ประวัตินักบุญอย่างย่อเดือนกันยายน (วันที่1-15)
ฉลองนักบุญ วันที่ ๑ กันยายน
นักบุญเบียทริส ดา ซิลวา เมนเนส
St. Beatrice da Silva Meneses
เบียทริสเกิดเมื่อปี ๑๔๒๔ ในตระกูลชนชั้นสูงของโปรตุเกสในเมือง Cuerta
ท่านเป็นลูกสาวของเคาท์แห่ง Viana และเป็นน้องสาวของนักบุญอมาเดอุส
แห่งโปรตุเกส ท่านเติบโตมาในวังของอิสซาเบลผู้ซึ่งอนาคตจะเป็นราชินี
แห่งโปรตุเกส
ท่านเบื่อหน่ายชีวิตไร้สาระของราชวังจึงเขาอารามคณะนักพรตซิสเตอร์เซียน
(Cistercian) ที่ทอเลโด (Toledo) ท่านใช้ชีวิตในอารามแห่งนั้นจนถึงปี ๑๔๘๔
มีเสียงเรียกจากพระเจ้าให้ท่านตั้งคณะนักบวชใหม่
ท่านจึงได้ตั้งคณะแห่งการปฏิสนธินิรมลของพระนางมารีย์พรหมจารีย์
(The Congregation of the Immaculate Conception of the Blessed Virgin Mary)
และด้วยความช่วยเหลือของราชินีอิสซาเบล
ท่านสร้างบ้านคณะที่นอกเมืองทอเลโด ที่ซึ่งท่านดำเนินชีวิตและทำหน้าที่อธิการจนสิ้นชีพ
ในวันที่ ๒กันยายน ๑๔๙๐
ท่านได้รับการตั้งเป็นนักบุญในปี ๑๙๗๖ โดยพระสันตะปาปาเปาโล ที่ ๖
CR. : Sinapis
นักบุญเบียทริส ดา ซิลวา เมนเนส
St. Beatrice da Silva Meneses
เบียทริสเกิดเมื่อปี ๑๔๒๔ ในตระกูลชนชั้นสูงของโปรตุเกสในเมือง Cuerta
ท่านเป็นลูกสาวของเคาท์แห่ง Viana และเป็นน้องสาวของนักบุญอมาเดอุส
แห่งโปรตุเกส ท่านเติบโตมาในวังของอิสซาเบลผู้ซึ่งอนาคตจะเป็นราชินี
แห่งโปรตุเกส
ท่านเบื่อหน่ายชีวิตไร้สาระของราชวังจึงเขาอารามคณะนักพรตซิสเตอร์เซียน
(Cistercian) ที่ทอเลโด (Toledo) ท่านใช้ชีวิตในอารามแห่งนั้นจนถึงปี ๑๔๘๔
มีเสียงเรียกจากพระเจ้าให้ท่านตั้งคณะนักบวชใหม่
ท่านจึงได้ตั้งคณะแห่งการปฏิสนธินิรมลของพระนางมารีย์พรหมจารีย์
(The Congregation of the Immaculate Conception of the Blessed Virgin Mary)
และด้วยความช่วยเหลือของราชินีอิสซาเบล
ท่านสร้างบ้านคณะที่นอกเมืองทอเลโด ที่ซึ่งท่านดำเนินชีวิตและทำหน้าที่อธิการจนสิ้นชีพ
ในวันที่ ๒กันยายน ๑๔๙๐
ท่านได้รับการตั้งเป็นนักบุญในปี ๑๙๗๖ โดยพระสันตะปาปาเปาโล ที่ ๖
CR. : Sinapis
ฉลองนักบุญ วันที่ ๒ กันยายน
มรณสักขีเดือนกันยายน
Martyrs of September
เหล่ามรณสักขีเดือนกันยายนคือกลุ่มคริสตชนที่ถูกสังหารในเหตุการณ์
ปฏิวัติฝรั่งเศส วันที่ ๒ และ ๓กันยายน ๑๗๙๒
พระสงฆ์และนักบวชชายหญิงกลุ่มหนึ่งปฏิเสธที่จะให้คำสาบานรับรองธรรมนูญ
ปกครองนักบวชของฝ่ายบ้านเมือง วาติกันประณามธรรมนูญนี้เพราะกดให้สงฆ์
คาทอลิกต้องอยู่ใต้การควบคุมและอำนาจของรัฐ พวกท่านถูกกักขังในอาราม
คณะคาร์เมไลท์และถูกสังหารหมู่โดยม็อบนักปฏิวัติกระหายเลือด
พวกท่านได้รับการประกาศเป็นบุญราศีในวันที ๑๗ ตุลาคม
โดยพระสันตะปาปาปีโอ ที่ ๑๑
CR. : Sinapis
มรณสักขีเดือนกันยายน
Martyrs of September
เหล่ามรณสักขีเดือนกันยายนคือกลุ่มคริสตชนที่ถูกสังหารในเหตุการณ์
ปฏิวัติฝรั่งเศส วันที่ ๒ และ ๓กันยายน ๑๗๙๒
พระสงฆ์และนักบวชชายหญิงกลุ่มหนึ่งปฏิเสธที่จะให้คำสาบานรับรองธรรมนูญ
ปกครองนักบวชของฝ่ายบ้านเมือง วาติกันประณามธรรมนูญนี้เพราะกดให้สงฆ์
คาทอลิกต้องอยู่ใต้การควบคุมและอำนาจของรัฐ พวกท่านถูกกักขังในอาราม
คณะคาร์เมไลท์และถูกสังหารหมู่โดยม็อบนักปฏิวัติกระหายเลือด
พวกท่านได้รับการประกาศเป็นบุญราศีในวันที ๑๗ ตุลาคม
โดยพระสันตะปาปาปีโอ ที่ ๑๑
CR. : Sinapis
ฉลองนักบุญ วันที่ ๓ กันยายน
นักบุญเกรโกรี่ผู้ยิ่งใหญ่
St. Gregory the Great
ท่านเป็นบุคคลสำคัญของศาสนจักรตะวันตกยุคกลาง เป็นพระสันตะปาปา
ที่ได้รับความเคารพยกย่องที่สุดองค์หนึ่ง
เกรโกรี่เกิดราวกลางศตวรรษที่ ๖ ในครอบครัวชาวโรมันชั้นสูง ได้รับการศึกษา
ทางศิลปศาสตร์และกฎหมาย ท่านได้รับการอบรมเรื่องความเชื่อจากครอบครัว
ใจศรัทธาของท่าน โดยเฉพาะจากมารดาSilvia ผู้ซึ่งได้เป็นนักบุญด้วย
เมื่ออายุ๓๐ ปีท่านทำงานการเมืองโดยมีตำแหน่งระดับสูงในโรม แต่ช่วงนั้นเป็น
ช่วงตกต่ำของนคร หลังจากรับหน้าที่ดูแลเมืองหลวงของจักรวรรดิไม่นาน
ท่านก็ลาออกมาเป็นฤษีในช่วงระยะเวลาที่คณะเบเนดิกตินเริ่มรุ่งเรือง
ท่านดำเนินชีวิตบำเพ็ญตบะเคร่งครัดในอารามเป็นเวลา ๓ ปีก็ถูกพระสันตะปาปา
เรียกตัวให้รับตำแหน่งอนุสงฆ์ที่โรม จากโรม ท่านถูกส่งตัวไปเมืองคอนสแตนติโนเปิล
เพื่อขอความช่วยเหลือจากจักรพรรดิเกี่ยวกับปัญหาการปกครองของโรม และช่วยแก้ไข
ความขัดแย้งทางเทววิทยาของศาสนจักรตะวันออก ท่านทำหน้าที่ผู้แทนพระสันตะปาปา
อยู่ที่นั่น ๖ ปีจึงกลับคืนสู่โรมในปี ๕๘๖
โรมเผชิญอุทกภัยในปี ๕๘๙ ตามมาด้วยการสิ้นพระชนม์ของพระสันตะปาปาเปลาจิอุส ที่ ๒
ปีถัดมาเกรโกรี่ซึ่งขณะนั้นเป็นอธิการของอารามนักพรต ก็จำใจรับการถูกเลือก
ให้เป็นสังฆราชแห่งโรม พระสันตะปาปาเกรโกรี่เริ่มทำงานอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย
เพื่อฟื้นฟูและสร้างความมั่นคงในเรื่องพิธีกรรม ระเบียบวินัยของศาสนจักร ความมั่นคง
ทางเศรษฐกิจและการทหารของโรม อิทธิพลของ
ศาสนจักรได้แผ่ขยายไปทั่วยุโรปตะวันตกภายใต้สมณสมัยของท่าน
ในฐานะพระสันตะปาปา ท่านได้นำเอาประสบการณ์ทางการเมืองมาใช้ที่โรมและ
คอนสแตนติโนเปิลเพื่อป้องกันศาสนจักรคาทอลิกจากกลุ่มต่างๆ ที่พยายามควบคุม
เมืองหลวงของจักรวรรดิ ในฐานะผู้เคยเป็นอธิการของอารามฤษี ท่านสนับสนุน
ขบวนการเบเนดิกตินให้เป็นฐานรากของศาสนจักรตะวันตก
ท่านส่งธรรมทูตไปอังกฤษ และได้รับการยกย่องอย่างสูงในการทำให้อังกฤษกลับใจ
ถือคริสตศาสนาพระสันตะปาปาเกรโกรี่ถือว่าตัวเองเป็น "ผู้รับใช้แห่งผู้รับใช้ของพระเจ้า"
ท่านเป็นสังฆราชแห่งโรมองค์แรกที่สร้างธรรมเนียมใหม่ให้กับตำแหน่งนี้ซึ่งเป็นการปฏิบัติ
ตามคำสั่งของพระคริสต์ที่ว่าผู้ที่มี
ตำแหน่งสูงสุดจะต้องเป็น "คนต่ำต้อยที่สุดและเป็นผู้รับใช้ของทุกคน"
ท่านรวบรวมศาสนจักรโรมันตะวันตกให้เป็นปึกแผ่น นับตั้งแต่วันที่ท่านได้รับเลือกเป็น
พระสันตะปาปาจนกระทั่งเสียชีวิตในปี ๖๐๔ ท่านถ่อมตนเสมอว่างานของท่านคือ
การเป็นผู้รับใช้และผู้อภิบาลด้านจิตวิญญาณ
CR. : Sinapis
นักบุญเกรโกรี่ผู้ยิ่งใหญ่
St. Gregory the Great
ท่านเป็นบุคคลสำคัญของศาสนจักรตะวันตกยุคกลาง เป็นพระสันตะปาปา
ที่ได้รับความเคารพยกย่องที่สุดองค์หนึ่ง
เกรโกรี่เกิดราวกลางศตวรรษที่ ๖ ในครอบครัวชาวโรมันชั้นสูง ได้รับการศึกษา
ทางศิลปศาสตร์และกฎหมาย ท่านได้รับการอบรมเรื่องความเชื่อจากครอบครัว
ใจศรัทธาของท่าน โดยเฉพาะจากมารดาSilvia ผู้ซึ่งได้เป็นนักบุญด้วย
เมื่ออายุ๓๐ ปีท่านทำงานการเมืองโดยมีตำแหน่งระดับสูงในโรม แต่ช่วงนั้นเป็น
ช่วงตกต่ำของนคร หลังจากรับหน้าที่ดูแลเมืองหลวงของจักรวรรดิไม่นาน
ท่านก็ลาออกมาเป็นฤษีในช่วงระยะเวลาที่คณะเบเนดิกตินเริ่มรุ่งเรือง
ท่านดำเนินชีวิตบำเพ็ญตบะเคร่งครัดในอารามเป็นเวลา ๓ ปีก็ถูกพระสันตะปาปา
เรียกตัวให้รับตำแหน่งอนุสงฆ์ที่โรม จากโรม ท่านถูกส่งตัวไปเมืองคอนสแตนติโนเปิล
เพื่อขอความช่วยเหลือจากจักรพรรดิเกี่ยวกับปัญหาการปกครองของโรม และช่วยแก้ไข
ความขัดแย้งทางเทววิทยาของศาสนจักรตะวันออก ท่านทำหน้าที่ผู้แทนพระสันตะปาปา
อยู่ที่นั่น ๖ ปีจึงกลับคืนสู่โรมในปี ๕๘๖
โรมเผชิญอุทกภัยในปี ๕๘๙ ตามมาด้วยการสิ้นพระชนม์ของพระสันตะปาปาเปลาจิอุส ที่ ๒
ปีถัดมาเกรโกรี่ซึ่งขณะนั้นเป็นอธิการของอารามนักพรต ก็จำใจรับการถูกเลือก
ให้เป็นสังฆราชแห่งโรม พระสันตะปาปาเกรโกรี่เริ่มทำงานอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย
เพื่อฟื้นฟูและสร้างความมั่นคงในเรื่องพิธีกรรม ระเบียบวินัยของศาสนจักร ความมั่นคง
ทางเศรษฐกิจและการทหารของโรม อิทธิพลของ
ศาสนจักรได้แผ่ขยายไปทั่วยุโรปตะวันตกภายใต้สมณสมัยของท่าน
ในฐานะพระสันตะปาปา ท่านได้นำเอาประสบการณ์ทางการเมืองมาใช้ที่โรมและ
