เรื่องต่อไป คือ "เรื่องการเต้นแท็ปถวายพระ" ซึ่งมีเนื้อหาค่อนข้างยาว
จึงขอแบ่งออกเป็นทั้งหมด(5) ตอน ดังนี้
การเต้นแท็ปถวายพระ (ตอนที่ (1)
โดย Renzo Allegri แปลเเละเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
บทสัมภาษณ์ เดวิด ไรเดอร์ (David Rider) ผู้มีอนาคตที่สดใสกับการเต้นแท็ปที่โรงละครบรอดเวย์ นิวยอร์ค
แต่ต่อมาได้ตัดสินใจเลือกรับใช้พระเจ้ามากกว่า
เดวิด ไรเดอร์ วัย 27 ปี เป็นเณรคนหนึ่งที่กำลังศึกษาเทววิทยาที่สมณวิทยาลัย อเมริกาเหนือ
กรุงโรมเพื่อเตรียมตัวบวชเป็นพระสงฆ์ ก่อนหน้านั้น 3 ปี
ท่านเป็นหนึ่งในนักเต้นแท็ปที่มีชื่อเสียงที่สุดของสหรัฐอเมริกา นิตยสาร Dance Spirit Magazine
จัดให้เขาเป็นหนึ่งในนักเต้นแท็ป 20 คนแรกที่ดีที่สุดของสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตามอยู่มาวันหนึ่ง
โดยไม่คาดฝัน เดวิดได้อำลาชื่อเสียง ความสำเร็จของชีวิตและเสียงปรบมือของผู้ชม เพื่อไปศึกษาเตรียมตัวเป็นพระสงฆ์คาทอลิก
ผู้สัมภาษณ์รู้สึกทึ่งมากต่อการเปลี่ยนเส้นทางเดินอย่างฉับพลันของเดวิด
และขอสัมภาษณ์เขาขณะที่กำลังศึกษาอยู่ที่กรุงโรม ท่านเป็นคนร่าเริง
แบ่งปันเรื่องราวชีวิตที่น่าสนใจด้วยความสุภาพและด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร
(-) เด็กที่มีแววดี
คุณไรเดอร์ครับ ช่วยเล่ารายละเอียดชีวิตในวัยเด็กหน่อยครับ
ผมเกิดในปี 1984 ที่เมืองไฮด์ ปาร์ก อัปสเตด รัฐนิวยอร์ค
ผมอยู่ในครอบครัวที่อบอุ่นพร้อมกับพ่อแม่และพี่สาว 4 คนที่ชอบเรียนเต้นแท็ปมาก
พ่อแม่ก็อยากให้ผมเต้นเป็นด้วยจึงส่งผมเรียนเมื่อผมอายุได้ 3 ขวบ ขณะนั้นผมไม่ได้สนใจมากนัก
ผมแค่เต้นสนุกไปกับพวกพี่ ๆ และเมื่อผมอายุราว 12-13 ปี ผมก็เลิกเต้นแท็ปเพราะอยากเรียนอย่างอื่นมากกว่า เนื่องจากได้ยินมาว่าการเต้นแท็ปเหมาะสำหรับผู้หญิง (-) คุณตัดสินใจเป็นนักเต้นแท็ปอาชีพเมื่อไรครับ
ตอนนั้นผมอายุ 13 ปีและได้ดูภาพยนตร์เรื่อง Singin’ in the Rain นำแสดงโดยยีน เคลลี่ (Gene
Kelly) ผมตกตะลึงกับท่าเต้นที่สวยงามอย่างไม่มีที่ติ ผมไม่เคยเห็นผู้ชายเต้นได้สง่างามเช่นนี้มาก่อนในชีวิต
นับแต่วันนั้นผมทุ่มเทกายใจให้กับการเต้นแท็ปโดยมียีน เคลลี่ เป็นเทพบุตรของผม
คุณพ่อคุณแม่ต้องอดออมอย่างมากเพื่อทำความฝันของผมให้เป็นจริงและที่สุดผมก็ได้เรียน กับอาจารย์สอนการเต้นแท็ปที่ดีที่สุดเท่าที่หาได้ (-) เป็นความจริงหรือที่คุณเคยเปิดโรงเรียนสอนการเต้นแท็ปเอง
อาจารย์ที่สอนผมหลายท่านแนะนำให้ผมฝึกฝนการเต้นแท็ปให้มากที่สุด
และไม่นานต่อมาพื้นที่ห้องนั่งเล่นที่ผมฝึกเต้นที่บ้านเริ่มเป็นข้อจำกัดการฝึกซ้อมของผม
ที่สุดคุณแม่เสนอให้ผมเปิดสอนโรงเรียนสอนฯ โดยใช้ชื่อของผมเพื่อใช้สอนนักเรียนและฝึกเต้นแท็ปไปด้วย
และดังนั้นผมจึงเปิดโรงเรียนสอนการเต้นแท็ปเมื่ออายุ 15 ปีโดยมีนักเรียน 1 คน
ในช่วงเวลานั้นการเต้นแท็ปคือชีวิตของผม โปรดติดตามตอนที่ (2)
“เรื่อง การเต้นแท็ปถวายพระ “ มี 5 ตอน
การเต้นแท็ปถวายพระ (ตอนที่ (2)
โดย Renzo Allegri แปลเเละเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ เป็นพระเยซูคริสตเจ้าอย่างแท้จริงในศีลมหาสนิท
(-) คุณเริ่มมีกระแสเรียกติดตามพระเยซูเจ้าเมื่อไร
ตอนที่ผมอายุ 17 ปี ผมทุ่มเททุกอย่างเพื่อการเต้นแท็ป
และแม้ว่าผมไม่เคยปฏิเสธความเชื่อคาทอลิกที่ผมได้รับมาแต่เด็ก แต่ผมก็รู้สึกเฉย ๆ กับพระเจ้าและพระศาสนา
ขณะนั้นผมเรียนอยู่ที่โรงเรียนแม่พระเมืองลูร์ด ของคณะภราดาแม่พระซึ่งมีวิชาพระศาสนาอยู่ในหลักสูตรด้วย
แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเรียนวิชานี้เป็นพิเศษ จนวันหนึ่งขณะที่กำลังเรียนเรื่องการปฏิรูปของโปรแตสแต็นท์
ในวิชาประวัติพระศาสนจักร เพื่อนนักเรียนหญิงคนหนึ่งยกมือขึ้นอธิบายถึงความเชื่อคาทอลิก เกี่ยวกับการประทับอยู่อย่างแท้จริงของพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท ผมซาบซึ้งกับคำอธิบายข้อความเชื่อของเธอเป็นอย่างมาก
