ประสบการณ์ชีวิต ( เรื่องจริงเอามาแบ่งปัน )

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ก.ย. 17, 2020 12:02 pm

มีเพื่อนคนหนึ่งของผมอายุ 60 ปีแล้ว ผมถามเขาว่า…
ที่ผ่านมาในชีวิตคุณได้เรียนรู้อะไรไปบ้าง และมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างหลังจากที่คุณได้เรียนรู้ชีวิต เขาอธิบายสรุปออกมาเป็นข้อ ๆ ได้ 10 ข้อ ดังต่อไปนี้คือ..

1.เมื่อก่อนผมรักพ่อแม่ พี่น้องเพื่อนฝูงมากที่สุด แต่เดี๋ยวนี้ เมื่ออายุมากขึ้น สุขภาพเริ่มถดถอย ผมจะหันกลับมารักตัวเองให้มากขึ้น

2.ผมจะไม่ต่อรองราคากับพ่อค้าแม่ค้าที่ขายผักขายผลไม้การจ่ายเงินเพิ่มอีกเล็กน้อยไม่มีผลกระทบกับชีวิตผมแต่อาจจะส่งผลต่อพวกเขาเงินเพียงเล็กน้อยเหล่านี้อาจหมายถึงค่าเล่าเรียนในอนาคตของลูก ๆ เขา

3.เวลาจ่ายค่าแท็กซี่ ผมจะไม่รอให้โชเฟอร์หาเศษเหรียญมาทอน แต่จะให้ทิปเขาเล็กน้อย อาจจะได้รับรอยยิ้มตอบแทน เพราะยังไงเขาก็คงจะหาเลี้ยงชีพลำบากกว่าผม

4.ผมจะไม่พูดกับผู้สูงอายุอีกว่า 'นิทานเรื่องนี้ท่านได้เล่าหลายครั้งแล้วนะ' เพราะนิทานเหล่านี้จะช่วยฟื้นความทรงจำ และการรำลึกอดีตที่ประทับใจของพวกท่าน

5.ผมจะไม่พยายามแก้ไขคนอื่นอีกต่อไป แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะทำอะไรผิดๆ เพราะการทำให้ทุกคนสมบูรณ์แบบไม่ใช่ความรับผิดชอบของผม

6.ผมจะมองโลกในแง่บวกและชื่นชมผู้อื่นมากกว่าตำหนิ เพราะนั่นไม่เพียงแต่ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งอารมณ์ดี แต่เป็นประโยชน์กับจิตใจตัวเราเองด้วย

7.ผมจะไม่กังวลกับจุดเปื้อนบนเสื้อ หรือ ข้อผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆของคนอื่น เพราะจิตใจสำคัญกว่ารูปลักษณ์ภายนอก ผมจะมองไปที่นิสัย และข้อดีที่แท้จริงของคนๆนั้นมากกว่า

8.ผมจะอยู่ห่าง ๆ กับคนที่เขาดูถูกเหยียดหยามผม เพราะพวกเขาไม่เข้าใจคุณค่าในตัวผมแล้วยังทำให้จิตใจขุ่นมัวเปล่าๆ

9.ผมจะไม่ยึดถือความคิดเห็นของตัวเอง จนต้องทำลายมิตรภาพ ท้ายที่สุดการมีความสุขอยู่คนเดียว ก็ไม่สู้มีความสุขกันทั่วหน้า

10.ผมจะถือว่าทุกๆวันเป็นวันสุดท้ายของชีวิต เพราะท้ายที่สุดวันสุดท้ายของชีวิตก็จะมาถึงสักวันหนึ่ง นั่นคือผมจะมีความสุขกับปัจจุบันให้มากที่สุดไม่ต้องรอวันในพรุ่งนี้

ย้อนมองเส้นทางแห่งชีวิต เพื่อน ๆ บางคนที่เคยทำงานด้วยกันมา ยังไม่ทันได้เกษียณก็ลาจากโลกไปแล้ว บางคนเพิ่งจะเกษียณไม่นานก็ต้องไปใช้ชีวิตในโรงพยาบาล ส่วนผมโชคดีมากที่ยังคงสัญจรไปมาอย่างร่าเริง ต้องขอบคุณทุกสิ่งที่ผ่านมา ที่ทำให้ตัวผมได้เป็นอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้

