“สู่อิสรภาพ “ (8 ตอนจบ)

ใครมาใหม่เชิญทางนี้ก่อน ทักทาย ทดลองโพส
ตอบกลับโพส
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ก.พ. 28, 2021 10:23 pm

......สู่อิสรภาพ (ตอนที่ 1
) โดย ฟรานซิส บอค และ เอ็ดเวิร์ด ทิฟนัน; จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2548/2005, เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ
เรื่องจริง ชะตากรรมของหนุ่มชาวเผ่าดิงก้าซึ่งถูกลักพาตัวไปเป็นทาส ทำให้โลกประจักษ์ว่ากองกำลังอาหรับที่โหดร้ายป่าเถือนของซูดานคอยคุกคามชนเผ่าอื่นมานานหลายสิบปี
ฟาร์มของพ่อผมอบอุ่นด้วยครอบครัวและเพื่อนพ้อง เราเลี้ยงไก่ แพะ แกะ และวัว ในไร่มีต้นมะม่วงออกลูกเต็มต้นและต้นมะพร้าวลูกโตเท่าหัวคน ผมรู้สึกว่าพ่อเป็นเจ้าของฟาร์มที่เก่งที่สุดในหมู่บ้านชาวดิงก้า บ้านของเราอยู่ทางใต้ของแม่น้ำบาร์อัลอาหรับประมาณ 100 กิโลเมตร แม่น้ำสายนี้เป็นเส้นเขตแดนระหว่างฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ของประเทศซูดาน
ครอบครัวของเราอาศัยในบ้านสองหลัง หลังหนึ่งสำหรับผู้หญิงและอีกหลังหนึ่งสำหรับผู้ชาย แต่ละหลังสร้างด้วยโคลนและมุงด้วยฟาง ครอบครัวเราไม่มีใครได้รับการศึกษาในระบบเลย ผมใช้ชีวิตเหมือนกับเด็กผู้ชายคนอื่น ๆ คือหาอะไรเล่นไปวัน ๆ เที่ยวเตร่ตามทุ่ง แต่กิจกรรมสุดโปรดของผมคือตามพ่อไปทำงานในไร่ วันหนึ่งพ่อบอกผมว่า ในจำนวนลูกทั้งหมดของพ่อมีผมเพียงคนเดียวที่ทำงานหนักและไม่ย่อท้อ ผมซึมซับคำพูดของพ่อและรู้สึกเป็นสุขอย่างยิ่ง ฝันว่าโตขึ้นจะมีฟาร์มใหญ่และเลี้ยงสัตว์มากมาย
ตอนที่แม่บอกว่า จะขอให้เด็กโตในหมู่บ้านพาผมไปขายของที่ตลาดในเมืองใกล้ ๆ ผมรู้สึกว่านี่เป็นก้าวแรกของการโตเป็นผู้ใหญ่ในแบบฉบับที่พ่ออยากเห็น ผมเคยตามพ่อนำสัตว์ไปแลกเปลี่ยนสิ่งของมาแล้วหลายครั้งและตามแม่ไปซื้อของอยู่บ่อย ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ครอบครัวของเรายังไปร่วมพิธีที่โบสถ์คาทอลิกในเมืองนั้นด้วย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะได้เดินทางไปในเมืองโดยไม่มีพ่อหรือแม่ไปด้วย
เมื่อถึงวันเดินทาง มีกลุ่มเด็กโตกว่าผมมารับผมที่บ้าน แม่เตือนว่า “พอขายของได้ ต้องเอาเงินฝากพี่ ๆ ไว้จะได้ไม่หาย”
ผมคว้าหาบไข่ต้มกับถั่วต้ม พวกเราเดินทางไปตามถนน ไม่นานก็ถึงตลาด ผู้คนเริ่มตั้งแผงอยู่ใต้ร่มไม้ กลิ่นปลา ผัก และผลไม้คละคลุ้ง พอขายของได้ ผมก็เอาเงินฝากไว้กับรุ่นพี่ตามที่แม่บอก
จู่ ๆ ผู้คนที่เดินขวักไขว่ หน้าตาตื่น พูดคุยเสียงเซ็งแซ่ บางคนชี้ไปทางแม่น้ำ ผมได้ยินเสียงตะโกน “มีควันขึ้นในหมู่บ้าน” หลายคนวิ่งลนลานมาบอกว่า “สงสัยจะเป็นพวก‘มูราฮาลีน’มาเผาบ้านเรือนของเรา” ผมเคยได้ยินชาวบ้านพูดถึงคนอันตรายกลุ่มนี้ พวกเขามาจากทางเหนือ ชอบฆ่าคนและขโมยสัตว์ แต่ผมยังไม่เคยเห็นมูราฮาลีนกับตาเลย
ลูกค้าเริ่มผละจากตลาด คนขายรีบเก็บของ ทันใดนั้นเราได้ยินเสียงดังเปรี้ยงเป็นชุด ทุกคนวิ่งหน้าตั้ง ‘มูราฮาลีนมากันแล้ว’ ผู้คนรีบหนี ชายถือปืนกลุ่มแรกขี่ม้าไล่ยิงผู้คนด้วยปืนไรเฟิล ตามด้วยกลุ่มเดินเท้าซึ่งทั้งไล่ยิงและถือดาบไล่ฟันพวกเราไม่ยั้งมือ
พวกนี้ไม่ใช่เผ่าดิงก้า แต่เป็นเผ่าผิวสีอ่อนกว่าเรา พวกเขาโพกศีรษะและสวมเสื้อคลุมยาว ใช้ปืนยิงและใช้ดาบฟันชาวดิงก้าอย่างไม่ปรานี ผมไม่เคยเห็นเหตุการณ์โหดเหี้ยมเช่นนี้มาก่อน
“หนีเร็ว” มีเสียงตะโกนบอก “ทิ้งของไว้แล้วหนีเร็ว” ผมวิ่งหนีไปจากตลาดแต่เห็นม้าตัวใหญ่วิ่งสวนมา บนหลังม้ามีผู้ชายถือปืนเล็งจ่อมาที่ผม ผมหยุดวิ่งทันทีด้วยความตกใจ และยังไม่ทันขยับตัวก็มีคนคว้าตัวผมจากด้านหลัง ปรากฏว่าเป็นชาวอาหรับอีกคน เขาตะโกนพลางโบกปืนในมือ ผมคิดในใจว่าต้องถูกฆ่าแน่ มองไปทางไหนก็เห็นแต่ผู้คนหวีดร้องแล้วล้มฟุบ ชายอาหรับคนนั้นผลักไสผมกลับเข้าตลาดพร้อมกับเด็กคนอื่น ๆ ทุกคนร้องไห้และกรีดร้องหาพ่อแม่ (โปรดติดตามตอนที่ (2)ในวันพรุ่งนี้)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ก.พ. 28, 2021 10:26 pm

