นักบุญโฮเซ่มารีอา เอสกรีบา เดปาลาเกรกับการประกาศ

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ธ.ค. 24, 2020 12:47 pm

นักบุญโฮเซ่มารีอา เอสกรีบา เด ปาลาเกร กับการประกาศพระศาสนาในหมู่ปัญญาชน (ตอนที่ (1)
โดยคุณพ่อ อังกังเชโล ปาร์ร็อตตา, แปลโดย กอบกิจ ครุวรรณ
นักบุญ โฮเซ่มารีอา (Saint Josemaria Escriva de Balaguer : 1902-75) เกิดในแคว้นอารากอน ประเทศสเปน เมื่อวันที่ 9 มกราคม ค.ศ.1902 ท่านเป็นบุตรคนที่สองในครอบครัวที่มีพี่น้อง 6 คน เมื่ออายุได้ 2 ขวบ ท่านป่วยหนักจนเกือบเสียชีวิต บิดามารดาเป็นผู้มีความเชื่ออย่างมั่นคงได้สัญญากับแม่พระว่า หากลูกหายป่วยก็จะพาไปแสวงบุญที่วัดตอร์เรซีอูดา (Torreciudad) ใกล้เทือกเขาพีรีนีส พระเป็นเจ้าทรงสดับฟังคำวิงวอนที่ผ่านทางแม่พระและโปรดให้ท่านหายป่วย
ในปีค.ศ.1910 ลูกสาว 3 คนของครอบครัวจากโลกนี้ไปทีละคน โฮเซ่มารีอารู้สึกเป็นกังวลและพูดกับแม่ว่า “ปีหน้าก็ถึงตาผมแล้ว” แม่จึงพูดปลอบเขาว่า “อย่าคิดมากไปเลยลูก อย่าลืมนะว่าเราได้ถวายลูกแด่แม่พระแล้ว ดังนั้นลูกจึงอยู่ในความดูแลของแม่พระนะลูก”
เมี่อท่านมีอายุได้ 16 ปี ก็รู้สึกว่ามีพระกระแสเรียก : “วันนั้นอากาศแจ่มใส ผมพูดกับพ่อว่า ผมอยากเป็นพระสงฆ์...เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพ่อร้องไห้ พ่อได้เตรียมแผนการชีวิตอย่างอื่นไว้ให้ผมแล้วแต่พ่อก็ไม่ปฏิเสธ ท่านเพียงพูดตอบว่า ลูกรัก พระสงฆ์เป็นคนศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้ที่มีชีวิตลำบาก ไม่มีบ้าน ไม่มีครอบครัวและไม่มีความรักตามประสาของชาวโลก ลูกคิดตรองดูให้ดีแล้วค่อยมาคุยกันใหม่ พ่อสัญญาว่าจะไม่ปฏิเสธความตั้งใจของลูก”
ท่านใช้เวลาอีกปีเศษในการคิดไตร่ตรองและปรึกษากับพระสงฆ์องค์หนึ่งซึ่งมีความเห็นว่า ท่านมีพระกระแสเรียกจริง ในปี 1920 ท่านก็เข้าบ้านเณรที่เมืองซารากอสซา ท่านเป็นเณรที่เฉลียวฉลาดและมีความประพฤติดี พระคาร์ดินัลโซลเดบีลาตั้งท่านเป็นหัวหน้าเณร
โฮเซ่มารีอาชอบเฝ้าศีลเป็นเวลานานและรำพึงตามพระคัมภีร์ในวัดน้อยที่บ้านเณร วันที่ 28 มีนาคม 1925 ท่านรับศีลอนุกรมบวชเป็นพระสงฆ์ และได้รับมอบหมายให้ปกครองวัดที่มีสัตบุรุษราว 800 คน คุณพ่อสร้างบรรยากาศความศรัทธาแก่สัตบุรุษในเขตวัดที่อยู่ในการปกครองของท่านเป็นอย่างดี
ต่อมาคุณพ่อได้ศึกษากฎหมายต่อที่เมืองซารากอสซา ก่อนจะศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยกรุงมาดริดซึ่งในสมัยนั้นเป็นมหาวิทยาลัยเดียวที่ให้การศึกษาระดับปริญญาเอก ที่กรุงมาดริดคุณพ่อพักอยู่ที่บ้านพักพระสงฆ์ของคณะนักบวชสตรีแพร่ธรรมแห่งพระหฤทัยพระเยซูเจ้า เป็นคณะนักบวชที่ดูแลมูลนิธิผู้ป่วยและทำงานด้านสังคมสงเคราะห์ สอนคำสอนและให้การศึกษาแก่คนยากจน คุณพ่อช่วยงานคณะนักบวชสตรีนี้อย่างเต็มที่ควบคู่กับการศึกษาเล่าเรียน รวมทั้งเป็นคุณพ่อจิตตาธิการของมูลนิธิผู้ป่วยระหว่างปี 1927-1931 คุณพ่อกล่าวว่า “งานช่วยเหลือผู้คนถือเป็นงานที่ให้ความสุขสูงสุดแก่ผู้ให้บริการ และนี่คืองานที่พระสงฆ์ทุกคนต้องปฏิบัติทั้งกลางวันกลางคืน มิฉะนั้นเราก็ไม่ใช่พระสงฆ์”
