ข้อคิดเตือนใจดีมากค่ะ

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ย. 16, 2020 10:35 am

1. เมื่อใดที่โมโห ลองนั่งนิ่งๆ ทบทวนดูว่า… เวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตนี้มีอยู่อีกสักกี่วัน ทำไมต้องไปเสียเวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง อย่าเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยความรู้สึกแย่ๆ เลย ...

2. ไม่มีใครถูก ไม่มีใครผิด ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นหากลองดูดีๆ จะพบว่า มีแต่ ถูกใจ หรือ ไม่ถูกใจ ” หากทำถูกใจยังไงเขาก็มองว่าไม่ผิด “ แต่… ” หากทำไม่ถูกใจต่อให้ทำถูกแค่ไหนก็โดนมองว่าผิด “ เพราะฉะนั้น… อย่าไปเก็บเอามาคิด เพราะ ไม่มีใครเอาใจใครได้ทุกคน ...

3. เมื่อใดที่กลัดกลุ้มใจ ลองสูดลมหายใจลึกๆ แล้วคิดดูว่า… ชีวิตนี้มันมีแต่ลดกับลด ทุกวินาทีที่ผ่านไป กำลังบอกเราว่า… ” เวลาของเราน้อยลงไปอีก 1 วินาทีแล้ว “

4. การได้พบหน้ากันในวันนี้ หมายความว่า หมดโอกาสได้เจอกันไปอีกครั้งหนึ่งแล้วแล้ว… ” เราจะมัวมาทะเลาะกัน ในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องไปทำไม…? “ ...

5. เมื่อใดที่ถูกเอาเปรียบ ลองปล่อยวางดูบ้าง พูดมากจะเสียมิตร คิดเล็กคิดน้อยเสียเวลา ซื่อสัตย์ไว้ เวลาไปไหนจะได้ไม่มีใครพูดลับหลังในทางที่ไม่ดี แค่นี้ก็เพียงพอ ให้เราสุขใจได้แล้ว ...

6. เรื่องหลายๆ เรื่องที่ผ่านเข้ามา มันก็แค่กระทบเรา ชั่วครู่ ชั่วคราว เดี๋ยวเดียวก็ผ่านไป ทุกข์เข้ามาแปปๆ เดี๋ยวก็ผ่านไป สุขเข้ามาแปปๆ เดี๋ยวก็ผ่านไป ...

7. เมื่อใดที่ใครบางคนทำให้เราเสียใจ ลองปล่อยให้มันเป็นไปตามที่ควรจะเป็น ทบทวนดูสิว่า ชีวิตนี้… ไม่มีใครอยู่ยงคงกระพัน คนที่มีชื่อเสียง คนที่รวยล้นฟ้า หรือ คนที่รักกัน สุดท้ายก็แค่คน… ที่เคยมาเยือนโลกใบนี้ ...

8. เมื่อใดที่เรารู้สึกโดนแย่งอะไรไป ให้ลองไตร่ตรองดู ไม่มีใครครอบครองสิ่งใดในโลกนี้ได้ตลอดไป และ ไม่มีใครเป็นเจ้าของสิ่งใดแท้จริง แม้แต่ร่างกายเราก็ยังต้องคืนสู่ธรรมชาติ ...

9. อาจไม่รวยล้นฟ้าเหมือนเศรษฐีมีเงิน แต่… เราสามารถมีความสุขอันเรียบง่าย... ที่เศรษฐีโหยหาก็เป็นได้ แค่สุขภาพแข็งแรงมากกว่าคนที่นอนอยู่ตามโรงพยาบาล ก็นับว่าโชคดีกว่าคนอื่นๆ อีกมากเพียงใด ...

