“ คุณพ่อปีโอ “

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ต.ค. 03, 2020 7:15 pm

คุณพ่อปีโอ (1887-1968)
ถอดความจาก วีดีโอเทปโดย มิแชล ลามาส แปลและเรียบเรียงโดย : กอบกิจ ครุวรรณ
ตอนที่ (1) : คุณพ่อปีโอ เป็นฤษีคณะกาปูชินที่โด่งดัง มีหนังสือมากกว่า ๑๐๐ เล่มเขียนเรื่องของคุณพ่อ และยังคงมีเขียนกันอยู่จนทุกวันนี้ ผู้คนนับจำนวนล้านพากันเดินทางจาริกแสวงบุญมายังอารามที่คุณพ่อเคยอยู่ตลอดมา คุณพ่อใช้ชีวิต 50 ปี (1918-68) ที่เมืองซานโจวันนี โรตอนโด (San Giovanni Rotondo) ซึ่งตั้งอยู่ที่เชิงเขาการ์กาโน (Gargano) ทางภาคใต้ของอิตาล อารามที่คุณพ่อพำนักตั้งอยู่ข้างโรงพยาบาลที่สร้างขึ้น จากเงินบริจาค คุณพ่อเกิดในชนบทที่มีผู้คนประมาณ 4,000 คน และต้องใช้เวลาขับรถ 4 ชั่วโมงจากซานโจวันนี คุณพ่อเกิดที่ชุมชนเปเตรชีนา (Petrecina) ชาวบ้านที่นี่ทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อหาเลี้ยงชีพ คุณพ่อปีโอจึงมีพื้นเพเป็นชาวบ้านธรรมดาและมีร่างกายบึกบึนแข็งแรง
คุณพ่อปีโอเกิดในบ้านเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ.1887 โดยมีชื่อว่าฟรังซิสโก ฟอร์จีโอเน (Francisco Forgione) เป็นลูกคนที่ห้าของครอบครัว บิดาอพยพไปทวีปอเมริกาหลายปีเพื่อหาเงินส่งเสียให้ลูกชายได้รับการศึกษา เมื่ออายุได้ 13 ปีคุณพ่อเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยม และสองปีต่อมาก็ได้สมัครเข้าเป็นฤษีคณะกาปูชินที่เมืองมอร์โกเน (Morcone) คุณพ่อเขียนในบันทึกว่า ตลอดชีวิตนักบวชท่านนบนอบเชื่อฟังคุณพ่ออธิการ โดยปราศจากเงื่อนไข เลียนแบบท่านนักบุญฟรังซิส แห่งอัสซีซี ผู้สละทรัพย์สมบัติทุกชิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งงาน หรือแม้แต่ครอบครัวของ ท่านเอง เพื่อจะเข้าสู่ความรักของพระคริสตเจ้าได้อย่างลึกซึ้ง
ขณะที่คุณพ่อปีโอยังหนุ่มอยู่นั้น ท่านอดอาหารเป็นประจำ ทั้งที่ส่วนแบ่งอาหารของท่านก็มีอยู่เพียงน้อยนิด การอดอาหารเช่นนี้ทำให้ท่านล้มหมอนนอนเสื่ออยู่บ่อย ๆ แต่ต่อมาก็ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์ที่ไม่อนุญาตให้ท่านอดอาหารมากจนเกินเหตุเพราะความศรัทธาร้อนรน ระหว่างสงครามโลกครั้งแรก คุณพ่อถูกเกณฑ์เป็นทหารอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยอยู่ในกองทัพได้นาน และถูกปลดประจำการในเวลาอันสั้น เหตุเพราะคุณพ่อมีสุขภาพที่อ่อนแอมาก โดยเฉพาะในการเป็นทหารครั้งสุดท้าย คุณพ่อล้มป่วยและมีไข้สูงถึง 48 องศา ท่านอธิการจึงส่งคุณพ่อไปอยู่ในอารามที่ฟ็อกเจีย (Foggia) ซึ่งก็มิได้เป็นผลดีต่อสุขภาพของคุณพ่อ และที่สุดจึงให้ไปอยู่ที่ซาน โจวันนี โรตอนโด ซึ่งเป็นชุมชนขนาดเล็กที่มีชาวบ้านประมาณ 2,000 คน
เมื่อคุณพ่อปีโอมาถึงอารามก็เริ่มมีผู้จาริกแสวงบุญตรากตรำเดินทางมาที่อารามนี้ ทั้งที่บริเวณนั้นยังไม่มีที่พักแรมเลย ระหว่างการใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายราว (two)(zero) ปีที่นี่ จำนวนผู้จาริกแสวงบุญทวีมากขึ้นจากทั่วทุกมุมโลก พวกเขาแม้จะมีวัฒนธรรมและจุดประสงค์ไม่เหมือนกันแต่ส่วนใหญ่ก็มาเพื่อขอคำ แนะนำ, ขอให้หายป่วยไม่ฝ่ายกายก็ฝ่ายวิญญาณ หรือไม่ก็มาเพื่อจะได้มีความเชื่อมั่นคงยิ่งขึ้น โปรดติดตามตอนที่ (2)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ต.ค. 03, 2020 7:17 pm

คุณพ่อปีโอ (1887-1968)
ถอดความจาก วีดีโอเทปโดย มิแชล ลามาส แปลและเรียบเรียงโดย : กอบกิจ ครุวรรณ
ตอนที่ (2) : ในอารามที่ขยายใหญ่ขึ้นตั้งแต่การมาของคุณพ่อ ทุกวันเพื่อนฤษีรับภาระการต้อนรับผู้จาริกแสวงบุญและช่วยเขียนตอบจดหมายเป็นอย่างดี เพื่อนสนิทของคุณพ่อจะพบปะกับคุณพ่อในห้องพักของท่าน ใต้ระเบียงอาคาร หรือไม่ก็ในสวน พวกเขาต่างซาบซึ้งในความรู้สึก ที่ละเอียดอ่อนในความเป็นมนุษย์ของคุณพ่อ เหตุใดคุณพ่อปีโอจึงมีพลังจูงใจให้ผู้คนพากันมาหามากมายถึงเพียงนี้ ?