เธออธิบายว่าเป็นพระเยซูคริสตเจ้าที่ประทับอยู่ทั้งครบอย่างแท้จริง เป็นพระกาย พระโลหิต
พระวิญญาณและพระเทวภาพของพระองค์ ภายใต้รูปปรากฏของปังและเหล้าองุ่น
อาจเป็นเพราะผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนหรือผมไม่ได้ตั้งใจฟังตอนที่ผมยังเป็นเด็กอยู่ก็ได้ จะอย่างไรก็ตาม
ความคิดที่ว่าองค์พระเยซูคริสตเจ้าประทับอยู่ในศีลมหาสนิทอย่างแท้จริงเริ่มรบกวนผมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
(-) ในช่วงเวลานั้นมีใครช่วยชี้ทางออกให้คุณบ้างไหมครับ
หลังจากที่ผมครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ระยะหนึ่ง วันหนึ่งผมตัดสินใจไปขอความกระจ่างกับคุณครูปีเตอร์ ลีอองส์
ผู้สอนวิชาคำสอนชั้น ม. 5 และเป็นครูที่ผมให้ความเคารพมาก ผมถามท่านว่า “คุณครูเชื่อจริง ๆ
หรือครับว่าเป็นองค์พระเยซูคริสตเจ้าที่ประทับอยู่ในศีลมหาสนิท?” คุณครูตอบผมทันทีว่า “แน่นอนที่สุด”
หลังจากนั้นคุณครูก็อ้างถึงพระวรสารโดยนักบุญยอห์นที่ว่า
“ผู้ที่กินเนื้อของเราและดื่มโลหิตของเราก็มีชีวิตนิรันดร เราจะทำให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย
เพราะเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของเราเป็นเครื่องดื่มแท้” (ยน 6:54-55)
คุณครูให้หนังสือผมเล่มหนึ่งเรื่อง (air quotes left)อัศจรรย์ที่เกิดจากศีลมหาสนิท(air quotes right) ผมอ่านด้วยใจจดใจจ่อ
พระธรรมล้ำลึกที่ผมเริ่มค้นพบนี้ได้เปลี่ยนวิธีการมองชีวิตของผมโดยสิ้นเชิง
บางครั้งถึงกับหยุดอ่านกลางคันและตั้งคำถามกับตัวเองว่า “หากพระเยซูเจ้าประทานพระองค์เองในศีลมหาสนิท
และศีลมหาสนิทส่งผ่านมาถึงเราโดยทางพระศาสนจักร
ถ้าเช่นนั้นก็ถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องเริ่มเอาใจใส่อย่างจริงจังทั้งกับพระเยซูเจ้าและพระศาสนจักร”
(-) ช่วงเวลาแห่งการกลับใจ
ความเชื่อในเรื่องศีลมหาสนิทอย่างเดียวหรือที่ดลใจให้คุณกลับใจ
ผมเริ่มรู้สึกถึงความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้บาปด้วยความจริงใจและเด็ดขาด
และคงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมรู้สึกเช่นนี้นับแต่การรับศีลอภัยบาปหลายครั้งที่ผ่านมา
เมื่อพระสงฆ์โปรดบาปครั้งนี้ให้ ผมรู้สึกว่าดวงวิญญาณที่ก่อนหน้านั้นเป็นเหมือนแผ่นกระจกที่สกปรก
มีสภาพสะอาดบริสุทธิ์และมีแสงสว่างแห่งพระพรส่องผ่านดวงวิญญาณของผม
เป็นประสบการณ์ที่มีพลังมหาศาล และในเสี้ยววินาทีนั้นเองที่ผมเข้าใจว่ามีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่จะเป็นศูนย์กลางชีวิตของผม
แม้ว่าผมจะยังไม่รู้จักกระแสเรียกการเป็นพระสงฆ์ก็ตาม โปรดติดตามตอนที่ (3)
โดย Renzo Allegri แปลเเละเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ เป็นพระเยซูคริสตเจ้าอย่างแท้จริงในศีลมหาสนิท
(-) คุณเริ่มมีกระแสเรียกติดตามพระเยซูเจ้าเมื่อไร
ตอนที่ผมอายุ 17 ปี ผมทุ่มเททุกอย่างเพื่อการเต้นแท็ป
และแม้ว่าผมไม่เคยปฏิเสธความเชื่อคาทอลิกที่ผมได้รับมาแต่เด็ก แต่ผมก็รู้สึกเฉย ๆ กับพระเจ้าและพระศาสนา
ขณะนั้นผมเรียนอยู่ที่โรงเรียนแม่พระเมืองลูร์ด ของคณะภราดาแม่พระซึ่งมีวิชาพระศาสนาอยู่ในหลักสูตรด้วย
แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเรียนวิชานี้เป็นพิเศษ จนวันหนึ่งขณะที่กำลังเรียนเรื่องการปฏิรูปของโปรแตสแต็นท์
ในวิชาประวัติพระศาสนจักร เพื่อนนักเรียนหญิงคนหนึ่งยกมือขึ้นอธิบายถึงความเชื่อคาทอลิก เกี่ยวกับการประทับอยู่อย่างแท้จริงของพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท ผมซาบซึ้งกับคำอธิบายข้อความเชื่อของเธอเป็นอย่างมาก
เธออธิบายว่าเป็นพระเยซูคริสตเจ้าที่ประทับอยู่ทั้งครบอย่างแท้จริง เป็นพระกาย พระโลหิต
พระวิญญาณและพระเทวภาพของพระองค์ ภายใต้รูปปรากฏของปังและเหล้าองุ่น