.......สู่อิสรภาพ (ตอนที่ (2)
โดย ฟรานซิส บอค และ เอ็ดเวิร์ด ทิฟนัน; จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2548/2005, เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ ผมมองไปรอบ ๆ เพื่อหาคนช่วย แต่เห็นเพียงร่างที่ปราศจากลมหายใจของชาวดิงก้าเลือดไหลนองเหมือนน้ำในลำธาร ผมไม่เคยเห็นศพมาก่อน แต่ตอนนี้เห็นเยอะจนนับไม่ถ้วน ผมอยากไปหาแม่ อยากให้พ่อมาอุ้มขึ้นใส่บ่าพากลับบ้าน ร่างกายและจิตใจของผมชาไปหมดขณะรอว่าเมื่อไหร่จะถูกฆ่า
เมื่อผู้ชายเผ่าดิงก้าล้มลงจนไม่เหลือ พวกมูราฮาลีนก็หยุดการฆ่าฟัน มี 2-3 คนเฝ้าพวกเราเด็ก ๆ ไว้ พวกที่เหลือเริ่มเก็บอาหารใส่กระบุง ผู้ชายคนหนึ่งจับตัวผมขึ้นขี่หลังลา ผู้หญิงบางคนวิ่งเข้าหาลูก ๆ ของเธอแต่ถูกพวกทหารเถื่อนทุบตีขับไส
หลังจากพวกมันเก็บข้าวของที่ปล้นได้หมดแล้วก็มุ่งหน้าออกไปจากเมือง พวกที่ขี่ม้าออกนำหน้า ตามด้วยทหารถืออาวุธและลา ถัดมาเป็นพวกเด็กโตและผู้หญิงซึ่งถูกบังคับให้ขนข้าวของพี่พวกเราเพิ่งซื้อขายกันอยู่ในตลาดเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
เราขี่ลาไปท่ามกลางความมืด ผมใจเต้นระทึก ในหัวเต็มไปด้วยคำถามสารพัด ทำไมคนพวกนี้ต้องไล่ฆ่าคนอื่นแบบนี้ พวกเขาจะจับผมไปไหน พ่อกับแม่ปลอดภัยหรือไม่ ตลอดคืนนั้นเราเดินทางตัดป่าจนมาถึงทุ่งโล่งแห่งหนึ่ง พวกเขาให้พวกเราเด็ก ๆ ลงมานั่งกับพื้นแล้วตะคอกใส่ พวกเรากลัวจนบอกไม่ถูก ทุกคนได้แต่นิ่งเงียบยกเว้นสองพี่น้องซึ่งร่ำไห้พลางพูดว่าพวกเธอเห็นพ่อกับแม่ถูกยิงตายต่อหน้าต่อตา
ทหารคนหนึ่งคว้าตัวเด็กคนพี่และสั่งให้เงียบ แต่เด็กหญิงคนนั้นไม่หยุดร้อง เขาลากตัวเธอไปด้านข้างก่อนจะยกปืนไรเฟิลขึ้นเล็งที่ศีรษะและเหนี่ยวไกทันที เสียงปืนดังก้องไปทั่วป่าและจางหายไปพร้อมกับเสียงร้องของเด็กคนนั้น เด็กคนน้องยิ่งร้องไห้หนักขึ้น ร้องจนตัวงอและสั่นเทิ้มด้วยแรงสะอื้น เธอร้องไห้จนไร้สติ พอพวกเราปิดปากเงียบ เสียงร้องของเธอก็ยิ่งดังขึ้น ทหารมูราฮาลีนคนหนึ่งใช้ดาบฟันฉับที่ต้นขาของเธอจนขาด ผมจำได้แค่นี้ แต่จำไม่ได้ว่าเธอหยุดร้องหรือไม่
พวกมูราฮาลีนเริ่มแบ่งสันปันส่วนพวกเรา ชายคนหนึ่งคว้าตัวผมแล้วดุนหลังให้เดินไปที่ม้า เขาจับผมขึ้นนั่งบนหลังอานม้า จากนั้นก็ใช้เข็มขัดผูกรอบเอวผมไว้ ผมวิงวอนให้เขาปล่อยผมกลับบ้านไปหาพ่อแม่ แต่เขาขี่ม้าไปเรื่อยๆ ผมร้องไห้สะอึกสะอื้นทั้งคืน
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ผมจึงเห็นว่าสภาพภูมิประเทศแตกต่างจากที่คุ้นเคย ต้นไม้มีขนาดเล็กกว่าที่เคยเห็นมาก่อน ผู้คนมีผิวสีอ่อน ผมมั่นใจว่าเราข้ามพรมแดนเข้าไปในเขตตอนเหนือของซูดานแล้ว พ่อเคยบอกว่าที่นี่ไม่มีชาวดิงก้าอาศัย มีแต่พวกอาหรับ เราขี่ม้าไปจนถึงฟาร์มแห่งหนึ่ง ทหารมูราฮาลีนคนนั้นลงจากม้า แล้วหิ้วตัวผมให้มายืนบนพื้น เด็ก 3 คนวิ่งออกมาจากในบ้านตามด้วยแม่ของพวกเขา ทั้งแม่และเด็กกรูกันเข้ามากอดทหารคนที่พาผมมา เด็ก ๆ เดินมาใกล้ตัวผม ทุกคนหัวเราะและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ผมสังเกตเห็นน้องคนเล็กอายุไล่เลี่ยกับผม ในใจคิดว่าเขาคงเป็นเพื่อนผมได้
ทุกคนหน้าตามีความสุขมากและเริ่มร้องเพลงสลับกับคำร้องซ้ำ ๆ ว่า “อะบีด ๆ ๆ” ผมไม่ทันสังเกตว่าพวกเขาถือไม้อยู่ในมือ มารู้ตัวก็ตอนที่พวกเขาเริ่มตีผมรวมทั้งเด็กที่ผมคิดว่าเขาน่าจะเป็นเพื่อนได้ ผมยกมือปัดป้อง แต่ไม้หวดลงมาสุดแรงจนเจ็บแปลบราวกับถูกไฟลวก พ่อแม่ของพวกเขาได้แต่มองดูลูก ๆ ฝากรอยไม้เรียวไว้บนตัวผมจนลายพร้อย