ชีวิตของคุณพ่อดำเนินมาถึงจุดพลิกผันในวันที่ 2 ตุลาคม 1928 ขณะที่คุณพ่อกำลังจัดห้องอยู่ก็ได้ยินเสียงระฆังและได้รับญาณหยั่งทราบถึงอนาคตที่เกี่ยวกับ “งานของพระเป็นเจ้า” (โอปุสเดอี : Opus Dei) คุณพ่อได้รับการดลใจจากพระและตระหนักถึงแนวทางการรับใช้พระในชีวิตประจำวันของเราทุกคนโดยไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับอายุ ชาติกำเนิด หรือวัฒนธรรม คริสตชนที่ประสงค์จะเข้าร่วมงานและปฏิบัติตนให้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้นโดยทำหน้าที่ตามปกติในชีวิตประจำวันด้วยความรักพระและเผยแผ่ความเชื่อของตนสู่ผู้อื่น การกระทำเช่นนี้จะช่วยให้ผู้นั้นตระหนักถึงหน้าที่ของตนพร้อมกับการแพร่ธรรมด้วยความร้อนรนยิ่งขึ้น โปรดติดตามตอนที่ 2ในวันพรุ่งนี้
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

พฤหัสฯ. ธ.ค. 24, 2020 12:49 pm

นักบุญโฮเซ่มารีอา เอสกรีบา เด ปาลาเกร กับการประกาศพระศาสนาในหมู่ปัญญาชน (ตอนที่ 2)
โดยคุณพ่อ อังกังเชโล ปาร์ร็อตตา, แปลโดย กอบกิจ ครุวรรณ
คุณพ่อโฮเซ่มารีอาได้รับอนุญาตจากพระสังฆราชในการเผยแพร่สิ่งที่ได้รับการดลใจนี้สู่นานาประเทศ คุณพ่อประสบความทุกข์ยากอยู่ไม่น้อยและต้องอดทนต่อสู้กับปัญหาต่าง ๆ ตลอดเวลาเพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปตามแผนงาน
คุณพ่อป่วยเป็นโรคเบาหวานเฉียบพลันในปี 1944 คุณพ่อกล่าวในวันหนึ่งว่า “แพทย์ที่รักษาต่างเชื่อว่าพ่ออาจเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ เพราะเมื่อพ่อเข้านอน พ่อไม่แน่ใจว่าเช้าวันรุ่งขึ้นจะตื่นขึ้นอีกหรือไม่ และเมื่อตื่นในตอนเช้า พ่อก็ไม่แน่ใจว่าจะมีชีวิตรอดอยู่จนถึงค่ำวันนั้นหรือไม่” อย่างไรก็ตาม แผนการของพระก็มิได้เป็นเช่นที่คาดกันไว้ เพราะคุณพ่อยังคงทำงานที่มีอยู่ล้นมือในสวนองุ่นของพระองค์ได้อย่างต่อเนื่อง จิตวิญญาณของคุณพ่อมีแต่ความปรารถนาให้ผู้คนรักพระคริสตเจ้า โดยเฉพาะแผน“การแพร่ธรรมในหมู่ปัญญาชน” คุณพ่อสวดภาวนาอย่างร้อนรน และที่สุดในปี 1952 ความฝันของคุณพ่อก็เริ่มบรรลุผลเมื่อคุณพ่อสามารถตั้งกลุ่มปัญญาชนได้เป็นครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยนาวาร่า ทางภาคเหนือของประเทศสเปน ในปี 1969 คุณพ่อเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยปีอูรา (Piura) ที่ประเทศเปรู และยังได้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยอีกหลายแห่งในหลายประเทศเพื่อเป็นศูนย์เผยแพร่วัฒนธรรมแห่งพระวาจา