อาจเป็นเพราะผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนหรือผมไม่ได้ตั้งใจฟังตอนที่ผมยังเป็นเด็กอยู่ก็ได้ จะอย่างไรก็ตาม
ความคิดที่ว่าองค์พระเยซูคริสตเจ้าประทับอยู่ในศีลมหาสนิทอย่างแท้จริงเริ่มรบกวนผมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
(-) ในช่วงเวลานั้นมีใครช่วยชี้ทางออกให้คุณบ้างไหมครับ
หลังจากที่ผมครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ระยะหนึ่ง วันหนึ่งผมตัดสินใจไปขอความกระจ่างกับคุณครูปีเตอร์ ลีอองส์
ผู้สอนวิชาคำสอนชั้น ม. 5 และเป็นครูที่ผมให้ความเคารพมาก ผมถามท่านว่า “คุณครูเชื่อจริง ๆ
หรือครับว่าเป็นองค์พระเยซูคริสตเจ้าที่ประทับอยู่ในศีลมหาสนิท?” คุณครูตอบผมทันทีว่า “แน่นอนที่สุด”
หลังจากนั้นคุณครูก็อ้างถึงพระวรสารโดยนักบุญยอห์นที่ว่า
“ผู้ที่กินเนื้อของเราและดื่มโลหิตของเราก็มีชีวิตนิรันดร เราจะทำให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย
เพราะเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของเราเป็นเครื่องดื่มแท้” (ยน 6:54-55)
คุณครูให้หนังสือผมเล่มหนึ่งเรื่อง (air quotes left)อัศจรรย์ที่เกิดจากศีลมหาสนิท(air quotes right) ผมอ่านด้วยใจจดใจจ่อ
พระธรรมล้ำลึกที่ผมเริ่มค้นพบนี้ได้เปลี่ยนวิธีการมองชีวิตของผมโดยสิ้นเชิง
บางครั้งถึงกับหยุดอ่านกลางคันและตั้งคำถามกับตัวเองว่า “หากพระเยซูเจ้าประทานพระองค์เองในศีลมหาสนิท
และศีลมหาสนิทส่งผ่านมาถึงเราโดยทางพระศาสนจักร
ถ้าเช่นนั้นก็ถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องเริ่มเอาใจใส่อย่างจริงจังทั้งกับพระเยซูเจ้าและพระศาสนจักร”
(-) ช่วงเวลาแห่งการกลับใจ
ความเชื่อในเรื่องศีลมหาสนิทอย่างเดียวหรือที่ดลใจให้คุณกลับใจ
ผมเริ่มรู้สึกถึงความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้บาปด้วยความจริงใจและเด็ดขาด
และคงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมรู้สึกเช่นนี้นับแต่การรับศีลอภัยบาปหลายครั้งที่ผ่านมา
เมื่อพระสงฆ์โปรดบาปครั้งนี้ให้ ผมรู้สึกว่าดวงวิญญาณที่ก่อนหน้านั้นเป็นเหมือนแผ่นกระจกที่สกปรก
มีสภาพสะอาดบริสุทธิ์และมีแสงสว่างแห่งพระพรส่องผ่านดวงวิญญาณของผม
เป็นประสบการณ์ที่มีพลังมหาศาล และในเสี้ยววินาทีนั้นเองที่ผมเข้าใจว่ามีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่จะเป็นศูนย์กลางชีวิตของผม
แม้ว่าผมจะยังไม่รู้จักกระแสเรียกการเป็นพระสงฆ์ก็ตาม โปรดติดตามตอนที่ (3)
การเต้นแท็ปถวายพระ (ตอนที่ (3)
โดย Renzo Allegri แปลเเละเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
(*)หลังจากนั้นชีวิตของคุณมีอะไรเปลี่ยนไปบ้างครับ
เปลี่ยนไปแทบทุกอย่างเลยครับ ประสบการณ์ที่ได้รับในขณะนั้นคือจุดเปลี่ยนที่แท้จริงของชีวิตผม
นิสัยการใช้ชีวิตของผมเปลี่ยนไป ผมเริ่มไปฟังมิสซาทุกเช้า และทุกสองสัปดาห์ผมไปแก้บาป
ผมสวดภาวนาทุกวันและถวายกิจการต่าง ๆ ที่ทำทุกวันแด่พระองค์ ผมเริ่มอ่านพระคัมภีร์และรำพึง
ผมอ่านเกี่ยวกับการประจักษ์ของแม่พระที่ฟาติมาและรู้สึกได้ถึงความศรัทธาต่อพระแม่มารีย์
โดยเฉพาะในเรื่องการสวดสายประคำ นอกจากนั้นผมยังมีคุณพ่อเยสุอิตที่ดีเป็นคุณพ่อวิญญาณารักษ์ด้วย
วิถีชีวิตใหม่ของผมทำให้ผมมีจิตใจที่สงบและเป็นสุขที่สุด เป็นความปีติยินดีที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน แม้แต่เมื่อตอนที่ผมประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิตการเป็นนักเต้นแท็ป
ผมเริ่มเข้าใจว่าความชื่นชมยินดีที่ผมเพิ่งลิ้มรสเป็นครั้งแรกนี้เกิดจากศีลศักดิ์สิทธิ์ที่ผมได้รับโดยผ่านทางพระสงฆ์
ผมจึงได้ข้อสรุปว่าพระสงฆ์เป็นบุคคลที่สำคัญเพราะท่านเป็นพาหนะที่นำความยินดีให้กับมวลมนุษย์
จากความเข้าใจในเรื่องนี้ ผมก็ค่อย ๆ พัฒนาเป็นการผูกมัดตัวเองในฐานะพระสงฆ์ เพื่อจะสามารถเป็นผู้ให้ความสุขที่ผมค้นพบนี้กับผู้อื่นได้เช่นกัน