พระคุณเจ้าเซ็ตตี (Setti) แห่งฟลอเร้นซ์ เล่าให้ฟัง ดังนี้ “ครั้งแรกที่เรา (ฯพณฯเซ็ตตี) สนทนากับคุณพ่อด้วยความอยากรู้อยากเห็นนั้น เราประทับใจบุคคลิกความเป็นพระสงฆ์ของคุณพ่อ และในการเข้าพบครั้งหนึ่งคุณพ่อเสนอว่า ‘พระคุณเจ้าดูแลเรื่องการจัดกลุ่มสวดภาวนานะครับ ส่วนพ่อจะดูแลเรื่องวิญญาณของพระคุณเจ้าให้เอง’ ข้อเสนอนี้เราตกลงรับไว้ และยึดถือเสมอมา”
“เราพบว่า คุณพ่อเข้าใจความคิดอ่านของพวกเราอย่างลึกซึ้ง ท่านชอบเล่าเรื่องโดยใช้คำพูดอย่างชาญฉลาด เช่นครั้งหนึ่ง ท่านเล่าว่า ‘ในสวรรค์นั้น ทุกค่ำนักบุญเปโตรจะเป็นผู้ไขกุญแจปิดประตูสวรรค์ และวางกุญแจไว้บนโต๊ะเพื่อคืนให้กับพระเยซูคริสตเจ้า ท่านนักบุญบ่นกับพระองค์ว่า ‘ทุกค่ำ กระผมไขกุญแจปิดประตูสวรรค์อย่างเรียบร้อย แต่พอปิดได้ไม่ทันไร พระมารดาของพระองค์ก็เปิดหน้าต่างทุกบานออก และยอมให้ใครต่อใครที่กระผมปฏิเสธ เข้าไปในสวรรค์กันหมดเลยครับ’ ”
“ที่สุดคุณพ่อปีโอก็สรุปว่า ‘เราทุกคนจะได้รับทุกสิ่งที่ขอเมื่อเราวอนขอผ่านทางพระมารดาของพระเป็นเจ้า’ ” นี่คือความชาญฉลาดในการเล่าเรื่องของท่าน ยิ่งกว่านั้นคุณพ่อในฐานะที่เป็นมนุษย์พยายามทำทุกอย่างเหมือนคนทั่วไป ขณะเดียวกันก็ยังทรมานตนเองเพื่อเป็นพลีกรรมอีกมากมาย”
พระสงฆ์, พระสังฆราช และพระคาร์ดินัลจำนวนมากประทับใจ เมื่อได้เข้าพบกับคุณพ่อ ท่านปฏิบัติตนเหมือนฤษีคณะกาปูชินทั่วไป แต่เพื่อนฤษีสังเกตว่า คุณพ่อปีโอมีการติดต่ออย่างใกล้ชิดกับอำนาจเหนือธรรมชาติ ห้องพักของฤษีเรียงกันอยู่ตามทางเดินของอาคาร ห้องของคุณพ่ออยู่ทางด้านซ้ายมือของทางเดินนี้ คุณพ่อเออเซบีโอ (Eusebio)ซึ่งมีห้องพักอยู่ติดกับห้องของคุณพ่อปีโอและมีหน้าที่เป็นผู้ดูแลคุณพ่อ เล่าว่า “มีอยู่คืนหนึ่ง ขณะที่พ่อยังนอนไม่หลับก็ได้ยินเสียงดังโครมคราม อย่างน่ากลัวในห้องพักของคุณพ่อปีโอ จึงรีบวิ่งไปดู ก็พบว่าคุณพ่อล้มลุกคลุกคลานอยู่บนพื้นห้องคล้ายถูกใครผลักอย่างแรงจากด้าน หลัง พ่อไม่มีวันลืมเหตุการณ์คืนนั้นได้เลย คุณพ่อนอนจมกองเลือด มีบาดแผลเป็นแห่ง ๆ พ่อช่วยพยุงขึ้น พาไปนอนที่เตียงและเรียกเพื่อน ๆ มาช่วย”
“พวกเราทุกคนแน่ใจว่า เป็นอีกครั้งหนึ่งที่คุณพ่อปีโอต่อสู้กับปีศาจ บาดแผลที่คุณพ่อได้รับนั้นเป็นอยู่หลายวันโดยเฉพาะที่ขอบตาคล้ายกับถูกชกมา อย่างจัง”
“พ่อได้ถามว่าไปสู้กับซาตานมาหรือ? คำตอบของคุณพ่อคือ การยิ้มตอบเท่านั้น อย่างไรก็ตามไม่กี่วันหลังจากนั้น มีผู้มาแก้บาปกับคุณพ่อคนหนึ่ง เป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องผีปีศาจ -- คุณพ่อตอบผู้นั้นว่า “คุณจะไม่เชื่อเรื่องปีศาจได้อย่างไรกัน? คุณไม่เห็นรอยฟกช้ำดำเขียวที่ตัวพ่อเหล่านี้หรือ?”
“คำตอบนี้เป็นการยืนยันสมมติฐานของพวกเราเป็นอย่างดี”
“ ระหว่างเวลาตีหนึ่งกับตีสองทุกคืน คุณพ่อปีโอเฝ้าศีลเตรียมตัวก่อนจะถวายบูชามิสซา”
“เมื่ออยู่นอกห้องพัก คุณพ่อปฏิบัติตนเหมือนทุกคน ฉะนั้นหากจะสืบหาชีวิตที่ผิดปกติของท่าน ต้องหาโอกาสขณะที่ท่านยังไม่ทันตั้งตัวและกำลังอยู่คนเดียว ซึ่งหาโอกาสเช่นนี้ได้ยากมาก แต่พ่อก็เคยเจอเข้าครั้งหนึ่ง ซึ่งพ่อรู้สึกว่า ขณะนั้นท่านกำลังสนทนากับใครคนหนึ่งที่คุณพ่อมองเห็น : มีอยู่คืนหนึ่ง ขณะที่คุณพ่อเตรียมตัวถวายมิสซาและเฝ้าศีลอยู่ พ่อประหลาดใจมากที่ได้ยินท่านพูดว่า “อยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์” โปรดติดตาม(3)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ต.ค. 03, 2020 7:20 pm

คุณพ่อปีโอ (1887-1968)
ถอดความจาก วีดีโอเทปโดย มิแชล ลามาส แปลและเรียบเรียงโดย : กอบกิจ ครุวรรณ
ตอนที่ (3) : (ผู้บรรยาย) คุณพ่อปีโอเล่าด้วยตนเองถึงเรื่องการพบกับสิ่งมีชีวิต เหนือธรรมชาติว่า อาจเกิดขึ้นที่ใดและเมื่อไรก็ได้ ด้วยเหตุนี้ในวันพักผ่อน คุณพ่อจึงชอบไปรำพึงภาวนาที่เปเตรชีนาซึ่งเป็นบ้านเกิดของคุณพ่อ คุณพ่อรำพึงเงียบ ๆ คนเดียวในกระท่อมฟางที่อยู่ใกล้บ้านโดยไม่มีผู้ใดรบกวน กระท่อมหลังนี้เคยอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่แต่ปัจจุบันมีการสร้างวัดขึ้น เพราะเป็นสถานที่คุณพ่อได้รับการประจักษ์ครั้งสำคัญขณะที่ท่านเป็นเด็ก คุณพ่อเล่าให้คุณพ่อวิญญาณรักษ์ของท่านว่า