หลังจากนั้น ทหารคนนั้นก็พาผมไปที่กระท่อมเล็กสร้างด้วยโคลน แล้วชี้ไปยังผ้าห่มที่กองอยู่บนพื้น ผมล้มตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยอ่อนแต่หลับไม่ลง ผมบอกตัวเองว่า พ่อคงอยากให้ผมเข้มแข็ง ในใจผมอดคิดไม่ได้ว่าครอบครัวจะต้องเป็นห่วงผมมาก และอยากให้พ่อกับพี่ชายมาช่วย ในที่สุดผมก็ผล็อยหลับไป
ผมตื่นขึ้นเพราะแสงแดดยามเช้าแยงตา ไม่นานทหารคนเดิมกับเมียก็มาที่กระท่อมพร้อมกับลูก ๆ ที่เริ่มร้องเพลง “อะบีด”อีกพร้อมกับหัวเราะและชี้มาที่ตัวผม ทหารคนนั้นส่งชามข้าวให้ แม้อาหารจะบูดแต่ผมก็กินเพราะหิวจัด (โปรดติดตามตอนที่ (3)ในวันพรุ่งนี้)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ก.พ. 28, 2021 10:27 pm

....สู่อิสรภาพ (ตอนที่ (3)
โดย ฟรานซิส บอค และ เอ็ดเวิร์ด ทิฟนัน; จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2548/2005, เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ หลายวันต่อมา ผมเฝ้ารอว่าจะมีคนมาที่นี่และบอกว่าทุกอย่างเกิดจากความผิดพลาด แต่ก็ไม่มีใครโผล่มาเลยยกเว้นทหารคนนั้นกับลูกชาย ไม่นานผมก็รู้ว่าทหารคนนั้นชื่อ “จีเอมม่า อับดุลลาห์” ส่วนลูกชายคนโตชื่อ “ฮามิด” พวกเขาเลี้ยงแพะ แกะ ม้า อูฐ และปศุสัตว์อื่น ๆ เช้าวันหนึ่ง หลังจากจีเอม่ากับฮามิดปล่อยสัตว์ออกจากคอก จีเอมม่าก็ยื่นแส้อันเล็ก ๆ ให้ผม พวกเขาต้อนสัตว์ไปทางชายป่า ผมรู้ทันทีว่าต้องตามพวกเขา แต่ตอนนั้นยังไม่เฉลียวใจเลยว่า นี่คือวันแรกของการตกเป็นทาสที่ต้องทำงานโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน นอกจากของเหลือจากอาหารเย็นของนาย ซ้ำยังถูกตีด้วยแส้ที่ใช้เฆี่ยนสัตว์อีกด้วย
เราต้อนแพะไปที่ป่า หากมีแพะหลุดจากฝูง ผมจะต้องวิ่งไปต้อนกลับมา ไม่นานผมก็ตระหนักว่านี่คืองานของผม
ขณะเดินเข้าไปในป่าละเมาะ ผมเห็นเด็กผิวดำอีกคนต้อนฝูงวัว ยิ่งเดินลึกเข้าไปก็ยิ่งเห็นเด็กผิวดำทำงานคนแล้วคนเล่า ฮามิดเห็นเด็กผิวดำพวกนั้นเหมือนกันและเดาใจผมออก เขาตะคอกใส่ผมพลางส่ายหน้าเป็นสัญญาณว่า ผมเข้าใกล้เด็กคนอื่น ๆ ไม่ได้เลย และรู้ว่าคนที่ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันไม่ได้มีผมคนเดียว ผมมั่นใจด้วยว่าเด็กเหล่านี้เป็นพวกดิงก้า
หลายชั่วโมงผ่านไป เราต้อนฝูงสัตว์ไปยังแม่น้ำเล็ก ๆ แถวนั้น ไปถึงก็เห็นสัตว์หลายร้อยตัวกำลังกินน้ำอยู่และยังมีอีกหลายร้อยตัวยืนคอยคิว นอกจากนี้ยังมีเด็กผิวดำอีกจำนวนมากด้วย ฮามิดบุ้ยใบ้สั่งให้ผมเฝ้าแพะไว้และต้องอยู่ห่าง ๆ จากเด็กดิงก้าพวกนั้น และเมื่อเข้าไปใกล้พวกเขา ผมก็ตกใจมากที่ได้ยินพวกเขาคุยกันเป็นภาษาอาหรับ อย่างไรก็ตาม ผมได้ความกระจ่างมาอย่างหนึ่งคือ ฮามิดพูดถึงเด็กคนอื่น ๆ ว่า “อะบีด” ซึ่งหมายถึง “คนผิวดำ” หรือ “ทาส”นั่นเอง
ทุกวันผมจะออกไปกับฮามิดเพื่อฝึกเป็นเด็กต้อนแพะ วันหนึ่งฮามิดขี่ม้ามาที่กระท่อม เขาขี่ม้าเข้าไปในป่าโดยมีผมวิ่งตาม ต่อมาเขาขี่ม้าหายลับไป ผมเริ่มวิตกว่าจะต้อนสัตว์กลับเข้าคอกได้อย่างไร แต่ไม่นานฮามิดก็กลับมา ทั้งหมดนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของงาน หน้าที่ของฮามิดคืออยู่กับผมและสัตว์ตลอดวัน แต่เขาสามารถขี่ม้าหลบไปในบางโอกาสและอาจไปเยี่ยมเพื่อนฝูงได้โดยที่ผมไม่มีทางรู้ว่าเขาจะไปและกลับมาเมื่อไร อิสรภาพของเขาสะท้อนให้เห็นว่าผมไม่มีอิสระ