คุณพ่อให้สัมภาษณ์ครั้งหนึ่งว่า “งานโอปุส เดอี มีลักษณะเป็นสถาบันเกี่ยวกับการส่งเสริมมนุษยสัมพันธ์ วัฒนธรรมและสังคม เป็นงานที่กระทำโดยผู้ที่อุทิศตนทำงานตามพระวรสารด้วยไฟแห่งความรักในพระคริสตเจ้า”
หลังพระสังคายนาวาติกันครั้งที่ 2 คุณพ่อรู้สึกเป็นทุกข์มากเนื่องจากเกิดมีความชั่วร้ายมากขึ้นขณะที่ผู้คนกลับมีความเชื่อน้อยลง
“ช่วงปีแห่งการสวดภาวนา 1970 ซึ่งเป็นปีแห่งความทุกข์ยาก คุณพ่อซื้อสายประคำหลายพันสายแจกจ่ายแก่ทุกคนที่พบคุณพ่อ และ ขอร้องพวกเขาให้ช่วยกันสวดภาวนาเพื่อพระศาสนจักร หันหน้าเข้าพึ่งพระมารดาแห่งพระศาสนจักรเพื่อให้‘เวลาแห่งการทดลอง’สิ้นสุดลงโดยเร็ว คุณพ่อเริ่มจาริกแสวงบุญไปยังสถานที่ต่าง ๆ ที่แม่พระเคยประจักษ์ด้วยจิตใจที่เศร้าหมอง คุณพ่อมีเพียงความหวังเหนือธรรมชาติและสัญชาตญาณแห่งความสุขุมเยือกเย็นเท่านั้นเป็นเครื่องปลอบประโลมใจ”
ในปีนั้น (1970) คุณพ่อเดินทางไกลอย่างต่อเนื่องเพื่อประกาศพระวาจา ปลุกกระตุ้นความเชื่อของพวกเขา คุณพ่อใช้วิธีการทำงานที่เรียบง่ายด้วยการติดต่อโดยตรง จากนั้นก็ตั้งคำถามและตอบพร้อมกับอธิบายอย่างเฉียบคม ก่อนจะสวดภาวนาด้วยน้ำเสียงอันดัง
ปี 1975 สายตาของคุณพ่อเริ่มฝ้าฟาง มีอยู่ครั้งหนึ่งคุณพ่อสวดภาวนาว่า “พระเจ้าข้า ลูกก้าวไปต่อไม่ไหวแล้ว แต่ลูกก็ยังต้องดูแลลูก ๆ ในปกครอง; สายตาของลูกมองเห็นได้ไม่เกิน 3 เมตรแต่ลูกจะต้องมองให้เห็นอนาคตข้างหน้าเพื่อชี้ทางให้แก่ลูก ๆ ขอพระองค์โปรดช่วยให้ลูกมองเห็นได้ด้วยสายพระเนตรของพระองค์ด้วยเถิดพระเจ้าข้า!”
เดือนพฤษภาคมปีนั้นเองคุณพ่อจาริกแสวงบุญเป็นครั้งสุดท้ายไปยังวัดตอร์เรซีอูดาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งคุณพ่อตั้งใจจะสร้างสักการะสถานแม่พระขึ้นที่วัดนี้เพื่อให้เป็นสถานที่จะมี “พระพรอย่างอุดมที่พระเป็นเจ้าจะประทานแก่ผู้ที่เข้าพึ่งพระมารดาของพระองค์ คุณพ่ออยากให้สักการะสถานนี้มีที่ฟังแก้บาปมาก ๆ เพื่อที่ผู้คนจะได้อาศัยศีลแก้บาปกลับมามีวิญญาณที่บริสุทธิ์และเริ่มต้นเจริญชีวิตคริสตชนที่ดีอีกครั้งหนึ่ง รู้จักรักและทำงานในพระหรรษทาน และนำสันติสุขของพระเยซูเจ้ามาสู่ครอบครัวของพวกเขา
เช้าวันที่ 26 มิถุนายน 1975 คุณพ่อไปเยี่ยมฆราวาสหลายคนที่ถวายตนตามข้อกำหนดที่คุณพ่อวางไว้ คุณพ่อพูดให้กำลังใจพวกเขาว่า “พ่อเชื่อว่าพวกเธอสามารถใช้ข้าวของทุกสิ่งในโลกเป็นแรงบันดาลใจในการสนทนากับพระและพระมารดาของพระองค์ได้ เราต้องรักพระศาสนจักรและพระสันตะปาปาให้มากไม่ว่าพระองค์จะเป็นผู้ใดก็ตาม จงสวดขอพระเป็นเจ้าโปรดให้งานที่เราทำประสบผลอย่างอุดมเพื่อพระศาสนจักรและสมเด็จพระสันตะปาปา” หลังจากนั้นไม่นานคุณพ่อล้มลงและถูกนำส่งไปยังบ้านพักที่วิลลาเตเวเร กรุงโรม เมื่อไปถึงคุณพ่อก็ไปเฝ้าศีล และขณะที่หันมาทางพระรูปแม่พระแห่งกัวดาลูปที่แขวนอยู่ที่ผนัง คุณพ่อก็ล้มลงและมรณภาพด้วยสายตาที่ชำเลืองมองดูภาพแม่พระเป็นครั้งสุดท้าย
*************** จบบริบูรณ์
ตอบกลับโพส