คอนสแตนติโนเปิลเพื่อป้องกันศาสนจักรคาทอลิกจากกลุ่มต่างๆ ที่พยายามควบคุม
เมืองหลวงของจักรวรรดิ ในฐานะผู้เคยเป็นอธิการของอารามฤษี ท่านสนับสนุน
ขบวนการเบเนดิกตินให้เป็นฐานรากของศาสนจักรตะวันตก
ท่านส่งธรรมทูตไปอังกฤษ และได้รับการยกย่องอย่างสูงในการทำให้อังกฤษกลับใจ
ถือคริสตศาสนาพระสันตะปาปาเกรโกรี่ถือว่าตัวเองเป็น "ผู้รับใช้แห่งผู้รับใช้ของพระเจ้า"
ท่านเป็นสังฆราชแห่งโรมองค์แรกที่สร้างธรรมเนียมใหม่ให้กับตำแหน่งนี้ซึ่งเป็นการปฏิบัติ
ตามคำสั่งของพระคริสต์ที่ว่าผู้ที่มี
ตำแหน่งสูงสุดจะต้องเป็น "คนต่ำต้อยที่สุดและเป็นผู้รับใช้ของทุกคน"
ท่านรวบรวมศาสนจักรโรมันตะวันตกให้เป็นปึกแผ่น นับตั้งแต่วันที่ท่านได้รับเลือกเป็น
พระสันตะปาปาจนกระทั่งเสียชีวิตในปี ๖๐๔ ท่านถ่อมตนเสมอว่างานของท่านคือ
การเป็นผู้รับใช้และผู้อภิบาลด้านจิตวิญญาณ
CR. : Sinapis
ฉลองนักบุญ วันที่ ๔ กันยายน
นักบุญโบนีฟาส ที่ ๑, พระสันตะปาปา
St. Boniface I, Pope
รายละเอียดในชีวิตเบื้องต้นของท่านมีไม่มากนักแต่เราทราบว่าท่านได้รับ
การเลือก เป็นพระสันตะปาปาเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๔๑๘ ท่านได้รับการยกย่อง
ในความเป็นผู้คงแก่เรียนและจิตใจเมตตา ซึ่งแสดงออกให้เห็นในการดำเนินชีวิต
รับใช้ตามหน้าที่สงฆ์ของท่าน
เมื่อพระสันตะปาปาโซซิมุสสิ้นพระชนม์ในปี ๔๑๘ มีผู้ถูกเลือกเป็นสันตะปาปาสองคน
คือโบนีฟาสและอูลาลีอุส (Eulalius) พวกท่านถูกส่งตัวออกไปจากโรมจนกว่าจักรพรรดิ
จะแก้ไขความยุ่งยากได้แต่อูลาลีอุสไม่ทำตามคำสั่ง ดังนั้นโบนีฟาสจึงได้เป็น
พระสันตะปาปาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
โบนีฟาสปฏิบัติภารกิจอย่างกระตือรือร้น มีการออกระเบียบและควบคุมองค์กร
ท่านปฏิรูปการถือปฏิบัติที่หละหลวมของพวกพระสงฆ์นักบวช และลดสิทธิพิเศษของสังฆราช
ท่านสนับสนุนนักบุญออกัสตินอย่างเต็มที่ในการต่อสู้กับลัทธิเพลาเจียน (Pelagianism)
และออกัสตินเองก็อุทิศตนทำงานหลายประการให้ท่าน ท่านเสียชีวิตที่โรม
วันที่ ๔ กันยายน ๔๒๒
CR. : Sinapis
นักบุญโบนีฟาส ที่ ๑, พระสันตะปาปา
St. Boniface I, Pope
รายละเอียดในชีวิตเบื้องต้นของท่านมีไม่มากนักแต่เราทราบว่าท่านได้รับ
การเลือก เป็นพระสันตะปาปาเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๔๑๘ ท่านได้รับการยกย่อง
ในความเป็นผู้คงแก่เรียนและจิตใจเมตตา ซึ่งแสดงออกให้เห็นในการดำเนินชีวิต
รับใช้ตามหน้าที่สงฆ์ของท่าน
เมื่อพระสันตะปาปาโซซิมุสสิ้นพระชนม์ในปี ๔๑๘ มีผู้ถูกเลือกเป็นสันตะปาปาสองคน
คือโบนีฟาสและอูลาลีอุส (Eulalius) พวกท่านถูกส่งตัวออกไปจากโรมจนกว่าจักรพรรดิ
จะแก้ไขความยุ่งยากได้แต่อูลาลีอุสไม่ทำตามคำสั่ง ดังนั้นโบนีฟาสจึงได้เป็น
พระสันตะปาปาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
โบนีฟาสปฏิบัติภารกิจอย่างกระตือรือร้น มีการออกระเบียบและควบคุมองค์กร
ท่านปฏิรูปการถือปฏิบัติที่หละหลวมของพวกพระสงฆ์นักบวช และลดสิทธิพิเศษของสังฆราช
ท่านสนับสนุนนักบุญออกัสตินอย่างเต็มที่ในการต่อสู้กับลัทธิเพลาเจียน (Pelagianism)
และออกัสตินเองก็อุทิศตนทำงานหลายประการให้ท่าน ท่านเสียชีวิตที่โรม
วันที่ ๔ กันยายน ๔๒๒
CR. : Sinapis
ฉลองนักบุญ วันที่ ๕ กันยายน
นักบุญเทเรซาแห่งกัลกัตตา
St. Teresa of Calcutta
พระศาสนจักรฉลองคุณแม่เทเรซาในวันนี้ท่านเป็นสัญลักษณ์สากลของความเมตา
ของพระเจ้าและความโปรดปรานพิเศษของพระองค์ต่อคนยากจนและถูกทอดทิ้ง
คุณแม่เทเรซาเกิดเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๑๙๑๐ ใน Skopje มาเซโดเนีย
ท่านเป็นลูกคนสุดท้องในจำนวน ๓ คน ชื่อของท่านคืออักเนส กองซา โบยาจู
(Agnes Gonxha Bojaxhiu) ท่านเข้าร่วมกลุ่มเยาวชนที่เรียกว่า โซดาลิตี้ (Sodality)
ซึ่งจัดตั้งโดยสงฆ์เยสุอิตที่วัดของท่าน และกิจการของกลุ่มนี่เองที่นำท่านสู่
กระแสเรียกเป็นซิสเตอร์
ท่านเข้าคณะซิสเตอร์แห่งลอเร็ตโต (Sisters of Loretto) และถูกส่งไปเมืองกัลกัตตา
เพื่อสอนหนังสือในโรงเรียนมัธยม ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๑๙๔๖ ระหว่างที่กำลัง
นั่งรถไฟกลับไปอารามที่เมืองดาร์จีลิงขณะอยู่บนขบวนรถไฟท่านได้ยินเสียง
ซึ่งท่านเรียกว่า "คำสั่ง" ของพระเจ้า ให้ท่านลาออกจากอาราม ไปทำงานและ
ใช้ชีวิตท่ามกลางคนยากจน ในเวลานั้น ท่านไม่ทราบว่าจะต้องตั้งคณะนักบวชหญิง
หรือแม้กระทั่งว่าจะไปทำงานรับใช้ที่ไหน "ฉันรู้ว่าฉันควรไปที่ไหน แต่ฉันไม่รู้ว่าจะ
ไปที่นั่นได้อย่างไร"
การยืนยันต่อเสียงเรียกนี้มาถึงเมื่อทางวาติกันอนุญาตให้ท่านลาออกจากคณะ
ซิสเตอร์แห่งลอเร็ตโตและให้อยู่ใต้ปกครองของอัครสังฆราชแห่งกัลกัตตา
ท่านเริ่มทำงานในสลัม สอนเด็กยากจนและดูแลคนป่วยที่บ้านของพวกเขา ปีต่อมา
มีลูกศิษย์บางคนของท่านขอเข้าร่วมงานด้วย ท่านและพวกศิษย์พาชายหญิงและเด็กๆ
ที่กำลังจะตายอยู่ข้างถนนมาใส่ใจดูแล
ปี ๑๙๕๐ คณะธรรมทูตแห่งเมตตาธรรม (Missionaries of Charity) ถือกำเนิดขึ้น
ในฐานะคณะนักบวชของสังฆมณฑลกัลกัตตา ในปี ๑๙๕๒ รัฐบาลมอบบ้านหลังหนึ่ง
ให้คณะสำหรับทำงานช่วยเหลือชาวกัลกัตตาที่ถูกทอดทิ้ง คณะเติบโตอย่างรวดเร็วจาก
บ้านหลังเดียวที่ใช้ดูแลผู้ใกล้ตายและไม่เป็นที่ต้องการ เพิ่มเป็นเกือบ ๕,๐๐๐ หลังทั่วโลก
คุณแม่เทเรซาสร้างบ้านเพื่อผู้ทุกข์ทรมานจากโรคเอดส์บ้านสำหรับโสเภณีบ้านสำหรับ
ผู้หญิงที่ถูกทำร้าย และบ้านเด็กกำพร้าสำหรับคนจน
ท่านมักกล่าวเสมอว่าคนจนที่สุดของคนจน คือผู้ที่ไม่มีใครใส่ใจและไม่มีใครรู้จักพวกเขา
ท่านตั้งข้อสังเกตบ่อยๆ ด้วยความเศร้าใจถึงคนเป็นล้านๆ ในโลกที่กำลังพัฒนาแต่
ขาดแคลนชีวิตฝ่ายจิตและโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา ซึ่งเป็นเหตุให้พวกเขาทุกข์ทรมาน
แสนสาหัส ท่านปกป้องสิทธิในการเกิดมามีชีวิตของเด็กอย่างแข็งขัน
"ถ้าคุณได้ยินแม่คนไหนบอกว่าไม่อยากมีเด็กและต้องการทำแท้งจงพยายามชักชวน
ให้เธอมอบเด็กให้ฉัน ฉันจะรักเด็กคนนั้น เขาเป็นเครื่องหมายแห่งความรักของพระเจ้า"
คุณแม่เทเรซาเสียชีวิตวันที่ ๕ กันยายน ๑๙๙๗ และได้รับประกาศเป็นบุญราศี ๖ ปีต่อมา
ในวันที่ ๑๙ตุลาคม ๒๐๐๓ และได้รับการสถาปนาเป็นนักบุญ
โดยสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส เมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๐๑๖
ท่านเคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า "การเสียสละที่แท้จริงต้องมีราคา ต้องเจ็บ ต้องทำให้
เราว่างเปล่า ผลของความเงียบคือการภาวนา ผลของการภาวนาคือความเชื่อ
ผลของความเชื่อคอความรัก ผลของความรักคือการรับใช้ ผลของการรับใช้คือสันติสุข"
ท่านยังกล่าวด้วยว่า "จงมอบตัวท่านทั้งหมดให้กับพระเจ้า พระองค์จะใช้ท่านเพื่อทำงาน
ยิ่งใหญ่ให้สำเร็จโดยมีเงื่อนไขว่าท่านต้องเชื่อในความรักของพระองค์มากกว่า
ความอ่อนแอของตัวเอง"
CR. : Sinapis
นักบุญเทเรซาแห่งกัลกัตตา
St. Teresa of Calcutta
พระศาสนจักรฉลองคุณแม่เทเรซาในวันนี้ท่านเป็นสัญลักษณ์สากลของความเมตา
ของพระเจ้าและความโปรดปรานพิเศษของพระองค์ต่อคนยากจนและถูกทอดทิ้ง
คุณแม่เทเรซาเกิดเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๑๙๑๐ ใน Skopje มาเซโดเนีย
ท่านเป็นลูกคนสุดท้องในจำนวน ๓ คน ชื่อของท่านคืออักเนส กองซา โบยาจู
(Agnes Gonxha Bojaxhiu) ท่านเข้าร่วมกลุ่มเยาวชนที่เรียกว่า โซดาลิตี้ (Sodality)
ซึ่งจัดตั้งโดยสงฆ์เยสุอิตที่วัดของท่าน และกิจการของกลุ่มนี่เองที่นำท่านสู่
กระแสเรียกเป็นซิสเตอร์
ท่านเข้าคณะซิสเตอร์แห่งลอเร็ตโต (Sisters of Loretto) และถูกส่งไปเมืองกัลกัตตา
เพื่อสอนหนังสือในโรงเรียนมัธยม ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๑๙๔๖ ระหว่างที่กำลัง