10. ความสุขง่ายๆ ที่เรามองข้าม วันนี้ยังกินข้าวได้ ยังนอนหลับสบาย มีบ้านให้หลบฝนหลบแดด มีเสื้อผ้าให้สวมใส่ ไปเที่ยวได้ มีคนรักอยู่ข้างกาย ยังอ่านเฟส เล่นไลน์ อ่านบทความดีๆแบบนี้ได้ แค่นี้คุณก็ถือว่า โชคดีกว่าใครๆ อีกหลายๆ คนแล้ว.

ใต้ร่มธรรม
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ย. 16, 2020 10:37 am

มีคนส่งมาให้อ่าน อ่านแล้วรู้สึกดี ขอแบ่งปันค่ะ
“คุณจะไม่โกรธใครอีกเลย”

หลวงพ่อรูปหนึ่ง ปลูกกล้วยไม้ กระถางหนึ่ง
ดูแลเอาใจใส่ ด้วยความทะนุถนอม กล้วยไม้ ก็แข็งแรง สวยงามยิ่งนัก

วันหนึ่ง หลวงพ่อต้องออกไปธุระหลายวัน
เลยฝากเณรน้อย ให้ช่วยดูแล…เณรน้อย ก็เอาใจใส่ดูแลอย่างดี
กล้วยไม้ ก็ยิ่ง งอกงามด้วยดี
วันหนึ่ง เณรน้อย ต้องออกไปธุระ
ก่อนออกไปได้เอากระถางไปวางตากแดด ที่ริมหน้าต่าง
แต่ไม่นาน ก็เกิดพายุอย่างไม่คาดคิด พัดเอากระถางตกลงบนพื้นแตกกระจาย ต้นกล้วยไม้หักเละ
เณรน้อย กลับมาเห็น ตกใจ และ เสียใจมาก และ ยังกลัวถูก หลวงพ่อตำหนิด้วย
ไม่กี่วัน หลวงพ่อ กลับมา เณรน้อย ก็บอกเล่าตามจริง เตรียมตัว เตรียมใจรับการถูกดุด่า
แต่หลวงพ่อ กลับไม่ได้ว่าอะไร ทำให้ เณรน้อยประหลาดใจ อย่างยิ่ง
เพราะ หลวงพ่อ รักกล้วยไม้ กระถางนี้มาก…

หลวงพ่อ เพียงยิ้ม ๆ แล้วกล่าวว่า
“ ข้า ปลูก กล้วยไม้ ไม่ได้ เพื่อไว้โกรธนะ ”
คำง่าย ๆ กลับกลายเป็น สัจธรรม ปลดปล่อยวางทุกสิ่งลงได้
คนเราทำงาน ไม่ได้เพื่อไว้โกรธกัน
คนเรารักกัน ก็ไม่ได้เพื่อไว้โกรธกัน
สิ่งที่ให้ไปแล้ว เมื่อเอากลับมาไม่ได้
ก็ไม่ต้องโทษใคร หรือ เสียใจ
“ตอนมี ต้องใส่ใจ ตอนเสียไป ให้ปลดปลง”
ไม่ติดค้างใคร ก็พอแล้ว
ถ้าคุณแค้น ชีวิต ก็เต็มไปด้วย ความแค้น
ถ้าคุณ นึกขอบคุณ ที่ใดๆ ก็เต็มไปด้วยเรื่องที่น่าขอบคุณ
ถ้าคุณ เติบโต การงาน ก็จะก้าวหน้า
ไม่ใช่ โลกนี้ เลือกคุณ แต่คุณ เป็นคนเลือก โลกใบนี้
ฉะนั้น จงอย่าโกรธลูก พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนร่วมงาน และทุกสรรพสิ่งในโลก
จงใจกว้าง และ เมตตา อุเบกขา ปล่อยวาง
แค่นี้ ก็สุขใจมากแล้ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ พ.ย. 16, 2020 11:30 am

