มีอะไรในปฐมกาลบทที่ 27
ในพระคัมภีร์เป็นทางเดียวที่มนุษย์จะเข้าในถึงจิตใจของพระเจ้า และถ้ามนุษย์ไม่สนใจที่จะรู้จิตใจของพระเจ้า การที่เขาเข้าหาพระเจ้าในแต่ละครั้งก็จะกลายเป็นการเข้าไปด้วยจิตใจของตัวเอง และนั่นก็คือ "การถูกแช่งสาป" หลายคนมั่นใจแบบเอซาว ใช่ครับ ตอนที่เขากำลังทำสิ่งที่จะไปให้พ่อ เขาก็หวังว่าจะได้ แต่ทำไมจบที่ถูกแช่ง นี่สำคัญมากสำหรับมนุษย์ที่มั่นใจว่า "ฉันจะเข้าอย่างไงก็ได้" ... พระเจ้าอธิบายผ่านทางเรื่องนี้แล้วว่า เราจะได้พระพรอย่างไร
Chay เขียน: ในพระคัมภีร์เป็นทางเดียวที่มนุษย์จะเข้าในถึงจิตใจของพระเจ้า และถ้ามนุษย์ไม่สนใจที่จะรู้จิตใจของพระเจ้า การที่เขาเข้าหาพระเจ้าในแต่ละครั้งก็จะกลายเป็นการเข้าไปด้วยจิตใจของตัวเอง และนั่นก็คือ "การถูกแช่งสาป" หลายคนมั่นใจแบบเอซาว ใช่ครับ ตอนที่เขากำลังทำสิ่งที่จะไปให้พ่อ เขาก็หวังว่าจะได้ แต่ทำไมจบที่ถูกแช่ง นี่สำคัญมากสำหรับมนุษย์ที่มั่นใจว่า "ฉันจะเข้าอย่างไงก็ได้" ... พระเจ้าอธิบายผ่านทางเรื่องนี้แล้วว่า เราจะได้พระพรอย่างไร
สมัยนั้นเอซาวมีพระคัมภีร์อ่านเหรอครับ
ปล.ผมอ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจว่าอยากสื่ออะไรแน่ ถ้าคิดว่าผมเข้าใจอะไรผิด ช่วยเขียนยาวๆและเข้าใจง่ายกว่านี้ ขอบคุณ
แก้ไขล่าสุดโดย Holy เมื่อ จันทร์ มี.ค. 12, 2007 9:38 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ผมไม่ได้กำลังบอกว่าใครถูกใครผิด แต่อยากจะคุยแลกเปลี่ยนเรื่องพระคำเท่านั้น ....เอซาวอยู่ในยุคที่ใกล้ชิดพระเจ้ามาก เป็นช่วงที่มนุษย์มีโอกาสเห็นการอัศจรรย์ของพระเจ้าบ่อยมาก แต่เรื่องราวในครั้งนั้นเป็นเรื่องราวที่รวบรวมเรื่องที่สามารถอธิบายได้จนถึงปัจจุบันนี้ ในเรื่องยาโคบและเอซาว เป็นเรื่องการช่วงหนึ่งในชีวิตของอิสอัคพ่อของเขา ที่กำลังจะอวยพระพร จึงเรียกพี่ชายที่ชื่อว่าเอซาวมา และบอกเงื่อนไขที่จะรับพระพร...คือเขาต้อง "ล่า" และ "ทำ" อาหารมาก่อนที่จะได้รับพระพร แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหลังจากที่มี "นางเรเบคาห์" เข้ามาเกี่ยวข้อง คือทำให้คนที่ไม่มีโอกาสได้รับพระพรกลับได้เข้าไปในนามของ "เอซาว" แทนเอซาวตัวจริง....
