“ คนสามฤดู “

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ส.ค. 24, 2020 6:35 pm

........."คนสามฤดู".......

มีอยู่วันหนึ่ง ลูกศิษย์คนหนึ่งของขงจื้อกำลังกวาดพื้นอยู่หน้าสำนัก มีคนแปลกหน้าผ่านมาแล้วถามเขาว่า
"เจ้าพำนักอยู่สำนักขงจื้อหรือ"
"ใช่ครับ ผมเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ขงจื้อครับ" เขาตอบอย่างภาคภูมิใจ
"ดีมาก ถ้าเช่นนั้นผมขอถามคำถามคุณสักข้อ"
"ได้เลยครับ เรียนเชิญ" ลูกศิษย์ตอบ ในใจเขาคิดว่าคงเป็นพวกปัญหาแปลกประหลาดพิสดารไม่เหมือนใคร
คนแปลกหน้าถามว่า "โลกนี้ปีหนึ่งมีกี่ฤดู"
ลูกศิษย์คิดในใจว่า คำถามง่ายๆแบบนี้ยังเอามาถามได้ จึงตอบไปอย่างมั่นใจว่า "ปีหนึ่งมีสี่ฤดู"
คนแปลกหน้าสั่นหัว "ไม่ถูก ปีหนึ่งมีแค่สามฤดู"
"คุณคงเข้าใจผิด สี่ฤดูแน่นอนอยู่แล้ว"
"สามฤดู" คนแปลกหน้าเถียงอย่างมีน้ำโห
ฝ่ายลูกศิษย์พยายามแจกแจงรายละเอียดของทั้งสี่ฤดูให้ฟังอย่างครบถ้วน แต่คนแปลกหน้าก็ไม่ยอมรับรู้

ทั้งสองโต้เถียงกันไม่ยอมจบ เลยตกลงกันว่าต้องมีเดิมพันกันหน่อย หากเป็นสี่ฤดู คนแปลกหน้าต้องโค้งคำนับฝ่ายลูกศิษย์ไปสามครั้ง แต่หากคำตอบคือสามฤดู ฝ่ายลูกศิษย์ต้องเป็นฝ่ายโค้งคำนับ

ก็พอดีเป็นจังหวะที่ขงจื้อเดินออกมาหน้าสำนักตน ลูกศิษย์จึงถือโอกาสเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้อาจารย์ฟัง พร้อมถามคำถามที่กำลังโต้เถียงกันอยู่ "ตกลงปีหนึ่งมีกี่ฤดูครับ อาจารย์"

ขงจื้อใช้สายตามองคนแปลกหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตอบเขาว่า "ถ้าเจ้าจะเชื่อว่าปีหนึ่งมีสามฤดู มันก็ไม่ผิด”

ลูกศิษย์ทั้งตกใจและแปลกใจในคำตอบ แต่ก็ไม่กล้าโต้แย้งอาจารย์

คนแปลกหน้าดีใจอย่างมาก “มาโค้งคำนับข้าเร็ว"

ลูกศิษย์จำใจต้องทำตามสัญญา ด้วยการโค้งคำนับคนแปลกหน้าไปสามครั้ง

เมื่อคนแปลกหน้าจากไปแล้ว ลูกศิษย์จึงถามขงจื้อด้วยความสงสัยว่า
"อาจารย์ครับ ปีหนึ่งมีสี่ฤดูชัดๆ แต่ทำไมอาจารย์จึงบอกว่ามีแค่สามฤดู"