ความรักที่สูงค่า
แต่มักถูกมองข้าม

ตอนจะเข้านอนก็ร่วมๆ 5 ทุ่มแล้ว ข้างนอกหิมะกำลังโปรยปรายลงมา ซุกตัวเข้าไปในผ้านวมหนาๆ หยิบเอานาฬิกาปลุกขึ้นมาจะตั้งเวลา แบตเตอรี่หมด ที่บ้านก็ไม่มีสำรอง เลยโทรศัพท์ทางไกลไปหาแม่

"แม่ นาฬิกาปลุกหนูหยุดเดิน พรุ่งนี้ต้องไปประชุมแต่เช้าที่บริษัท วานแม่โทรศัพท์ปลุกหนูตอนหกโมงเช้านะ"

เสียงแม่แหบเล็กน้อย คงหลับไปแล้ว ตอบสั้นๆว่า "ได้จ้า"

กำลังฝันดีตอนโทรศัพท์ดัง ฟ้ายังมืดมิด เสียงแม่ดังมาในสาย "ตื่นได้แล้ว"
ฉันเงยหน้ามองนาฬิกา นี่มันแค่ 05.40 อารมณ์หงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย "บอกแม่ให้ปลุกตอนหกโมงไม่ใช่เหรอ ขอหนูนอนอีกหน่อยก็ไม่ได้ แต่ช่างเหอะ" ฉันพูดเชิงต่อว่านิดๆ แม่ไม่ได้พูดอะไร ฉันวางสาย

ออกจากบ้าน วันนี้หนาวจริงๆ หิมะยังตกไม่หยุด ขาวโพลนไปหมด ยืนรอรถเมล์ด้วยความหนาวสั่น ได้แต่ยืนซอยเท้าช่วยไล่ความหนาว ข้างๆมีสามีภรรยาสูงวัยหัวขาวโพลนก็ยืนอยู่เช่นกัน ได้ยินสามีพูดกับภรรยาว่า "ดูสิ เธอเล่นนอนกระสับกระส่ายทั้งคืน รีบปลุกฉันให้ตื่นตั้งแต่สองชั่วโมงที่แล้ว ต้องมายืนรอนานโดยใช่เหตุ"

แล้วรถเมล์เที่ยวแรกจะขับเคลื่อนเข้ามาจอดที่ป้าย ฉันก้าวขึ้นรถไป โชเฟอร์คนนี้เป็นคนหนุ่มที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน พอฉันขึ้นรถเสร็จ ประตูก็ถูกปิดแล้วเขาก็เตรียมออกรถ ฉันรีบตะโกนบอกเขาว่า "นี่คุณ ยังมีคนแก่อีกสองคนยืนรอรถอยู่ข้างล่าง อากาศหนาวซะขนาดนี้ คนเขายืนรอมาตั้งนาน ทำไมไม่ให้เขาขึ้นรถก่อน"

โชเฟอร์หนุ่มตอบด้วยสีหน้าแจ่มใสว่า "ไม่เป็นไรครับ นั่นเป็นพ่อแม่ผมเอง วันนี้ผมมาทำหน้าที่ขับรถวันแรก ท่านมายืนให้กำลังใจผมครับ"

ฉันหันไปมองคนแก่คู่นั้น พวกเขากำลังโบกมือพร้อมส่งรอยยิ้มให้กับลูกชายอย่างชื่นชม

ฉันพลอยรู้สึกยินดีกับชายหนุ่มที่มีพ่อแม่น่ารักแบบนี้

พอฉันได้ที่นั่งเรียบร้อย ก็ได้รับเอสเอ็มเอสจากพ่อ "ลูกรัก แม่โทษตัวเองใหญ่เลยที่ปลุกลูกตื่นเร็วไป แท้จริงแม่แทบไม่กล้าหลับตลอดคืน กระสับกระส่ายทั้งคืน จนปลุกลูกเร็วไปหน่อย กลัวลูกจะไปประชุมไม่ทัน"