(คุณพ่อปีโอ) “ทุกสิ่งที่เราทำล้วนเป็นการเลียนแบบองค์พระบุตรสุดที่รักของพระเป็นเจ้า เป็นการหลอมรวมไปพร้อมกับพระองค์ ข้าแต่พระเยซูเจ้า พระองค์คือองค์ความรักที่ดึงดูดให้ข้าพเจ้าเข้าไปหา เป็นความรักที่ถูกตรึงอยู่บนพระมหากางเขน เพราะมีแต่บนพระมหากางเขนเท่านั้นที่เราจะสามารถพบความรักของพระองค์ได้”
(ผู้บรรยาย) ในปี 1918 อารามที่คุณพ่ออยู่เป็นเพียงอารามเล็ก ๆ และกันดารมาก คุณพ่อได้รับการประจักษ์ขณะที่อยู่ในห้องสักการภัณฑ์เก่า ๆ คุณพ่อบันทึกเรื่องนี้ในจดหมายวันที่ 21 สิงหาคม 1918 มีความว่า “ค่ำวันที่ 5 สิงหาคม ขณะที่พ่อกำลังฟังแก้บาปเด็ก ๆ อยู่ ทันใดนั้นพ่อรู้สึกหวาดกลัวมาก ที่เห็นบุรุษจากฟากฟ้าในมือถือหอกเหล็กปลายแหลมพุ่งตรงมาที่กลางหัวใจของพ่อ พ่อร้องลั่นและรู้สึกว่าตับไตไส้พุงกำลังถูกฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ขณะที่หัวใจก็ร้อนเหมือนกำลังถูกไฟเผาอยู่ พ่อไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่เลย แต่ความตั้งใจที่จะปฏิบัติตามพระประสงค์ของเบื้องบนกลับทวีความร้อนแรงมากขึ้น”
(ผู้บรรยาย) สุขภาพของคุณพ่อทรุดลงจนลุกไม่ขึ้น 3 วันติดกัน เดือนต่อมาวันที่ 20 กันยายนหลังจากถวายมิสซาแล้ว คุณพ่อรำพึงอยู่หลายชั่วโมงและต่อมาคุณพ่อก็เขียนถึงพระสงฆ์วิญญาณรักษ์ของท่านว่า “ทันใดนั้น พ่อรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างประหลาด ความรู้สึกทั้งร่างกายและจิตใจแห้งเหี่ยวลงเป็นความสงบสุดจะบรรยายได้ พ่อพบกับบุรุษลึกลับคนเดิม แต่ครั้งนี้ทั้งมือ เท้า และสีข้างของผู้นั้น มีแต่เลือดที่กำลังไหลอยู่ เป็นภาพที่น่ากลัวมาก พ่อรู้สึกเหมือนกำลังจะตายจากไป และก็คงจะตายไปจริง ๆ หากพระเยซูเจ้าไม่ทรงเข้ามาช่วยพยุงหัวใจ ที่กำลังจะแตกสลายของพ่อ --- ทันทีที่ภาพประจักษ์หายไป พ่อก็สังเกตเห็นว่า ทั้งมือ เท้า และสีข้างของพ่อถูกเจาะไชและมีเลือดไหลอยู่”
“คุณพ่อปีโอคงทราบดีว่าต้องทนทรมานมากเพียงใดนับแต่นั้นมา เป็นความเจ็บปวดเกือบจะต่อเนื่องกันทุกวัน พระเยซูเจ้าผู้พระทัยดีประทานพระพรนี้แก่พ่อใช่ไหม? พ่อต้องการรับความทุกข์ทรมานเช่นนี้ไว้ และขออย่าให้ความทุกข์ทรมานนี้ออกไปจากตัวพ่อ แต่เมื่อพระองค์ทรงปล่อยให้พ่อมีสัญลักษณ์แห่งความทรมานภายนอกเช่นนี้อยู่ ตลอดเวลา พ่อรู้สึกเป็นกังวลมาก” โปรดติดตามตอน(4)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ต.ค. 03, 2020 7:25 pm

คุณพ่อปีโอ (1887-1968)
ถอดความจาก วีดีโอเทปโดย มิแชล ลามาส แปลและเรียบเรียงโดย : กอบกิจ ครุวรรณ
ตอนที่ (4) : (ผู้บรรยาย) รอยแผลอยู่กับคุณพ่อปีโอเป็นเวลา (50) ปีกับ (3) วัน คุณพ่อเออเซบีโอเคยเห็นรอยแผลที่หน้าอกของท่านเล่าว่า “พ่ออยู่ใกล้ชิดกับคุณพ่อปีโอ 5 ปี และเคยเห็นรอยแผลที่มือหลายครั้ง รวมทั้งตอนที่เลือดกำลังไหลเพราะเป็นแผลเปิด ที่หน้าอกของคุณพ่อปีโอก็มีแผลสดเปิดอยู่เช่นกัน มองดูเหมือนกับเป็นแผลที่เพิ่งเกิดขึ้น --- แผลยาว 7-8 ซม. เป็นรูปคล้ายตัววาย (y) พ่อประทับใจมากที่เห็นรอยแผลใหญ่และน่ากลัวเช่นนั้น เป็นบาดแผลที่คุณพ่อปีโอต้องทนเจ็บปวดอยู่นานหลายปี”
(ผู้บรรยาย) นอกจากความเจ็บปวดจากบาดแผลเหล่านี้แล้ว ในความชราภาพของคุณพ่อยังมีโรคไขข้ออักเสบเรื้อรังและโรคอื่น ๆ อีกมากเข้าสำทับอีกด้วย ที่สุดคุณพ่อต้องนั่งเก้าอี้รถเข็น ที่จริงก่อนหน้านั้นก็มีบุคคลมากมายได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลาแรมปีโดย ไม่เป็นหนองหรือเป็นแผลที่สมานได้ พระศาสนจักรรับรองรอยแผลเช่นนี้ของนักบุญฟรังซิส แห่งอัสซีซี และยังมีผู้อื่นอีกนับร้อย พระศาสนจักรถือว่าท่านเหล่านี้เป็นผู้แทนการรับทรมาน เพื่อการไถ่บาปของพระเยซูเจ้า นี่คือผ้าที่คุณพ่อปีโอใช้ปิดแผลที่หัวใจ ผลการวิเคราะห์ทางการแพทย์พบว่า รอยเลือดที่อยู่บนผ้าเป็นเลือดมนุษย์ อย่างไรก็ตามพระศาสนจักรในขณะนั้นยังคงสงวนท่าทีอยู่นานหลังการมรณภาพ ของคุณพ่อก่อนจะชี้ขาด
พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 15 (1914-22) ทรงทราบเรื่องของคุณพ่อปีโอโดยมิได้ทรงแสดงพระวินิจฉัยใด ๆ พระองค์ตรัสแก่พระสมณสงฆ์องค์หนึ่งในเรื่องนี้ว่า “ลูกคงได้ข่าวมาผิดแล้ว เราขอแนะนำให้ลูกไปดูเรื่องนี้ด้วยตาของลูกเองดีกว่า”