(*)ถนนสาย 42 กลางนิวยอร์ค
หลังจากนั้นคุณก็เข้าบ้านเณรเลยใช่ไหมครับ
ยังครับ ผมยังคงเป็นนักเต้นแท็ปอยู่เหมือนเดิม เมื่อผมจบชั้นมัธยม ผมก็เรียนต่อที่มหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮม
แมนฮัตตันซึ่งเป็นสถาบันของคณะสงฆ์เยสุอิต ผมเรียนวิชาปรัชญาและเทววิทยาพร้อมกับทำงานเป็นนักเต้นแท็ป
หลังจากเรียนจบปีที่ 1 ผมได้งานเป็นนักเต้นแท็ปที่โรงละครบรอดเวย์ ถนนสาย 42 ที่โด่งดังกลางกรุงนิวยอร์ค
ที่นี่ผมมีประสบการณ์การทำงานที่ดีมาก และการแสดงก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
คณะของเราเปิดการแสดงไปทั่วประเทศรวมทั้งต่างประเทศด้วย ไปไกลจนถึงประเทศญี่ปุ่น
ก่อนจบการแสดงไปตามเมืองต่าง ๆ มีเหตุการณ์สำคัญที่มีผลต่อจิตใจของผมเป็นอย่างมาก
คือการสวรรคตของสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 ทุกท่านคงจำได้ดีว่า
ในช่วงเวลานั้นมีการตีพิมพ์เรื่องของพระองค์ในนิตยสารและหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ
รวมทั้งเป็นรายการสำคัญของสถานีโทรทัศน์ทุกช่องด้วย ผมจึงทราบจากหลายแหล่งข่าวว่า
เมื่อเป็นหนุ่มพระองค์โปรดการแสดงละครมาก
จนถึงวันที่พระองค์จะต้องเลือกระหว่างการแสดงบนเวทีกับการเป็นพระสงฆ์
ผมจำได้ว่าได้ดูพิธีปลงศพของพระองค์ทางโทรทัศน์ขณะที่อยู่ในโรงแรมที่พักระหว่างตระเวนการแสดงไปตาม เมืองต่าง ๆ ผมได้เห็นพลังความดีมหาศาลที่พระองค์ทรงมีต่อชาวโลก อันเป็นผลจากการตัดสินพระทัยเลือกที่จะเป็นพระสงฆ์ของพระเจ้า
ผมรู้สึกได้ถึงเสียงกระซิบเรียกของพระจิตเจ้าจากเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่และจากแบบอย่างของมหาบุรุษพระองค์นี้ที่จูง
ใจให้ผมเลือกเส้นทางเดินเดียวกัน โปรดติดตามตอนที่ ( 4 )
โดย Renzo Allegri แปลเเละเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
(*)หลังจากนั้นชีวิตของคุณมีอะไรเปลี่ยนไปบ้างครับ
เปลี่ยนไปแทบทุกอย่างเลยครับ ประสบการณ์ที่ได้รับในขณะนั้นคือจุดเปลี่ยนที่แท้จริงของชีวิตผม
นิสัยการใช้ชีวิตของผมเปลี่ยนไป ผมเริ่มไปฟังมิสซาทุกเช้า และทุกสองสัปดาห์ผมไปแก้บาป
ผมสวดภาวนาทุกวันและถวายกิจการต่าง ๆ ที่ทำทุกวันแด่พระองค์ ผมเริ่มอ่านพระคัมภีร์และรำพึง
ผมอ่านเกี่ยวกับการประจักษ์ของแม่พระที่ฟาติมาและรู้สึกได้ถึงความศรัทธาต่อพระแม่มารีย์
โดยเฉพาะในเรื่องการสวดสายประคำ นอกจากนั้นผมยังมีคุณพ่อเยสุอิตที่ดีเป็นคุณพ่อวิญญาณารักษ์ด้วย
วิถีชีวิตใหม่ของผมทำให้ผมมีจิตใจที่สงบและเป็นสุขที่สุด เป็นความปีติยินดีที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน แม้แต่เมื่อตอนที่ผมประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิตการเป็นนักเต้นแท็ป
ผมเริ่มเข้าใจว่าความชื่นชมยินดีที่ผมเพิ่งลิ้มรสเป็นครั้งแรกนี้เกิดจากศีลศักดิ์สิทธิ์ที่ผมได้รับโดยผ่านทางพระสงฆ์
ผมจึงได้ข้อสรุปว่าพระสงฆ์เป็นบุคคลที่สำคัญเพราะท่านเป็นพาหนะที่นำความยินดีให้กับมวลมนุษย์
จากความเข้าใจในเรื่องนี้ ผมก็ค่อย ๆ พัฒนาเป็นการผูกมัดตัวเองในฐานะพระสงฆ์ เพื่อจะสามารถเป็นผู้ให้ความสุขที่ผมค้นพบนี้กับผู้อื่นได้เช่นกัน
(*)ถนนสาย 42 กลางนิวยอร์ค
หลังจากนั้นคุณก็เข้าบ้านเณรเลยใช่ไหมครับ
ยังครับ ผมยังคงเป็นนักเต้นแท็ปอยู่เหมือนเดิม เมื่อผมจบชั้นมัธยม ผมก็เรียนต่อที่มหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮม
แมนฮัตตันซึ่งเป็นสถาบันของคณะสงฆ์เยสุอิต ผมเรียนวิชาปรัชญาและเทววิทยาพร้อมกับทำงานเป็นนักเต้นแท็ป
หลังจากเรียนจบปีที่ 1 ผมได้งานเป็นนักเต้นแท็ปที่โรงละครบรอดเวย์ ถนนสาย 42 ที่โด่งดังกลางกรุงนิวยอร์ค
ที่นี่ผมมีประสบการณ์การทำงานที่ดีมาก และการแสดงก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
คณะของเราเปิดการแสดงไปทั่วประเทศรวมทั้งต่างประเทศด้วย ไปไกลจนถึงประเทศญี่ปุ่น