ต้นฉบับภาษาจีน หม่าหุ้ย หัวหน้าบรรณาธิการสำนักพิมพ์ชิงหัว , FW Line
แก้ไขล่าสุดโดย rosa-lee เมื่อ อาทิตย์ พ.ย. 08, 2020 6:05 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ก.ย. 17, 2020 2:14 pm

.........เสียงเคาะที่ประตู............
เรื่องจริงเล่าโดย William A. Trumm เมือง Canby รัฐโอเรกอน จากหนังสือ 101 Inspirational Stories of the Rosary” เรื่อง “A Knock at the Door”

เมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กอยู่ ผมรู้สึกว่าเวลาแต่ละวันผ่านไปช้ามาก ซึ่งตรงข้ามกับเมื่อมีอายุมากขึ้น ช่วงที่ผมเป็นวัยรุ่นนั้น ทั้งผมและพี่ชายน้องชายทั้งสองอยู่กับพ่อแม่ในฟาร์มที่เมืองซาเล็ม รัฐโอเรกอน คุณพ่อนอกจากเป็นเกษตรกรแล้วยังทำธุรกิจอื่นด้วย ก่อนเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ทั่วโลก (ค.ศ.1929-1934) คุณพ่อยังเป็นพ่อค้าซื้อขายรถยนต์ด้วย ทุกครั้งที่คุณแม่เข้าเมือง คุณแม่จะพาผมกับน้องชายไปอยู่ที่ร้านซื้อขายรถยนต์ของคุณพ่อและเราทั้งสองก็จะใช้รถยนต์เป็นที่เล่นซ่อนหากัน!
ปกติทุกค่ำที่บ้านจะสวดสายประคำกันในเทศกาลพระคริสตาคมและเทศกาลมหาพรต ส่วนในเทศกาลอื่นก็มีการสวดสายประคำกันอยู่บ้างแต่ไม่ได้สวดทุกวัน ผมยังจดจำภาพของตัวเองขณะที่กำลังคุกเข่าสวดเมื่อยังเป็นเด็กอยู่ได้ดี
ระหว่างที่เกิดเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่นั้น ผู้คนไม่สามารถหาเงินได้รวมทั้งที่บ้านผมด้วย ความยากลำบากเกิดขึ้นทุกหัวระแหง คุณแม่เป็นช่างเย็บผ้าและเคยเย็บผ้าทำเสื้อหล่อของพระสงฆ์และชุดเด็กช่วยมิสซานับจำนวนไม่ถ้วน แต่เมื่อไม่มีงานและกิจการซื้อขายรถยนต์ของคุณพ่อก็ไปไม่รอด คุณพ่อจึงเปลี่ยนอาชีพเป็นพ่อค้าขายม้าแทน และที่สุดก็เปลี่ยนเป็นพ่อค้าขายแกะเพื่อเลี้ยงครอบครัวไปวัน ๆ สัปดาห์ที่ผมยังจำได้ไม่มีวันลืมเกิดขึ้นในยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่นี้ ขณะนั้นครอบครัวของเราเหลือเวลาอยู่ในบ้านอีกเพียงไม่กี่วันก่อนที่จะถูกยึด พวกเราทราบดีว่าหากไม่เกิดอัศจรรย์กับเราในเร็ววันละก็ พวกเราจะไม่มีบ้านอยู่กันอย่างแน่นอนเพราะคุณพ่อคุณแม่ไม่สามารถหาเงินมาผ่อนค่างวดส่งบ้านได้อีก ตลอดสัปดาห์นั้น หลังอาหารเย็นคุณแม่ให้พวกเราทุกคนคุกเข่าสวดสายประคำก่อนนอนทุกคืน หลังจากสวดสายประคำเช่นนี้ได้เกือบครบสัปดาห์ พวกเราก็ทราบดีว่าวันรุ่งขึ้นทางธนาคารจะส่งคนมายึดและปิดบ้านของเรา พวกเราทุกคนเป็นกังวลกันอย่างมาก แต่แล้วในคืนวันสุดท้ายขณะที่เรากำลังสวดสายประคำ 10 เม็ดสุดท้ายอยู่ก็มีเสียงเคาะที่ประตูบ้าน
ผมลุกขึ้นไปเปิดประตู ชายที่เคาะประตูถามหาคุณพ่อและบอกท่านว่า “หลายปีก่อน ผมซื้อรถของคุณไปคันหนึ่ง และยังเป็นหนี้คุณอยู่อีก 10 ดอลล่าร์ซึ่งผมจะขอใช้ให้ในตอนนี้ครับ” เสียงเคาะประตูในค่ำวันนั้นช่างเป็นเสียงที่ไพเราะที่สุดที่พวกเราเคยได้ยิน! เพราะเงิน 10 ดอลล่าร์ที่คนแปลกหน้านำมาชำระหนี้ให้เราในคืนนั้น ทำให้บ้านของเรารอดจากการถูกยึดได้อย่างหวุดหวิดที่สุด ผู้รวบรวมเรื่องราวดีๆเเละนำมาเเบ่งปัน : กอบกิจ ครุวรรณ
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ต.ค. 06, 2020 11:39 pm