หมายความว่า ก่อนหน้านี้มนุษย์ไม่มีทางที่จะได้รับพระพรจากพระเจ้า เงื่อนไขของเราคือ "ต้องทำอาหารอร่อยอย่างที่พ่อชอบ" คุณลองคิดดูว่า "อาหารอร่อยอย่างที่พ่อชอบ" นั้น ระหว่างแม่กับลูก ใครรู้ดีกว่ากันว่าพ่อชอบอะไร? ถ้าดูจากพระคำจะเห็นอย่างชัดเจนว่า แม่รู้หมดแล้วว่าพ่อชอบอะไร แต่ปัญหาคือ เอซาวไม่เคยคิดถึงแม่เลย แต่กลับ "มั่นใจ" ว่าทำด้วยตัวเองได้
พูดง่าย ๆ ก็คือ จิตใจของพ่อก่อนตาย อยากเห็นลูกพึ่งพาแม่ จึง "สั่งในสิ่งที่ลูกทำไม่ได้" เพื่อไปหาแม่ เช่นเดียวกัน พระเจ้าเคยสั่งให้มนุษย์รักษา "พระบัญญัติ" ซึ่งถ้าใครทำได้ก็รับการอวยพรได้ แต่มันไม่เคยมีใครทำได้เลย เพราะอะไร? ก็เพราะว่าจุดประสงค์ของพระเจ้าคืออยากให้เราเข้าไปหา พระเยซู ผู้รู้ทุกอย่างว่าพระเจ้าชอบอะไร
แต่หลายครั้งเราก็มักชอบมองตัวเอง เช่นเดียวกับยาโคบที่ครั้งแรกที่แม่ให้เข้าไปแทนพี่ชาย เขากลัวมาก แต่เมื่อมาถึงข้อที่ 13 ความมั่นใจของยาโคบก็เกิดขึ้นเมื่อแม่ของเขาพูดว่า "ขอให้การแช่งสาปตกอยู่กับแม่ เชื่อฟังแม่เท่านั้น" ... เช่นเดียวกับที่พระเยซูมา "รับความบาปชั่วของมนุษย์ทั้งหมด และสิ่งที่มนุษย์ต้องทำคือ "เชื้อคำของพระองค์" เท่านั้น แล้วความกล้าเข้าไปยืนหน้าพระเจ้า (พ่อ, อิสอัค) ก็เกิดขึ้นได้.... ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวเอง แต่เกิดจากพระเยซู
แต่เอซาวเป็นเงาของคนที่อยากได้รับพระพร แต่ไม่เคยมองเห็นจิตใจของพ่อ ไม่เคยเห็นจิตใจของพระเจ้าว่าทำไมถึงสั่งในสิ่งที่ทำยาก.... ใน 1 ทิโมธี บทที่ 1:8 เขียนไว้ว่า "ธรรมบัญญัตินั้นดี ถ้าผู้ใดใช้ให้ถูก" คำสั่งของพ่อนั้นถ้าฟังดี ๆ ก็ใช้ถูกได้ คือไปหาแม่... ในกาลาเทีย บทที่ 5:4 "ท่านที่ปรารถนาจะเป็นคนชอบธรรมโดยธรรมบัญญัติ ก็ขาดจากพระคริสต์และหล่นพ้นพระคุณไปเสียแล้ว" คนที่อยากจะได้รับพระพรผ่านทางคำสั่งของพ่อ (พระเจ้า) ด้วเอง ก็ขาดจากพระคุณ และทิ้งแม่ไปเสียแล้ว มนุษย์ไม่เข้าใจว่าพระเจ้าให้บัญญัติมาเพื่ออะไร แล้วก็ตั้งน่าตั้งตาทำกัน แต่สุดท้ายก็กลายเป็นคนบาปเหมือนเดิม...
พวกเราครับ คนที่ทำอะไรไม่ได้เลย เขาได้รับในสิ่งที่แม่ (พระเยซู) ทำให้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น อาหาร, หนังสัตว์ และเสื้อคลุม เป็นสิ่งที่แม่จัดเตรียมไม่เกี่ยวอะไรกับยาโคบเลย สิ่งที่ยาโคบต้องทำคือ "เชื่อแม่" ว่าฉันชื่อ "เอซาว"