อ่านเสร็จ รู้สึกจุกแน่นหน้าอกขึ้นมาอย่างกะทันหัน เพิ่งจะรู้สึกยินดีกับพ่อหนุ่มโชเฟอร์ที่มีพ่อแม่น่ารักมาก แต่กลับไม่รู้สึกยินดีกับตัวเองที่มีพ่อแม่เอาใจใส่ฉันซะขนาดนี้ ซ้ำร้ายกลับทำร้ายความรู้สึกท่านแม้ไม่ได้ตั้งใจ วินาทีนั้นเริ่มรู้สึกได้เลยว่า ความรักของพ่อแม่เราเองที่อุทิศให้กับเราอย่างสม่ำเสมอตลอดเวลา แต่มักถูกมองข้าม เหมือนมันเป็นสิ่งที่เราสมควรจะต้องได้รับอยู่แล้ว วินาทีนั้น มีแต่คำว่าละอายใจอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ ขอโทษ ขอโทษจริงๆ......

ภาษิตชาวยิวบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า
"เวลาพ่อแม่ให้ของแก่ลูก.....ลูกหัวเราะ
เวลาลูกให้ของแก่พ่อแม่.....พ่อแม่แอบร้องไห้"

"ขจรศักดิ์"
แปลและเรียบเรียง
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ พ.ย. 20, 2020 7:49 pm

.....ลูกคือของขวัญจากพระเจ้า.....
บิลล์ เกตต์ เจ้าของบริษัทซอฟแวร์ คอมพิวเตอร์ มหาเศรษฐีของโลก จัดงานวันเกิดให้ลูกสาววัย 5 ขวบ โดยพูดกับลูกว่า “ลูกอยากได้อะไร บอกพ่อมา หุ่นยนต์คอมพิวเตอร์ พ่อจะสั่งลูกน้องสร้างให้เป็นพิเศษ หรือจะลูกสุนัขที่น่ารัก หรือจะเที่ยวรอบโลกก็ได้ พ่อจะพาไปเอง”
ลูกสาวตอบว่า “หนูไม่ต้องการอะไรเลยนอกจากตัวคุณพ่อ อยากให้พ่อกลับบ้านเร็ว ๆ มาสอนหนูทำการบ้าน มาเล่นกับหนู เล่านิทานให้หนูฟังก่อนนอน เท่านี้หนูก็พอใจแล้ว”
เมื่อบิลล์ เกตต์ ได้ฟังดังนั้น น้ำตาคลอเบ้า กอดลูกไว้ และออกระเบียบให้พนักงานที่มีลูกทุกคนเลิกงานก่อนหกโมงเย็น กลับบ้านไปใช้เวลากับลูก ส่วนตัวเขาเองก็กลับบ้านก่อน 6 โมงเย็นทุกวัน ใช้เวลากับลูกสาวที่เขารักมากที่สุด... หลายครั้งเราคิดว่า งานสำคัญกว่าลูก จึงทำงานโดยไม่มีเวลาให้กับครอบครัว
*******************
แปลเเละเรียบเรียง : กอบกิจ ครุวรรณ
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