ผมได้รับเตียงไม้ปูใบปาล์มและผ้าห่มบาง ๆ หนึ่งผืนซึ่งดีกว่านอนบนพื้น แต่ผมก็ยังเกลียดชีวิตตัวเองและเกลียดที่ต้องดูแลสัตว์ให้จีเอมม่า บางวันผมไม่อยากออกไปเลี้ยงสัตว์เลย จีเอมม่าจะลากขาผมออกจากผ้าห่ม “แกไม่อยากตื่นมายืนบนขาทั้งสองข้างใช่ไหม” เขาพูดพลางทำท่า “งั้นก็ไม่ต้องมีขาสองข้างหรอก ฉันจะตัดออกให้ข้างหนึ่ง แกจะได้นอนที่นี่ทั้งวันตามสบาย” เขาพูดอย่างนี้บ่อย ๆ จนผมคิดว่าเป็นแค่คำขู่หลอกเด็ก จนกระทั่งวันหนึ่ง จีเอมม่ากับผมกลับมาจากทุ่งเลี้ยงสัตว์ ผมเห็นเด็กดิงก้าคนหนึ่งมีขาข้างเดียว “เกิดอะไรขึ้นกับเขา” ผมถาม
จีเอมม่ายิ้มเยาะและตอบว่า “ฉันเคยบอกแล้วไงว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับเด็กที่ทำตัวไม่ดี เขาพยายามหลบหนี พอเจ้านายจับได้ก็ตักเตือน แต่เขาไม่ฟัง หนำซ้ำยังพยายามหลบหนีอีก แล้วก็เป็นอย่างที่เห็น” จึเอมม่ายักไหล่เหมือนกับจะบอกว่า เจ้านายอย่างเขาไม่มีทางเลือก ผมจ้องดูเด็กขาด้วนไม่วางตาขณะที่จีเอมม่าพูดต่อ “นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นถ้าแกขัดคำสั่ง”
หน้าที่ประจำวันดำเนินไปเช่นนี้อยู่หลายสัปดาห์ เริ่มจากฮามิดกับผมพาแพะออกไปที่ทุ่งเลี้ยงสัตว์ เลือกบริเวณที่มีหญ้าขึ้นงอกงาม จากนั้นก็ต้อนไปกินน้ำ ฮามิดเฝ้ามองผมวิ่งไล่ตามแพะที่หลุดออกจากฝูง แต่ละวันผ่านไปอย่างเชื่องช้า ผมเกลียดแดดร้อนเปรี้ยงและความโกลาหลที่ริมแม่น้ำ พอพระอาทิตย์ตก ฮามิดกับผมก็มุ่งหน้ากลับบ้าน ผมจะกินมื้อเย็นตามลำพังและนอนอยู่ในกระท่อมติดกับคอกแพะ
ผมเกลียดตัวเองที่ไม่เข้าใจว่า คนเหล่านี้พูดคุยเรื่องอะไรกัน จึงตั้งใจว่าจะต้องเรียนรู้ภาษาแปลก ๆ ของพวกเขาให้ได้ ผมพยายามฟังทุกคำที่จีเอมม่าพูดกับลูกชาย เวลาผ่านไปจากวันเป็นสัปดาห์ หลายสัปดาห์ต่อมา ผมก็เริ่มแยกแยะเสียงพูดออกเป็นคำ ๆ ได้ ผมเรียนรู้ว่า “ฮานิม”หมายถึง“แพะ” และ“ซาฮัล”หมายถึง“หญ้า” ไม่นานยังได้รู้ความหมายของคำว่า “ฮ็อป” ที่พวกเขาชอบพูดกันติดปาก ซึ่งแปลว่า “รัก” หรือ “ชอบ” จากจุดนี้เองทำให้ผมเข้าใจว่า จีเอมม่าชอบอะไรและไม่ชอบอะไร การเรียนรู้ภาษาเป็นความสุขเพียงไม่กี่อย่างของผม (โปรดติดตามตอนที่( 4)ในวันพรุ่งนี้)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ก.พ. 28, 2021 10:28 pm

.....สู่อิสรภาพ (ตอนที่ (4)
โดย ฟรานซิส บอค และ เอ็ดเวิร์ด ทิฟนัน; จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2548/2005, เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ ผมทำงานเป็นผู้ช่วยฮามิดจนคล่อง แต่แล้ววันหนึ่ง ผมต้องพาฝูงแพะออกไปเลี้ยงโดยไม่มีฮามิดคอยคุม ผมต้อนฝูงสัตว์ไปเรื่อย ๆ มีบางตัวเดินแตกแถว ผมเรียกมันกลับ ถ้าแพะหาย ผมรู้ดีว่า จีเอมม่าจะต้องโกรธจัด ผมต้อนแพะไปถึงทุ่งหญ้าได้อย่างราบรื่น ในใจเริ่มคิดว่าดีเหมือนกันที่ไม่มีฮามิดคอยบงการ แต่แล้วผมก็เลิกฝันหวานเมื่อเห็นฮามิดขี่ม้าโผล่ออกมาตรงชายป่า เขามาตรวจงาน
เมื่อถึงแม่น้ำ ผมระแวดระวังไม่ให้แพะเดินหลงไปแม้แต่ตัวเดียว ขณะดวงตะวันยอแสง ผมก็ต้อนฝูงแพะมุ่งหน้ากลับบ้าน จีเอมม่าไม่พอใจ “มีแพะหายไป” เขาบอก ผมไม่อยากเชื่อเลยเพราะพยายามสุดความสามารถแล้ว จีเอมม่านับแพะเสร็จก็หันมาตะคอกใส่ผมและเฆี่ยนด้วยแส้ ไม่นานเพื่อนบ้านก็นำแพะ 2 ตัวที่หายไปมาส่งให้
ผมขยาดโทษทัณฑ์จากจีเอมม่า ผมกลัวทำแพะหายอีกจึงคอยติดตามไม่ให้คลาดสายตา ผมทำงานเก่งขึ้นมากแต่ไม่วายกลัวว่าจะทำพลาดจนถูกเฆี่ยนอีก ในหัวผมมีคำถามมากมาย วันหนึ่ง ผมถามจีเอมม่าเป็นภาษาของเขาว่า “ทำไมไม่มีคนชอบผมเลย” เขาจ้องหน้าผมเหมือนได้ยินแพะพูดภาษาคน “แล้วทำไมนายบังคับให้ผมนอนกับสัตว์พวกนี้” ผมถามต่อ
“แกไปหัดพูดภาษานี้มาจากไหน” จีเอมม่าตะคอกถาม ใบหน้าแดงก่ำด้วยโทสะ เขาตีผมแล้วเดินจากไป สองวันต่อมา เขากลับมาและบอกว่า “อยากรู้ใช่ไหมว่าทำไมไม่มีคนรักแก ทำไมแกต้องนอนกับสัตว์ ก็เพราะแกเป็นสัตว์ไงล่ะ”