ขงจื้อมองหน้าลูกศิษย์ ก่อนจะตอบอย่างใจเย็นว่า "เจ้าไม่เห็นหรือว่า คนแปลกหน้าคนนั้นนุ่งเขียวห่มเขียวมาทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ข้าจึงอยากเปรียบเปรยเขาเป็นดั่งพวกตั๊กแตน ตั๊กแตนเกิดในฤดูใบไม้ผลิ และตายในฤดูใบไม้ร่วง พวกมันจึงไม่เคยได้พบเจอฤดูหนาวเลย คนแปลกหน้าคนนั้นอาจมาจากแดนไกลที่แทบจะไม่มีฤดูหนาว ถ้าบอกเขาว่า ปีหนึ่งมีสามฤดู เขาก็จะพอใจ แต่ถ้าบอกเขาว่าโลกนี้มีสี่ฤดู คงต้องทะเลาะโต้เถียงกันไม่จบไม่สิ้น แม้พระอาทิตย์จะตกดินไปแล้วก็ยังจะหาบทสรุปไม่ได้ การที่เจ้ายอมคำนับเขาไปสามครั้ง เสียเปรียบหน่อยแต่ก็ไม่ถึงกับเสียหายมาก เรื่องจะได้จบกันเสียที จงอย่าเสียเวลาไปโต้เถียงกับคนพวกนี้ให้เสียอารมณ์โดยใช่เหตุ"

************

เพื่อนๆหลายคนที่เคยอ่านเรื่องนี้แล้ว ก็มักจะกลับมาเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนเจอคนที่ไม่ยอมคุยด้วยเหตุผล หรือเอาแต่ความคิดตนเองเป็นใหญ่ ก็จะโกรธ อารมณ์เสีย อยากเถียงให้มันรู้ดำรู้แดงไปเลย แต่เดี๋ยวนี้เลิกอารมณ์ขุ่นมัวกับคนพวกนี้แล้ว เพราะคิดได้ว่าคนพวกนี้เป็นแค่ "คนสามฤดู" จิตใจก็จะสบายขึ้น

"คนสามฤดู" จะยืนกรานว่าตนมีเหตุผล รู้จริงและถูกต้องเสมอ ยากที่จะยอมรับความคิดเห็นคนอื่น นั่นเพราะพวกเขาไม่เคยพบเจอความจริงที่บ่งบอกถึงความเข้าใจผิดของพวกเขา หรืออาจเพราะความดื้อรั้นในตัวเขา เพราะฉะนั้น หากเรามัวแต่เสียอารมณ์ไปโกรธคนพวกนี้ ก็เท่ากับเรากำลังทำร้ายตัวเราเอง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ถ้าเจอ”คนสามฤดู”....
ไม่แย่งชิงคือความสงบ
ไม่โต้เถียงคือความชาญฉลาด
ให้อภัยคือการหลุดพ้น
ยุติให้เป็นคือการปล่อยวาง

โลกเรานั้น
มี "คนสามฤดู" เยอะแยะไปหมด
จงจำนิทานเรื่องนี้ให้ดี
แล้วนำออกมาใช้ในจังหวะที่จำเป็น
มีประโยชน์ต่อคุณแน่นอน

"ขจรศักดิ์"
แปลและเรียบเรียง
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ก.ย. 03, 2020 9:05 pm

มาร์ค ทเวน (นักเขียนชาวอเมริกัน) เคยกล่าวไว้ว่า เรื่องของอายุ ถ้าคิดว่าไม่สำคัญ มันก็ไม่สำคัญ!
.

อันนา เดล พริโอเร ก็คงคิดเช่นนั้นเหมือนกัน เธอไม่ได้นับหรือนึกถึงอายุของเธอเลย แค่ใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างมีความสุข- - เธอรักการเต้นรำและดนตรีเป็นชีวิตจิตใจ ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเพลง เธอจะเริ่มขยับเท้าทันที เธอไม่ยอมเสียเวลาให้กับเรื่องเล็ก ๆ จุกจิกกวนใจ ชีวิตมีไว้เพื่อใช้อย่างเบิกบานเท่านั้น... ทุกวันนี้ เธอมีอายุ 107 ปีแล้ว
.

โชคไม่ดี, ฤดูร้อนปีนี้ ขณะที่ตัวเลขของผู้ป่วยโควิด 19 กำลังพุ่งขึ้นสูง หนึ่งในตัวเลขเหล่านั้น ได้นับรวมอันนา เดล พริโอเรเข้าไปด้วย- - แม้จะสูงวัยและเปราะบาง แต่เธอก็ผ่านการรักษามาได้อย่างปลอดภัยเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา- -
.