เช่นเดียวกัน พระเยซูอยากเปลี่ยนชื่อพวกเราจาก "คนบาป" เป็นชื่อว่า "บริสุทธิ์" แต่มนุษย์อยากเป็นชื่อว่า "บริสุทธิ์" ด้วยตัวเอง ก็จบที่กลับมาแล้วก็ไม่ได้พระพรเลย.... คนที่รู้จักพระเยซูหลายคน ไม่เข้าใจเรื่องพระคุณตรงนี้ อีกใจก็บอกว่าเชื่อ "พระคุณ" แต่สักพักก็วิ่งเข้าป่าไปทำตามบัญญัติ ตามคำสั่งของพ่อ โดยที่ไม่สนใจว่าพ่อสั่งอย่างนั้นเพื่ออะไร.... ลองมองดูวันนี้ว่าเราเป็นคนที่เข้าใจบัญญัติแค่ไหน เป็นคนที่ยังวิ่งไปทำอยู่ หรือว่ายอมแพ้แล้ว ถ้าวันนี้คุณเข้าใจพระคำเรื่องนี้ คุณจะเข้าใจพระคุณ ที่ไม่เกี่ยวกับ พระบัญญัติ และมีอัสระจากตัวเอง เหมือนที่ยาโคบอิสระ แม้ว่า "เสียงเขาไม่เปลี่ยน แต่เขาก็กล้าได้ เพราะอะไร? เพราะเชื่อแม่ เช่นเดียวกัน ถ้าเราเชื่อพระเยซู ก็ไม่เชื่อตัวเองได้ ไม่มองตัวเองและก็กล่าวโทษตัวเองอีกต่อไป และก็มั่นใจว่าเราเป็น "คนที่บริสุทธิ์" ผ่านทางพระเยซู (แม่) และยืนต่อหน้าพระเจ้าและบอกว่าเราคือ "คนที่ไม่มีบาปอีกต่อไป" เพราะอะไร? ก็เพราะเราเชื่อคำพูดคำสุดท้ายของพระเยซูไงครับว่า "สำเร็จแล้ว" ขอบคุณครับ
หมายความว่า ก่อนหน้านี้มนุษย์ไม่มีทางที่จะได้รับพระพรจากพระเจ้า เงื่อนไขของเราคือ "ต้องทำอาหารอร่อยอย่างที่พ่อชอบ" คุณลองคิดดูว่า "อาหารอร่อยอย่างที่พ่อชอบ" นั้น ระหว่างแม่กับลูก ใครรู้ดีกว่ากันว่าพ่อชอบอะไร? ถ้าดูจากพระคำจะเห็นอย่างชัดเจนว่า แม่รู้หมดแล้วว่าพ่อชอบอะไร แต่ปัญหาคือ เอซาวไม่เคยคิดถึงแม่เลย แต่กลับ "มั่นใจ" ว่าทำด้วยตัวเองได้
พูดง่าย ๆ ก็คือ จิตใจของพ่อก่อนตาย อยากเห็นลูกพึ่งพาแม่ จึง "สั่งในสิ่งที่ลูกทำไม่ได้" เพื่อไปหาแม่ เช่นเดียวกัน พระเจ้าเคยสั่งให้มนุษย์รักษา "พระบัญญัติ" ซึ่งถ้าใครทำได้ก็รับการอวยพรได้ แต่มันไม่เคยมีใครทำได้เลย เพราะอะไร? ก็เพราะว่าจุดประสงค์ของพระเจ้าคืออยากให้เราเข้าไปหา พระเยซู ผู้รู้ทุกอย่างว่าพระเจ้าชอบอะไร
แต่หลายครั้งเราก็มักชอบมองตัวเอง เช่นเดียวกับยาโคบที่ครั้งแรกที่แม่ให้เข้าไปแทนพี่ชาย เขากลัวมาก แต่เมื่อมาถึงข้อที่ 13 ความมั่นใจของยาโคบก็เกิดขึ้นเมื่อแม่ของเขาพูดว่า "ขอให้การแช่งสาปตกอยู่กับแม่ เชื่อฟังแม่เท่านั้น" ... เช่นเดียวกับที่พระเยซูมา "รับความบาปชั่วของมนุษย์ทั้งหมด และสิ่งที่มนุษย์ต้องทำคือ "เชื้อคำของพระองค์" เท่านั้น แล้วความกล้าเข้าไปยืนหน้าพระเจ้า (พ่อ, อิสอัค) ก็เกิดขึ้นได้.... ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวเอง แต่เกิดจากพระเยซู
แต่เอซาวเป็นเงาของคนที่อยากได้รับพระพร แต่ไม่เคยมองเห็นจิตใจของพ่อ ไม่เคยเห็นจิตใจของพระเจ้าว่าทำไมถึงสั่งในสิ่งที่ทำยาก.... ใน 1 ทิโมธี บทที่ 1:8 เขียนไว้ว่า "ธรรมบัญญัตินั้นดี ถ้าผู้ใดใช้ให้ถูก" คำสั่งของพ่อนั้นถ้าฟังดี ๆ ก็ใช้ถูกได้ คือไปหาแม่... ในกาลาเทีย บทที่ 5:4 "ท่านที่ปรารถนาจะเป็นคนชอบธรรมโดยธรรมบัญญัติ ก็ขาดจากพระคริสต์และหล่นพ้นพระคุณไปเสียแล้ว" คนที่อยากจะได้รับพระพรผ่านทางคำสั่งของพ่อ (พระเจ้า) ด้วเอง ก็ขาดจากพระคุณ และทิ้งแม่ไปเสียแล้ว มนุษย์ไม่เข้าใจว่าพระเจ้าให้บัญญัติมาเพื่ออะไร แล้วก็ตั้งน่าตั้งตาทำกัน แต่สุดท้ายก็กลายเป็นคนบาปเหมือนเดิม...