......มีเพื่อนรักอยู่สองคน
คนหนึ่งชื่อ "ฉลาด" อีกคนชื่อ "ซื่อสัตย์"
ทั้งสองคนนั่งเรือออกไปท่องทะเลด้วยกัน
โชคไม่ดี เจอพายุฝนลูกใหญ่กระหน่ำกลางทะเลจนทำให้เรือล่ม
บนเรือชูชีพมีที่นั่งเพียงคนเดียว
คนชื่อ "ฉลาด" เห็นท่าไม่ดี
รีบถีบ "ซื่อสัตย์" ตกทะเลไป
แล้วตนเองก็ขี้นเรือชูชีพหนีไป

"ซื่อสัตย์"สำลักน้ำเกือบตาย
โชคยังดีที่ลอยคอมาถึงเกาะเล็กๆเกาะหนึ่ง
พอเอาชีวิตรอดมาได้ ก็ตั้งตาคอยว่าเมื่อไหร่จะมีเรือผ่านมาแถวนั้น

ไม่นานเกินรอ ก็ได้ยินเสียงเพลงเสียงดนตรีลอยมาแต่ไกล
เป็นเสียงมาจากเรือลำหนึ่งที่กำลังวิ่งผ่านมาทางเกาะที่ตนอยู่
เมื่อเรือเข้าใกล้ สังเกตุเห็นบนเรือปักธงโบกสะบัดว่า "ความสุข"

"ซื่อสัตย์"รีบตะโกนขอความช่วยเหลือ
"ความสุขครับ ได้โปรดช่วยชีวิตเราด้วย เราชื่อ "ซื่อสัตย์""
พอ "ความสุข" ได้ยิน ก็ตะโกนตอบไปว่า
"ช่วยไม่ได้หรอก ถ้าหากเรามัวแต่เป็นคน "ซื่อสัตย์"
ขีวิตเราคงหา "ความสุขไม่ได้เลย
ไม่เห็นเหรอว่า มีคนมากมายที่พูดความจริงเพราะความ "ซื่อส้ตย์"
และความจริงเหล่านั้นจะย้อนกลับมาทำร้ายคนพูด"
พอพูดเสร็จ "ความสุข" ก็หันหัวเรือห่างออกไป

ในเวลาต่อมา เรือ "ตำแหน่ง" ก็แล่นใกล้เข้ามา
"ซื่อส้ตย์" รีบตะโกนขอความช่วยเหลือ
พอ "ตำแหน่ง" รู้ว่าคนขอความช่วยเหลือคือ "ซื่อสัตย์"
จึงรีบปฏิเสธไปว่า ""ตำแหน่ง”ของเราต้องห้ำหั่นกับผู้คนมากมายกว่าจะได้มา
และเราจะก้าวต่อไปไม่หยุดยั้งไม่ว่าด้วยวิธีไหนก็ตาม หากเราต้องดำรงค์ "ตำแหน่ง" ด้วยความ "ซื่อสัตย์" สงสัยเราจะไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมคนอื่นและคงไปไม่ได้ไกล"
"ซื่อสัตย์" มองดูเรือ "ตำแหน่ง" ค่อยๆห่างออกไป
ก็ต้องจำใจรอเรือลำต่อไปด้วยความหวัง