นั่งรถไฟกลับไปอารามที่เมืองดาร์จีลิงขณะอยู่บนขบวนรถไฟท่านได้ยินเสียง
ซึ่งท่านเรียกว่า "คำสั่ง" ของพระเจ้า ให้ท่านลาออกจากอาราม ไปทำงานและ
ใช้ชีวิตท่ามกลางคนยากจน ในเวลานั้น ท่านไม่ทราบว่าจะต้องตั้งคณะนักบวชหญิง
หรือแม้กระทั่งว่าจะไปทำงานรับใช้ที่ไหน "ฉันรู้ว่าฉันควรไปที่ไหน แต่ฉันไม่รู้ว่าจะ
ไปที่นั่นได้อย่างไร"
การยืนยันต่อเสียงเรียกนี้มาถึงเมื่อทางวาติกันอนุญาตให้ท่านลาออกจากคณะ
ซิสเตอร์แห่งลอเร็ตโตและให้อยู่ใต้ปกครองของอัครสังฆราชแห่งกัลกัตตา
ท่านเริ่มทำงานในสลัม สอนเด็กยากจนและดูแลคนป่วยที่บ้านของพวกเขา ปีต่อมา
มีลูกศิษย์บางคนของท่านขอเข้าร่วมงานด้วย ท่านและพวกศิษย์พาชายหญิงและเด็กๆ
ที่กำลังจะตายอยู่ข้างถนนมาใส่ใจดูแล
ปี ๑๙๕๐ คณะธรรมทูตแห่งเมตตาธรรม (Missionaries of Charity) ถือกำเนิดขึ้น
ในฐานะคณะนักบวชของสังฆมณฑลกัลกัตตา ในปี ๑๙๕๒ รัฐบาลมอบบ้านหลังหนึ่ง
ให้คณะสำหรับทำงานช่วยเหลือชาวกัลกัตตาที่ถูกทอดทิ้ง คณะเติบโตอย่างรวดเร็วจาก
บ้านหลังเดียวที่ใช้ดูแลผู้ใกล้ตายและไม่เป็นที่ต้องการ เพิ่มเป็นเกือบ ๕,๐๐๐ หลังทั่วโลก
คุณแม่เทเรซาสร้างบ้านเพื่อผู้ทุกข์ทรมานจากโรคเอดส์บ้านสำหรับโสเภณีบ้านสำหรับ
ผู้หญิงที่ถูกทำร้าย และบ้านเด็กกำพร้าสำหรับคนจน
ท่านมักกล่าวเสมอว่าคนจนที่สุดของคนจน คือผู้ที่ไม่มีใครใส่ใจและไม่มีใครรู้จักพวกเขา
ท่านตั้งข้อสังเกตบ่อยๆ ด้วยความเศร้าใจถึงคนเป็นล้านๆ ในโลกที่กำลังพัฒนาแต่
ขาดแคลนชีวิตฝ่ายจิตและโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา ซึ่งเป็นเหตุให้พวกเขาทุกข์ทรมาน
แสนสาหัส ท่านปกป้องสิทธิในการเกิดมามีชีวิตของเด็กอย่างแข็งขัน
"ถ้าคุณได้ยินแม่คนไหนบอกว่าไม่อยากมีเด็กและต้องการทำแท้งจงพยายามชักชวน
ให้เธอมอบเด็กให้ฉัน ฉันจะรักเด็กคนนั้น เขาเป็นเครื่องหมายแห่งความรักของพระเจ้า"
คุณแม่เทเรซาเสียชีวิตวันที่ ๕ กันยายน ๑๙๙๗ และได้รับประกาศเป็นบุญราศี ๖ ปีต่อมา
ในวันที่ ๑๙ตุลาคม ๒๐๐๓ และได้รับการสถาปนาเป็นนักบุญ
โดยสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส เมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๐๑๖
ท่านเคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า "การเสียสละที่แท้จริงต้องมีราคา ต้องเจ็บ ต้องทำให้
เราว่างเปล่า ผลของความเงียบคือการภาวนา ผลของการภาวนาคือความเชื่อ
ผลของความเชื่อคอความรัก ผลของความรักคือการรับใช้ ผลของการรับใช้คือสันติสุข"
ท่านยังกล่าวด้วยว่า "จงมอบตัวท่านทั้งหมดให้กับพระเจ้า พระองค์จะใช้ท่านเพื่อทำงาน
ยิ่งใหญ่ให้สำเร็จโดยมีเงื่อนไขว่าท่านต้องเชื่อในความรักของพระองค์มากกว่า
ความอ่อนแอของตัวเอง"
CR. : Sinapis
https://www.facebook.com/groups/2189621 ... 125062118/
Mother Teresa: In the Name of God's Poor ชื่อไทย Mother Teresa แม่พระแห่งดวงใจ (พากย์ไทย) (มี3ตอน)
หนังประวัติคุณแม่เทเรซ่า นำแสดงโดย เจอรัลดีน แชปปลิ้น ลูกสาวชาลีแชปปลิ้น
ในข้อความตอบกลับใต้ภาพมีลิงค์คลิป3คลิปจบครับ
CR. : จิต ศรัทธา
Mother Teresa: In the Name of God's Poor ชื่อไทย Mother Teresa แม่พระแห่งดวงใจ (พากย์ไทย) (มี3ตอน)
หนังประวัติคุณแม่เทเรซ่า นำแสดงโดย เจอรัลดีน แชปปลิ้น ลูกสาวชาลีแชปปลิ้น
ในข้อความตอบกลับใต้ภาพมีลิงค์คลิป3คลิปจบครับ
CR. : จิต ศรัทธา
rosa-lee เขียน: ↑อาทิตย์ ก.ย. 05, 2021 10:00 pm https://www.facebook.com/groups/2189621 ... 125062118/
Mother Teresa: In the Name of God's Poor ชื่อไทย Mother Teresa
แม่พระแห่งดวงใจ (พากย์ไทย) (มี3ตอน)
หนังประวัติคุณแม่เทเรซ่า นำแสดงโดย เจอรัลดีน แชปปลิ้น ลูกสาวชาลีแชปปลิ้น
ในข้อความตอบกลับใต้ภาพมีลิงค์คลิป3คลิปจบครับ
CR. : จิต ศรัทธา
ฉลองนักบุญ วันที่ ๖ กันยายน
บุญราศีโทมัส ซูกิ
Blessed Thomas Tzugi
ท่านเป็นชาวญี่ปุ่น เกิดในปี ๑๕๗๑ ครอบครัวมีฐานะดีท่านได้รับการศึกษา
จากคณะเยสุอิตของแขวงArima ท่านสมัครเข้าคณะเยสุอิตเมื่ออายุ ๑๗ ปี
หลังบวชเป็นพระสงฆ์ท่านมีชื่อเสียงในการเทศน์ที่หลักแหลมและกระตือรือร้น
ในงานประกาศพระวรสาร
เมื่อเกิดการเบียดเบียนคริสตชน ท่านถูกขับไล่ไปที่เกาะมาเก๊าแต่ท่านสามารถ
กลับมาญี่ปุ่นได้โดยการปลอมตัวและยังคงทำหน้าที่สงฆ์ต่อไป แต่ท่านถูกจับ
ได้อีกครั้งและถูกตัดสินประหารชีวิต ท่านปฏิเสธที่จะใช้เครือข่ายการเมืองของ
ครอบครัวเพื่อช่วยให้ได้รับอิสรภาพ
ท่านถูกมัดกับเสา เผาทั้งเป็น ที่เมืองนางาซากิในปี ๑๖๒๗
และได้รับประกาศเป็นบุญราศีโดยพระสันตะปาปาปีโอ ที่ ๙ ในปี ๑๘๖๗
CR. : Sinapis
บุญราศีโทมัส ซูกิ
Blessed Thomas Tzugi
ท่านเป็นชาวญี่ปุ่น เกิดในปี ๑๕๗๑ ครอบครัวมีฐานะดีท่านได้รับการศึกษา
จากคณะเยสุอิตของแขวงArima ท่านสมัครเข้าคณะเยสุอิตเมื่ออายุ ๑๗ ปี
หลังบวชเป็นพระสงฆ์ท่านมีชื่อเสียงในการเทศน์ที่หลักแหลมและกระตือรือร้น
ในงานประกาศพระวรสาร
เมื่อเกิดการเบียดเบียนคริสตชน ท่านถูกขับไล่ไปที่เกาะมาเก๊าแต่ท่านสามารถ
กลับมาญี่ปุ่นได้โดยการปลอมตัวและยังคงทำหน้าที่สงฆ์ต่อไป แต่ท่านถูกจับ
ได้อีกครั้งและถูกตัดสินประหารชีวิต ท่านปฏิเสธที่จะใช้เครือข่ายการเมืองของ
ครอบครัวเพื่อช่วยให้ได้รับอิสรภาพ
ท่านถูกมัดกับเสา เผาทั้งเป็น ที่เมืองนางาซากิในปี ๑๖๒๗
และได้รับประกาศเป็นบุญราศีโดยพระสันตะปาปาปีโอ ที่ ๙ ในปี ๑๘๖๗
CR. : Sinapis
ฉลองนักบุญ วันที่ ๗ กันยายน
บุญราศีราล์ฟ คอร์บี
Blessed Ralph Corby
ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๑๕๙๘ ที่เมือง Maynooth ไอร์แลนด์ครอบครัว
ของท่านเป็นคาทอลิกที่ฝศรัทธา ทุกคนในครอบครัวเป็นนักบวช รวมทั้งบิดา
ของท่านที่ได้เป็นภราดาฆราวาสของคณะเยสุอิต
หลังจากลูกๆ เข้าคณะนักบวชต่างๆ แล้ว ส่วนมารดาเข้าเป็นซิสเตอร์คณะเบเนดิกติน
ราล์ฟเข้าร่วมคณะเยสุอิต ท่านสมัครไปทำงานธรรมทูตเสี่ยงตายที่อังกฤษ พร้อมกับ
น้องชาย ๒ คน ในเวลานั้นอังกฤษถือว่าการเป็นสงฆ์คาทอลิกผิดกฎหมาย ท่านทำงาน
อภิบาลอย่างแอบซ่อนทางตอนเหนือของอังกฤษ ใกล้เมือง Durham เป็นเวลา ๑๒ ปี
ก่อนจะถูกจับได้และถูกสั่งประหารชีวิต
ท่านถูกแขวนคอกดน้ำและแยกสังขารในวันที่ ๗ กันยายน ๑๖๔๔ ที่เมือง Tyburn
ประเทศอังกฤษพระสันตะปาปาปีโอ ที่ ๑๑ ประกาศตั้งท่านเป็นบุญราศีในปี ๑๙๒๙
CR. : Sinapis
บุญราศีราล์ฟ คอร์บี
Blessed Ralph Corby
ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๑๕๙๘ ที่เมือง Maynooth ไอร์แลนด์ครอบครัว
ของท่านเป็นคาทอลิกที่ฝศรัทธา ทุกคนในครอบครัวเป็นนักบวช รวมทั้งบิดา
ของท่านที่ได้เป็นภราดาฆราวาสของคณะเยสุอิต
หลังจากลูกๆ เข้าคณะนักบวชต่างๆ แล้ว ส่วนมารดาเข้าเป็นซิสเตอร์คณะเบเนดิกติน
ราล์ฟเข้าร่วมคณะเยสุอิต ท่านสมัครไปทำงานธรรมทูตเสี่ยงตายที่อังกฤษ พร้อมกับ
น้องชาย ๒ คน ในเวลานั้นอังกฤษถือว่าการเป็นสงฆ์คาทอลิกผิดกฎหมาย ท่านทำงาน
อภิบาลอย่างแอบซ่อนทางตอนเหนือของอังกฤษ ใกล้เมือง Durham เป็นเวลา ๑๒ ปี
ก่อนจะถูกจับได้และถูกสั่งประหารชีวิต
ท่านถูกแขวนคอกดน้ำและแยกสังขารในวันที่ ๗ กันยายน ๑๖๔๔ ที่เมือง Tyburn
ประเทศอังกฤษพระสันตะปาปาปีโอ ที่ ๑๑ ประกาศตั้งท่านเป็นบุญราศีในปี ๑๙๒๙
CR. : Sinapis
ฉลองวันที่ ๘ กันยายน
ฉลองแม่พระบังเกิด
The Birth of The Blessed Virgin Mary
พระศาสนจักรมีธรรมเนียมฉลองวันเกิดของพระนางมารีย์ในวันนี้ซึ่งเป็นเวลา
เก้าเดือนภายหลังวันฉลองการปฏิสนธินิรมลของพระนางในวันที่ ๘ ธันวาคม
สภาพแวดล้อมวัยเด็กของพระนางมารีย์และชีวิตวัยเยาว์ไม่ได้มีบันทึก
โดยตรงในพระคัมภีร์แต่ธรรมประเพณีและเอกสารอื่นบอกเล่าถึงเรื่องนี้
และนักเขียนคริสตชนยุคแรกเริ่มได้อ้างอิงมาตั้งแต่ศตวรรษที่หนึ่ง