ศุกร์ พ.ย. 27, 2020 10:51 pm

(+) แครอท – ไข่ – กาแฟ
หญิงสาวคนหนึ่งพูดกับแม่ว่าเธอรู้สึกเบื่อกับชีวิตที่ต้องต่อสู้กับปัญหาที่รบเร้าเธอตลอดเวลา พอแก้ปัญหาเสร็จเรื่องหนึ่งก็มีปัญหาใหม่ ๆ ตามมาอย่างไม่ขาดสาย แม่จึงพาเธอเข้าไปในครัว จากนั้นก็นำหม้อน้ำ 3 ใบมาใส่น้ำและนำไปตั้งไฟแยกกัน 3 เตา หม้อใบแรกเธอใส่หัวแครอท 3 หัว ใบที่สองใส่ไข่ 3 ฟองและใบสุดท้ายเธอเทผงกาแฟบดลงไปพอสมควร
หลังจากนั่งรออยู่เงียบ ๆ ราว 20 นาทีเธอก็ปิดเตาแก๊ส จากนั้นก็ตักแครอทใส่จานใบหนึ่ง ตักไข่ใส่จานอีกใบหนึ่ง และรินกาแฟผ่านที่กรองใส่ไว้ในเหยือกแก้ว เมื่อเสร็จแล้วเธอก็ถามลูกสาวว่า “ตอนนี้บอกแม่ซิว่าลูกเห็นอะไรบ้าง” – ก็ได้คำตอบว่า “แครอท – ไข่ – กาแฟ” แม่จึงให้เธอเข้าไปใกล้ ๆ และให้จับหัวแครอทดู ลูกสาวทำตามและเห็นว่าหัวแครอทนิ่มกว่าก่อนถูกต้มมาก... แล้วแม่ก็ให้เธอปอกไข่ เธอทำตามและพูดว่าเป็นไข่ที่แข็งกว่าก่อนถูกต้ม ที่สุดแม่ก็ให้ลูกสาวเทกาแฟใส่ถ้วยชิม ลูกสาวยิ้มและพบว่าเป็นกาแฟที่มีกลิ่นหอมน่าดื่ม หลังจากลูกสาวทำครบทั้งสามอย่างแล้วก็ถามแม่ว่า “ที่แม่ให้หนูดูและทำทั้งสามอย่างนี้หมายความอะไร”
แม่จึงอธิบายว่า ทั้งสามสิ่งนี้ต่างต้องต่อสู้กับความร้อนมาด้วยกัน แครอทสู้กับความร้อนด้วยความแข็งกร้าว แต่เมื่อสู้กับความร้อนได้ไม่นานมันก็สงบลงและอ่อนตัวลงเป็นลำดับ... ไข่ดิบที่เหลวซ่อนตัวอยู่ในเปลือกที่เปราะบาง ต่อสู้กับความร้อนและเข้มแข็งมากขึ้น... ส่วนผงกาแฟต่อสู้กับน้ำเดือดด้วยการเปลี่ยนน้ำธรรมดาเป็นน้ำกาแฟ... จากนั้นเธอก็ถามว่า “แล้วลูกเป็นแบบไหนล่ะในการแก้ปัญหาของลูก ?”
ลูกเริ่มคิดและพูดว่า “ถ้าลูกทำตัวเหมือนแครอทคือใช้ความแข็งกร้าวรับมือ ในที่สุดลูกก็จะหมดแรงและพ่ายแพ้... ถ้าทำตัวเหมือนไข่ดิบ คือเป็นคนมีจิตใจอ่อนแอ เมื่อเกิดปัญหาก็พยายามต่อสู้จนที่สุดก็จะเป็นคนที่หนักแน่นและเข้มแข็งได้มิใช่หรือ? … ถ้าทำตัวเหมือนผงกาแฟ คือเมื่อถูกความร้อนหรือเมื่อเกิดปัญหาที่เจ็บปวด ลูกก็จะใช้จิตใจที่ดีงามที่มีอยู่ในตัวปรับเปลี่ยนสถานการณ์ที่เลวร้ายรอบด้านให้เป็นบรรยากาศที่น่ารื่นรมย์ได้” ขอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาว่าท่านจะใช้วิธีทำตนเป็นแครอท – ไข่ – หรือผงกาแฟ ในการแก้ปัญหาของท่าน
************
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ ธ.ค. 14, 2020 8:11 pm