ไม่นานเกินรอ ก็เห็นเรือ "แข่งขัน" แล่นมาอีกลำ
จึงตะโกนแต่ไกลว่า ""แข่งขัน"ครับ เราคือ "ซื่อสัตย์" ช่วยมารับเราหน่อย"
พอ "แข่งขัน" รู้ว่าเป็น "ซื่อสัตย์" เลยตะโกนตอบไปแบบไม่ต้องคิดมาก
"อย่าทำให้เราลำบากใจเลย ทุกวันนี้การ”แข่งขัน”ในสังคมสูงมาก
หากเรายังต้องเป็นคน "ซื่อสัตย์" เราคง "แข่งขัน" สู้คนอื่นไม่ได้แน่นอน"
พอพูดจบ "แข่งขัน" ก็จากไปอย่างไม่ใยดี

ทันใดนั้น เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าก็ดังก้องทั่วท้องทะเล
พายุลูกใหญ่โหมกระหน่ำอย่างแรง
"ซื่อสัตย์" ที่กำลังอยู่ในอาการหมดหวัง สับสนกับจุดยืนของชีวิตตน
ก็ได้ยินเสียงเรียกอย่างปราณีว่า
"ลูกเอ๋ย มาขึ้นเรือเราเถอะ"
พอ "ซื่อสัตย์" มองหาไปยังต้นเสียง จึงได้รู้ว่าเป็นผู้เฒ่าแห่ง "กาลเวลา"
เมื่อขึ้นเรือเสร็จ เขาจึงถาม "กาลเวลา" ว่า
"ทำไมท่านจึงช่วยเรา"
ท่านผู้เฒ่าตอบด้วยรอยยิ้มว่า
"มีแต่ "กาลเวลา" เท่านั้น ที่จะพิสูจน์ให้รู้ว่า ความ "ซื่อสัตย์" มีความสำคัญแค่ไหน"

บนเส้นทางที่กำลังแล่นเรือกลับบ้าน
"กาลเวลา" ชี้ให้มองดู "ฉลาด" "ความสุข" "ตำแหน่ง" และ "แข่งขัน"
ทั้งหมดล้วนตะเกียกตะกายอยู่กลางทะเลที่กำลังจะจมหายไปในน้ำ

ท่านผู้เฒ่าถอนหายใจพร้อมกล่าวว่า
"หากไร้ซึ่งความ "ซื่อสัตย์".......
"ฉลาด" ก็จะทำร้ายตัวเองในที่สุด
"ความสุข" จะอยู่ได้ไม่จีรัง
"ตำแหน่ง" อยู่ท่ามกลางเสียงสาปแช่ง
"แข่งขัน" ก็จะเป็นได้แค่ผู้พ่ายแพ้
สุดท้ายแล้ว มีแต่ความ "ซื่อสัตย์" เท่านั้น
ที่จะเป็นความอมตะนิรันดร์

"ขจรศักดิ์"
แปลและเรียบเรียง
จาก 正能量家族
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ พ.ย. 08, 2020 6:04 pm