เรื่องราวเหล่านั้น แม้จะไม่ถือว่าเทียบเท่าพระคัมภีร์แต่ก็ให้เค้าโครงของ
ความเชื่อตามธรรมประเพณีของศาสนจักรเกี่ยวกับการถือกำเนิดของพระนางมารีย์
หนังสือ Protoevangelium of James ซึ่งอาจจะเป็นการจดจารึกเรื่องเล่าที่มีมา
ในต้นศตวรรษที่ ๒ เล่าถึงโยอาคิมผู้เป็นสมาชิกมั่งคั่งในเผ่าหนึ่งของสิบสองเผ่า
แห่งอิสราเอล ท่านและภรรยาอันนาเศร้าโศกเพราะไม่มีบุตรธิดา "ท่านระลึกถึงอับราฮัม"
หนังสือเขียนบอก "ว่าในวันสุดท้าย พระเจ้าก็ประทานอิสอัก บุตรชายให้ท่าน"
โยอาคิมและอันนาสวดภาวนาไม่หยุดหย่อนและอดอาหาร ปลีกตัวออกจากกันและ
จากสังคม พวกท่านถือว่าการไม่มีบุตรเป็นโชคร้ายที่สุด และเป็นเครื่องหมายน่าอับอาย
ในหมู่ชนเผ่าของอิสราเอล แล้วก็ปรากฏในที่สุดว่าทั้งสองท่านได้รับพระพรที่ล้นเหลือกว่า
อับราฮัมและซาราห์เสียอีก ทูตสวรรค์เผยแก่อันนาว่าผู้คนทุกยุคสมัยจะเคารพบุตรสาว
เธอที่จะเกิดมา "พระเจ้าได้ยินคำภาวนาของท่าน และท่านจะตั้งครรภ์และจะให้กำเนิด
เมล็ดพันธุ์ของท่านจะบอกกล่าวกับทุกคนในโลก"
เมื่อมารีย์ถือกำเนิดแล้ว หนังสือเล่าว่าอันนา "สร้างพระแท่นในห้องของทารกหญิงและ
ไม่ยอมให้มีสิ่งสกปรกใดๆ แปดเปื้อนเธอ" หนังสือเล่าว่าเมื่อเธออายุหนึ่งขวบ
บิดาก็อดอาหารและเชิญสงฆ์ธรรมาจารย์และผู้อาวุโสมาอวยพรเธอ
บิดามารดาของมารีย์พร้อมกับพระสงฆ์ของพระวิหารตั้งใจถวายเธอให้พระเจ้า
เพื่อเป็นพรหมจารีย์ตลอดชีวิต จึงให้สมรสอย่างคงรักษาความบริสุทธิ์กับช่างไม้โยเซฟ
นักบุญออกัสตินบรรยายการบังเกิดของพระนางมารีย์ว่าเป็นความสำคัญทางประวัติศาสตร์
และจักรวาล และเป็นเหตุการณ์ล่วงหน้าอันเหมาะควรถึงการบังเกิดของพระเยซูคริสต์
"พระนางคือดอกไม้ในท้องทุ่ง เป็นดอกลิลลี่บริสุทธิ์ทรงค่าในหุบเขา ตามที่พระคัมภีร์กล่าวถึง"
CR. : Sinapis
วันที่ 8 กันยายน
ฉลองแม่พระบังเกิด
( The Nativity of the Blessed Virgin Mary, feast )
พระศาสนจักรมักจะถือวันสิ้นชีพของนักบุญว่าเป็น "วันเกิด" และก็เป็นสิ่งถูกต้องเช่นนั้น
เพราะวันนั้นเป็นวันที่ผู้ได้รับเลือกสรรได้จบชีวิตของเขา หรือของเธอบนแผ่นดินนี้ และ
ไปเกิดใหม่มีชีวิตเที่ยงแท้ในสวรรค์ อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นสำหรับ 3 บุคคลนี้ซึ่ง
พระศาสนจักรกำหนดฉลองวันเกิดตามธรรมชาติด้วย ก็คือ พระเยซูเจ้า พระนางมารีย์
และนักบุญยอห์น บัปติสต์
การบังเกิดมาของเด็กคนหนึ่งย่อมเป็นเหตุการณ์ที่น่าชื่นชมยินดีสำหรับครอบครัวนั้น
เป็นจริงดังที่ รพินฐนาถ ฐากอร์
(Rabindranath Tagore - นักปราชญ์ นักปรัชญาชาวอินเดีย - ผู้แปล)
ได้กล่าวไว้ว่า "เด็กทุกๆคนมาสู่โลกด้วยหลักประกันว่าพระผู้เป็นเจ้ายังไม่ทรงเบื่อหน่าย
กับมวลมนุษยชาติ" วันนี้ เราเฉลิมฉลองการบังเกิดของเด็กหญิงผู้หนึ่ง ซึ่งมาด้วยหลัก
ประกันที่มากกว่านั้น เธอได้เป็นสัญญาณดังถ้อยคำของพระศาสนจักรที่ว่าเป็น
"รุ่งอรุณแห่งความหวัง และความรอดพ้นของโลกทั้งมวล"
การบังเกิดมาดุจนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ "จิตวิญญาณของเธอจึงสวยงามที่สุด"
กว่าสิ่งสร้างใดๆที่พระเจ้าทรงสร้างมา - นี่เป็นคำสรรเสริญของนักบุญอัลฟองโซ เดอ ลิกวอรี -
ท่านยังเสริมอีกว่า "จากการถูกกำหนดไว้แล้วให้เป็นพระมารดาขององค์พระวจนาตถ์นิรันดร
เด็กน้อยผู้นี้จึงได้รับพระหรรษทานที่ยิ่งใหญ่จนเปี่ยมล้น ถึงขั้นที่ว่าขณะที่เธอปฏิสนธินิรมลนั้น
เธอก็มีความศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าบรรดานักบุญทั้งหมดและทูตสวรรค์ทั้งปวง เพราะว่าเธอได้รับ
พระหรรษทานในขั้นที่สูงส่งกว่า ซึ่งจะสอดคล้องกับศักดิ์ศรีของเธอในการเป็นพระมารดาของพระเจ้า"
พระนางมารีย์ ผู้ทรงเป็นเอวาคนใหม่ คือของขวัญแด่พระศาสนจักร ไม่เพียงเท่านั้น
ทรงเป็นมารดาของพระศาสนจักรด้วย พระนางทรงเป็นประดุจของขวัญที่มอบให้พวกเราทุกคน
ด้วยวิถีทางที่พิเศษยิ่ง โดยที่องค์พระเยซูคริสต์ พระเทวบุตรของพระนางได้ทรงยกพระนาง
ให้เป็นมารดาของเราแต่ละคนด้วย
พระนางมารีย์ทรงเป็นความปิติยินดีของพระบิดา เพราะเธอเป็นผลงานสร้างสรรค์มหัศจรรย์
ชิ้นเอกของพระองค์ พระนางมารีย์ทรงเป็นความปิติยินดีของพระบุตร ผู้ซึ่งพินิจรำพึงในพระนางว่า
ทรงเป็นหีบแห่งพันธสัญญาที่ซึ่งพระองค์ได้ทรงรับเอาเนื้อหนังบังเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยไถ่โลก
ให้รอดตามพระประสงค์ของพระบิดา พระนางมารีย์ทรงเป็นความปิติยินดีสูงสุดของพระจิตเจ้า
ผู้ซึ่งทรงมองเห็นในเธอว่าเป็นเจ้าสาวที่บริสุทธิ์และซื่อสัตย์อย่างที่สุดของพระองค์ และโดย
พระนางที่พระองค์จะเสด็จลงมาและจะแผ่เงาปกคลุมพระนางในการให้กำเนิดองค์พระบุตร
ถ้าเปิดดูตามพระคัมภีร์แล้ว ไม่มีกล่าวอย่างชัดเจนถึงสถานที่บังเกิดของพระนาง
อย่างไรก็ตาม ตามธรรมประเพณีเชื่อกันว่าเป็นสถานที่ในกรุงเยรูซาเล็ม วันฉลองนี้มีกำเนิดมา
จากทางตะวันออก การฉลองครั้งแรกกระทำในกรุงเยรูซาเล็มในศตวรรษที่ 5 และต่อมาถูกนำ
มาฉลองในกรุงโรมเมื่อศตวรรษที่ 7 การฉลองนี้ช่วยในการกำหนด
วันสมโภชพระนางมารีย์ผู้ปฏิสนธินิรมลว่าเป็นวันที่ 8 ธันวาคม (นับถอยหลังไป 9 เดือน)
(ถอดความโดย คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ จากหนังสือ Saint Companions For Each Day
; เขียนโดย A.J.M. Mausolfe และ J.K. Mausolfe)
ฉลองแม่พระบังเกิด
The Birth of The Blessed Virgin Mary
พระศาสนจักรมีธรรมเนียมฉลองวันเกิดของพระนางมารีย์ในวันนี้ซึ่งเป็นเวลา
เก้าเดือนภายหลังวันฉลองการปฏิสนธินิรมลของพระนางในวันที่ ๘ ธันวาคม
สภาพแวดล้อมวัยเด็กของพระนางมารีย์และชีวิตวัยเยาว์ไม่ได้มีบันทึก
โดยตรงในพระคัมภีร์แต่ธรรมประเพณีและเอกสารอื่นบอกเล่าถึงเรื่องนี้
และนักเขียนคริสตชนยุคแรกเริ่มได้อ้างอิงมาตั้งแต่ศตวรรษที่หนึ่ง
เรื่องราวเหล่านั้น แม้จะไม่ถือว่าเทียบเท่าพระคัมภีร์แต่ก็ให้เค้าโครงของ
ความเชื่อตามธรรมประเพณีของศาสนจักรเกี่ยวกับการถือกำเนิดของพระนางมารีย์
หนังสือ Protoevangelium of James ซึ่งอาจจะเป็นการจดจารึกเรื่องเล่าที่มีมา
ในต้นศตวรรษที่ ๒ เล่าถึงโยอาคิมผู้เป็นสมาชิกมั่งคั่งในเผ่าหนึ่งของสิบสองเผ่า
แห่งอิสราเอล ท่านและภรรยาอันนาเศร้าโศกเพราะไม่มีบุตรธิดา "ท่านระลึกถึงอับราฮัม"
หนังสือเขียนบอก "ว่าในวันสุดท้าย พระเจ้าก็ประทานอิสอัก บุตรชายให้ท่าน"
โยอาคิมและอันนาสวดภาวนาไม่หยุดหย่อนและอดอาหาร ปลีกตัวออกจากกันและ
จากสังคม พวกท่านถือว่าการไม่มีบุตรเป็นโชคร้ายที่สุด และเป็นเครื่องหมายน่าอับอาย
ในหมู่ชนเผ่าของอิสราเอล แล้วก็ปรากฏในที่สุดว่าทั้งสองท่านได้รับพระพรที่ล้นเหลือกว่า
อับราฮัมและซาราห์เสียอีก ทูตสวรรค์เผยแก่อันนาว่าผู้คนทุกยุคสมัยจะเคารพบุตรสาว
เธอที่จะเกิดมา "พระเจ้าได้ยินคำภาวนาของท่าน และท่านจะตั้งครรภ์และจะให้กำเนิด
เมล็ดพันธุ์ของท่านจะบอกกล่าวกับทุกคนในโลก"
เมื่อมารีย์ถือกำเนิดแล้ว หนังสือเล่าว่าอันนา "สร้างพระแท่นในห้องของทารกหญิงและ
ไม่ยอมให้มีสิ่งสกปรกใดๆ แปดเปื้อนเธอ" หนังสือเล่าว่าเมื่อเธออายุหนึ่งขวบ
บิดาก็อดอาหารและเชิญสงฆ์ธรรมาจารย์และผู้อาวุโสมาอวยพรเธอ
บิดามารดาของมารีย์พร้อมกับพระสงฆ์ของพระวิหารตั้งใจถวายเธอให้พระเจ้า
เพื่อเป็นพรหมจารีย์ตลอดชีวิต จึงให้สมรสอย่างคงรักษาความบริสุทธิ์กับช่างไม้โยเซฟ
นักบุญออกัสตินบรรยายการบังเกิดของพระนางมารีย์ว่าเป็นความสำคัญทางประวัติศาสตร์
และจักรวาล และเป็นเหตุการณ์ล่วงหน้าอันเหมาะควรถึงการบังเกิดของพระเยซูคริสต์
"พระนางคือดอกไม้ในท้องทุ่ง เป็นดอกลิลลี่บริสุทธิ์ทรงค่าในหุบเขา ตามที่พระคัมภีร์กล่าวถึง"
CR. : Sinapis
วันที่ 8 กันยายน
ฉลองแม่พระบังเกิด
( The Nativity of the Blessed Virgin Mary, feast )