(ผู้บรรยาย) พระสมณสงฆ์ผู้นั้นปฏิบัติตามและได้ไปที่เมืองฟ็อกเจีย คุณพ่อปีโอส่งคนไปรอรับพระสมณสงฆ์ที่สถานีรถไฟ เมื่อพระสมณสงฆ์ไปถึงที่สถานีรถไฟก็รู้สึกประหลาดใจและสับสน จึงขอตัวกลับกรุงโรมทันที ต่อมาในปี 1922 พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 15 ทรงสิ้นพระชนม์ นับแต่นั้นมาเป็นเวลา 10 ปี ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการทดลองที่ยากลำบากทีเดียวสำหรับคุณพ่อปีโอ
พระสันตะปาปาปีโอที่ 11 (1922-39) ทรงมีรับสั่งให้สอบสวนเรื่องของคุณพ่อปีโออย่างละเอียดหลังจากห้ามนักจาริกแสวงบุญมิให้เดินทางมา และห้ามคุณพ่อปีโอถวายมิสซาแก่คริสตชนทั่วไป คุณพ่อปีโอปฏิบัติตามโดยดุษฎี และปฏิบัติภารกิจฤษีของท่านต่อไปเงียบ ๆ มีการเขียนเรื่องของคุณพ่อราวกับคุณพ่อเป็นนักโทษคนหนึ่ง
ผลการตรวจรอยแผลและคราบเลือดอย่างละเอียดโดยนายแพทย์เฟสตา (Festa) ให้ความกระจ่างและให้ความเห็นที่เป็นกลาง แต่ก็ไม่มีผู้ใดสามารถอธิบายถึงสาเหตุได้ ดังนั้นในปี 1933 พระสันตะปาปาปีโอที่ 11 จึงทรงอนุญาตให้คุณพ่อปีโอถวายบูชามิสซาแก่คริสตชน และให้มีการจาริกแสวงบุญได้ดังเดิม อย่างไรก็ตาม พระศาสนจักรยังมิได้ยอมรับเรื่องรอยแผลที่ผิดธรรมชาติอย่างเป็นทางการ การสรุปในเรื่องนี้จะทำขึ้นช่วงก่อนการบันทึกนามของคุณพ่อในสารบบบุญราศี และสารบบนักบุญ โปรดติดตามตอนที่ (5)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ต.ค. 03, 2020 7:29 pm

คุณพ่อปีโอ (1887-1968)
ถอดความจาก วีดีโอเทปโดย มิแชล ลามาส แปลและเรียบเรียงโดย : กอบกิจ ครุวรรณ
ตอนที่ (5) : นับแต่นั้นมา นักจาริกแสวงบุญก็เดินทางไปที่ซานโจวันนี เพื่อร่วมมิสซาที่คุณพ่อปีโอเป็นผู้ถวาย และเป็นเช่นนี้จนเมื่อคุณพ่อเข้าสู่วัยชรา ที่แทบจะถวายมิสซาบนพระแท่นไม่ไหว ที่จริงมิสซาที่คุณพ่อถวายก็เป็นเหมือนกับมิสซาปกติทั่วไป แต่เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่ามิสซาที่คุณพ่อถวายนั้น ทุกคนรู้สึกอย่างลึกลับว่า เป็นยัญบูชาบนมหากางเขนขององค์พระคริสต์จริง ๆ คุณพ่อปีโอบนพระแท่นนอกจากจะเป็นพระสงฆ์ผู้แทนพระเยซูเจ้าแล้ว คุณพ่อยังมีรอยแผลการถูกตรึงกางเขนของพระองค์อีกด้วย
คุณพ่อปีโอทราบดีว่า รอยแผลของท่านมีส่วนในพระมหาทรมานบนกางเขน คุณพ่อมั่นใจว่า การยอมรับการทรมานด้วยความสมัครใจของท่าน สามารถทำให้คนบาปกลับใจได้ ดังจะเห็นได้จากการที่นักจาริกแสวงบุญส่วนใหญ่ เมื่ออยู่ต่อหน้ารอยแผลของคุณพ่อระหว่างการถวายมิสซา พวกเขารู้สึกว่ากำลังอยู่ใกล้ชิดกับพระเป็นเจ้าอย่างเห็นได้ชัด ผู้ที่มาที่นี่มิใช่ทุกคนมาด้วยความศรัทธาร้อนรนเหมือนกัน หลายคนในที่นั้นเคยเป็นคริสตังเฉื่อยชา แต่ได้เปลี่ยนเป็นคนศรัทธาและปฏิบัติศาสนกิจอย่างเคร่งครัดหลังจากได้ไปร่วม มิสซาที่คุณพ่อปีโอเป็นผู้ถวายเพียงครั้งเดียว
เรื่องรอยแผลที่แลเห็นได้ขณะที่คุณพ่อถวายมิสซา และเรื่องการอ่านจิตใจของผู้ที่มาแก้บาปกับคุณพ่อก็เช่นกัน เป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดเป็นการส่วนตัวระหว่างคุณพ่อปีโอกับ พระเยซูเจ้า ผู้จาริกแสวงบุญและผู้ที่คุณพ่อรู้จักต่อแถวกันยาวมาก เพื่อแก้บาปกับคุณพ่อ ซึ่งคุณพ่อจะใช้เวลาฟังแก้บาปโดยไม่รีบร้อน และมิได้กันเวลาสำหรับตัวคุณพ่อเองเลยแม้แต่วินาทีเดียว สิ่งนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากคุณพ่อนั่งฟังแก้บาปนานถึงวันละ 15-16 ชั่วโมง
ผู้มาแก้บาปบางคนรู้สึกละอายมากในการที่จะต้องมาสารภาพบาปอย่างเปิดเผยต่อ คุณพ่อผู้โด่งดัง เมื่อใดก็ตามที่ผู้มาแก้บาปปิดซ่อนบาปหนักของตน คุณพ่อปีโอจะเตือนให้ผู้นั้นสารภาพบาปข้อนั้นออกมา ทั้งที่คุณพ่อไม่เคยเห็นหรือรู้จักบุคคลผู้นั้นมาก่อนเลย คุณพ่ออ่านจิตใจและแลเห็นบาปต่าง ๆ ของผู้ที่มาสารภาพบาปได้อย่างน่าพิศวง คุณพ่อยืนยันว่า “พ่อมองเห็นชีวิตภายในของท่านเหมือนกับการดูภาพยนต์” คุณพ่อตั้งใจฟังเรื่องของพวกเขาและให้คำแนะนำที่ดี
หลังจากฟังแก้บาปแล้วก็จะเป็นการพบปะกับกลุ่มต่าง ๆ ตามที่ได้นัดหมายไว้ล่วงหน้า จดหมายทุกฉบับที่มีถึงคุณพ่อปีโอเพื่อให้คุณพ่อเป็นผู้ช่วยเสนอวิงวอนนั้น ทุกฉบับมีเงินแนบมาด้วย แต่คุณพ่อไม่เคยเก็บเงินไว้เองเลย นอกจากนั้นบางครั้งคุณพ่อยังได้ติเตียนบุคคลสำคัญอย่างรุนแรงด้วยอันเสียงดัง จนถึงขั้นใช้เชือกคาดเอวไล่ฟาด เพราะแม้แต่นักบุญก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ บางครั้งจึงขาดความอดทน แต่สำหรับบางคนนั้น คุณพ่อก็ยื่นมือให้จูบ โปรดติดตามตอนที่ (6)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ต.ค. 03, 2020 7:34 pm