.....เนยหนึ่งปอนด์กับความซื่อสัตย์...
แปลโดย กอบกิจ ครุวรรณ จากเรื่อง “A pound of butter”
ชาวนาคนหนึ่งขายเนยหนัก 1 ปอนด์ให้คนทำขนมปังคนหนึ่งทุกวัน อยู่มาวันหนึ่งคนทำขนมปังคนนั้นอยากตรวจสอบน้ำหนักของเนยว่าเที่ยงตรงตามที่ตกลงกันหรือไม่ ปรากฏว่าเนยมีน้ำหนักต่ำกว่า 1 ปอนด์ เขารู้สึกโกรธมากและนำชาวนาไปชำระคดีที่ศาล
ศาลถามเขาว่า “ท่านใช้ตราชั่งมาตรฐานในการขายเนยหรือเปล่า?”
ชาวนาตอบว่า “ข้าแต่ศาลที่เคารพ กระผมเป็นชาวบ้านที่ยากจนไม่มีตราชั่งมาตรฐาน แต่กระผมก็ใช้อุปกรณ์ตรวจสอบน้ำหนักขอรับ
ศาลจึงถามว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านชั่งน้ำหนักเนยที่ขายให้คนขายขนมปังอย่างไร?
ชาวนาตอบว่า “ข้าแต่ศาลที่เคารพ ตั้งแต่นานมาแล้วจนถึงวันนี้ ทุกวันกระผมซื้อขนมปังหนัก 1 ปอนด์จากคนขายขนมปังคนนี้ ดังนั้นเมื่อผมขายเนยให้เขา ผมก็ใช้วิธีเอาขนมปังหนัก 1 ปอนด์ที่ซื้อจากเขามาวางไว้บนจานรองของอุปกรณ์ตรวจน้ำหนักของผมด้านหนึ่ง และเอาเนยน้ำหนักเท่ากันวางไว้บนจานรองอีกข้างหนึ่งขอรับ ถ้าน้ำหนักเนยที่ผมขายไปไม่ถึง 1 ปอนด์ก็คงไม่ใช่ความผิดของผมขอรับศาลที่เคารพ”
---------------------------
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ธ.ค. 15, 2020 9:38 pm

เลิกบ่นเสียที
แปลโดย กอบกิจ ครุวรรณ จากเรื่อง “Stop wasting your time complaining”
ผู้คนมากมายไปหาปราชญ์คนหนึ่ง และพร่ำบ่นให้ท่านฟังถึงปัญหาเดิม ๆ อยู่ทุกวัน ที่สุดปราชญ์คนนั้นจึงเล่าเรื่องตลกเรื่องหนึ่งที่ทำให้พวกเขาพากันหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง
ครู่ต่อมา ปราชญ์คนนั้นก็เล่าเรื่องตลกเดิมให้พวกเขาฟังอีก ครั้งนี้มีเพียงไม่กี่คนหัวเราะ
หลังจากนั้นไม่นาน ปราชญ์คนนั้นก็เล่าเรื่องเดิมซ้ำเป็นครั้งที่ 3 ซึ่งไม่มีผู้ใดหัวเราะเลยเมื่อเล่าจบ
ปราชญ์ผู้นั้นยิ้มและพูดต่อไปว่า “พวกท่านไม่รู้สึกตลกและหัวเราะกับมุกเดิม ๆ ใช่ไหม... แล้วทำไมพวกท่านถึงบ่นซ้ำไปมากับปัญหาเดิมเล่า?”
*******************
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ธ.ค. 22, 2020 7:13 pm

.....คงไม่ได้กันง่าย ๆ หรอกนะ.....
แปลโดย กอบกิจ ครุวรรณ จากเรื่อง “You are not going to get anything handed to you”
ชายคนหนึ่งขึ้นไปบนยอดเขาและถามพระว่า “พระเป็นเจ้าครับ ระยะเวลา 1 ล้านปืนานเท่าใดสำหรับพระองค์”
พระตรัสตอบว่า “นาน 1 นาที”
ชายผู้นั้นถามต่อว่า “แล้วเงิน 1 ล้านดอลล่าร์ล่ะครับ มีค่าเท่าใดสำหรับพระองค์”
พระตรัสตอบว่า “1 สตางค์”
ชายคนนั้นจึงพูดขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้น ข้าพระองค์ขอเงิน 1 สตางค์จากพระองค์ได้ไหมครับ”
พระตรัสตอบว่า “ได้เลย ขอเวลาไปหยิบเงินสักหนึ่งนาทีก่อนนะ”
****************
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อังคาร ม.ค. 05, 2021 11:31 am