คำตอบของเขาทำให้ผมงงมาก แต่อย่างน้อยก็กระจ่างใจว่าทำไมเขาจึงปล่อยให้ลูก ๆ ตีผม ทำไมจึงเอาเศษอาหารให้กิน ทำไมจึงให้นอนในกระท่อมที่มีสภาพไม่ต่างจากคอกสัตว์ ตอนนี้ผมเริ่มรู้แล้วว่า ชีวิตจะไม่ดีขึ้นเลยถ้าขืนอยู่กับคนพวกนี้ ในวินาทีนั้นเองที่ผมเริ่มวางแผนหลบหนี
ช่วงบ่ายหลังแพะกินหญ้ากินน้ำจนอิ่ม ผมพอมีเวลานั่งใต้ร่มไม้และวางแผนหลบหนี ผมกำลังเรียนภาษาของพวกเขาเพราะคงช่วยให้ผมขอความช่วยเหลือจากชาวอาหรับได้ แต่ผมต้องศึกษาภูมิประเทศแถบนั้นด้วย ผมตัดสินใจว่าแต่ละวันที่พาสัตว์ออกไปเลี้ยง ผมจะต้องสังเกตสภาพรอบ ๆ ให้ถี่ถ้วน มองหาว่าถนนอยู่ตรงไหนและจำให้ได้ว่าพวกนายทาสจะขี่ม้าตรวจดูทาสทำงานตรงจุดไหนบ้าง
ในซูดานมี 2 ฤดูคือฤดูฝนกับฤดูแล้ง ผมถูกจีเอมม่าจับตัวมาช่วงฤดูแล้งราวเดือนเมษายนหรือพฤษภาคม จากนั้นก็ย่างเข้าหน้าฝน บางครั้งน้ำฝนรั่วซึมผ่านหลังคาฟางในกระท่อม พอถึงเดือนกุมภาพันธ์ก็เป็นฤดูแล้งอีกครั้งและหญ้าเริ่มอัตคัด
วันหนึ่งจีเอมม่าบอกว่า “เราต้องย้ายที่อยู่” เขาอธิบายว่าสัตว์ต้องกินหญ้าและทุ่งหญ้าในบริเวณนี้ถูกกินจนเหี้ยนหมดแล้ว แต่ละปีผมต้องช่วยครอบครัวของจีเอมม่าเก็บของและต้อนฝูงสัตว์หลายครั้งเพื่อย้ายไปตั้งหลักแหล่งใหม่ในพื้นที่ที่มีหญ้าอุดมกว่า
ขณะที่เรารอคิวพาสัตว์ลงไปกินน้ำในแคมป์เลี้ยงสัตว์ มีเด็กชายชาวอาหรับเดินมาทักฮามิด เพื่อนของฮามิดเดินมากับเด็กชาวดิงก้าคนหนึ่งที่ส่งยิ้มให้ผมและพูดเป็นภาษาอาหรับว่า “สันติสุขจงบังเกิดกับท่าน” (โปรดติดตามตอนที่ 5ในวันพรุ่งนี้)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ก.พ. 28, 2021 10:30 pm

......สู่อิสรภาพ (ตอนที่ (5)
โดย ฟรานซิส บอค และ เอ็ดเวิร์ด ทิฟนัน; จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2548/2005, เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ อีก 2-3 วันต่อมา ผมเห็นเด็กชาวดิงก้าคนนั้นอีก คราวนี้เขาอยู่คนเดียว ผมเองก็ไม่มีนายอยู่ด้วย เขาถามเป็นภาษาอาหรับว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม” ถ้าจะตอบกันจริง ๆ ผมคงต้องใช้เวลาเป็นวัน แต่ผมตอบสั้น ๆ เป็นภาษาดิงก้าว่า “ก็เรียบร้อยดี” เขามองรอบ ๆ ตัวให้แน่ใจว่าไม่มีคนอยู่แถวนั้น แล้วถามผมเป็นภาษาดิงก้าว่า ผมมาจากไหน ผมดีใจที่ได้ยินภาษาของตัวเอง คุยไปคุยมาจึงรู้ว่าเรามาจากพื้นที่เดียวกัน “ที่นี่อันตรายมาก” เขาเตือน จากนั้นก็บอกให้ผมทำงานให้ดี เพราะถ้าเด็กทาสคนไหนบ่นจะต้อง“เจ็บตัว”
ผมเล่าว่านายกับลูก ๆ เฆี่ยนตีผมบ่อยอยู่แล้ว เขาส่ายหน้า“แต่คราวนี้แหละ เจ็บของจริง” เขาเล่าว่ามีเด็กหลายคนถูกทุบตีหรือแม้กระทั่งถูกยิงทิ้งขณะพยายามหลบหนี จากนั้นเขาก็กลับมาพูดภาษาอาหรับ “อย่าพูดภาษาดิงก้ากับฉัน” เขาเตือน “เดี๋ยวฉันจะมีปัญหา นายจะคิดว่าพวกเรากำลังทำผิดคิดร้าย” ผมรับปากว่าจะพูดภาษาของนายทาสเท่านั้น “ฉันต้องไปทำงานแล้ว” เขาบอก “ระวังตัวให้ดี” เขาย้ำอีกครั้ง จากนั้นก็ปล่อยให้ผมจมอยู่กับความคิดของตัวเองรวมทั้งภาพของเด็กขาด้วนคนนั้น
ตอนนี้พ่อกับแม่คงจำผมไม่ได้แล้ว เพราะเมื่อมองดูเงาตัวเองในน้ำ ผมเห็นตัวเองโตขึ้นมาก สูงใหญ่เกือบเท่าจีเอมม่าและสูงกว่าฮามิด ผมบอกตัวเองว่าพ่อแม่ต้องภูมิใจในตัวผมแน่ ๆ ผมทำงานเก่งและฉลาดพอที่จะไม่หาเรื่องใส่ตัว
แล้วจีเอมม่าก็ทำให้ชีวิตผมยุ่งยากอีกครั้ง “พรุ่งนี้แกเปลี่ยนไปเลี้ยงวัวแทน”เขาสั่ง งานนี้ไม่ต่างจากการดูแลฝูงแพะหรือฝูงแกะยกเว้นตอนที่แพะชนกันผมจับมันแยกออกจากกันได้ แต่ถ้าเป็นวัวผมมีหวังถูกขวิดแน่ ต่อมาจีเอมม่าสั่งให้ผมดูแลอูฐด้วย พอผมบ่นเขาก็สั่งให้หุบปาก “ถ้าแกไม่อยากทำงาน ฉันจะยิงทิ้งหรือตัดขาทิ้งจะได้นอนอยู่บ้านให้สบายใจ”