คุณพ่อปีโอ (1887-1968)
ถอดความจาก วีดีโอเทปโดย มิแชล ลามาส แปลและเรียบเรียงโดย : กอบกิจ ครุวรรณ
ตอนที่ (6) : เหตุผลของผู้ที่มาที่ซานโจวันนี บางครั้งก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อ เช่นเรื่องของมาดามรุสเซล แห่งเกรอนอบ (Roussel de Grenoble-ฝรั่งเศส) เธอเล่าว่า “คืนหนึ่งในเดือนกันยายน ปี 1952 ดิฉันฝันว่าจะได้ลูกชายที่มีเท้าข้างหนึ่งพิการ และถ้าจะรักษาให้หายต้องพาไปรักษากับคุณพ่อปีโอที่ดิฉันไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย นอกจากนั้นในฝันดิฉันยังเห็นวัดเล็กหลังหนึ่งที่โดดเด่นมาก (ก่อนจะขยายเป็นวัดที่ใหญ่โตในภายหลัง) ทั้งวัดและบริเวณด้านหน้าเป็นสีอิฐ มีคุณพ่อปีโอยืนอยู่ที่ประตูทางเข้า คุณพ่อกล่าวกับดิฉันว่า ‘เป็นพ่อเอง, ใช่แล้ว เป็นพ่อเอง’. ต่อมาในปี 1956 ดิฉันตั้งครรภ์และครรภ์ก็ขยายใหญ่ขึ้นตามปกติ ดิฉันลืมเรื่องความฝันไปแล้วและดีใจมากกับการที่จะมีลูก วันที่ 18 มิถุนายน 1956 ปีเตอร์เกิด ค่ำวันนั้นดิฉันรู้สึกอ่อนเพลียมาก แพทย์ก็มิได้พูดอะไรเลย จนเช้าวันรุ่งขึ้นแพทย์จึงนำเด็กมาให้และบอกว่า “คุณนายครับ ลูกของคุณผิดปกติ คือเท้าข้างหนึ่งพิการ ดูนี่สิ คงต้องรักษากันหลายปี และก็บอกไม่ได้ว่าเขาจะเดินได้เมื่อไร เท้าข้างที่พิการพับขึ้นมาเป็นสองท่อน และนิ้วเท้าก็ยื่นออกมาจนถึงที่เห็นนี่ ทันใดนั้นดิฉันก็นึกขึ้นได้ถึงความฝัน และพูดกับตัวเองว่า หมอจะรักษาอย่างไรก็ได้ แต่ดิฉันจะพาลูกไปรักษาที่ซานโจวันนี และแน่ใจว่าลูกจะหายอย่างแน่นอน”
“วันที่ 8 สิงหาคม ปีนั้นเอง ดิฉันก็พาลูกปีเตอร์ไปซานโจวันนี เป็นการเดินทางที่ลำบากทีเดียว แต่เมื่อไปถึงดิฉันก็รู้สึกว่าคุ้มค่า เราทั้งสองมีโอกาสพบคุณพ่อปีโอ วัดเล็กนั้นมีสภาพตรงกับที่ฝันไว้ทุกประการ คุณพ่อปีโอโปรดศีลล้างบาปให้ปีเตอร์ และกล่าวว่า ‘พาเขาไปให้หมอรักษา พ่อจะสวดให้’ ดิฉันรู้สึกผิดหวังที่เท้าของลูกยังคงพิการอยู่ แต่ดิฉันยังคงมีความไว้ใจอยู่อย่างมั่นคง”
“หลังจากกลับจากอิตาลีแล้ว แน่นอนดิฉันรู้สึกเศร้าใจ และพาลูกไปหาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ดูแลรักษาปีเตอร์ตั้งแต่เกิด ดิฉันพาลูกไปหาเขาทุก 15 วัน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญใช้เครื่องมือดามขาของเขา ไว้กับอุปกรณ์โดยใช้ผ้าพันไว้จนถึงหัวเข่าและพันอยู่เช่นนั้นตลอดเวลา มีแต่แพทย์ผู้ที่ให้การรักษาเท่านั้นเป็นผู้เปลี่ยนใหม่ให้ ล่วงมาถึงเช้าวันที่ 14 ธันวาคม ดิฉันพาปีเตอร์ไปให้หมอเปลี่ยนผ้าพันอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะได้ไม่ต้องเป็นกังวลพาลูกไปหาหมออีก เพราะใกล้วันฉลองพระคริสตสมภพแล้ว เช้าวันที่ 18 ธันวาคม ดิฉันไปอุ้มลูกออกจากเตียงเด็ก ก็สังเกตว่าผ้าพันและอุปกรณ์ที่ดามขาของลูกหลุดอยู่’ ดิฉันรู้สึกประหลาดใจและโทรศัพท์ไปหาหมอพูดว่า ‘คุณหมอคะ มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ผ้าพันขาของลูกหล่นอยู่ข้าง ๆ โดยไม่มีใครไม่ไปทำอะไรเลย’ คุณหมอจึงบอกดิฉันว่า ‘อย่างงั้นก็พาเขามาหาหมอตอนเที่ยงก็แล้วกันนะ’ “
“พอเที่ยงดิฉันก็พาลูกไปถึง เมื่อหมอตรวจดูแล้วก็พูดกับดิฉันว่า ‘นี่คุณนายไปทำอะไรกับลูกมาหรือ ดูสิ อาการเขาดีขึ้นมากแล้ว ทั้งที่หมอคิดว่าจะต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน แต่นี่เพิ่งสี่วันเท่านั้นเอง’ หลังจากนั้นคุณหมอก็พันขาให้อย่างขอไปที และบอกให้ดิฉันกลับไปหาใหม่หลังจากวันที่ 1 มกราคม เมื่อถึงกำหนด คุณหมอก็ใส่เฝือกให้และหลังจากนั้น 15 วัน คุณหมอก็ไม่ได้รักษาอะไรอีก ดิฉันยังคงพาลูกไปให้หมอตรวจอาการอยู่เป็นประจำ แต่ทุกครั้งคุณหมอก็บอกว่าขาหายแล้วและก็มิได้รักษาอะไรให้อีกเลย
ดิฉันพาลูกไปยังซานจีโอวันนีทุกปี บางปีก็ไปหลายครั้งเพื่อแสดงความขอบคุณ และทุกครั้งเราทั้งสองก็มีโอกาสพบคุณพ่อปีโอ ปีเตอร์รับศีลมหาสนิทครั้งแรกกับมือของคุณพ่อวันที่ 18 เมษายน 1962 คุณพ่อพูดกับปีเตอร์ว่า ‘ขอให้มีใจบริสุทธิ์จนแก่เฒ่า ขอให้การรับศีลมหาสนิทครั้งสุดท้าย สะอาดบริสุทธิ์ยิ่งกว่าการรับศีลมหาสนิทครั้งแรก’ ขณะนี้เป็นปี 1968 หลังจากพิธีรับศีลสง่า คุณพ่อพูดกับปีเตอร์ว่า ‘จงเป็นคนดี สุภาพถ่อมตนตลอดไป’ ” โปรดติดตามตอนที่ (7)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ต.ค. 03, 2020 7:38 pm