ก่อนจบการแสดงไปตามเมืองต่าง ๆ มีเหตุการณ์สำคัญที่มีผลต่อจิตใจของผมเป็นอย่างมาก
คือการสวรรคตของสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 ทุกท่านคงจำได้ดีว่า
ในช่วงเวลานั้นมีการตีพิมพ์เรื่องของพระองค์ในนิตยสารและหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ
รวมทั้งเป็นรายการสำคัญของสถานีโทรทัศน์ทุกช่องด้วย ผมจึงทราบจากหลายแหล่งข่าวว่า
เมื่อเป็นหนุ่มพระองค์โปรดการแสดงละครมาก
จนถึงวันที่พระองค์จะต้องเลือกระหว่างการแสดงบนเวทีกับการเป็นพระสงฆ์
ผมจำได้ว่าได้ดูพิธีปลงศพของพระองค์ทางโทรทัศน์ขณะที่อยู่ในโรงแรมที่พักระหว่างตระเวนการแสดงไปตาม เมืองต่าง ๆ ผมได้เห็นพลังความดีมหาศาลที่พระองค์ทรงมีต่อชาวโลก อันเป็นผลจากการตัดสินพระทัยเลือกที่จะเป็นพระสงฆ์ของพระเจ้า
ผมรู้สึกได้ถึงเสียงกระซิบเรียกของพระจิตเจ้าจากเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่และจากแบบอย่างของมหาบุรุษพระองค์นี้ที่จูง
ใจให้ผมเลือกเส้นทางเดินเดียวกัน โปรดติดตามตอนที่ ( 4 )
การเต้นแท็ปถวายพระ (ตอนที่ (4)
โดย Renzo Allegri แปลเเละเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ มีเหตุการณ์อื่นอีกไหมที่กระตุ้นคุณให้เดินไปตามเส้นทางตามที่ตั้งใจ
มีครับ เมื่อผมได้รู้จักกับกิจกรรมคาทอลิกของ “องค์กรโฟโคลาเร”
ผมยังคงเก็บความทรงจำที่ดีไว้ไม่รู้ลืม คณะโฟโคลาเรตั้งขึ้นในประเทศอิตาลีในปี 1943
ผมรู้จักกับสมาชิกชายหญิงของคณะที่มาจากทุกชนชั้น
พวกเขาพยายามทุกวิถีทางที่จะนำพระวาจาออกปฏิบัติในชีวิตจริง
ผมประทับใจมากที่เห็นสมาชิกทุกคนดื่มด่ำในความเชื่อ ความร่าเริง และความรัก ผมเริ่มอ่านบทความต่าง ๆ
ที่เขียนโดยเคียร่า ลูบิค (Chiara Lubich) ผู้ก่อตั้งคณะ และเข้าร่วมประชุมกับพวกเขาในที่ทำการท้องถิ่น ของคณะที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเกิดของผม
ขณะนั้นเคียร่ายังมีชีวิตอยู่ มีอยู่หลายครั้งที่เธอกล่าวย้ำว่าชีวิตเป็นสมบัติล้ำค่า
และเราต้องใช้ชีวิตของเราให้ดี เพราะเรามีเพียงชีวิตเดียว ที่สำคัญที่สุดคือเราต้องใช้ชีวิตในความรัก
คำพูดประโยคหนึ่งที่จับใจผมคือ “เมื่อถึงวันปิดฉากชีวิตบนโลกนี้หลังจากที่กิจการต่าง ๆ
ของเราจบสิ้นแล้ว สิ่งเดียวที่ยังคงอยู่ต่อไปคือความรักของเราเท่านั้น”
เมื่อผมได้พิจารณาถึงทางเดินชีวิตทั้งหมดในอนาคตซึ่งได้แก่ (1) การแต่งงานและใช้ชีวิตเป็นฆราวาสธรรมดา
(2) การเป็นฆราวาสที่ถวายตัวแด่พระเจ้า (3) การเป็นนักบวช หรือ เป็นพระสงฆ์ของสังฆมณฑล
ผมรู้สึกว่าทางเลือกสุดท้ายน่าจะเป็นทางเลือกที่เรียกร้องความรักของผมมากที่สุด
ทางเลือกนี้เร้าใจผมนับแต่เมื่อผมกลับมาค้นพบความเชื่ออีกครั้งหนึ่ง
คือเป็นทางเลือกที่เปิดโอกาสให้ผมได้เป็นผู้แจกจ่ายศีลศักดิ์สิทธิ์แก่บรรดาสัตบุรุษ นอกจากนั้น
ผมยังรู้สึกมีจิตใจที่สงบกับความคิดที่ว่าวันหนึ่งผมจะอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเมื่อผมจากโลกนี้ไป
และถวายรายงานชีวิตที่ได้ดำเนินไปในรูปแบบต่างๆ ของความรักที่พระสงฆ์ของสังฆมณฑลเป็นผู้มอบให้แก่ประชากรของพระองค์ จนถึงขั้นยอมสละชีวิตเพื่อพวกเขา
(*)ความกังวลใจสุดท้าย
ยังครับ ผมไม่ได้เข้าบ้านเณรทันที
ผมคงเป็นเหมือนเด็กหนุ่มอีกหลายคนที่ใช้เวลาไตร่ตรองเรื่องกระแสเรียกการเป็นพระสงฆ์ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ ที่น่าหวั่นเกรง ผมรู้สึกว่าไม่คู่ควรและไม่มีคุณสมบัติพอ อย่างไรก็ตามมีอยู่วันหนึ่งขณะที่กำลังออกจากวัด
ผมเหลือบไปเห็นสตรีชาวยิวคนหนึ่งที่ผมรู้จักมาก่อน
เธอกลับใจเป็นคาทอลิกหลังจากหายจากอาการเจ็บที่หลังอย่างอัศจรรย์
หลังจากนั้นเธอก็เป็นคริสตังใจศรัทธาร้อนรนและสามารถให้คำแนะนำที่ถูกต้องในเรื่องจิตวิญญาณได้
ในวันนั้นทันทีที่เธอเห็นผม เธอก็พูดขึ้นว่า “เดวิด เธอมัวแต่ทำอะไรกับชีวิตของเธออยู่น่ะ?”
