหน้าต่าง จนกว่าเธอจะส่งสัญญาณเปิดไฟสว่างขึ้นจากห้องของเธอ ฉันจะมาพบเธอ ณ ที่ของเราแห่งนี้ ฉันจะรอ รอ...แม้มันจะยาวนานเท่าที่ฉันมีชีวิตอยู่ " " ฉันรักเธอ " ผู้เป็นพ่อทนไม่ได้ที่เห็นคนทั้งคู่สวมกอดจุมพิตกัน แต่ก็ทำเฉยเพราะรู้ว่าไม่มีทางได้กลับมา " วาสลาฟ " ได้ให้คำมั่นสัญญาและจากไปเป็นทหาร
ในวาระสุดท้ายของชายหนุ่มได้มาเยือน " วาสลาฟ " ได้แหงนหน้ามองดวงดาวที่ส่องประกายบนฟากฟ้า พูดชื่อคนรักออกมา อัลซเบียต้า " ผมรักคุณ " เหลือเกิน มโนภาพครั้งสุดท้ายปรากฏอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่ม " อัลซเบียต้า " เองก็ไม่เคยได้ยินข่าวคราวชายคนรักของตนอีกเลย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน นานแม้กระทั่งแม่ของชายหนุ่มได้เสียชีวิตลง " อัลซเบียต้า " และพ่อย้ายออกจากวังไปแล้ว ทุกวันเธอจะไปอยู่ที่จุดนัดพบแต่งชุดเดียวกับที่ใส่ตอนพบคนรักเสมอ มองไปยังที่ห้องใต้หลังคารอคอย เฝ้ารอ รอแล้วรอเล่า จนผมของเธอกลายเป็นสีเงิน ชราลงเธอก็ยังแต่งชุดเดียวกับที่ใส่ตอนพบคนรักเสมอ วันหนึ่ง ในฤดูที่อากาศหนาวจัด หิมะได้ตกลงมาจากฟากฟ้า " อัลซเบียต้า " ได้หลั่งน้ำตานอนรอคนรักของเธอบนพื้นน้ำหิมะ ใบหน้าของหล่อนขาวซีดเหมือนหินอ่อน บนแก้มน้ำตาที่กลายเป็นน้ำแข็งทอ" แสงสว่าง " อยู่สองหยด คำมั่นสัญญาของเธอกลายเป็นตำนานรักแห่งกรุงปราก
finale
- Valkyrie Zero Number
- โพสต์: 2081
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ส.ค. 27, 2007 4:11 am
ขอเมนท์ในสองแง่
ถ้าเป็นเรื่องจริง หรือมีส่วนความจริงอยู่บางส่วน แต่ท่อนที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของพ่อของฝ่ายหญิงเป็นจริง
= ขอให้พระเจ้าทรงเมตตาและให้ทั้งคู่ได้พบกันบนแผ่นดินนิรันดร์
ส่วนพ่อของฝ่ายหญิง ขอให้ถูกตัดสิทธิ์จากความเป็นพ่อฝ่ายหญิงทั้งกาลภายหน้าและกาลภายหลัง และก่อนลงนรกเราอยากแถมบาทาพิฆาตให้อีกตอดด้วย
ถ้าเป็นเรื่องแต่ง
= สะท้อนให้เห็นถึงโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในความเป็นจริงหลายที่หลายแห่ง ที่อาจจะเลวร้ายกว่าในปรัมปรา
และแสดงให้เห็น "ความโง่งมของมนุษย์คนนึงที่กล้าดูหมิ่นความรักของคู่รักที่จริงใจต่อกัน และยังกล้าใช้ระบบคลุมถุงชนที่เราถือว่าเป็นการลบหลู่การแต่งงานที่พระเจ้าตั้งให้มนุษย์อย่างร้ายกาจที่สุด และส่งผลเสียต่อสตรีเพศที่สุด"
The Evil Male never be my side.
ถ้าเป็นเรื่องจริง หรือมีส่วนความจริงอยู่บางส่วน แต่ท่อนที่เกี่ยวกับพฤติกรรมของพ่อของฝ่ายหญิงเป็นจริง
= ขอให้พระเจ้าทรงเมตตาและให้ทั้งคู่ได้พบกันบนแผ่นดินนิรันดร์
ส่วนพ่อของฝ่ายหญิง ขอให้ถูกตัดสิทธิ์จากความเป็นพ่อฝ่ายหญิงทั้งกาลภายหน้าและกาลภายหลัง และก่อนลงนรกเราอยากแถมบาทาพิฆาตให้อีกตอดด้วย
ถ้าเป็นเรื่องแต่ง
= สะท้อนให้เห็นถึงโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในความเป็นจริงหลายที่หลายแห่ง ที่อาจจะเลวร้ายกว่าในปรัมปรา
และแสดงให้เห็น "ความโง่งมของมนุษย์คนนึงที่กล้าดูหมิ่นความรักของคู่รักที่จริงใจต่อกัน และยังกล้าใช้ระบบคลุมถุงชนที่เราถือว่าเป็นการลบหลู่การแต่งงานที่พระเจ้าตั้งให้มนุษย์อย่างร้ายกาจที่สุด และส่งผลเสียต่อสตรีเพศที่สุด"
The Evil Male never be my side.
ผมได้อ่านความเห็นของคุณแล้วครับผม และขอตอบว่า นี่คือเรื่องจริง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ " สาธารณรัฐเช็ก "นานมากๆแล้วครับ
ผมเอาข้อมูลนี้มาจาก " 13 ปราสาทเล็กโรแมนติก ในสาธารณรัฐเช็ก " ครับ ได้ข้อมูลแค่นิดหน่อยเอง ตอนที่ได้อ่านตรงช่วงนี้ผมร้องไห้ให้กับคนทั้งคู่มากๆเลย (ลองหามาอ่านดูซิครับ อ่านจากในห้างก็ได้) แต่เวลาแม้จะล่วงเลยผ่านมานานเป็นกี่ศตวรรษ์แล้ว ทุกยุคทุกสมัยก็ยังมีเกิดขึ้นอยู่ตามเคย
ผมเอาข้อมูลนี้มาจาก " 13 ปราสาทเล็กโรแมนติก ในสาธารณรัฐเช็ก " ครับ ได้ข้อมูลแค่นิดหน่อยเอง ตอนที่ได้อ่านตรงช่วงนี้ผมร้องไห้ให้กับคนทั้งคู่มากๆเลย (ลองหามาอ่านดูซิครับ อ่านจากในห้างก็ได้) แต่เวลาแม้จะล่วงเลยผ่านมานานเป็นกี่ศตวรรษ์แล้ว ทุกยุคทุกสมัยก็ยังมีเกิดขึ้นอยู่ตามเคย
-
- .
- โพสต์: 1739
- ลงทะเบียนเมื่อ: อาทิตย์ ต.ค. 28, 2007 5:58 pm
- ที่อยู่: In the Christ
อยากไปเที่ยวปรากจัง
-
- โพสต์: 519
- ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ต.ค. 27, 2009 10:09 pm
ปาอะไรเอ่ย ผู้หญิงกลัว