คุณพ่อปีโอ (1887-1968)
ถอดความจาก วีดีโอเทปโดย มิแชล ลามาส แปลและเรียบเรียงโดย : กอบกิจ ครุวรรณ
ตอนที่ (7) : (ผู้บรรยาย) ปีเตอร์ได้รับสิทธิพิเศษในพระอาราม และสามารถเข้านอกออกในเพื่อไปหาคุณพ่อปีโอในห้องพักได้ แม้แต่ตอนที่คุณพ่อป่วย แน่นอนปีเตอร์เป็นสหายน้อยที่สัตย์ซื่อของคุณพ่อ และไม่เคยลืมคำพูดของคุณพ่อเลย อัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเพราะคุณพ่อปีโอนั้น บางครั้งเกิดขึ้นโดยที่คุณพ่อมิได้อยู่ด้วย อัศจรรย์ที่โด่งดังในการรักษาโรคของคุณพ่อเกิดกับหนูน้อยชาวซีซิลี ชื่อเย็มมา ดี จอร์จี (Jemma di Giorgi) เป็นการหายโดยไม่มีพิธีรีตรองใด ๆ เย็มมาตาบอดตั้งแต่เกิด เพราะไม่มีแก้วตาดำ แต่เธอสามารถมองเห็นและแยกแยะสีต่าง ๆ ได้ เธอสามารถข้ามถนนได้เอง แม้ในเวลาที่มีรถมาก ปกติเย็มมาสวมแว่นสีทึบเพื่อปกปิดตา เช่นเดียวกับคนตาบอดทั่วไป มารดาของเธอเปิดกิจการบ้านพัก ส่วนบิดาทำงานในไร่ ปัจจุบันเย็มมาสามารถช่วยงานในครัว และทำความสะอาดที่พักได้อย่างไม่มีที่ติ
(แม่ของเย็มมา) “หลังจากที่เย็มมาเกิดได้ 3 เดือน ดิฉันสังเกตว่าเธอไม่มีแก้วตา ดิฉันจึงรีบไปหาหมอซึ่งยืนยันว่า เธอไม่มีทางจะมองเห็นได้เลย ญาติคนหนึ่งจึงเขียนจดหมายไปถึงคุณพ่อปีโอ คุณพ่อก็ตอบมาว่า ‘คุณมั่นใจได้เลยว่า พ่อจะสวดอ้อนวอนให้’
(ยายของเย็มมา) “ปกติเวลาเธอจับต้องอะไร เธอจะถามเสมอว่า สิ่งที่จับอยู่นั้น เป็นอะไรและใช้ทำอะไร? วันหนึ่ง ดิฉันพาเธอไปที่ทะเล และบอกให้เธอฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่ง ดิฉันพาเธอไปลูบคลำเรือลำหนึ่ง และอธิบายเรื่องของเรือให้ฟัง หลังจากนั้นหนึ่งปี ดิฉันก็พาเธอซึ่งขณะนั้นอายุ 5 ขวบเดินทางไปพบคุณพ่อปีโอ เพื่อให้คุณพ่อช่วยรักษาให้ ระหว่างการเดินทางขณะที่รถไฟกำลังแล่นเลียบทะเลอาเดรียติกอยู่นั้น ดิฉันกำลังหลับอยู่ ทันใดนั้นหนูเย็มมาก็มาปลุกดิฉันพูดว่า ‘คุณยายคะ หนูเห็นสิ่งที่คุณยายเคยให้หนูลูบคลำที่ริมทะเลเมื่อปีที่แล้วแน่ะ’ ดิฉันขยี้ตาและมองออกไปก็เห็นเรือลำหนึ่งลอยอยู่ไกลในทะเลจริง ๆ”
(เย็มมา) “จากนั้นมา ดิฉันก็เห็นได้อย่างชัดเจน และที่ซานโจวันนี ดิฉันก็ได้รับศีลมหาสนิทจากมือของคุณพ่อปีโอ คุณพ่อทำสำคัญมหากางเขนที่ตาของดิฉันให้ ที่จริงตาของดิฉันก็ยังคงเหมือนเดิม คือมีลักษณะเป็นตาของคนตาบอด ที่ต่างกันคือดิฉันมองเห็นได้อย่างชัดเจนทั้งที่ไม่มีแก้วตาดำ
(ผู้บรรยาย) ผู้ที่มาขอให้คุณพ่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บมิได้หายทุกคน แต่ส่วนใหญ่พวกเขาจะมีตาที่ ‘มองเห็นพระ’ มีการขยายโรงพยาบาลแห่งนี้จนสามารถรับคนไข้ได้ 1,000 เตียง เป็นโรงพยาบาลที่สร้างขึ้นจากเงินบริจาคที่คุณพ่อได้รับ
ทุกวันเวลาตี 5 มีนักจาริกแสวงบุญมาร่วมมิสซาของคุณพ่อในวัดจนถึงวันที่ 22 กันยายน 1968 ซึ่งเป็นวันที่คุณพ่อถวายบูชามิสซาเป็นครั้งสุดท้าย โดยไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อน วันนั้นมีผู้มาร่วมมิสซาประมาณ 2,000 คน ผู้ใหญ่ของคุณพ่อขอให้คุณพ่อถวายมิสซาอย่างสง่าในวันนั้น คุณพ่อปีโอยึดถือเสมอมาว่าความประสงค์ของผู้ใหญ่คือพระประสงค์ของพระแม้ จะปฏิบัติตามได้ยากลำบากเพียงใดก็ตาม ผู้ใหญ่ของคุณพ่อไม่อาจทราบได้ว่า นั่นคือการถวายมิสซาครั้งสุดท้ายของท่าน บ่อยครั้งที่คุณพ่อป่วยหนัก แต่ท่านก็ไม่เคยย่อท้อโดยเฉพาะเรื่องการถวายมิสซาที่คุณพ่อทราบดีถึงคุณค่าที่แท้จริงว่ามิใช่เป็นเรื่องของพิธีกรรมที่สง่างามหรือไม่ ในการถวายมิสซาครั้งสุดท้ายนั้น ทุกคนยังคงแลเห็นรอยแผลลึกที่ฝ่ามือของคุณพ่อ ที่ขับร้องบทข้าแต่พระบิดาด้วยความยากลำบาก ไม่มีใครลืมภาพที่เห็นเลย เมื่อจบมิสซา ทุกคนรู้สึกว่าคุณพ่อลังเลที่จะเดินจากพระแท่นไป เพราะพระแท่นหมายถึงทุกสิ่งในชีวิตของคุณพ่อ ท่านอ่อนเพลียอย่างมากหลังจากนั้น แต่ก็ยังอุตส่าห์ฟังแก้บาปได้อีก 5 คนสุดท้าย
โปรดติดตาม (ตอนจบ)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ต.ค. 03, 2020 7:39 pm

คุณพ่อปีโอ (1887-1968)
ถอดความจาก วีดีโอเทปโดย มิแชล ลามาส แปลและเรียบเรียงโดย : กอบกิจ ครุวรรณ