ผมเล่าให้เธอฟังว่าผมยังไม่ค่อยแน่ใจเรื่องกระแสเรียก เธอตอบผมทันควันว่า “เดวิด
เธอรู้ไหมว่าเธอมีกระแสเรียกเป็นพระสงฆ์ของสังฆมณฑล ถึงเวลาที่เธอจะต้องตัดสินใจเข้าบ้านเณรได้แล้ว”
เมื่อผมค้านว่า ผมแทบไม่มีคุณสมบัติเดินตามกระแสเรียกนี้เลย เธอตอบผมว่า
“เธอคิดว่าพระเยซูเจ้าทรงเรียกอัครสาวก 12 คนเพราะพวกเขามีคุณสมบัติพร้อมหรือ? เปล่าเลย
พระองค์ทรงเรียกพวกเขาเพราะพระองค์ทรงทราบว่าพวกเขาเป็นคนอ่อนแอ และเพื่อที่ทุกคนจะได้ทราบว่า
ความสำเร็จของพวกเขาเกิดจากการทำงานของพระเจ้าที่ทรงทำงานผ่านพวกเขาเท่านั้น
เราต้องเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระองค์ และหากพระองค์ทรงเรียกเรา
เราต้องมีความเชื่อและวางใจในพระองค์” ก่อนจากกัน เธอปกมือทั้งสองข้างเหนือศีรษะของผม
และสวดภาวนาสั้น ๆ และลาจากไป ผมรู้สึกแปลกใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เพราะผมไม่เคยพูดกับคนที่มาวัดนี้เกี่ยวกับความกังวลใจของผมในเรื่องกระแสเรียกเลยโดยเฉพาะกับสตรีชาวยิวผู้
นี้ ผมรู้สึกว่าคำพูดของเธอเป็นการดลใจจากพระจิตเจ้า ผมจึงกลับเข้าไปในวัดอีกครั้งหนึ่ง
คุกเข่าลงต่อหน้าตู้ศีลและกราบทูลพระเยซูเจ้าว่า “ลูกยอมแล้วครับ”
โปรดติดตามตอนที่ (5)
โดย Renzo Allegri แปลเเละเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ มีเหตุการณ์อื่นอีกไหมที่กระตุ้นคุณให้เดินไปตามเส้นทางตามที่ตั้งใจ
มีครับ เมื่อผมได้รู้จักกับกิจกรรมคาทอลิกของ “องค์กรโฟโคลาเร”
ผมยังคงเก็บความทรงจำที่ดีไว้ไม่รู้ลืม คณะโฟโคลาเรตั้งขึ้นในประเทศอิตาลีในปี 1943
ผมรู้จักกับสมาชิกชายหญิงของคณะที่มาจากทุกชนชั้น
พวกเขาพยายามทุกวิถีทางที่จะนำพระวาจาออกปฏิบัติในชีวิตจริง
ผมประทับใจมากที่เห็นสมาชิกทุกคนดื่มด่ำในความเชื่อ ความร่าเริง และความรัก ผมเริ่มอ่านบทความต่าง ๆ
ที่เขียนโดยเคียร่า ลูบิค (Chiara Lubich) ผู้ก่อตั้งคณะ และเข้าร่วมประชุมกับพวกเขาในที่ทำการท้องถิ่น ของคณะที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านเกิดของผม
ขณะนั้นเคียร่ายังมีชีวิตอยู่ มีอยู่หลายครั้งที่เธอกล่าวย้ำว่าชีวิตเป็นสมบัติล้ำค่า
และเราต้องใช้ชีวิตของเราให้ดี เพราะเรามีเพียงชีวิตเดียว ที่สำคัญที่สุดคือเราต้องใช้ชีวิตในความรัก
คำพูดประโยคหนึ่งที่จับใจผมคือ “เมื่อถึงวันปิดฉากชีวิตบนโลกนี้หลังจากที่กิจการต่าง ๆ
ของเราจบสิ้นแล้ว สิ่งเดียวที่ยังคงอยู่ต่อไปคือความรักของเราเท่านั้น”
เมื่อผมได้พิจารณาถึงทางเดินชีวิตทั้งหมดในอนาคตซึ่งได้แก่ (1) การแต่งงานและใช้ชีวิตเป็นฆราวาสธรรมดา
(2) การเป็นฆราวาสที่ถวายตัวแด่พระเจ้า (3) การเป็นนักบวช หรือ เป็นพระสงฆ์ของสังฆมณฑล
ผมรู้สึกว่าทางเลือกสุดท้ายน่าจะเป็นทางเลือกที่เรียกร้องความรักของผมมากที่สุด
ทางเลือกนี้เร้าใจผมนับแต่เมื่อผมกลับมาค้นพบความเชื่ออีกครั้งหนึ่ง
คือเป็นทางเลือกที่เปิดโอกาสให้ผมได้เป็นผู้แจกจ่ายศีลศักดิ์สิทธิ์แก่บรรดาสัตบุรุษ นอกจากนั้น
ผมยังรู้สึกมีจิตใจที่สงบกับความคิดที่ว่าวันหนึ่งผมจะอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเมื่อผมจากโลกนี้ไป
และถวายรายงานชีวิตที่ได้ดำเนินไปในรูปแบบต่างๆ ของความรักที่พระสงฆ์ของสังฆมณฑลเป็นผู้มอบให้แก่ประชากรของพระองค์ จนถึงขั้นยอมสละชีวิตเพื่อพวกเขา
(*)ความกังวลใจสุดท้าย
ยังครับ ผมไม่ได้เข้าบ้านเณรทันที
ผมคงเป็นเหมือนเด็กหนุ่มอีกหลายคนที่ใช้เวลาไตร่ตรองเรื่องกระแสเรียกการเป็นพระสงฆ์ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ ที่น่าหวั่นเกรง ผมรู้สึกว่าไม่คู่ควรและไม่มีคุณสมบัติพอ อย่างไรก็ตามมีอยู่วันหนึ่งขณะที่กำลังออกจากวัด
ผมเหลือบไปเห็นสตรีชาวยิวคนหนึ่งที่ผมรู้จักมาก่อน
เธอกลับใจเป็นคาทอลิกหลังจากหายจากอาการเจ็บที่หลังอย่างอัศจรรย์
หลังจากนั้นเธอก็เป็นคริสตังใจศรัทธาร้อนรนและสามารถให้คำแนะนำที่ถูกต้องในเรื่องจิตวิญญาณได้
ในวันนั้นทันทีที่เธอเห็นผม เธอก็พูดขึ้นว่า “เดวิด เธอมัวแต่ทำอะไรกับชีวิตของเธออยู่น่ะ?”