.....ท่านมองเห็นพระเป็นเจ้าไหม?....
หนูน้อยคนหนึ่งถามพี่สาวที่โตกว่าเล็กน้อยเกี่ยวกับพระเป็นเจ้าว่า "พี่ซูซี่ครับ คนเราสามารถมองเห็นพระเป็นเจ้าได้จริง ๆ หรือ?" -- ซูซี่กำลังเล่นอยู่ จึงตอบอย่างห้วน ๆ ว่า "ไม่มีทางเห็นหรอก อย่าโง่ไปเลย พระเป็นเจ้าอยู่ในสวรรค์ไกลโพ้นจนไม่มีใครแลเห็นพระองค์ได้"

เวลาได้ผ่านไปนานพอสมควรแต่คำถามก็ยังคงคาใจเขาอยู่ เขาจึงถามแม่ว่า "แม่ครับ คนเราสามารถมองเห็นพระเป็นเจ้าได้จริง ๆ หรือ?" -- แม่ตอบเขาด้วยน้ำเสียงที่เรียบง่ายว่า "เราคงไม่เห็นพระองค์จริง ๆ หรอก พระเป็นเจ้าทรงเป็นจิตและประทับอยู่ในใจของเรา แต่เราไม่สามารถแลเห็นพระองค์ได้จริง ๆ"

เขาพอใจกับคำตอบของมารดาพอสมควร แต่ก็ยังคงอดประหลาดใจไม่ได้ จนเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นและวันหนึ่งคุณปู่ที่เป็นคนศรัทธาและมีจิตใจที่เยือกเย็นได้ชวนเขานั่งเรือไปตกปลาด้วยกัน ทั้งสองสนุกสนานมากกับการนั่งเรือชมทิวทัศน์และการตกปลา จนถึงตอนเย็น ดวงอาทิตย์เริ่มทอแสงสีทองเจิดจรัสในท้องฟ้า ผู้เป็นปู่จ้องมองซึมซับความงามของธรรมชาติที่ทวีมากขึ้นอยู่ทุกขณะ เขาเห็นใบหน้าของคุณปู่ที่แสดงออกถึงความสงบสุขเป็นอย่างยิ่งจึงอดถามท่านไม่ได้ว่า "คุณปู่ครับ ผมว่าจะไม่ถามคำถามนี้กับคนอื่นอีกแล้ว... ผมไม่แน่ใจว่าคุณปู่จะไขคำตอบที่ค้างอยู่ในใจผมมานานหลายปีแล้วว่า คนเราสามารถแลเห็นพระเป็นเจ้าได้จริง ๆ หรือครับ?"
ชายชรายังคงจ้องมองไปยังท้องฟ้าและชื่นชมความงามของท้องฟ้าเช่นเดิม จนครู่ใหญ่ต่อมาจึงตอบเบา ๆ ว่า "หลานเอ๋ย ปู่กำลังเฝ้ามองดูพระองค์อยู่จนปู่ไม่เห็นสิ่งอื่นเลย"
----------------
แปลและเรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. มี.ค. 18, 2021 8:33 pm

เมื่อเศรษฐีพันล้าน ฟีมี โอเทโดลา นักธุรกิจชาวไนจีเรีย ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ เขาถูกถามว่า
“ท่านครับ ท่านจำอะไรได้บ้าง ที่ทำให้ท่านเป็นคนที่มีชีวิตเป็นสุขที่สุด”

ฟีมีตอบ:
“ผมผ่าน 4 ขั้นตอนของความสุขในชีวิตมาแล้ว จนในที่สุดผมก็เข้าใจความหมายของความสุขอันแท้จริง”