.......ถ่านหินลึกลับ........
เรื่องจริงเล่าโดย Mary F. Pitstick เมือง Fairborn รัฐโอไฮโอ จากหนังสือ 101 Inspirational Stories of the Rosary” เรื่อง “Miracle Delivery of Coal”
เมื่อตอนที่ดิฉันยังเล็กอยู่ บ้านของเรายากจนมาก ช่วงนั้นคุณพ่อตกงานและอากาศก็หนาวจัด ทั้งบ้านมีถ่านหินพอที่จะให้ความอบอุ่นในบ้านได้อีกเพียงค่ำคืนเดียว
ระหว่างอาหารค่ำวันนั้น พ่อแม่บอกลูก ๆ ทั้งเก้าคนถึงสถานการณ์ของครอบครัว และพูดอย่างเศร้าสร้อยว่า หากในคืนนั้นถ่านหินช่วยเหลือของทางการสำหรับคนยากจนยังมาไม่ถึง พรุ่งนี้พวกเราจะต้องอพยพไปอยู่ในบ้านสงเคราะห์เด็กกัน เพราะไม่มีที่อาศัยอื่นอีกแล้วที่จะช่วยไม่ให้พวกเราหนาวตายได้
หลังอาหารค่ำ พวกเราทุกคนคุกเข่าสวดสายประคำ ขณะที่ยังสวดไม่ทันครบสายดี พวกเราก็ได้ยินเสียงรถบรรทุกเข้ามาในซอยที่บ้าน จากนั้นก็มีเสียงเคาะประตูบ้าน คุณพ่อรีบคว้าเสื้อคลุมกันหนาวและเปิดประตูพร้อมกับพูดกับพวกเราว่า “พ่อจะออกไปช่วยเขาขนถ่านหินนะ”
พวกเราสวดสายประคำกันต่อจนจบสายด้วยความดีใจเป็นที่สุด! แต่เมื่อคุณพ่อเดินกลับเข้ามาในบ้าน ท่านมีท่าทีสับสนอยู่ไม่น้อยและพูดขึ้นว่า “แปลกนะ เพราะถ่านหินที่มาส่งนี้มิได้มาจากถ่านหินช่วยเหลือของทางการ และพ่อก็ไม่เคยเห็นหน้าของคนส่งถ่านหินคนนี้มาก่อนเลย เมื่อตอนที่เขาจากไป เขาก็ไม่ได้ให้พ่อเซ็นชื่อรับของด้วย” พวกเราทุกคนต่างรู้สึกแปลกใจเช่นกันขณะที่กำลังเตรียมตัวเข้านอนกัน
วันรุ่งขึ้น ปรากฏว่ารถส่งถ่านหินของทางการมาถึง คุณแม่จึงบอกคนขับรถส่งถ่านหินว่า “เมื่อคืนเราก็ได้รับถ่านหินจากคนขับรถอีกคนหนึ่งเหมือนกัน” คนขับรถจึงหัวเราะและพูดว่า “ในเขตนี้ มีผมเพียงคนเดียวที่เป็นคนขับรถส่งถ่านหินช่วยเหลือของทางการ” ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นนักบุญยอแซฟ หรือเป็นทูตสวรรค์ เพราะพวกเราไม่เคยได้รับใบเสร็จค่าถ่านหินเลย พระมารดาคงไม่ปล่อยให้ลูก ๆ ของพระนางไปอยู่บ้านสงเคราะห์เด็ก พวกเราขอบคุณพระอันเนื่องมาจากพลังที่เกิดจากการสวดสายประคำของพวกเรา
*****************
เเปลเเละเรียบเรียงโดย : กอบกิจ ครุวรรณ
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ พ.ย. 08, 2020 6:21 pm

........ตุ๊กตาตัวโปรด..........

เด็กหญิงเล็ก ๆ ถามแขกของครอบครัวคนหนึ่งที่มารับประทานอาหารเย็นที่บ้านว่า “คุณน้าชอบตุ๊กตาไหมคะ?”
แขกคนนั้นตอบว่า “แน่นอนหนู น้าชอบตุ๊กตา”
“คุณน้าอยากดูตุ๊กตาของหนูไหมคะ?”
“อยากดูสิ”
จากนั้น เธอก็พาแขกคนนั้นไปยังห้องของเธอ และเอาตุ๊กตาทั้งหมดออกมาอวด หลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ถามเธอว่า “หนูชอบตัวไหนมากที่สุดจ๊ะ?”
เธอคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบตุ๊กตาเก่า ๆ ขึ้นมาตัวหนึ่ง เสื้อผ้าของตุ๊กตาตัวนั้นมีสีซีดและขาดวิ่น กระดุมที่ทำเป็นลูกตาก็หลุดหายไปเม็ดหนึ่ง แถมยังมีรอยเย็บซ่อมตะเข็บอยู่มากกว่าหนึ่งครั้ง
เธอกอดตุ๊กตาตัวนั้นไว้กับอกขณะที่พูดกับแขกคนนั้นว่า “ตัวนี้ค่ะ มันชื่อแอนนี่ เป็นตุ๊กตาที่หนูรักมากที่สุด”
แขกคนนั้นรู้สึกประหลาดใจ เพราะตุ๊กตาสวย ๆ ของเธอมีอีกหลายตัว แต่เธอกลับหยิบตัวที่เก่าที่สุดขึ้นมา “ทำไมหนูจึงรักตุ๊กตาตัวนี้ล่ะจ๊ะ?”
เธอจึงตอบว่า “ก็เพราะว่า ถ้าหนูไม่รักมัน ๆ ก็คงจะหาคนอื่นที่รักมันไม่ได้อีกค่ะ”
*****************
เเปลเเละเรียบเรียงโดย : กอบกิจ ครุวรรณ
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ พ.ย. 08, 2020 6:25 pm