ตอนที่ (8) : เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นวันจันทร์ที่ 23 กันยายน 1968 เพื่อนฤษีล้อมเป็นวงรอบร่างที่จากไปของคุณพ่อปีโอ คุณพ่อเปเลกรีโน (Pelegrino) เป็นผู้ดูแลคุณพ่อปีโอในคืนนั้น ราวเที่ยงคืนคุณพ่อเรียกท่านและถามว่า กี่โมงแล้ว? – ‘เที่ยงคืน 30นาที’-- คุณพ่อปีโอขอแก้บาปกับท่าน และเมื่อแก้บาปแล้ว คุณพ่อก็บอกว่า “หากพระเยซูเจ้าทรงเรียกพ่อไปคืนนี้ ช่วยขอโทษเพื่อน ๆ แทนพ่อด้วยในสิ่งที่พ่อเป็นต้นเหตุทำให้พวกเขาขุ่นเคือง และขอให้พวกเขาสวดภาวนาให้พ่อและให้ผู้ที่พ่อเป็นวิญญาณรักษ์ด้วย”
(พ่อเปเลกรีโน) “พ่อจึงตอบว่า ‘ยังไม่ถึงเวลาหรอก พระเยซูเจ้ายังให้คุณพ่อมีชีวิตอยู่อีกนานอย่างแน่นอน’ และเพื่อให้ดูดี พ่อจึงพูดเสริมอีกว่า ‘หากเป็นเช่นนั้นจริง คุณพ่อช่วยอวยพรเป็นครั้งสุดท้ายให้เพื่อนฤษี ผู้ที่คุณพ่อเป็นวิญญาณรักษ์ดูแลอยู่และผู้ป่วยทุกคนด้วย’ คุณพ่อตอบว่า ‘ได้สิ พ่อจะอวยพรให้ทุกคน อย่างไรก็ตามช่วยบอกให้คุณพ่ออธิการเป็นผู้อวยพรให้พวกเขาด้วยนะ’ ”
“คุณพ่อรื้อฟื้นคำปฏิญาณการเป็นพระสงฆ์ของท่าน ประมาณตีหนึ่งคุณพ่อซีดไปทั้งตัว เหงื่อกาฬไหลที่หน้าผาก พอพ่อสังเกตเห็นริมฝีปากที่ซีดเซียว พ่อจึงรีบจะไปเรียกคนอื่น แต่คุณพ่อปีโอไม่อยากให้พ่อไปปลุกคนอื่น พ่อปฏิเสธและไปเรียกคุณพ่อกีโยม จากนั้นก็โทรศัพท์ไปตามหมอ” -- “ตลอดเวลาช่วงนั้น คุณพ่อปีโอสวดภาวนาเพียงสองคำซ้ำไปมาว่า ‘พระเยซูเจ้า พระแม่มารีย์, พระเยซูเจ้า พระแม่มารีย์’ ”
“เสียงนั้นค่อย ๆ แผ่วลงจนแทบจะไม่ได้ยินเสียงเลย เห็นแต่ริมฝีปากที่ขมุบขมิบอยู่เท่านั้น พ่อบอกไม่ได้ว่า คุณพ่อมรณภาพ ณ เวลาใดแน่นอนขณะที่ศีรษะตกลงไปด้านข้าง”
มีผู้คนจำนวนมากรอคอยอยู่นอกประตูวัดตั้งแต่ตีสามเพื่อจะร่วมมิสซาของคุณพ่อ เช้าวันนั้น ฤษีผู้หนึ่งเป็นผู้แจ้งข่าวการมรณภาพของท่าน ประตูวัดเปิดออกตอน 9 โมงเช้า... ข่าวมรณภาพของคุณพ่อแพร่สะพัดอย่างรวดเร็วไปทั่วโลก ผู้คนมากมายมาคารวะคุณพ่อเป็นครั้งสุดท้ายทั้งกลางวันกลางคืนตั้งแต่เช้า 9 โมงวันจันทร์จนถึงวันพฤหัสฯ 10 โมงเช้า
(ผู้บรรยาย) ขบวนแห่ศพคุณพ่อเคลื่อนออกจากพระอารามไปทั่วหมู่บ้าน ไปยังสุสาน และกลับมาที่อารามเป็นระยะทางรวม 8 กม. เริ่มตั้งแต่บ่าย 3 โมงจนถึงหนึ่งทุ่ม ผู้เข้าร่วมขบวนมาจากชนทุกชั้นของสังคม คุณพ่ออธิการใหญ่ เจ้าคณะกาปูชิน ถวายสหบูชามิสซาสำหรับผู้ตายร่วมกับพระสงฆ์ 24 องค์
บัดนี้คุณพ่อปีโอพักอยู่ในสุสานใต้ดินของวัดหลังใหม่ที่ใช้เวลาสร้าง 4 ปีและสร้างเสร็จก่อนการมรณภาพของคุณพ่อเพียงวันเดียว ผู้คนยังคงให้ความคารวะคุณพ่ออยู่ในทุกวันนี้ มีหลายคนทั่วโลกกลับมามีความเชื่อใหม่เพราะคำพูดของคุณพ่อ
(พ่อปีโอ) “พ่อสามารถจะช่วยพวกท่านขณะที่อยู่ในสวรรค์ ได้มากกว่าเมื่อพ่ออยู่ในโลกนี้”
ผู้ที่รู้จักและรักคุณพ่อยังคงแพร่จิตตารมณ์ที่น่าอัศจรรย์ของคุณพ่อต่อไป “พ่อหวังว่า เธอจะรักษาความบริสุทธิ์แห่งการรับศีลมหาสนิทครั้งแรก ไว้จนถึงวาระสุดท้าย”
สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 ประกาศการบันทึกนามในสารบบนักบุญวันที่ 16 มิถุนายน 2002 เรื่องราวของคุณพ่อปีโอ จบบริบูรณ์เพียงเท่านี้


:s005: :s005: :s005: :s005:
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

เสาร์ ต.ค. 03, 2020 7:42 pm

เพิ่มเติม เรื่องของคุณพ่อปีโอ (*) บุรุษแห่งที่แก้บาป
ฟรังเชสโก ฟอร์จิโอเน (Francesco Forgione) เกิดเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 1887 ที่เมืองปิเอเตรลชีนา (Pietrelcina) ครอบครัวของฟรังเชสโกยากจนมากจนผู้เป็นบิดาจำต้องอพยพไปทำงานในทวีป อเมริกาใต้ถึง 2 ครั้งเพื่อส่งเงินที่หาได้เลี้ยงครอบครัว
ฟรังเชสโกสมัครเข้าอารามคาปูชินเมื่ออายุได้ 15 ปี และได้รับศีลอนุกรมบวชเป็นพระสงฆ์เมื่ออายุ 23 ปี (รู้จักกันในนามของคุณพ่อปีโอ) ห้าปีต่อมาท่านได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ที่มองไม่เห็นเมื่อวันที่ 20 กันยายน 1915 และหลายปีต่อมากลายเป็นรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ที่มองเห็นได้ ข่าวการมีรอยแผลศักดิ์สิทธิ์แพร่ไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนพากันมาที่เมืองซาน โจวันนี โรตอนดา (San Giovanni Rotonda) เพื่อมาดูพระสงฆ์อัศจรรย์ ผู้มีมือและเท้าทั้งสอง รวมทั้งที่สีข้างมีรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่แปลกคือโลหิตที่ไหลออกมาจากรอยแผลทั้งห้าไม่แข็งตัวและมีกลิ่นหอม วิทยาศาสตร์การแพทย์ไม่สามารถอธิบายถึงรอยแผลที่เจ็บปวดเหล่านี้ได้