ผมเล่าให้เธอฟังว่าผมยังไม่ค่อยแน่ใจเรื่องกระแสเรียก เธอตอบผมทันควันว่า “เดวิด
เธอรู้ไหมว่าเธอมีกระแสเรียกเป็นพระสงฆ์ของสังฆมณฑล ถึงเวลาที่เธอจะต้องตัดสินใจเข้าบ้านเณรได้แล้ว”
เมื่อผมค้านว่า ผมแทบไม่มีคุณสมบัติเดินตามกระแสเรียกนี้เลย เธอตอบผมว่า
“เธอคิดว่าพระเยซูเจ้าทรงเรียกอัครสาวก 12 คนเพราะพวกเขามีคุณสมบัติพร้อมหรือ? เปล่าเลย
พระองค์ทรงเรียกพวกเขาเพราะพระองค์ทรงทราบว่าพวกเขาเป็นคนอ่อนแอ และเพื่อที่ทุกคนจะได้ทราบว่า
ความสำเร็จของพวกเขาเกิดจากการทำงานของพระเจ้าที่ทรงทำงานผ่านพวกเขาเท่านั้น
เราต้องเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระองค์ และหากพระองค์ทรงเรียกเรา
เราต้องมีความเชื่อและวางใจในพระองค์” ก่อนจากกัน เธอปกมือทั้งสองข้างเหนือศีรษะของผม
และสวดภาวนาสั้น ๆ และลาจากไป ผมรู้สึกแปลกใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เพราะผมไม่เคยพูดกับคนที่มาวัดนี้เกี่ยวกับความกังวลใจของผมในเรื่องกระแสเรียกเลยโดยเฉพาะกับสตรีชาวยิวผู้
นี้ ผมรู้สึกว่าคำพูดของเธอเป็นการดลใจจากพระจิตเจ้า ผมจึงกลับเข้าไปในวัดอีกครั้งหนึ่ง
คุกเข่าลงต่อหน้าตู้ศีลและกราบทูลพระเยซูเจ้าว่า “ลูกยอมแล้วครับ”
โปรดติดตามตอนที่ (5)
การเต้นแท็ปถวายพระ (ตอนที่ (5)
โดย Renzo Allegri แปลเเละเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
(.)หลังจากนั้นคุณยังมีปัญหาอะไรอีกไหมครับ
ก็มีอีกจนได้ เป็นปัญหาสุดท้ายจริงๆ คือเมื่อผมบอกทุกคนเรื่องการตัดสินใจที่แน่นอนแล้ว
และขณะที่กำลังดำเนินการปิดกิจการโรงเรียนสอนเต้นแท็ปอยู่
มีโทรศัพท์ดังขึ้นจากผู้อำนวยการการแสดงที่เสนอรายได้สูงมาก หากผมจะร่วมเดินทางไปกับคณะแสดงด้วย
ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นการแสดงที่ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
ข้อเสนอนี้ทำให้ผมต้องคิดหนักอีกครั้งหนึ่ง ชะรอยจะเป็นกับดักของปีศาจ
หรือว่าพระเจ้ากำลังตรัสกับผมว่าผมเลือกทางเดินชีวิตผิด
ทันใดนั้นสมองของผมก็คิดถึงคำพูดประโยคหนึ่งของนักบุญอิกญาซิโอ แห่งโลโยลา ที่กล่าวว่า
“หากจะมีอะไรเกิดกับคณะเยสุอิต (ที่ท่านเป็นผู้ตั้ง) สิ่งที่ผมจะทำคือขอเวลาเฝ้าศีล 15 นาที
จากนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมก็ยอมรับได้ด้วยความสบายใจ”
ผมจึงเลียนแบบท่านนักบุญด้วยการไปเฝ้าศีลโดยคิดรำพึงถึงเรื่องการต่อสู้ของพระเยซูเจ้าในสวนเกทเสมนีตามเนื้อ
หาในหนังสือที่เพื่อนคนหนึ่งเพิ่งให้ผมในวันนั้นเอง หลังจากที่ผมเฝ้าศีลได้ราว 15 นาที จิตใจของผมก็สงบไร้กังวล
ผมรู้สึกว่าพระเจ้าทรงให้ผมวางใจในพระองค์และให้ผมทำตามกระแสเรียกที่พระองค์โปรดให้ผมทราบอย่างชัดแจ้ง
อยู่แล้ว แม้ว่าการเดินตามกระแสเรียกนี้หมายถึงการปฏิเสธโอกาสทองทางโลกก็ตาม
หลังจากนั้นผมก็กลับไปที่โรงเรียนสอนการเต้นแท็ป
และโทรศัพท์ตอบปฏิเสธการรับงานด้วยเหตุผลส่วนตัว ถูกแล้วเป็นการตัดสินใจที่ยากทีเดียว
แต่ทันทีที่ผมวางโทรศัพท์ ผมก็ตระหนักในบัดดลว่า สิ่งที่ผมเพิ่งกระทำลงไปนั้น
คงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้จัดลำดับให้พระเจ้าอยู่เหนืออาชีพการงานของผมอย่างสมพระเกียรติ
ผมคุกเข่าลงบนพื้นเวทีเต้นแท็ป และเริ่มสวดภาวนาด้วยน้ำตานองหน้า
ขณะเดียวกันผมก็หยั่งทราบถึงเสียงของหัวใจที่สื่อถึงผมว่า
ขณะนั้นพระมารดาประทับอยู่เบื้องหน้าผมและสื่อถึงผมในใจว่า “เดวิด ลูกได้ตอบรับพระบุตรของแม่
ต่อแต่นี้ไปแม่สัญญาจะอยู่กับลูกตลอดการเดินทางของลูก”
จากนั้นเป็นต้นมาผมก็ไม่เคยหวั่นไหวในเรื่องกระแสเรียกอีกเลย
(.)การเต้นแท็ปยังมีอิทธิพลต่อชีวิตของคุณอีกบ้างไหมครับ?