พระศาสนจักรมักจะถือวันสิ้นชีพของนักบุญว่าเป็น "วันเกิด" และก็เป็นสิ่งถูกต้องเช่นนั้น
เพราะวันนั้นเป็นวันที่ผู้ได้รับเลือกสรรได้จบชีวิตของเขา หรือของเธอบนแผ่นดินนี้ และ
ไปเกิดใหม่มีชีวิตเที่ยงแท้ในสวรรค์ อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นสำหรับ 3 บุคคลนี้ซึ่ง
พระศาสนจักรกำหนดฉลองวันเกิดตามธรรมชาติด้วย ก็คือ พระเยซูเจ้า พระนางมารีย์
และนักบุญยอห์น บัปติสต์
การบังเกิดมาของเด็กคนหนึ่งย่อมเป็นเหตุการณ์ที่น่าชื่นชมยินดีสำหรับครอบครัวนั้น
เป็นจริงดังที่ รพินฐนาถ ฐากอร์
(Rabindranath Tagore - นักปราชญ์ นักปรัชญาชาวอินเดีย - ผู้แปล)
ได้กล่าวไว้ว่า "เด็กทุกๆคนมาสู่โลกด้วยหลักประกันว่าพระผู้เป็นเจ้ายังไม่ทรงเบื่อหน่าย
กับมวลมนุษยชาติ" วันนี้ เราเฉลิมฉลองการบังเกิดของเด็กหญิงผู้หนึ่ง ซึ่งมาด้วยหลัก
ประกันที่มากกว่านั้น เธอได้เป็นสัญญาณดังถ้อยคำของพระศาสนจักรที่ว่าเป็น
"รุ่งอรุณแห่งความหวัง และความรอดพ้นของโลกทั้งมวล"
การบังเกิดมาดุจนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ "จิตวิญญาณของเธอจึงสวยงามที่สุด"
กว่าสิ่งสร้างใดๆที่พระเจ้าทรงสร้างมา - นี่เป็นคำสรรเสริญของนักบุญอัลฟองโซ เดอ ลิกวอรี -
ท่านยังเสริมอีกว่า "จากการถูกกำหนดไว้แล้วให้เป็นพระมารดาขององค์พระวจนาตถ์นิรันดร
เด็กน้อยผู้นี้จึงได้รับพระหรรษทานที่ยิ่งใหญ่จนเปี่ยมล้น ถึงขั้นที่ว่าขณะที่เธอปฏิสนธินิรมลนั้น
เธอก็มีความศักดิ์สิทธิ์เกินกว่าบรรดานักบุญทั้งหมดและทูตสวรรค์ทั้งปวง เพราะว่าเธอได้รับ
พระหรรษทานในขั้นที่สูงส่งกว่า ซึ่งจะสอดคล้องกับศักดิ์ศรีของเธอในการเป็นพระมารดาของพระเจ้า"
พระนางมารีย์ ผู้ทรงเป็นเอวาคนใหม่ คือของขวัญแด่พระศาสนจักร ไม่เพียงเท่านั้น
ทรงเป็นมารดาของพระศาสนจักรด้วย พระนางทรงเป็นประดุจของขวัญที่มอบให้พวกเราทุกคน
ด้วยวิถีทางที่พิเศษยิ่ง โดยที่องค์พระเยซูคริสต์ พระเทวบุตรของพระนางได้ทรงยกพระนาง
ให้เป็นมารดาของเราแต่ละคนด้วย
พระนางมารีย์ทรงเป็นความปิติยินดีของพระบิดา เพราะเธอเป็นผลงานสร้างสรรค์มหัศจรรย์
ชิ้นเอกของพระองค์ พระนางมารีย์ทรงเป็นความปิติยินดีของพระบุตร ผู้ซึ่งพินิจรำพึงในพระนางว่า
ทรงเป็นหีบแห่งพันธสัญญาที่ซึ่งพระองค์ได้ทรงรับเอาเนื้อหนังบังเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยไถ่โลก
ให้รอดตามพระประสงค์ของพระบิดา พระนางมารีย์ทรงเป็นความปิติยินดีสูงสุดของพระจิตเจ้า
ผู้ซึ่งทรงมองเห็นในเธอว่าเป็นเจ้าสาวที่บริสุทธิ์และซื่อสัตย์อย่างที่สุดของพระองค์ และโดย
พระนางที่พระองค์จะเสด็จลงมาและจะแผ่เงาปกคลุมพระนางในการให้กำเนิดองค์พระบุตร
ถ้าเปิดดูตามพระคัมภีร์แล้ว ไม่มีกล่าวอย่างชัดเจนถึงสถานที่บังเกิดของพระนาง
อย่างไรก็ตาม ตามธรรมประเพณีเชื่อกันว่าเป็นสถานที่ในกรุงเยรูซาเล็ม วันฉลองนี้มีกำเนิดมา
จากทางตะวันออก การฉลองครั้งแรกกระทำในกรุงเยรูซาเล็มในศตวรรษที่ 5 และต่อมาถูกนำ
มาฉลองในกรุงโรมเมื่อศตวรรษที่ 7 การฉลองนี้ช่วยในการกำหนด
วันสมโภชพระนางมารีย์ผู้ปฏิสนธินิรมลว่าเป็นวันที่ 8 ธันวาคม (นับถอยหลังไป 9 เดือน)
(ถอดความโดย คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ จากหนังสือ Saint Companions For Each Day
; เขียนโดย A.J.M. Mausolfe และ J.K. Mausolfe)
ฉลองนักบุญ วันที่ ๙ กันยายน
นักบุญเปโตร คลาแวร์
St. Peter Claver
ท่านเป็นสงฆ์ธรรมทูตคณะเยสุอิตผู้อุทิศชีวิตทำงานช่วยเหลือทาสแอฟริกัน
ที่ถูกบังคับมาที่อเมริกาใต้ในศตวรรษที่ ๑๗
เปโตร คลาแวร์ เกิดในครอบครัวชาวไร่ในแคว้นคาตาโลเนียของสเปน
ในปี ๑๕๘๑ ท่านศึกษาที่มหาวิทยาลัยบาร์เซโลนา และเข้าเป็นนวกชนของ
คณะเยสุอิตเมื่ออายุ ๒๐ ปี
ขณะศึกษาปรัชญาที่ทาราโกน่า ท่านได้รู้จักภราดาฆราวาสเยสุอิตสูงวัยคนหนึ่ง
ชื่ออัลฟอนซุส ร็อดริเกส (Alphonsus Rodriguez) ภราดาผู้นี้แม้ทำหน้าที่ต่ำต้อย
เป็นยามคอยเปิดปิดประตูอาราม แต่กลับหยั่งรู้เรื่องชีวิตฝ่ายจิต เขาสนับสนุน
ให้เปโตรไปทำงานเป็นธรรมทูตในอาณานิคมของสเปน ในอีกสองศตวรรษให้หลัง
ท่านทั้งสองได้ถูกประกาศเป็นนักบุญโดยพระสันตะปาปาเลโอ ที่ ๓
ในปี ๑๖๑๐ เปโตร คลาแวร์ ซึ่งบวชเป็นพระสงฆ์แล้วได้มาถึงเมืองคาร์ตาเกนา
(Cartagena) เมืองท่าของโคลัมเบียในปัจจุบัน นับแต่ศตวรรษก่อนๆ พระศาสนจักร
ประณามการค้าขายและบังคับคนเป็นทาส แต่ชาวอาณานิคมยุโรปก็ยังคงขนคน
พื้นเมืองมาจากแอฟริกา พวกคนเหล่านี้ถูกขายให้ทำงานในไร่และเหมือง ผู้รอดชีวิต
จากการเดินทางข้ามสมุทรก็ต้องถูกบังคับให้ทำงานหนักตลอดเวลา
เปโตร คลาแวร์ มุ่งมั่นจะนำความช่วยเหลือทางวัตถุและความรอดนิรันดร์แก่ทาส
แอฟริกัน ท่านสาบานว่าจะเป็น "ทาสของพวกทาสตลอดไป" ท่านรักษาความตั้งใจ
และกระทำตามคำปฏิญาณนี้แม้จะมีปัญหาด้านสุขภาพ เพราะอากาศของเขตร้อน
และอุปสรรคทางภาษาก็ตาม
ข้าราชการสเปนหลายคนในคาร์ตาเกนาชื่นชมกิจการของท่าน และได้ช่วยบรรเทาทุกข์
และให้การศึกษาแก่พวกทาส แต่พวกนักค้าทาสเห็นว่าท่านเป็นตัวป่วน นักผจญโชค
ชาวสเปนต้องการพบเจอท่านเพราะได้ยินชื่อเสียงความศักดิ์สิทธิ์แต่พวกเขาก็ปฏิเสธ
ที่จะเข้าร่วมพิธีในวัดหรือใช้ที่ฟังแก้บาปเดียวกับพวกทาสผิวดำ
ในการทำงานอภิบาลให้ได้ผลกับผู้ใช้ภาษาต่างกัน ท่านมักจะสอนคำสอนคาทอลิกโดย
ภาพวาด ท่านสื่อสารด้วยความเห็นอกเห็นใจและแสดงออกถึงความรัก ให้อาหารและ
เครื่องดื่มแก่คนงานที่เจ็บป่วยและเยี่ยมผู้ใกล้จะตาย "เราต้องพูดกับพวกเขาด้วยมือของเรา
" ท่านให้เหตุผล "ก่อนที่เราจะพยายามพูดด้วยปาก"
การยึดถือคำมั่นของการปฏิญาณเป็นทาส ทำให้ท่านกินและนอนน้อยที่สุด ชีวิตที่ถ่อมตน
และพลีกรรมหนักของท่านก่อให้เกิดอัศจรรย์หลายครั้ง เช่น คนป่วยหายเพียงได้สัมผัส
เสื้อคลุมท่าน หรือมีแสงสว่างเหนือธรรมชาติอยู่รอบตัวท่านขณะเยี่ยมพวกเขาที่โรงพยาบาล
ท่านเสียชีวิตในวันที่ ๘ กันยายน ๑๖๕๔ ตลอดเวลา ๔๐ ปีที่ท่านอยู่เมืองนั้น
ท่านได้ล้างบาปและสอน
ความเชื่อแก่ทาสมากกว่า ๓ แสนคน
CR. : Sinapis
นักบุญเปโตร คลาแวร์
St. Peter Claver
ท่านเป็นสงฆ์ธรรมทูตคณะเยสุอิตผู้อุทิศชีวิตทำงานช่วยเหลือทาสแอฟริกัน
ที่ถูกบังคับมาที่อเมริกาใต้ในศตวรรษที่ ๑๗
เปโตร คลาแวร์ เกิดในครอบครัวชาวไร่ในแคว้นคาตาโลเนียของสเปน
ในปี ๑๕๘๑ ท่านศึกษาที่มหาวิทยาลัยบาร์เซโลนา และเข้าเป็นนวกชนของ
คณะเยสุอิตเมื่ออายุ ๒๐ ปี
ขณะศึกษาปรัชญาที่ทาราโกน่า ท่านได้รู้จักภราดาฆราวาสเยสุอิตสูงวัยคนหนึ่ง
ชื่ออัลฟอนซุส ร็อดริเกส (Alphonsus Rodriguez) ภราดาผู้นี้แม้ทำหน้าที่ต่ำต้อย
เป็นยามคอยเปิดปิดประตูอาราม แต่กลับหยั่งรู้เรื่องชีวิตฝ่ายจิต เขาสนับสนุน
ให้เปโตรไปทำงานเป็นธรรมทูตในอาณานิคมของสเปน ในอีกสองศตวรรษให้หลัง
ท่านทั้งสองได้ถูกประกาศเป็นนักบุญโดยพระสันตะปาปาเลโอ ที่ ๓
ในปี ๑๖๑๐ เปโตร คลาแวร์ ซึ่งบวชเป็นพระสงฆ์แล้วได้มาถึงเมืองคาร์ตาเกนา
(Cartagena) เมืองท่าของโคลัมเบียในปัจจุบัน นับแต่ศตวรรษก่อนๆ พระศาสนจักร
ประณามการค้าขายและบังคับคนเป็นทาส แต่ชาวอาณานิคมยุโรปก็ยังคงขนคน
พื้นเมืองมาจากแอฟริกา พวกคนเหล่านี้ถูกขายให้ทำงานในไร่และเหมือง ผู้รอดชีวิต
จากการเดินทางข้ามสมุทรก็ต้องถูกบังคับให้ทำงานหนักตลอดเวลา
เปโตร คลาแวร์ มุ่งมั่นจะนำความช่วยเหลือทางวัตถุและความรอดนิรันดร์แก่ทาส
แอฟริกัน ท่านสาบานว่าจะเป็น "ทาสของพวกทาสตลอดไป" ท่านรักษาความตั้งใจ
และกระทำตามคำปฏิญาณนี้แม้จะมีปัญหาด้านสุขภาพ เพราะอากาศของเขตร้อน
และอุปสรรคทางภาษาก็ตาม
ข้าราชการสเปนหลายคนในคาร์ตาเกนาชื่นชมกิจการของท่าน และได้ช่วยบรรเทาทุกข์
และให้การศึกษาแก่พวกทาส แต่พวกนักค้าทาสเห็นว่าท่านเป็นตัวป่วน นักผจญโชค
ชาวสเปนต้องการพบเจอท่านเพราะได้ยินชื่อเสียงความศักดิ์สิทธิ์แต่พวกเขาก็ปฏิเสธ