.......การแสดงละครสัตว์.........
เหตุเกิดขึ้นตอนที่ผมยังเป็นวัยรุ่นอยู่ ขณะนั้นพ่อกับผมกำลังยืนเข้าแถวซื้อตั๋วเข้าชมละครสัตว์ หลังจากยืนรอได้พักหนึ่ง ก็เหลืออีกเพียงครอบครัวเดียวที่อยู่ในแถวรอซื้อตั๋วก่อนจะถึงเราทั้งสอง ผมรู้สึกประทับใจครอบครัวนี้อยู่ไม่น้อย เพราะเป็นครอบครัวใหญ่มีลูก 8 คน ทุกคนดูเหมือนจะมีอายุต่ำกว่า 12 ขวบ
มองดูเผิน ๆ ก็พอจะทราบว่าพวกเขามาจากครอบครัวที่มีฐานะไม่สู้จะดีนัก เพราะเสื้อผ้าที่ใส่เป็นเสื้อผ้าราคาถูก แต่ก็สะอาดสะอ้าน เด็กทุกคนมีมารยาทเรียบร้อย ทุกคนเข้าแถวเรียงสองยืนอยู่หลังพ่อแม่ที่จูงมือกัน พวกเขาตื่นเต้นกันมากและพูดคุยกันถึงตัวตลก ถึงการแสดงของช้าง และรายการอื่น ๆ ที่จะได้ดูกันในค่ำวันนั้น ฟังจากที่พวกเด็กคุยกันก็เข้าใจได้ไม่ยากว่า พวกเขาไม่เคยดูการแสดงละครสัตว์มาก่อนเลยในชีวิต พวกเขาจึงตื่นเต้นและพูดถึงการแสดงต่าง ๆ อยู่ไม่ขาดปาก
ผู้เป็นพ่อและแม่ที่นำขบวนอยู่หัวแถวดูจะภาคภูมิใจอยู่ไม่น้อยที่สามารถพาลูก ๆ มาชมละครสัตว์ได้ คนที่เป็นแม่จับมือของสามี มองหน้าสามีด้วยความชื่นชมอยู่ในใจคล้ายกับจะพูดว่า “วันนี้ คุณเป็นอัศวินในชุดเกราะที่งามวาววับของฉันเชียวนะที่รัก” ผู้เป็นพ่อยืนยิ้มอย่างเต็มภาคภูมิ มองหน้าภรรยาราวกับจะตอบเธอว่า “ใช่เลยจ๊ะที่รัก”
พนักงานสตรีที่ขายตั๋วถามผู้เป็นพ่อว่า เขาต้องการซื้อตั๋วกี่ใบ เขาก็ตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ผมขอซื้อตั๋วเด็ก 8 ใบและตั๋วผู้ใหญ่ 2 ใบครับ เราจะได้ดูละครสัตว์พร้อมกันทั้งครอบครัว” พนักงานสตรีก็บอกราคารวมของตั๋วทั้งหมด ทันใดนั้นมือของผู้เป็นภรรยาก็คลายออกจากวงแขนของสามี พร้อมกับคอตก ริมฝีปากของผู้เป็นบิดาสั่นเล็กน้อย ก่อนที่จะยื่นศีรษะเข้าไปใกล้พนักงานขายตั๋วและถามซ้ำเพื่อขอคำตอบอีกครั้งหนึ่ง “เท่าไหร่นะครับ?”เธอก็แจ้งซ้ำราคาเดิมอีกครั้งหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าผู้เป็นบิดาไม่มีเงินพอสำหรับค่าตั๋ว แล้วเขาจะทำอย่างไรเมื่อจะต้องหันหน้าไปทางลูกเพื่อบอกพวกเขาว่า พ่อไม่มีเงินพอสำหรับค่าตั๋ว?
ทันใดนั้นเอง พ่อของผมซึ่งเห็นเหตุการณ์โดยตลอด เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบธนบัตรมูลค่า 20 ดอลล่าร์ออกมาและทิ้งลงไปบนพื้น (ที่จริงครอบครัวของเราก็มิได้มีฐานะร่ำรวยเช่นกัน) จากนั้น พ่อของผมก็หยิบธนบัตรที่พื้นขึ้นมา พร้อมกับเดินไปแตะไหล่ของชายผู้เป็นบิดาของพวกเด็ก ๆ ทั้งแปด และบอกเขาว่า “คุณครับ ธนบัตรใบนี้หล่นลงมาจากกระเป๋ากางเกงของคุณ” ชายคนนั้นเข้าใจทันทีถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขามิได้ขอความช่วยเหลือใด ๆ ก็จริง แต่เขาซาบซึ้งถึงสิ่งที่ได้รับ เพราะเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยแก้สถานการณ์การเสียหน้าขั้นวิกฤติได้ เขามองตรงไปยังนัยน์ตาของพ่อของผม ใช้มือทั้งสองข้างคว้ามือพ่อผมที่มีธนบัตรใบละ 20 ดอลล่าร์นั้นไปบีบแน่น น้ำตาหยดหนึ่งไหลเป็นทางลงมา ขณะที่ทำปากขมุบขมิบพูดตอบว่า “ขอบคุณครับ ขอบคุณจริง ๆ ครับ สิ่งที่คุณทำนั้นมีความหมายเพียงใดสำหรับผมและทุกคนในครอบครัวผม” จากนั้นพ่อก็พาผมขึ้นรถและขับกลับบ้าน คืนนั้นเราไม่ได้ดูละครสัตว์กันก็จริง แต่เราทั้งสองได้รับสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าการชมละครสัตว์เสียอีก
****************
แปลเเละเรียบเรียงโดย : กอบกิจ ครุวรรณ
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร พ.ย. 10, 2020 7:48 pm