หลังจากที่ผมเรียนจบปีแรกที่บ้านเณร ผมพบพระคุณเจ้าทิโมที โดลัน (Timothy Dolan)
พระอัครสังฆราชแห่งนิวยอร์ค ซึ่งได้รับเลือกเป็นพระคาร์ดินัลเมื่อไม่นานมานี้
เมื่อพระคุณเจ้าทราบถึงภูมิหลังชีวิตของผมที่แตกต่างจากเณรคนอื่น พระคุณเจ้ากล่าวกับผมว่า “อย่าเลิกเต้นแท็ป
เราจำเป็นต้องใช้พระพรทุกอย่างที่เราได้รับในการนำผู้คนมาหาพระเยซูคริสต์”
ชีวิตของผมในปัจจุบันมิใช่เป็นการเตรียมตัวเป็น ‘พระสงฆ์นักเต้นแท็ป’ (tap dancing priest)
ผมต้องการเป็นเพียงพระสงฆ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ของสังฆมณฑล และผมวางแผนชีวิตที่จะได้ทำมิสซา โปรดศีลอภัยบาป
โปรดศีลล้างบาปแก่ทารก และเทศน์สอนพระวาจาของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม
หากเป็นที่แน่ชัดว่าการเต้นแท็ปของผมอาจเป็นโอกาสที่จะช่วยให้บางคนเข้าใกล้ชิดพระเจ้าและความรักของพระ
องค์ละก็ ผมจะไม่รีรอที่จะสวมรองเท้าเต้นแท็ปอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน (จบบริบูรณ์)
โดย Renzo Allegri แปลเเละเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
(.)หลังจากนั้นคุณยังมีปัญหาอะไรอีกไหมครับ
ก็มีอีกจนได้ เป็นปัญหาสุดท้ายจริงๆ คือเมื่อผมบอกทุกคนเรื่องการตัดสินใจที่แน่นอนแล้ว
และขณะที่กำลังดำเนินการปิดกิจการโรงเรียนสอนเต้นแท็ปอยู่
มีโทรศัพท์ดังขึ้นจากผู้อำนวยการการแสดงที่เสนอรายได้สูงมาก หากผมจะร่วมเดินทางไปกับคณะแสดงด้วย
ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นการแสดงที่ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
ข้อเสนอนี้ทำให้ผมต้องคิดหนักอีกครั้งหนึ่ง ชะรอยจะเป็นกับดักของปีศาจ
หรือว่าพระเจ้ากำลังตรัสกับผมว่าผมเลือกทางเดินชีวิตผิด
ทันใดนั้นสมองของผมก็คิดถึงคำพูดประโยคหนึ่งของนักบุญอิกญาซิโอ แห่งโลโยลา ที่กล่าวว่า
“หากจะมีอะไรเกิดกับคณะเยสุอิต (ที่ท่านเป็นผู้ตั้ง) สิ่งที่ผมจะทำคือขอเวลาเฝ้าศีล 15 นาที
จากนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมก็ยอมรับได้ด้วยความสบายใจ”
ผมจึงเลียนแบบท่านนักบุญด้วยการไปเฝ้าศีลโดยคิดรำพึงถึงเรื่องการต่อสู้ของพระเยซูเจ้าในสวนเกทเสมนีตามเนื้อ
หาในหนังสือที่เพื่อนคนหนึ่งเพิ่งให้ผมในวันนั้นเอง หลังจากที่ผมเฝ้าศีลได้ราว 15 นาที จิตใจของผมก็สงบไร้กังวล
ผมรู้สึกว่าพระเจ้าทรงให้ผมวางใจในพระองค์และให้ผมทำตามกระแสเรียกที่พระองค์โปรดให้ผมทราบอย่างชัดแจ้ง
อยู่แล้ว แม้ว่าการเดินตามกระแสเรียกนี้หมายถึงการปฏิเสธโอกาสทองทางโลกก็ตาม
หลังจากนั้นผมก็กลับไปที่โรงเรียนสอนการเต้นแท็ป
และโทรศัพท์ตอบปฏิเสธการรับงานด้วยเหตุผลส่วนตัว ถูกแล้วเป็นการตัดสินใจที่ยากทีเดียว
แต่ทันทีที่ผมวางโทรศัพท์ ผมก็ตระหนักในบัดดลว่า สิ่งที่ผมเพิ่งกระทำลงไปนั้น
คงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้จัดลำดับให้พระเจ้าอยู่เหนืออาชีพการงานของผมอย่างสมพระเกียรติ
ผมคุกเข่าลงบนพื้นเวทีเต้นแท็ป และเริ่มสวดภาวนาด้วยน้ำตานองหน้า
ขณะเดียวกันผมก็หยั่งทราบถึงเสียงของหัวใจที่สื่อถึงผมว่า
ขณะนั้นพระมารดาประทับอยู่เบื้องหน้าผมและสื่อถึงผมในใจว่า “เดวิด ลูกได้ตอบรับพระบุตรของแม่
ต่อแต่นี้ไปแม่สัญญาจะอยู่กับลูกตลอดการเดินทางของลูก”
จากนั้นเป็นต้นมาผมก็ไม่เคยหวั่นไหวในเรื่องกระแสเรียกอีกเลย
(.)การเต้นแท็ปยังมีอิทธิพลต่อชีวิตของคุณอีกบ้างไหมครับ?
หลังจากที่ผมเรียนจบปีแรกที่บ้านเณร ผมพบพระคุณเจ้าทิโมที โดลัน (Timothy Dolan)
พระอัครสังฆราชแห่งนิวยอร์ค ซึ่งได้รับเลือกเป็นพระคาร์ดินัลเมื่อไม่นานมานี้
เมื่อพระคุณเจ้าทราบถึงภูมิหลังชีวิตของผมที่แตกต่างจากเณรคนอื่น พระคุณเจ้ากล่าวกับผมว่า “อย่าเลิกเต้นแท็ป
เราจำเป็นต้องใช้พระพรทุกอย่างที่เราได้รับในการนำผู้คนมาหาพระเยซูคริสต์”
ชีวิตของผมในปัจจุบันมิใช่เป็นการเตรียมตัวเป็น ‘พระสงฆ์นักเต้นแท็ป’ (tap dancing priest)
ผมต้องการเป็นเพียงพระสงฆ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ของสังฆมณฑล และผมวางแผนชีวิตที่จะได้ทำมิสซา โปรดศีลอภัยบาป
โปรดศีลล้างบาปแก่ทารก และเทศน์สอนพระวาจาของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม
หากเป็นที่แน่ชัดว่าการเต้นแท็ปของผมอาจเป็นโอกาสที่จะช่วยให้บางคนเข้าใกล้ชิดพระเจ้าและความรักของพระ
องค์ละก็ ผมจะไม่รีรอที่จะสวมรองเท้าเต้นแท็ปอีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน (จบบริบูรณ์)