นี่ไม่ใช่ครั้งแรก! ย้อนกลับไป ร้อยปีก่อน ตอนที่เธออายุเพียงไม่กี่ขวบ ช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 1 ไข้หวัดใหญ่สเปนได้แพร่ระบาดไปทั่วโลกและมีผู้เสียชีวิตถึง 50 ล้านคน ครั้งนั้น เธอก็เป็นหนึ่งในผู้ป่วยที่ติดโรคและรอดมาได้เช่นกัน!

ไม่น่าเชื่อว่า ชีวิตหนึ่งของใครบางคนจะผ่านโรคระบาดครั้งใหญ่ของโลกมาได้ถึง 2 ครั้ง!
.

อันนา เดล พริโอเร เป็นอดีตช่างเย็บผ้าเติบโตที่เมืองบรุกลิน นิวยอร์ค แต่งงานกับสามีที่เป็นนักเต้นแทงโกระดับมืออาชีพ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาทั้งคู่ก็มีความสุขกับการเต้นรำด้วยกันเป็นเวลาหลายปี กระทั่งเมื่อสามีเธอเสียชีวิต อันนาก็ยังพยายามทำตัวเองให้กระฉับกระเฉง มีชีวิตชีวา เธอเคยเดินเกือบสองกิโลในแต่ละวันเพื่อไปคุยกับเพื่อนที่ร้านกาแฟ จนเมื่ออายุครบ 100 ปีถึงได้หยุดกิจกรรมนี้ไป...
.

หลายคนถามเธอว่า นอกจากผ่านโรคระบาดครั้งใหญ่มาถึง 2 ครั้งแล้ว เชื่อว่าชีวิตที่ยืนยาวนานของเธอ คงจะผ่านเรื่องทุกข์ยากมานับครั้งไม่ถ้วน เธอรับมือกับมันอย่างไร ถึงได้มีชีวิตที่รื่นรมย์ขนาดนี้ เธอตอบว่า
.

“จงทำดีต่อผู้อื่น, รักษาเพื่อนดี ๆ ไว้, ซื่อสัตย์จริงใจ, รักพระเจ้า”
และเธอเสริมว่าชอบกินพริกมาก ๆ ด้วย (ไม่แน่ใจว่าเธอหมายถึงพริกชนิดใด)
. . . . .
.
หากเราหรือใครกำลังจมอยู่กับความทุกข์เศร้าและปัญหา ลองดูอันนาเป็นตัวอย่าง - -

เพลงชีวิตของเราทุกคน ล้วนมีหลายท่วงทำนองจังหวะ
แต่ไม่ว่าจะเป็นเพลงหวาน หรือเพลงเศร้า มันต้องจบลง
เพียงเรารู้จักขยับเท้าเต้นไปกับมัน ไม่ว่าเพลงบทไหนก็ดูระรื่น งดงาม

จงจำไว้... เราทุกคนต่างเคยมีเพลงเศร้ามาแล้วทั้งนั้น
แต่สักวันมันต้องผ่านไป...
.

อันนา เดล พริโอเร จะครบรอบวันเกิด 108 ปีในเดือนนี้(กันยายน) ขอพระเจ้าอวยพระพรแด่เธอให้มีสุขภาพแข็งแรงและจิตใจที่รื่นรมย์เบิกบานเช่นนี้ไปอีกนาน
.

ปะการัง
.

[ น่าประหลาดใจ - ไม่ใช่เฉพาะอันนา น้องสาวของเธอ-เฮเลน (ปัจจุบันอายุ 105 ปี) ก็เคยเป็นผู้ป่วยติดโรคระบาดครั้งใหญ่ทั้งสองครั้ง- ไข้หวัดใหญ่สเปนเมื่อ 100 ปีก่อน กับโควิด 19 ในปีนี้- - เธอรอดชีวิตมาได้เช่นกัน! ]
ตอบกลับโพส