แต่ละวันดำเนินไปเหมือนเดิม ตอนเช้าผมต้อนฝูงวัวไปกินหญ้า จากนั้นก็พาไปกินน้ำโดยผมต้องยืนตากแดดรอ เสร็จแล้วก็ต้อนกลับไปที่ทุ่งหญ้า เมื่อพระอาทิตย์ตกจึงต้อนกลับบ้าน ผ่านไป 7 ฤดูแล้ง ผมเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมาย รู้ว่ามีถนนหลายสายไม่ไกลจากทุ่งหญ้าที่พาสัตว์ไปเลี้ยงเป็นเวลาหลายปี ขณะนี้ผมพูดภาษาอาหรับได้คล่องแล้ว ผมรู้ด้วยว่า ขืนอยู่ต่อไปอีก 7 ปีชีวิตจะยิ่งจมปลัก ร่างกายของผมเกลียดงานหนักและการเฆี่ยนตี จิตใจเป็นทุกข์เพราะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ในที่สุดผมก็ตัดสินใจว่าถึงเวลาแล้ว“พรุ่งนี้” ผมบอกตัวเอง “เราจะพาวัวออกไปเลี้ยงเหมือนปกติ แต่จะไม่กลับมา”
ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ผมต้อนฝูงวัวออกไปเลี้ยงเหมือนปกติ พอมันเริ่มเล็มหญ้า ผมก็ปล่อยพวกมันไว้ตรงนั้นแล้วก็รีบวิ่งไปที่ถนนใกล้ ๆ ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งไปเรื่อย ๆ ผมกำลังทำสิ่งที่ใฝ่ฝันมาตลอด 7 ปี ทันใดนั้น ผมเห็นวัวฝูงหนึ่งมุ่งหน้าตรงมา มีผู้ชายคนหนึ่งขี่ม้าตาม ท้องไส้ผมเริ่มปั่นป่วน ถ้าเขาเห็นผมทุกอย่างก็จบ ผมหันหลังและวิ่งย้อนกลับคิดว่าคงไปถึงป่าก่อนเขาจะทันเห็น ไม่กี่อึดใจผมได้ยินเสียงฝีเท้าม้าไล่หลังมา “แกจะไปไหน” ชายคนนั้นถาม ผมหนีไม่สำเร็จ ชายคนนั้นพาผมกลับไปที่บ้าน จีเอมม่าเห็นผม เขาทำท่างง ๆ ชายขี่ม้าอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น จีเอมม่าคว้าแส้มาเฆี่ยนผมอย่างไม่ยั้งมือ ผมไม่ปัดป้องเลย พอตีจนหนำใจเขาก็เตือนว่า “ถ้าแกหนีอีก แกจะมีสภาพเหมือนกับเด็กที่แกเห็น ฉันเอาแกเจ็บแน่” (โปรดติดตามตอนที่ 6 ในวันพรุ่งนี้)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ก.พ. 28, 2021 10:31 pm

......สู่อิสรภาพ (ตอนที่ (6)
โดย ฟรานซิส บอค และ เอ็ดเวิร์ด ทิฟนัน; จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2548/2005, เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ เช้าวันรุ่งขึ้น จีเอมม่าต้อนวัวไปที่ทุ่งหญ้าด้วยตัวเอง เช้าวันต่อมา ผมบอกจีเอมม่าว่าจะทำงานนี้เอง เขาจ้องหน้าผมและเตือนว่า “อย่าหนีอีกนะ” ผมรับคำแล้วต้อนวัวออกไปเหมือนปกติ แต่พอพระอาทิตย์ใกล้จะลับ แทนที่จะต้อนฝูงวัวกลับบ้าน ผมกลับมุ่งหน้าไปที่ถนนอีกครั้ง คราวนี้ผมวิ่งไปคนละทางกับคราวก่อน พยายามหลบตามแนวป่าลัดเลาะไปตามถนน เกือบชั่วโมงต่อมา ผมเห็นแม่น้ำสายเล็ก ๆ ซึ่งมีคนกำลังล้างตัวอยู่กลุ่มใหญ่มีทาสปะปนอยู่ด้วยหลายคน ผมตัดสินใจว่าควรเสี่ยงหยุดพักสักครู่ ทุกคนคงเข้าใจว่าผมกำลังทำงาน
ผมคุกเข่าลงวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า เย็นสดชื่นเหลือเกิน “เราจะต้องเดินหน้าไปต่อ” ผมบอกตัวเอง แต่ทันใดนั้น ผมก็รู้สึกแปลก ๆ สัญชาตญาณบอกว่ากำลังจะมีอันตราย พอหันไปดูก็เห็นจีเอมม่า เขากำลังเทียมม้ากับเกวียน สายตาผมเล่นตลกหรือเปล่า หรือว่ามันเป็นความฝัน แต่นี่ไม่ใช่ความฝัน พอเห็นหน้าเขา ผมก็รู้สึกเหมือนถูกชกที่ท้องอย่างแรง เขามองหน้าผมและถามว่า “แกมาทำอะไรที่นี่”
“มาหาน้ำกิน วัวก็อยู่แถวนี้”
“ที่ไหน” จีเอมม่ามองไปรอบ ๆ ไม่มีวี่แววฝูงวัวของเขา
“ไม่ไกลหรอก” ผมโกหกต่อ
“งั้นไปหาวัวกัน” จีเอมม่าบอก เราสองคนจึงออกเดินไปหาฝูงวัว ทีแรกผมคิดว่าจีเอมม่าเชื่อผม เขาคงคิดไม่ถึงว่าผมจะบ้าดีเดือดขนาดพยายามหนีอีกครั้งหลังจากเพิ่งถูกจับได้และถูกเฆี่ยนเมื่อสองวันก่อน แต่พอเดินไปเรื่อย ๆ ก็ไม่เห็นวัวสักตัว จีเอมม่าเริ่มอารมณ์เสีย “แกพยายามหนีอีกแล้วใช่ไหม”