พวกเราครับ คนที่ทำอะไรไม่ได้เลย เขาได้รับในสิ่งที่แม่ (พระเยซู) ทำให้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น อาหาร, หนังสัตว์ และเสื้อคลุม เป็นสิ่งที่แม่จัดเตรียมไม่เกี่ยวอะไรกับยาโคบเลย สิ่งที่ยาโคบต้องทำคือ "เชื่อแม่" ว่าฉันชื่อ "เอซาว"
เช่นเดียวกัน พระเยซูอยากเปลี่ยนชื่อพวกเราจาก "คนบาป" เป็นชื่อว่า "บริสุทธิ์" แต่มนุษย์อยากเป็นชื่อว่า "บริสุทธิ์" ด้วยตัวเอง ก็จบที่กลับมาแล้วก็ไม่ได้พระพรเลย.... คนที่รู้จักพระเยซูหลายคน ไม่เข้าใจเรื่องพระคุณตรงนี้ อีกใจก็บอกว่าเชื่อ "พระคุณ" แต่สักพักก็วิ่งเข้าป่าไปทำตามบัญญัติ ตามคำสั่งของพ่อ โดยที่ไม่สนใจว่าพ่อสั่งอย่างนั้นเพื่ออะไร.... ลองมองดูวันนี้ว่าเราเป็นคนที่เข้าใจบัญญัติแค่ไหน เป็นคนที่ยังวิ่งไปทำอยู่ หรือว่ายอมแพ้แล้ว ถ้าวันนี้คุณเข้าใจพระคำเรื่องนี้ คุณจะเข้าใจพระคุณ ที่ไม่เกี่ยวกับ พระบัญญัติ และมีอัสระจากตัวเอง เหมือนที่ยาโคบอิสระ แม้ว่า "เสียงเขาไม่เปลี่ยน แต่เขาก็กล้าได้ เพราะอะไร? เพราะเชื่อแม่ เช่นเดียวกัน ถ้าเราเชื่อพระเยซู ก็ไม่เชื่อตัวเองได้ ไม่มองตัวเองและก็กล่าวโทษตัวเองอีกต่อไป และก็มั่นใจว่าเราเป็น "คนที่บริสุทธิ์" ผ่านทางพระเยซู (แม่) และยืนต่อหน้าพระเจ้าและบอกว่าเราคือ "คนที่ไม่มีบาปอีกต่อไป" เพราะอะไร? ก็เพราะเราเชื่อคำพูดคำสุดท้ายของพระเยซูไงครับว่า "สำเร็จแล้ว" ขอบคุณครับ
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
พี่ช่วยจัดหน้า จัดตัวหนังสือให้น่าอ่านก่อน แล้วเจี๊ยบจะพยายามหาคำตอบมาแจม ครับ
แต่ถ้าจะตอบให้สั้นสุดๆคือ หลังจากปฐมกาลบทที่ 3 ที่งู(ซาตาน) ได้ล่อลวงให้มนุษย์คู่แรก ทำบาป ตกมาตรฐานของพระเจ้าแล้ว
ดังนั้น ไม่ว่าอะไร มนุษย์ ก็ทำได้ทั้งนั้นล่ะ ( ยาวเกินกว่าที่คิด อิอิ )
แต่ถ้าจะตอบให้สั้นสุดๆคือ หลังจากปฐมกาลบทที่ 3 ที่งู(ซาตาน) ได้ล่อลวงให้มนุษย์คู่แรก ทำบาป ตกมาตรฐานของพระเจ้าแล้ว
ดังนั้น ไม่ว่าอะไร มนุษย์ ก็ทำได้ทั้งนั้นล่ะ ( ยาวเกินกว่าที่คิด อิอิ )
--------------------------------------------------------------------------------
ผมไม่ได้กำลังบอกว่าใครถูกใครผิด แต่อยากจะคุยแลกเปลี่ยนเรื่องพระคำเท่านั้น ....