ความสุขขั้นแรก คือ การสะสมความร่ำรวย และหนทางสร้างความร่ำรวย แต่ในขั้นตอนนี้ ผมก็ไม่ได้รับความสุขตามที่ผมต้องการ

จากนั้น ในขั้นที่สอง ด้วยการสะสมข้าวของที่มีราคา มีคุณค่านานาชนิด แต่ผมก็ได้รู้ว่า ผลของการทำเช่นนี้ มันไม่ยั่งยืน และความแวววาวของสิ่งมีค่าทั้งหลายก็อยู่ได้ไม่นาน

แล้วก็ถึงขั้นที่สาม คือ การได้ทำโครงการใหญ่ๆ ซึ่งตอนนั้น ผมได้ครอบครอง การจ่ายน้ำมันดีเซลล์ถึง 95% ในประเทศไนนีเรีย และในทวีปอาฟริกา ผมยังเป็นเจ้าของเรือบรรทุกสินค้าที่ใหญ่ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอาฟริกาและเอเซีย
ถึงขนาดนี้ ผมก็ยังไม่ได้ความสุขที่ผมเคยใฝ่ฝันไว้

ในขั้นที่ 4 เกิดขึ้นเมื่อเพื่อของผมคนหนึ่ง ขอให้ผมซื้อรถนั่งติดลูกล้อให้กับเด็กพิการ ก็แค่ 200 คนเท่านั้น

ผมทำตามคำขอร้องของเพื่อน ซื้อรถสำหรับคนพิการในทันที

แต่เพื่อนคนนั้น ขยั้นขยอให้ผมไปกับเขา ไปมอบรถให้กับเด็กๆ ผมก็พร้อม จึงไปกับเขา

ผมได้มอบรถนั่งติดล้อให้กับเด็กเหล่านั้นด้วยมือของผมเอง ผมได้เห็นความสุขอันเรืองรองอย่างน่าประหลาดบนใบหน้าของเด็กๆเหล่านั้น ผมได้เห็นพวกเขานั่งบนรถติดล้อ ผลักไปรอบๆ สนุกสนานกันใหญ่

นี่เหมือนกับว่า พวกเขาได้ไปสถานที่สนุกสนาน ซึ่งพวกเขากำลังแบ่งปันรางวัลใหญ่กันเลย

ผมรู้สึก มีความปีติ อย่างแท้จริงอยู่ภายในตัวผม พอผมจะต้องออกจากที่นั่น เด็กคนหนึ่งมาเกาะที่ขาของผม ผมพยายามขยับขาออกเบาๆ แต่เด็กคนนั้น จ้องหน้าของผม โดยโอบขาของผมไว้แน่น

ผมก้มลง ถามเด็กคนนั้นว่า “ยังอยากได้อะไรอีกหรือหนู”

คำตอบที่เด็กคนนั้นให้ผม ไม่เพียงแต่ทำให้ผมมีความสุขเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับชีวิตไปโดยสิ้นเชิง เด็กคนนั้นพูดว่า

“หนูต้องการจดจำใบหน้าของลุงเผื่อว่า หนูได้พบลุงในสวรรค์ หนูจะได้ จำลุงได้ และบอกขอบคุณลุงอีกครั้งหนึ่ง”

แล้วคุณล่ะ ถ้าคุณจะออกจากที่นั้น คุณอยากให้เขาจดจำคุณอย่างไร ?

แล้วจะมีใครบ้างไหม? ที่อยากพบเห็นคุณอีกสักครั้งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นแห่งหนตำบลไหนก็ตาม

นี่เป็นข้อเขียนที่ต้องอ่าน!
ข้อเขียนนี้ทำให้ผมครุ่นคิด ผมภาวนาว่า ข้อเขียนนี้ จะทำให้คุณได้ครุ่นคิดเช่นกันนะ

สุวิน : แปล และขอบคุณผู้นำเรื่องนี้มาเผยแพร่ด้วยครับ
ตอบกลับโพส