ผมไม่ตอบ ได้แต่รอให้เขาตีผม แต่จีเอมม่าพูดสั้น ๆ ว่า “กลับบ้าน”
พอไปถึงบ้าน เขาด่าและตีผมยกใหญ่ จากนั้นก็ลากผมเข้าไปในห้องและเหวี่ยงผมลงกับพื้น “คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายในชีวิตแก” เขาบอกขณะใช้เส้นหนังมัดมือมัดเท้าผมไว้แน่น ผมนั่งนิ่ง นึกโกรธตัวเองที่โง่มาก ไม่นานทั้งแขนและขาก็เจ็บมากขึ้น ยิ่งดิ้นแรงหนังที่มัดอยู่ดูเหมือนจะรัดแน่นขึ้นกว่าเดิม จีเอมม่ากลับมาอีก ถือแส้และปืนเข้ามาด้วย เขายกปืนเล็งมาที่ผมและพูดว่า “พรุ่งนี้ฉันจะฆ่าแก” ผมนึกสงสัยว่าถ้าถูกยิงจะรู้สึกเจ็บหรือเปล่า แล้วเขาก็ลดปืนลงและเดินออกไปจากห้อง ผมร้องไห้ด้วยความโล่งใจ จากนั้นก็ร้องไห้อีกเมื่อตระหนักว่า คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายของชีวิต
ผมจำไม่ได้ว่าคืนนั้นนอนหลับหรือไม่ ในใจมีแต่ความโกรธ ความกลัว และเสียงสวดวิงวอน ฟ้ายังมืดอยู่ตอนจีเอมม่ากลับมา เขาไม่ได้ถือปืนมาด้วย เขาเริ่มแก้ปมหนังที่มัดออก ปากพร่ำว่า “ถ้าแกหนีอีก ฉันฆ่าแกแน่ สาบานได้”
ผมตอบว่า “ผมจะไม่ทำอย่างนั้นอีก”
“ฉันไม่อยากฆ่าแก เพราะแกดูแลวัวให้ฉัน”
ผมนั่งอยู่ในกระท่อม หวังว่าจีเอมม่าจะไม่เปลี่ยนใจ ผมไม่คิดหนีอีกแล้ว คืนนั้นความกลัวเข้าครอบงำจิตใจผมจนทำอะไรไม่ถูก เวลาเห็นจีเอมม่าเดินตรงเข้ามาหา ผมจะใจเต้นแรง “แกไม่หนีอีกแน่นะ”
“ไม่ครับ” ผมสัญญา คราวนี้ผมไม่โกหก ผมไม่คิดหนีจริง ๆ การพยายามหนีทำให้ผมรู้ว่าตัวเองอยู่ใกล้ความตายแค่ไหน
3 วันต่อมา จีเอมม่าให้ผมกลับไปทำงาน ผมตระหนักว่านายอาจมองว่าผมเป็น“สัตว์” แต่เขาก็ชอบสัตว์ตัวนี้ ฉะนั้นผมจะต้องทำตัวเป็นสัตว์ขยัน งานของผมสำคัญยิ่งชีวิต (โปรดติดตามตอนที่ (7)ในวันพรุ่งนี้)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

อาทิตย์ ก.พ. 28, 2021 10:32 pm

.....สู่อิสรภาพ (ตอนที่ (7)
โดย ฟรานซิส บอค และ เอ็ดเวิร์ด ทิฟนัน; จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2548/2005, เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ ผมไม่ได้โกหกจีเอมม่าตอนที่ผมบอกว่าเลิกคิดหนีแล้ว แต่ท้ายที่สุดเมื่อความเจ็บปวดและความกลัวค่อย ๆ ลดลง สิ่งที่ไม่เคยจางหายไปคือความต้องการจะไปให้พ้นจากที่แห่งนี้ ที่ซึ่งผมถูกบังคับให้ทำงานและใช้ชีวิตเยี่ยงสัตว์ ชีวิตเยี่ยงนี้ก็เหมือนกับตายไปแล้วมิใช่หรือ แผนการใหม่คือรอให้เวลาผ่านไป 3 ปีแล้วค่อยพยายามหนีอีกครั้ง ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมจึงเลือกรออีก 3 ปี แต่ก่อนอื่นผมต้องทำให้จีเอมม่าวางใจผมเหมือนก่อน และเมื่อครบ 3 ปีแล้ว ถึงตอนนั้นผมคงจะแข็งแรงขึ้น ฉลาดขึ้นและวางแผนรอบคอบขึ้น ดังนั้นผมจึงทำงานอย่างสุดความสามารถ หลายเดือนต่อมา ท่าทางจีเอมม่าพอใจผมมาก เมียของเขาถึงกับออกปากถามว่า “คุณเก็บมันไว้ทำไม ทำไมไม่ฆ่าเสียให้หมดเรื่อง” จึเอมม่าตอบว่า “มันช่วยดูแลฝูงวัว มันทำงานเก่ง”
ผมอายุครบ 15 แล้วก็ 16 และเต็ม 17 ตอนนี้ผมสูงกว่าจีเอมม่า นอกจากนั้นผมยังสามารถเดินและวิ่งได้ทนหลายชั่วโมง ร่างกายของผมแข็งแรงมากไม่แพ้จิตใจ ผมมั่นใจว่าตัวเองโตเป็นผู้ชายเต็มตัวในแบบฉบับที่พ่อเคยฝันไว้
ผมวางแผนว่าจะหนีไปตอนเช้า แล้วหลบซ่อนอยู่ในป่าจนกว่าจะเดินทางไปถึงเมืองค้าขายอย่างเมืองมูตาริ ผมรู้จักถนนไปมูตาริ ผมบอกตัวเองว่าคราวนี้จะไม่ล้มเหลว ถ้ามีคนมาจับ ผมจะสู้ ผมจะไม่ยอมกลับไปเป็นทาสอีกเด็ดขาด