.......วิธีแบกถุงต่างกัน.......
ชายสามคนเดินทางด้วยกัน แต่ละคนแบกถุง 2 ถุงไว้ที่คอ ถุงหนึ่งอยู่ด้านหน้า อีกถุงหนึ่งอยู่ด้านหลัง
มีคนถามชายคนแรกว่า “แบกอะไรอยู่” เขาตอบว่า “ถุงที่แบกด้านหลัง เป็นถุงใส่การทำดีของเพื่อน ๆ เมื่อมันอยู่ข้างหลัง ฉันจึงมองไม่เห็น และไม่ต้องทำอะไรกับมัน ไม่ช้าฉันก็จะลืมมัน ส่วนใบข้างหน้านี้ ฉันแบกสิ่งที่ผู้อื่นทำไม่ดีต่อฉัน ทุกวันขณะหยุดพักระหว่างทาง ฉันเอามันมาดู จะได้ไม่ลืม ทำให้ฉันเดินช้าลง และทำให้ไม่มีผู้ใดรอดพ้นจากสิ่งไม่ดีที่ผู้นั้นทำกับฉันไว้”
มีคนถามชายคนที่สองด้วยคำถามเดียวกัน และได้คำตอบว่า “ถุงใบที่อยู่ด้านหลัง ฉันแบกความไม่ดีของตัวเอง ฉันเอาไว้ข้างหลังจะได้มองไม่เห็น ส่วนใบข้างหน้าฉันใส่ความดีของฉันไว้ ระหว่างหยุดพัก ฉันก็เอาออกมาชื่นชมจะได้ไม่ลืม แม้จะทำให้ฉันเดินช้าลงบ้าง แต่ฉันก็ยังภูมิใจอยู่ดี”
ส่วนชายคนที่สามตอบว่า “ฉันแบกความดีของเพื่อน ๆ ไว้ข้างหน้าฉัน มันดูเหมือนจะเต็มถุง แต่ก็ไม่หนัก แทนที่จะทำให้เดินช้าลง กลับเหมือนใบเรือที่ช่วยให้ฉันเดินไปข้างหน้าได้เร็วขึ้น ส่วนถุงด้านหลังที่มีรูตรงก้นถุง ฉันใส่คำพูดชั่วร้ายที่ได้ยินจากคนอื่นไว้ ความชั่วร้ายทั้งหลายจะตกหล่นหายไป ดังนั้นจึงไม่มีความยากลำบากใด ๆ หลงเหลืออยู่เป็นอุปสรรคกับชีวิตของฉันอีกต่อไป”
*****************
เเปลเเละเรียบเรียงโดย : กอบกิจ ครุวรรณ
ตอบกลับโพส