ที่จะเข้าร่วมพิธีในวัดหรือใช้ที่ฟังแก้บาปเดียวกับพวกทาสผิวดำ
ในการทำงานอภิบาลให้ได้ผลกับผู้ใช้ภาษาต่างกัน ท่านมักจะสอนคำสอนคาทอลิกโดย
ภาพวาด ท่านสื่อสารด้วยความเห็นอกเห็นใจและแสดงออกถึงความรัก ให้อาหารและ
เครื่องดื่มแก่คนงานที่เจ็บป่วยและเยี่ยมผู้ใกล้จะตาย "เราต้องพูดกับพวกเขาด้วยมือของเรา
" ท่านให้เหตุผล "ก่อนที่เราจะพยายามพูดด้วยปาก"
การยึดถือคำมั่นของการปฏิญาณเป็นทาส ทำให้ท่านกินและนอนน้อยที่สุด ชีวิตที่ถ่อมตน
และพลีกรรมหนักของท่านก่อให้เกิดอัศจรรย์หลายครั้ง เช่น คนป่วยหายเพียงได้สัมผัส
เสื้อคลุมท่าน หรือมีแสงสว่างเหนือธรรมชาติอยู่รอบตัวท่านขณะเยี่ยมพวกเขาที่โรงพยาบาล
ท่านเสียชีวิตในวันที่ ๘ กันยายน ๑๖๕๔ ตลอดเวลา ๔๐ ปีที่ท่านอยู่เมืองนั้น
ท่านได้ล้างบาปและสอน
ความเชื่อแก่ทาสมากกว่า ๓ แสนคน
CR. : Sinapis
ฉลองนักบุญ วันที่ ๑๐ กันยายน
นักบุญนิโคลัส แห่งโตเลนติโน
St. Nicholas of Tolentino
ท่านเกิดที่เมือง ซังอังเจโล ประเทศฝรั่งเศส ในปี ๑๒๔๖ เมื่ออายุ ๑๘ ปี
ท่านสมัครเข้าเป็นฤษีคณะออกัสติเนียนหลังจากได้ยินฤษีคนหนึ่งของคณะนี้เทศน์
ท่านรับศีลบวชในเจ็ดปีต่อมา และมีชื่อเสียงในฐานะนักเทศน์และผู้ฟังแก้บาป
ท่านถือปฏฺิบัติการทรมานกายอย่างหนักและอดอาหารอย่างเข้มงวด มีคนป่วย
หลายคนได้รับการบำบัดจากท่าน ขนมปังที่รู้จักในชื่อ "ขนมปังของนักบุญนิโคลาส"
ซึ่งเป็นก้อนโดนัทที่มีไม้กางเขนอยู่ตรงกลาง มีกำเนิดจากขนมปังที่ท่านมอบให้คนป่วย
กินหลังจากสวดภาวนาขอให้พระนางมารีย์ช่วยเหลือ
ท่านเสียชีวิตวันที่ ๑๐ กันยายน ๑๓๐๖ และได้รับประกาศเป็นนักบุญ
โดยพระสันตะปาปายูยีน ที่ ๔ในปี๑๔๔๖
Cr Sinapis
นักบุญนิโคลัส แห่งโตเลนติโน
St. Nicholas of Tolentino
ท่านเกิดที่เมือง ซังอังเจโล ประเทศฝรั่งเศส ในปี ๑๒๔๖ เมื่ออายุ ๑๘ ปี
ท่านสมัครเข้าเป็นฤษีคณะออกัสติเนียนหลังจากได้ยินฤษีคนหนึ่งของคณะนี้เทศน์
ท่านรับศีลบวชในเจ็ดปีต่อมา และมีชื่อเสียงในฐานะนักเทศน์และผู้ฟังแก้บาป
ท่านถือปฏฺิบัติการทรมานกายอย่างหนักและอดอาหารอย่างเข้มงวด มีคนป่วย
หลายคนได้รับการบำบัดจากท่าน ขนมปังที่รู้จักในชื่อ "ขนมปังของนักบุญนิโคลาส"
ซึ่งเป็นก้อนโดนัทที่มีไม้กางเขนอยู่ตรงกลาง มีกำเนิดจากขนมปังที่ท่านมอบให้คนป่วย
กินหลังจากสวดภาวนาขอให้พระนางมารีย์ช่วยเหลือ
ท่านเสียชีวิตวันที่ ๑๐ กันยายน ๑๓๐๖ และได้รับประกาศเป็นนักบุญ
โดยพระสันตะปาปายูยีน ที่ ๔ในปี๑๔๔๖
Cr Sinapis
ฉลองนักบุญ วันที่ ๑๑ กันยายน
นักบุญฌอง กาเบรียล แปร์โบเรย์
St. Jean Gabriel Perboyre
ฌอง กาเบรียล เกิดในครอบครัวใจศรัทธาเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๑๘๐๒
ที่เมือง Puech ประเทศฝรั่งเศส พี่น้องชายหญิงของท่านเป็นพระสงฆ์
นักบวชทั้งหมด สามคนเป็นพระสงฆ์อีกสองคนเป็นซิสเตอร์ เมื่ออายุ ๑๖ ปี
ท่านสมัครเข้าคณะแห่งงานธรรมทูต (Congregation of the Mission)
ที่ก่อตั้งโดยนักบุญวินเซนเดอปอล
ท่านบวชเป็นพระสงฆ์เมื่ออายุ ๒๓ ปีสอนเทววิทยาที่บ้านเณรก่อนจะได้รับ
การแต่งตั้งเป็นอธิการและต่อมาเป็นนวกจารย์ที่ปารีส น้องชายของท่าน หลุยส์
เสียชีวิตระหว่างเดินทางเพื่อทำงานธรรมทูตที่ประเทศจีนเมื่ออายุ ๒๔ ปี
ฌอง กาเบรียลจึงขอสืบทอดภารกิจของน้องชาย ท่านมาถึงเกาะมาเก๊า
วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๑๘๓๕ และออกเดินทางไปแผ่นดินใหญ่
ท่านทำงานประกาศพระวรสารที่หัวหนาน อยู่ ๓ ปีก่อนจะถูกย้ายไปที่หูเป่ย
งานธรรมทูตของท่านเกิดผลอย่างมากในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ท่านอยู่ที่นั่น
วันที่ ๑๑ กันยายน ๑๘๓๙ ท่านเป็นหนึ่งในเหยื่อ ๕ คนของการเบียดเบียนชาวคริสต์
ท่านเสียชีวิตในลักษณะคล้ายคลึงกับพระเยซู ท่านถูกคนทรยศขายด้วยเงิน
ถูกเปลื้องเสื้อผ้าและลากไปรับการพิพากษาถูกทุบตีกระทำทารุณอย่างต่อเนื่อง
จนที่สุดถูกตัดสินประหารชีวิตพร้อมกับอาชญากร ๗ คน ท่านถูกตรึงกางเขนและ
สิ้นใจบนไม้กางเขน
พระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ ๒ ประกาศตั้งท่านเป็นนักบุญคนแรกของประเทศจีน
ในวันที่ ๒ มิถุนายน ๑๙๙๖
ก่อนเสียชีวิต ท่านเขียนบทภาวนาว่า"พระผู้กอบกู้ของข้าพเจ้า ขอโปรดเปลี่ยนแปลง
ข้าพเจ้าให้เหมือนพระองค์ ขอให้ข้าพเจ้าดำเนินชีวิตในพระองค์ ด้วยพระองค์
และพร้อมกับพระองค์ เพื่อว่าข้าพเจ้าจะสามารถพูดได้อย่างแท้จริงพร้อมกับ
นักบุญเปาโลว่าข้าพเจ้ามีชีวิต แต่ไม่ใช่ข้าพเจ้า เป็นพระคริสต์มีชีวิตในตัวข้าพเจ้า"
CR. : Sinapis
นักบุญฌอง กาเบรียล แปร์โบเรย์
St. Jean Gabriel Perboyre
ฌอง กาเบรียล เกิดในครอบครัวใจศรัทธาเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๑๘๐๒
ที่เมือง Puech ประเทศฝรั่งเศส พี่น้องชายหญิงของท่านเป็นพระสงฆ์
นักบวชทั้งหมด สามคนเป็นพระสงฆ์อีกสองคนเป็นซิสเตอร์ เมื่ออายุ ๑๖ ปี
ท่านสมัครเข้าคณะแห่งงานธรรมทูต (Congregation of the Mission)
ที่ก่อตั้งโดยนักบุญวินเซนเดอปอล
ท่านบวชเป็นพระสงฆ์เมื่ออายุ ๒๓ ปีสอนเทววิทยาที่บ้านเณรก่อนจะได้รับ
การแต่งตั้งเป็นอธิการและต่อมาเป็นนวกจารย์ที่ปารีส น้องชายของท่าน หลุยส์
เสียชีวิตระหว่างเดินทางเพื่อทำงานธรรมทูตที่ประเทศจีนเมื่ออายุ ๒๔ ปี
ฌอง กาเบรียลจึงขอสืบทอดภารกิจของน้องชาย ท่านมาถึงเกาะมาเก๊า
วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๑๘๓๕ และออกเดินทางไปแผ่นดินใหญ่
ท่านทำงานประกาศพระวรสารที่หัวหนาน อยู่ ๓ ปีก่อนจะถูกย้ายไปที่หูเป่ย
งานธรรมทูตของท่านเกิดผลอย่างมากในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ท่านอยู่ที่นั่น
วันที่ ๑๑ กันยายน ๑๘๓๙ ท่านเป็นหนึ่งในเหยื่อ ๕ คนของการเบียดเบียนชาวคริสต์
ท่านเสียชีวิตในลักษณะคล้ายคลึงกับพระเยซู ท่านถูกคนทรยศขายด้วยเงิน
ถูกเปลื้องเสื้อผ้าและลากไปรับการพิพากษาถูกทุบตีกระทำทารุณอย่างต่อเนื่อง
จนที่สุดถูกตัดสินประหารชีวิตพร้อมกับอาชญากร ๗ คน ท่านถูกตรึงกางเขนและ
สิ้นใจบนไม้กางเขน
พระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ ๒ ประกาศตั้งท่านเป็นนักบุญคนแรกของประเทศจีน
ในวันที่ ๒ มิถุนายน ๑๙๙๖
ก่อนเสียชีวิต ท่านเขียนบทภาวนาว่า"พระผู้กอบกู้ของข้าพเจ้า ขอโปรดเปลี่ยนแปลง
ข้าพเจ้าให้เหมือนพระองค์ ขอให้ข้าพเจ้าดำเนินชีวิตในพระองค์ ด้วยพระองค์
และพร้อมกับพระองค์ เพื่อว่าข้าพเจ้าจะสามารถพูดได้อย่างแท้จริงพร้อมกับ
นักบุญเปาโลว่าข้าพเจ้ามีชีวิต แต่ไม่ใช่ข้าพเจ้า เป็นพระคริสต์มีชีวิตในตัวข้าพเจ้า"
CR. : Sinapis
ฉลองนักบุญ วันที่ ๑๒ กันยายน
บุญราศีอปอลลินาริส ฟรังโก
Blessed Apollinaris Franco
อปอลลินาริส เกิดในแคว้นคาสตีล สเปน และได้เข้าคณะนักบวชฟรังซิสกัน
ในปี ๑๖๑๔ ท่านถูกส่งไปที่ญี่ปุ่นเพื่อเป็นหัวหน้ากลุ่มธรรมทูตฟรังซิสกัน ปีนั้นเอง
โชกุนคนใหม่ของญี่ปุ่นออกกฎหมายทั่วประเทศห้ามการเป็นคริสต์และประกาศว่า
ผู้เป็นคริสตชนมีโทษหนัก
ท่านทำงานประกาศพระวรสารอย่างแอบซ่อน จนกระทั่งถูกจับในปี ๑๖๑๗ และถูกขังคุก
ที่นางาซากิพร้อมกับพระสงฆ์และฆราวาสอื่นๆ เป็นเวลา ๕ ปี รอคอยการถูกประหาร
สภาพความเป็นอยู่ในคุกยากลำบากมากเพราะพวกผู้จับกุมต้องการบีบบังคับให้นักโทษ
ยอมทิ้งความเชื่อ ท่านทำงานอภิบาลนักโทษคนอื่นๆ และได้ทำให้พวกผู้คุมกลับใจเพราะ
เห็นตัวอย่างชีวิตและคำสอนของท่าน
ในวันที่ ๑๒ กันยายน ๑๖๒๒ ท่านถูกมัดกับเสา เผาทั้งเป็น พร้อมกับสมาชิกคณะฟรังซิสกัน
และเยสุอิตคนอื่นๆ
Cr. Sinapis
บุญราศีอปอลลินาริส ฟรังโก
Blessed Apollinaris Franco
อปอลลินาริส เกิดในแคว้นคาสตีล สเปน และได้เข้าคณะนักบวชฟรังซิสกัน
ในปี ๑๖๑๔ ท่านถูกส่งไปที่ญี่ปุ่นเพื่อเป็นหัวหน้ากลุ่มธรรมทูตฟรังซิสกัน ปีนั้นเอง