เช้าวันนั้น ผมต้อนวัวออกไปตามปกติ ทันทีที่วัวเริ่มเล็มหญ้า ผมก็ออกวิ่งสุดฝีเท้าทะลุป่าที่เลียบถนนมุ่งหน้าสู่มูตาริ ไม่มีคนมาหยุดผม ตอนนี้ผมไปได้ไกลที่สุดในรอบสิบปีนับแต่ตกเป็นทาส ผมรู้สึกร้อน เหนื่อยและตัวเหนียวเหนอะหนะ แต่โล่งใจระคนตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ก่อนพระอาทิตย์ตกดินผมก็มาถึงเมืองมูตาริ พอเดินเข้าเมือง ผมก็เห็นเด็กดิงก้าหลายคนกับนาย แต่ไม่มีใครสงสัยว่าผมเพิ่งหนีมา ผมชื่นชมกับความรู้สึกใหม่ที่ได้เป็นตัวของตัวเอง ผมเป็นอิสระแล้ว
ผมตัดสินใจไปหาตำรวจ จึงไปยังอาคารชั้นเดียวที่สร้างด้วยโคลน ตำรวจคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะ “ผมต้องการความช่วยเหลือ” ผมบอก เขาพาผมไปหาตำรวจอีกคน ผมเล่าให้ตำรวจคนที่สองฟังว่าหนีมาจากนายทาสและต้องการพบคนที่มาจากภาคใต้ เขาสั่งให้ผมรอ ผมนั่งอยู่ที่นั่นนานหลายชั่วโมง ในที่สุดตำรวจอีกคนก็พาผมไปที่ครัวและสั่งว่า “ทำความสะอาดให้เรียบร้อย”
(โปรดติดตามตอนที่ 8ในวันพรุ่งนี้)
ภาพประจำตัวสมาชิก
rosa-lee
โพสต์: 5937
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ม.ค. 29, 2010 2:37 pm

จันทร์ มี.ค. 01, 2021 6:12 pm

สู่อิสรภาพ (ตอน 8)
โดย ฟรานซิส บอค และ เอ็ดเวิร์ด ทิฟนัน; จากหนังสือสรรสาระ ฉบับเดือนเมษายน 2548/2005, เรียบเรียงโดย กอบกิจ ครุวรรณ สองเดือนต่อมา ผมทำงานเป็นเด็กรับใช้ในครัวให้ตำรวจมูตาริ เขาให้อาหารผม ส่วนผมก็ทำงานแลกและนอนในห้องครัว เมื่อรู้ว่าพวกเขาคงไม่ช่วยผมแน่ ในวันที่มีตลาดนัดผมจึงแอบหนีจากสถานีตำรวจและหายไปท่ามกลางฝูงชน
ที่ริมตลาด มีรถบรรทุกจอดขนถ่ายสินค้าอยู่หลายคัน คงมีสักคันพาผมออกไปจากเมืองมูตาริได้ ผู้ชายคนหนึ่งชื่ออับดาห์ให้ผมปีนขึ้นไปบนรถของเขาและให้ซ่อนตัวอยู่ใต้กองสินค้า อับดาห์บอกว่าจะพาผมไปบ้านเกิด แต่เตือนว่าที่นั่นก็อันตรายเหมือนกัน เขาชวนผมกลับบ้านกับเขา “ไม่ต้องกลัวนะ” เขาบอก “ฉันอยากให้เธอปลอดภัย”
สองเดือนต่อมา ผมไปอยู่กับอับดาห์ เมียของเขาและลูกชายอีก 2 คน เมียเขาให้ผมกินอาหารเหมือนกับที่ทุกคนในครอบครัวกิน เธอปฏิบัติต่อผมราวกับผมเป็นเพื่อนหรือญาติที่แวะมาเยี่ยมเยียน อับดาห์กับเมียเชื่อว่ามุสลิมไม่มีสิทธิ์กักขังมนุษย์ด้วยกันไว้เป็นทาส อับดาห์ถามเพื่อน ๆ เพื่อจะให้ผมอาศัยรถไปถึงกรุงคาร์ทูม (เมืองหลวงของซูดาน) แต่ไม่มีใครกล้ารับเอาทาสที่หลบหนีมาขึ้นรถด้วย ที่สุดอับดาห์บอกให้ผมขึ้นรถประจำทางไป“ฉันจะซื้อตั๋วให้”
ผมไปถึงคาร์ทูมตอนบ่ายแก่ ๆ และพบกับชาวดิงก้าคนหนึ่งที่สถานีรถประจำทาง ผมบอกเขาว่า อยากพบคนที่สามารถพาผมไปยังที่ซึ่งมีคนจากภาคใต้อาศัยอยู่ “ฉันกำลังจะไปที่นั่น ไปด้วยกันสิ” เขาบอก
ในที่สุดพระเจ้าก็ตอบสนองต่อคำสวดวิงวอนของผม ตอนนี้ผมยังไม่ตาย เป็นอิสระ และรู้สึกปลอดภัยเป็นครั้งแรกในชีวิตนับแต่พ้นวัยเด็ก
ผมไปที่ค่ายผู้อพยพนอกกรุงคาร์ทูมและพยายามตามหาพ่อกับแม่ที่นั่น ผมไม่รู้ชะตากรรมของทั้งสอง ไม่รู้ว่าถูกฆ่าหรือถูกจับไปเป็นทาส หรือไปอยู่ที่ค่ายผู้อพยพในเคนยาหรืออยู่ที่นี่ในเมืองหลวง ผมเล่าให้ทุกคนฟังเรื่องที่ถูกจับไปเป็นทาสนานถึง 10 ปี ไม่นานก็มีผู้ชาย 2 คนตรงมาหาผม “มีคนบอกว่าเธอพูดให้ร้ายรัฐบาล”เขาบอก จากนั้นก็พาผมไปที่สถานีตำรวจแถวนั้น
รัฐบาลซูดานยืนกรานมาตลอดว่าในซูดานไม่มีทาส พวกเขาจึงไม่มีทางปล่อยให้เด็กหนุ่มชาวดิงก้าวัย 17 ปี มาป่าวประกาศว่าตนตกเป็นทาสนานถึง 10 ปี ผมถูกจับกุมและถูกขังคุกอยู่นาน 7 เดือน แต่อยู่ ๆ ก็ได้รับการปล่อยตัว ผมตั้งใจว่าจะหนีออกจากประเทศนี้ให้ได้
ด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนกลุ่มหนึ่งจากทางใต้ ผมจึงได้เอกสารสำคัญทุกอย่างจากตลาดมืด ผมนั่งรถไฟไปทางเหนือ จากนั้นก็เปลี่ยนไปลงเรือซึ่งแล่นทวนแม่น้ำไนล์ขึ้นไปจนข้ามพรมแดนเข้าอียิปต์ จากนั้นก็ขึ้นรถไฟเข้ากรุงไคโร และที่สุดผมก็ได้พบอิสรภาพที่แท้จริง
***************
จบบริบูรณ์
ตอบกลับโพส