มีอัศจรรย์เกิดขึ้นหลายครั้งและมีการกลับใจอยู่เสมอ กฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์ไม่สามารถอธิบายถึง “การหายตัวไป” ของคุณพ่อหรือความสามารถในการเข้าช่วยจัดการเรื่องที่อยู่ห่างไกลมาก ผู้ที่มาแก้บาปกับคุณพ่อต่างทึ่งในความสามารถที่คุณพ่อทราบทุกสิ่งที่ซ่อนอยู่ใน เบื้องลึกในใจและวิญญาณของเขาแต่ละคนในทันที คุณพ่อ “แลเห็น” อดีตและอนาคตบนใบหน้าของผู้คน และจากการที่ท่านทราบถึงสภาพทางวิญญาณของคนบางคน คุณพ่อปีโอจึงมีปฏิกิริยาตอบสนองตามสภาพของแต่ละคนด้วย เช่นการแสดงอาการฉุนเฉียว รวมทั้งการไม่โปรดบาปแก่คนบางคน คุณพ่อเล่าเรื่องนี้กับคุณพ่อคาร์เมโล แห่งเซสซาโน (Carmelo of Sessano) ว่า “พ่อตอบสนองต่อวิญญาณของพวกเขาตามที่พวกเขาควรจะเป็นเมื่ออยู่เฉพาะพระพักตร์พระเป็นเจ้า”
คุณพ่อพูดกับมารีเอลลา ล็อตตี (Mariella Lotti) เด็กหญิงวัย 12 ขวบ เมื่อเธอมาคุกเข่าเพื่อสารภาพบาปว่า “ออกไปเลยนะ พ่อไม่สามารถฟังเธอสารภาพบาปได้” มารีเอลลารู้สึกสิ้นหวังท่ามกลางความงุนงงของบิดามารดาที่อยู่ในที่นั้น คุณพ่อปีโอจึงอธิบายให้มารีเอลลาว่า “พ่อจะฟังเธอสารภาพบาปก็ได้ แต่ที่พ่อไม่ทำก็เพื่อตัวเธอเอง เธอแทบไม่เคยไปวัดวันอาทิตย์และไม่เรียนคำสอนเนื่องจากพ่อแม่พาเธอไปที่อื่น ถ้าพ่อฟังเธอสารภาพบาปที่ไร้สาระ ทั้งที่เธอยังคงเพิกเฉยต่อสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตอย่างท้าทาย เราก็คงจะเสียเวลากันเปล่า ๆ” มารีเอลลาจึงเข้าใจคำอธิบายของคุณพ่อ
ผู้ที่ถูกคุณพ่อปฏิเสธไม่ฟังแก้บาปหลายรายกลับมาขอสารภาพบาปใหม่ด้วย ความเป็นทุกข์ถึงบาปอย่างแท้จริง ซึ่งคุณพ่อก็พร้อมที่จะโปรดบาปให้ ทั้งนี้เพราะพวกเขาเป็นคนบาปที่กลับใจและตั้งใจที่จะไม่ทำบาปอีก
คุณพ่อกล่าวกับสตรีชาวอังกฤษคนหนึ่งที่มาคุกเข่าเบื้องหน้าที่ฟังแก้บาปว่า “พ่อไม่มีเวลาสำหรับเธอ” จากนั้นคุณพ่อก็ปิดตาข่ายที่กั้นสำหรับฟังแก้บาปอย่างแรง หลังจากนั้นประมาณ 20 วันต่อมา สตรีผู้นั้นกลับมายังที่แก้บาปอีกครั้งหนึ่ง ด้วยหัวใจที่ทุกข์ระทมวิงวอนขอสารภาพบาปกับคุณพ่อ เธอพาเพื่อน ๆ อีกหลายคนเพื่อขอร้องคุณพ่อปีโอช่วยฟังแก้บาปให้ด้วย คุณพ่ออธิบายว่า แทนที่เธอจะมาบ่นว่าพ่อเป็นคนเคร่งครัดและใช้ความรุนแรง เธอควรถามตัวเองว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงความเมตตาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดจะยอมรับเธอได้อย่างไรกับ “การทุราจารศีลนานแรมปีของเธอ” และคุณพ่อก็เผยแสดงให้เธอทราบถึงการรับศีลมหาสนิทปีแล้วปีเล่าเคียงข้างสามีและมารดาเพื่อทำตัวให้ดูเป็นคนที่น่าเคารพนับถือทั้งที่เธอมีบาปหนักอยู่ การว่ากล่าวตักเตือนอย่างเฉียบขาดของคุณพ่อเช่นนี้ ทำให้เธอกลับใจและตั้งใจที่จะปรับปรุงตัวใหม่ด้วยความจริงใจ
คุณพ่อผู้มีรอยแผลศักดิ์สิทธิ์มิได้ประกาศถึงการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนชีพ ของพระเยซูเจ้าจากธรรมาสน์เช่นพระสงฆ์หลายองค์ แต่คุณพ่อประกาศถึงการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนชีพของพระองค์จากที่ฟัง แก้บาป เนื่องจากคุณพ่ออยู่ในสภาพขององค์ยัญบูชาด้วยชีวิตของคุณพ่อเอง ดังนั้นรัศมีแห่งความศักดิ์สิทธิ์รอบศีรษะของคุณพ่อผู้เป็น “บุรุษแห่งที่แก้บาป” จึงปรากฏให้เห็นตั้งแต่ทศวรรษปี 1920 เป็นต้นมา พระสังฆราชแห่งโบวีโน (Mgr Uberto Maria Fiodo) กล่าวว่า ชีวิตของคุณพ่ออุทิศตนเพียงเพื่อ “พระสิริมงคลของพระเป็นเจ้า เพื่อการกลับใจของคนบาป เป็นชีวิตที่ซ่อนตนเองและเป็นชีวิตของพระที่ทรงถ่อมพระองค์ลงมาทำงานในร่าง ของคุณพ่อ”
คุณพ่อปีโอมรณภาพเมื่อวันที่ 20 กันยายน 1968 และรอยแผลทั้ง 5 ก็อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย อัศจรรย์ยังคงเกิดขึ้นหลายครั้งโดยการสวดขอให้คุณพ่อเป็นผู้เสนอคำวิงวอน สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 ทรงประกาศการบันทึกนามของคุณพ่อในสารบบนักบุญเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2002
แปลเเละเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ตอบกลับโพส