โชกุนคนใหม่ของญี่ปุ่นออกกฎหมายทั่วประเทศห้ามการเป็นคริสต์และประกาศว่า
ผู้เป็นคริสตชนมีโทษหนัก
ท่านทำงานประกาศพระวรสารอย่างแอบซ่อน จนกระทั่งถูกจับในปี ๑๖๑๗ และถูกขังคุก
ที่นางาซากิพร้อมกับพระสงฆ์และฆราวาสอื่นๆ เป็นเวลา ๕ ปี รอคอยการถูกประหาร
สภาพความเป็นอยู่ในคุกยากลำบากมากเพราะพวกผู้จับกุมต้องการบีบบังคับให้นักโทษ
ยอมทิ้งความเชื่อ ท่านทำงานอภิบาลนักโทษคนอื่นๆ และได้ทำให้พวกผู้คุมกลับใจเพราะ
เห็นตัวอย่างชีวิตและคำสอนของท่าน
ในวันที่ ๑๒ กันยายน ๑๖๒๒ ท่านถูกมัดกับเสา เผาทั้งเป็น พร้อมกับสมาชิกคณะฟรังซิสกัน
และเยสุอิตคนอื่นๆ
Cr. Sinapis
ฉลองนักบุญ วันที่ ๑๓ กันยายน
นักบุญยอห์น ครีโซสตม
St. John Chrysostom
ท่านเกิดที่เมืองอันติโอกในปี ๓๔๗ ท่านเป็นนัเทศน์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
พระศาสนจักรจนได้สมญานามว่า "นักเทศน์ลิ้นทอง" ท่านยังเป็นปิตาจารย์ออร์โธดอกซ์
คนสำคัญที่สุดของพระศาสนจักรอีกด้วย
ยอห์นเติบโตมาในเมืองอันติโอกได้รับการศึกษาตามแบบกรีกคลาสสิคการที่ท่าน
ได้พบสังฆราชเมเลตุสผู้ศักดิ์สิทธิ์ ส่งผลให้ตัดสินใจอุทิศชีวิตเพื่อศึกษาผลงานเขียน
ด้านศาสนาและพระวรสาร หลังได้รับศีลล้างบาปท่านก็ทดลองใช้ชีวิตฤษีที่เคร่งครัด
การพลีกรรมทรมานตนอย่างหนักทำให้สุขภาพท่านอ่อนแอ ดังนั้น หลังฟื้นคืนดีท่าน
ก็กลับสู่อันติโอก ศึกษาเตรียมเป็นพระสงฆ์ ท่านบวชเมื่อปี ๓๘๖ และทำงานรับใช้ที่
อาสนวิหารแห่งอันติโอกเป็นเวลา ๑๒ ปี ที่นี่ท่านมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วไปถึงการเทศน์
อย่างดีเลิศของท่าน
ในปี ๓๙๘ ท่านถูกบังคับให้ยอมรับตำแหน่งอัยกา (Patriarch) ของคอนสแตนติดโนเปิล
ที่เมืองนั้นท่านเทศน์สอนด้วยความกล้าหาญต่อหน้าผู้มีอำนาจของจักรวรรดิ ติเตียน
อย่างเปิดเผยถึงความคดโกงและพฤติกรรมเสื่อมเสียของชนชั้นปกครอง สร้างความ
นิยมชมชื่นอย่างมากแก่ประชาชน
จักรพรรดินียูโดเซียเห็นท่านเป็นศัตรู รวมทั้งธีโอฟีลัส พระสังฆราชแห่งอเล็กซานเดรียด้วย
ท่านถูกใส่ความด้วยเรื่องเท็จในปี ๔๐๓ และถูกขับไล่ไปอาร์เมเนีย ที่นั่น ท่านเขียนจดหมาย
อภิบาลศาสนจักรตะวันออกต่อไป ต่อมา พวกเขาขับไล่ท่านจากอาร์เมเนียอีกให้ไปอยู่ยัง
เกาะโดดเดี่ยวริมฝั่งทะเลดำ แต่ท่านเสียชีวิตระหว่างการเดินทางในปี ๔๐๗
ในปี ๔๓๘ จักรพรรดิธีโอโดซีอุส ที่ ๒ นำร่างท่านกลับมาคอนสแตนติโนเปิลและได้ทำกิจการ
ใช้โทษบาปสำหรับพระมารดาของพระองค์ พระนางยูโดเซีย
งานเขียนมากมายของท่าน โดยเฉพาะบทเทศน์และอรรถาธิบายพระวรสารเป็นที่นิยมและ
มีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงยาวนานหลายศตวรรษ
CR. : Sinapis
นักบุญยอห์น ครีโซสตม
St. John Chrysostom
ท่านเกิดที่เมืองอันติโอกในปี ๓๔๗ ท่านเป็นนัเทศน์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
พระศาสนจักรจนได้สมญานามว่า "นักเทศน์ลิ้นทอง" ท่านยังเป็นปิตาจารย์ออร์โธดอกซ์
คนสำคัญที่สุดของพระศาสนจักรอีกด้วย
ยอห์นเติบโตมาในเมืองอันติโอกได้รับการศึกษาตามแบบกรีกคลาสสิคการที่ท่าน
ได้พบสังฆราชเมเลตุสผู้ศักดิ์สิทธิ์ ส่งผลให้ตัดสินใจอุทิศชีวิตเพื่อศึกษาผลงานเขียน
ด้านศาสนาและพระวรสาร หลังได้รับศีลล้างบาปท่านก็ทดลองใช้ชีวิตฤษีที่เคร่งครัด
การพลีกรรมทรมานตนอย่างหนักทำให้สุขภาพท่านอ่อนแอ ดังนั้น หลังฟื้นคืนดีท่าน
ก็กลับสู่อันติโอก ศึกษาเตรียมเป็นพระสงฆ์ ท่านบวชเมื่อปี ๓๘๖ และทำงานรับใช้ที่
อาสนวิหารแห่งอันติโอกเป็นเวลา ๑๒ ปี ที่นี่ท่านมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วไปถึงการเทศน์
อย่างดีเลิศของท่าน
ในปี ๓๙๘ ท่านถูกบังคับให้ยอมรับตำแหน่งอัยกา (Patriarch) ของคอนสแตนติดโนเปิล
ที่เมืองนั้นท่านเทศน์สอนด้วยความกล้าหาญต่อหน้าผู้มีอำนาจของจักรวรรดิ ติเตียน
อย่างเปิดเผยถึงความคดโกงและพฤติกรรมเสื่อมเสียของชนชั้นปกครอง สร้างความ
นิยมชมชื่นอย่างมากแก่ประชาชน
จักรพรรดินียูโดเซียเห็นท่านเป็นศัตรู รวมทั้งธีโอฟีลัส พระสังฆราชแห่งอเล็กซานเดรียด้วย
ท่านถูกใส่ความด้วยเรื่องเท็จในปี ๔๐๓ และถูกขับไล่ไปอาร์เมเนีย ที่นั่น ท่านเขียนจดหมาย
อภิบาลศาสนจักรตะวันออกต่อไป ต่อมา พวกเขาขับไล่ท่านจากอาร์เมเนียอีกให้ไปอยู่ยัง
เกาะโดดเดี่ยวริมฝั่งทะเลดำ แต่ท่านเสียชีวิตระหว่างการเดินทางในปี ๔๐๗
ในปี ๔๓๘ จักรพรรดิธีโอโดซีอุส ที่ ๒ นำร่างท่านกลับมาคอนสแตนติโนเปิลและได้ทำกิจการ
ใช้โทษบาปสำหรับพระมารดาของพระองค์ พระนางยูโดเซีย
งานเขียนมากมายของท่าน โดยเฉพาะบทเทศน์และอรรถาธิบายพระวรสารเป็นที่นิยมและ
มีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงยาวนานหลายศตวรรษ
CR. : Sinapis
14 กันยายน
ฉลองเทิดทูนไม้กางเขน
(The Exaltation of the Holy Cross, feast)
ธรรมล้ำลึกปัสกาของพระเยซูคริสตเจ้าเป็นทั้งแหล่งที่มาและคำมั่นสัญญา
ของชีวิตนิรันดร และเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ที่สูงส่งที่แฝงไว้ถึงสิริรุ่งโรจน์
ของธรรมล้ำลึกทั้งหมดนี้ ก็คือไม้กางเขน ซึ่งแขวนการไถ่ให้รอดของโลกนี้ไว้
ชัยชนะของไม้กางเขนเหนือบาปและความตายถูกรวบยอดอยู่ที่นี่ และทั้งหมด
ของชัยชนะ ของความยินดีต่อชัยชนะนี่แหละที่พระศาสนจักรทำการเฉลิมฉลองวันนี้
วันฉลองนี้แต่ต้นเลยรู้กันในชื่อนี้ ซึ่งหมายถึงการยกย่องเชิดชูไม้กางเขน ยังมี
นัยหมายถึง "วางไว้บนที่สูง เพราะมีความสำคัญสูงส่ง" "การยกขึ้น" การฉลองนี้มี
ความสำคัญต่อบรรดาผู้มีความเชื่อ 4 ประการด้วยกัน กล่าวคือ
ประการแรก หมายถึง การยกกางเขนขึ้นบนเนินเขากัลวารีโอในวันศุกร์นั้น
ซึ่งแม้ว่าจะรวมไว้ด้วยเรื่องการทนทุกข์ทรมานใหญ่หลวง และความอับอาย แต่กระนั้น
ก็เป็นการถวายบูชาด้วยความรักที่ทรงมีต่อพระบิดา และด้วยความรักที่พระบิดาทรงมี
ต่อมวลมนุษย์ การถูกยกตั้งขึ้นสูงเปรียบประดุจว่าพระเยซูเจ้าทรงทำให้ไม้กางเขนเป็น
เหมือนธรรมาสน์ที่ทรงเทศนา โดยพระวาจาและพระฉบับแบบ เป็นคำเทศนาที่สะเทือน
อารมณ์มากที่สุดตลอดช่วงพระภารกิจบนแผ่นดินนี้ - พระองค์ทรงอภัยและทรงมอบ
พระองค์ให้ - ทุกๆบาดแผลของพระองค์หลั่งไหลพระหรรษทานออกมา จากด้านข้าง
พระวรกายทรงให้กำเนิดพระศาสนจักร และก่อนลมหายใจสุดท้ายพระองค์ทรงมอบ
พระมารดาของพระองค์ให้เป็นของขวัญแก่มวลมนุษยชาติ คือ พระแม่มารีย์ ไม้กางเขน
จึงเป็นเครื่องหมายถึงชัยชนะของพระองค์โดยแท้จริง ไม้ในแนวตั้งเชื่อมมนุษย์กับพระเจ้า
ไม้ส่วนที่พาดในแนวนอนเชื่อมมนุษย์กับมนุษย์และโดยไม่แยกออกไปจากพระเจ้า
ประการที่สอง หมายถึง การตั้งไม้กางเขนขึ้นในวัดพระคูหาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งทำในปี ค.ศ. 326
โดยนักบุญเฮเลนา พระมารดาแห่งพระจักรพรรดิคอนสแตนติน ได้ค้นพบไม้กางเขน 3 อัน
บนเขากัลวารีโอ อัศจรรย์เกิดขึ้นโดยการให้คนง่อยสัมผัสไม้กางเขนทั้งสาม ช่วยให้พิสูจน์
ได้ว่า ไม้กางเขนไหนเป็นกางเขนแท้ของพระเยซูเจ้า ต่อมา พระนางนำกางเขนนั้นมาตั้งไว้
ในพระราชวังที่กรุงโรม ซึ่งพระนางได้เปลี่ยนให้กลายเป็นวัดแห่งไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์
ต้องขอบคุณในความพยายามของพระนาง พระธาตุชิ้นส่วนของไม้กางเขนนี้ได้กระจาย
ไปอยู่ในทุกภาคส่วนของอาณาจักรคริสต์ ส่วนหนึ่งของเนื้อไม้กางเขนแท้ถูกเก็บรักษาไว้
ในกรุงเยรูซาเล็ม แต่ในปี 614 ชาวเปอร์เซียมารุกราน กษัตริย์เปอร์เซียที่ได้ชัยชนะได้นำ
พระธาตุไม้กางเขนแท้บรรจุในกล่องเงินไปยังอิหร่าน พอถึงปี 629 เมื่อจักรพรรดิเฮราคลิอุส
ยึดเปอร์เซียได้ จึงเอาพระธาตุกลับคืนมา ทีแรกไว้ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล
ต่อมาไว้ที่กรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งที่นี่มีการตั้งขึ้นเพื่อให้มีการนมัสการอย่างเป็นทางการ