เอซาวอยู่ในยุคที่ใกล้ชิดพระเจ้ามาก เป็นช่วงที่มนุษย์มีโอกาสเห็นการอัศจรรย์ของพระเจ้าบ่อยมาก
แต่เรื่องราวในครั้งนั้นเป็นเรื่องราวที่รวบรวมเรื่องที่สามารถอธิบายได้จนถึงปัจจุบันนี้
ในเรื่องยาโคบและเอซาว เป็นเรื่องการช่วงหนึ่งในชีวิตของอิสอัคพ่อของเขา ที่กำลังจะอวยพระพร
จึงเรียกพี่ชายที่ชื่อว่าเอซาวมา และบอกเงื่อนไขที่จะรับพระพร...
คือเขาต้อง "ล่า" และ "ทำ" อาหารมาก่อนที่จะได้รับพระพร
แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหลังจากที่มี "นางเรเบคาห์" เข้ามาเกี่ยวข้อง
คือทำให้คนที่ไม่มีโอกาสได้รับพระพรกลับได้เข้าไปในนามของ "เอซาว" แทนเอซาวตัวจริง....
หมายความว่า ก่อนหน้านี้มนุษย์ไม่มีทางที่จะได้รับพระพรจากพระเจ้า เงื่อนไขของเราคือ
"ต้องทำอาหารอร่อยอย่างที่พ่อชอบ" คุณลองคิดดูว่า "อาหารอร่อยอย่างที่พ่อชอบ" นั้น
ระหว่างแม่กับลูก ใครรู้ดีกว่ากันว่าพ่อชอบอะไร? ถ้าดูจากพระคำจะเห็นอย่างชัดเจนว่า
แม่รู้หมดแล้วว่าพ่อชอบอะไร แต่ปัญหาคือ เอซาวไม่เคยคิดถึงแม่เลย แต่กลับ "มั่นใจ" ว่าทำด้วยตัวเองได้
พูดง่าย ๆ ก็คือ จิตใจของพ่อก่อนตาย อยากเห็นลูกพึ่งพาแม่ จึง "สั่งในสิ่งที่ลูกทำไม่ได้"
เพื่อไปหาแม่ เช่นเดียวกัน พระเจ้าเคยสั่งให้มนุษย์รักษา "พระบัญญัติ" ซึ่งถ้าใครทำได้ก็รับการอวยพรได้
แต่มันไม่เคยมีใครทำได้เลย เพราะอะไร? ก็เพราะว่าจุดประสงค์ของพระเจ้า
คืออยากให้เราเข้าไปหา พระเยซู ผู้รู้ทุกอย่างว่าพระเจ้าชอบอะไร
แต่หลายครั้งเราก็มักชอบมองตัวเอง เช่นเดียวกับยาโคบที่ครั้งแรกที่แม่ให้เข้าไปแทนพี่ชาย เขากลัวมาก
แต่เมื่อมาถึงข้อที่ 13 ความมั่นใจของยาโคบก็เกิดขึ้นเมื่อแม่ของเขาพูดว่า "ขอให้การแช่งสาปตกอยู่กับแม่
เชื่อฟังแม่เท่านั้น" ... เช่นเดียวกับที่พระเยซูมา "รับความบาปชั่วของมนุษย์ทั้งหมด และสิ่งที่มนุษย์ต้องทำ
คือ "เชื้อคำของพระองค์" เท่านั้น แล้วความกล้าเข้าไปยืนหน้าพระเจ้า (พ่อ, อิสอัค) ก็เกิดขึ้นได้....
ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวเอง แต่เกิดจากพระเยซู
แต่เอซาวเป็นเงาของคนที่อยากได้รับพระพร แต่ไม่เคยมองเห็นจิตใจของพ่อ ไม่เคยเห็นจิตใจของพระเจ้า
ว่าทำไมถึงสั่งในสิ่งที่ทำยาก.... ใน 1 ทิโมธี บทที่ 1:8 เขียนไว้ว่า "ธรรมบัญญัตินั้นดี ถ้าผู้ใดใช้ให้ถูก"
คำสั่งของพ่อนั้นถ้าฟังดี ๆ ก็ใช้ถูกได้ คือไปหาแม่... ในกาลาเทีย บทที่ 5:4 "ท่านที่ปรารถนา
จะเป็นคนชอบธรรมโดยธรรมบัญญัติ ก็ขาดจากพระคริสต์และหล่นพ้นพระคุณไปเสียแล้ว" คนที่อยาก
จะได้รับพระพรผ่านทางคำสั่งของพ่อ (พระเจ้า) ด้วเอง ก็ขาดจากพระคุณ และทิ้งแม่ไปเสียแล้ว
มนุษย์ไม่เข้าใจว่าพระเจ้าให้บัญญัติมาเพื่ออะไร แล้วก็ตั้งน่าตั้งตาทำกัน แต่สุดท้ายก็กลายเป็นคนบาปเหมือนเดิม...