ช่วงนี้วันฉลองนี้ก็ถูกนำมารวมไว้กับพระศาสนจักรที่กรุงโรมด้วย
ประการที่สาม หมายความว่าสัญลักษณ์แห่งชัยชนะของไม้กางเขนในที่สุดแล้วคือการ
พิพากษาตัดสิน พระเยซูเจ้าได้ตรัสกับนิโคเดมัสว่า "...โมเสสยกรูปงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใด
บุตรแห่งมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์ จะมีชีวิตนิรันดร"
(ยน 3 : 14-15) ดุจดังเช่นวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม้กางเขนได้แบ่งฝูงชนที่อยู่บนเนินเขากัลวาริโอ
ออกเป็น 2 กลุ่ม ก็จะเป็นเช่นนั้นในวันสุดท้าย "เวลานั้น เครื่องหมายของบุตรแห่งมนุษย์จะ
ปรากฏบนท้องฟ้า" (มธ 24 : 30) เราทุกคนจะรู้ว่าที่สำหรับเราจะอยู่ทางขวา หรือทางซ้าย
ประการสุดท้าย หมายถึงการที่ผู้มีความเชื่อทุกๆคนจะยอมรับไม้กางเขนของพระคริสต์
และการอุทิศตนต่อไม้กางเขนของพระองค์ กางเขนจะมีที่อันสมเกียรติในใจของคริสตชนทุกคน
เป็นเสมือนบ้านและสถานสำหรับสักการบูชา ด้วยสำคัญมหากางเขนนี้เราทำก่อนเริ่มต้น
กิจการต่างๆ จริงๆแล้ว เราทำอะไรก็ตาม เราทำโดยมีส่วนร่วมแบกกางเขนของพระคริสตเจ้า
และนั่นเองจึงมีส่วนร่วมในการไถ่กู้โลกให้รอด
(ถอดความโดย คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ
จากหนังสือ Saint Companions For Each Day ;
เขียนโดย A.J.M. Mausolfe และ J.K. Mausolfe)
ฉลองเทิดทูนไม้กางเขน
(The Exaltation of the Holy Cross, feast)
ธรรมล้ำลึกปัสกาของพระเยซูคริสตเจ้าเป็นทั้งแหล่งที่มาและคำมั่นสัญญา
ของชีวิตนิรันดร และเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ที่สูงส่งที่แฝงไว้ถึงสิริรุ่งโรจน์
ของธรรมล้ำลึกทั้งหมดนี้ ก็คือไม้กางเขน ซึ่งแขวนการไถ่ให้รอดของโลกนี้ไว้
ชัยชนะของไม้กางเขนเหนือบาปและความตายถูกรวบยอดอยู่ที่นี่ และทั้งหมด
ของชัยชนะ ของความยินดีต่อชัยชนะนี่แหละที่พระศาสนจักรทำการเฉลิมฉลองวันนี้
วันฉลองนี้แต่ต้นเลยรู้กันในชื่อนี้ ซึ่งหมายถึงการยกย่องเชิดชูไม้กางเขน ยังมี
นัยหมายถึง "วางไว้บนที่สูง เพราะมีความสำคัญสูงส่ง" "การยกขึ้น" การฉลองนี้มี
ความสำคัญต่อบรรดาผู้มีความเชื่อ 4 ประการด้วยกัน กล่าวคือ
ประการแรก หมายถึง การยกกางเขนขึ้นบนเนินเขากัลวารีโอในวันศุกร์นั้น
ซึ่งแม้ว่าจะรวมไว้ด้วยเรื่องการทนทุกข์ทรมานใหญ่หลวง และความอับอาย แต่กระนั้น
ก็เป็นการถวายบูชาด้วยความรักที่ทรงมีต่อพระบิดา และด้วยความรักที่พระบิดาทรงมี
ต่อมวลมนุษย์ การถูกยกตั้งขึ้นสูงเปรียบประดุจว่าพระเยซูเจ้าทรงทำให้ไม้กางเขนเป็น
เหมือนธรรมาสน์ที่ทรงเทศนา โดยพระวาจาและพระฉบับแบบ เป็นคำเทศนาที่สะเทือน
อารมณ์มากที่สุดตลอดช่วงพระภารกิจบนแผ่นดินนี้ - พระองค์ทรงอภัยและทรงมอบ
พระองค์ให้ - ทุกๆบาดแผลของพระองค์หลั่งไหลพระหรรษทานออกมา จากด้านข้าง
พระวรกายทรงให้กำเนิดพระศาสนจักร และก่อนลมหายใจสุดท้ายพระองค์ทรงมอบ
พระมารดาของพระองค์ให้เป็นของขวัญแก่มวลมนุษยชาติ คือ พระแม่มารีย์ ไม้กางเขน
จึงเป็นเครื่องหมายถึงชัยชนะของพระองค์โดยแท้จริง ไม้ในแนวตั้งเชื่อมมนุษย์กับพระเจ้า
ไม้ส่วนที่พาดในแนวนอนเชื่อมมนุษย์กับมนุษย์และโดยไม่แยกออกไปจากพระเจ้า
ประการที่สอง หมายถึง การตั้งไม้กางเขนขึ้นในวัดพระคูหาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งทำในปี ค.ศ. 326
โดยนักบุญเฮเลนา พระมารดาแห่งพระจักรพรรดิคอนสแตนติน ได้ค้นพบไม้กางเขน 3 อัน
บนเขากัลวารีโอ อัศจรรย์เกิดขึ้นโดยการให้คนง่อยสัมผัสไม้กางเขนทั้งสาม ช่วยให้พิสูจน์
ได้ว่า ไม้กางเขนไหนเป็นกางเขนแท้ของพระเยซูเจ้า ต่อมา พระนางนำกางเขนนั้นมาตั้งไว้
ในพระราชวังที่กรุงโรม ซึ่งพระนางได้เปลี่ยนให้กลายเป็นวัดแห่งไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์
ต้องขอบคุณในความพยายามของพระนาง พระธาตุชิ้นส่วนของไม้กางเขนนี้ได้กระจาย
ไปอยู่ในทุกภาคส่วนของอาณาจักรคริสต์ ส่วนหนึ่งของเนื้อไม้กางเขนแท้ถูกเก็บรักษาไว้
ในกรุงเยรูซาเล็ม แต่ในปี 614 ชาวเปอร์เซียมารุกราน กษัตริย์เปอร์เซียที่ได้ชัยชนะได้นำ
พระธาตุไม้กางเขนแท้บรรจุในกล่องเงินไปยังอิหร่าน พอถึงปี 629 เมื่อจักรพรรดิเฮราคลิอุส
ยึดเปอร์เซียได้ จึงเอาพระธาตุกลับคืนมา ทีแรกไว้ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล
ต่อมาไว้ที่กรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งที่นี่มีการตั้งขึ้นเพื่อให้มีการนมัสการอย่างเป็นทางการ
ช่วงนี้วันฉลองนี้ก็ถูกนำมารวมไว้กับพระศาสนจักรที่กรุงโรมด้วย
ประการที่สาม หมายความว่าสัญลักษณ์แห่งชัยชนะของไม้กางเขนในที่สุดแล้วคือการ
พิพากษาตัดสิน พระเยซูเจ้าได้ตรัสกับนิโคเดมัสว่า "...โมเสสยกรูปงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใด
บุตรแห่งมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์ จะมีชีวิตนิรันดร"
(ยน 3 : 14-15) ดุจดังเช่นวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม้กางเขนได้แบ่งฝูงชนที่อยู่บนเนินเขากัลวาริโอ
ออกเป็น 2 กลุ่ม ก็จะเป็นเช่นนั้นในวันสุดท้าย "เวลานั้น เครื่องหมายของบุตรแห่งมนุษย์จะ
ปรากฏบนท้องฟ้า" (มธ 24 : 30) เราทุกคนจะรู้ว่าที่สำหรับเราจะอยู่ทางขวา หรือทางซ้าย
ประการสุดท้าย หมายถึงการที่ผู้มีความเชื่อทุกๆคนจะยอมรับไม้กางเขนของพระคริสต์
และการอุทิศตนต่อไม้กางเขนของพระองค์ กางเขนจะมีที่อันสมเกียรติในใจของคริสตชนทุกคน
เป็นเสมือนบ้านและสถานสำหรับสักการบูชา ด้วยสำคัญมหากางเขนนี้เราทำก่อนเริ่มต้น
กิจการต่างๆ จริงๆแล้ว เราทำอะไรก็ตาม เราทำโดยมีส่วนร่วมแบกกางเขนของพระคริสตเจ้า
และนั่นเองจึงมีส่วนร่วมในการไถ่กู้โลกให้รอด
(ถอดความโดย คุณพ่อ วิชา หิรัญญการ
จากหนังสือ Saint Companions For Each Day ;
เขียนโดย A.J.M. Mausolfe และ J.K. Mausolfe)
วันที่ ๑๕ กันยายน
ระลึกถึงแม่พระระทมทุกข์
Our Lady of Sorrows
การฉลองแม่พระระทมทุกข์เป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์ ๗ ประการที่แม่พระ
ทรงรับความทุกข์ เรื่องเหล่านี้มีบันทึกในพระวรสารหรือในธรรมประเพณี
วันนี้เราคริสตชนได้รับเชิญให้รำพึงถึงความโศกเศร้าของแม่พระ
ตามเหตุการณ์ทั้ง ๗ ประการนี้
๑. คำทำนายของซีเมโอน "ดวงหทัยท่านจะถูกทิ่มแทงด้วยดาบ" (ลก ๒:๓๕)
๒. การเดินทางหนีไปอียิปต์ "ลุกขึ้นเถิด นำเด็กและมารดาของเขาเดินทาง
หนีไปอียิปต์" (มธ ๒:๑๓)
๓. พระกุมารเยซูหายไปที่เยรูซาเล็ม "เจ้าเห็นไหมว่าบิดาของเจ้าและแม่กำลัง
ตามหาเจ้าด้วยความทุกข์" (ลก ๒:๔๘)
๔. แม่พระพบพระเยซูระหว่างทางไปเขากัลวารีโอ
๕. แม่พระยืนอยู่แทบเชิงไม้กางเขน "ใกล้กับไม้กางเขนของพระเยซูมารดาของ
พระองค์ยืนอยู่ที่นั่นด้วย" (ยน ๑๙:๒๕)
6. นำพระศพพระเยซูลงจากไม้กางเขน
7. ที่คูหาฝังศพของพระเยซู
CR. : Sinapis
ระลึกถึงแม่พระระทมทุกข์
Our Lady of Sorrows
การฉลองแม่พระระทมทุกข์เป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์ ๗ ประการที่แม่พระ
ทรงรับความทุกข์ เรื่องเหล่านี้มีบันทึกในพระวรสารหรือในธรรมประเพณี
วันนี้เราคริสตชนได้รับเชิญให้รำพึงถึงความโศกเศร้าของแม่พระ
ตามเหตุการณ์ทั้ง ๗ ประการนี้
๑. คำทำนายของซีเมโอน "ดวงหทัยท่านจะถูกทิ่มแทงด้วยดาบ" (ลก ๒:๓๕)
๒. การเดินทางหนีไปอียิปต์ "ลุกขึ้นเถิด นำเด็กและมารดาของเขาเดินทาง
หนีไปอียิปต์" (มธ ๒:๑๓)
๓. พระกุมารเยซูหายไปที่เยรูซาเล็ม "เจ้าเห็นไหมว่าบิดาของเจ้าและแม่กำลัง
ตามหาเจ้าด้วยความทุกข์" (ลก ๒:๔๘)
๔. แม่พระพบพระเยซูระหว่างทางไปเขากัลวารีโอ
๕. แม่พระยืนอยู่แทบเชิงไม้กางเขน "ใกล้กับไม้กางเขนของพระเยซูมารดาของ
พระองค์ยืนอยู่ที่นั่นด้วย" (ยน ๑๙:๒๕)
6. นำพระศพพระเยซูลงจากไม้กางเขน
7. ที่คูหาฝังศพของพระเยซู
CR. : Sinapis