พวกเราครับ คนที่ทำอะไรไม่ได้เลย เขาได้รับในสิ่งที่แม่ (พระเยซู) ทำให้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น
อาหาร, หนังสัตว์ และเสื้อคลุม เป็นสิ่งที่แม่จัดเตรียมไม่เกี่ยวอะไรกับยาโคบเลย สิ่งที่ยาโคบต้องทำ
คือ "เชื่อแม่" ว่าฉันชื่อ "เอซาว"
เช่นเดียวกัน พระเยซูอยากเปลี่ยนชื่อพวกเราจาก "คนบาป" เป็นชื่อว่า "บริสุทธิ์" แต่มนุษย์อยากเป็นชื่อว่า
"บริสุทธิ์" ด้วยตัวเอง ก็จบที่กลับมาแล้วก็ไม่ได้พระพรเลย.... คนที่รู้จักพระเยซูหลายคน ไม่เข้าใจเรื่องพระคุณตรงนี้
อีกใจก็บอกว่าเชื่อ "พระคุณ" แต่สักพักก็วิ่งเข้าป่าไปทำตามบัญญัติ ตามคำสั่งของพ่อ โดยที่ไม่สนใจว่า
พ่อสั่งอย่างนั้นเพื่ออะไร.... ลองมองดูวันนี้ว่าเราเป็นคนที่เข้าใจบัญญัติแค่ไหน เป็นคนที่ยังวิ่งไปทำอยู่
หรือว่ายอมแพ้แล้ว ถ้าวันนี้คุณเข้าใจพระคำเรื่องนี้ คุณจะเข้าใจพระคุณ ที่ไม่เกี่ยวกับ พระบัญญัติ
และมีอัสระจากตัวเอง เหมือนที่ยาโคบอิสระ แม้ว่า "เสียงเขาไม่เปลี่ยน แต่เขาก็กล้าได้ เพราะอะไร?
เพราะเชื่อแม่ เช่นเดียวกัน ถ้าเราเชื่อพระเยซู ก็ไม่เชื่อตัวเองได้ ไม่มองตัวเองและก็กล่าวโทษตัวเองอีกต่อไป
และก็มั่นใจว่าเราเป็น "คนที่บริสุทธิ์" ผ่านทางพระเยซู (แม่) และยืนต่อหน้าพระเจ้าและบอกว่าเราคือ
"คนที่ไม่มีบาปอีกต่อไป" เพราะอะไร? ก็เพราะเราเชื่อคำพูดคำสุดท้ายของพระเยซูไงครับว่า
"สำเร็จแล้ว"
จากนั้นในปฐมกาลบทที่ 28 ก็เริ่มต้นใหม่คือ "อิสอัค เรียก ยาโคบ.." บทก่อนนี้เรียกเอซาว แต่ตอนนี้เปลี่ยนแล้ว
เช่นเดียวกัน ก่อนนี้คนที่ทำเก่งได้พระพร แต่ตอนนี้มีพระเยซูแล้วจึงเรียกคนที่อ่อนแอเข้ามารับได้แล้วเช่นกัน
ขอบคุณครับ
ผมไม่ได้กำลังบอกว่าใครถูกใครผิด แต่อยากจะคุยแลกเปลี่ยนเรื่องพระคำเท่านั้น ....
เอซาวอยู่ในยุคที่ใกล้ชิดพระเจ้ามาก เป็นช่วงที่มนุษย์มีโอกาสเห็นการอัศจรรย์ของพระเจ้าบ่อยมาก
แต่เรื่องราวในครั้งนั้นเป็นเรื่องราวที่รวบรวมเรื่องที่สามารถอธิบายได้จนถึงปัจจุบันนี้
ในเรื่องยาโคบและเอซาว เป็นเรื่องการช่วงหนึ่งในชีวิตของอิสอัคพ่อของเขา ที่กำลังจะอวยพระพร
จึงเรียกพี่ชายที่ชื่อว่าเอซาวมา และบอกเงื่อนไขที่จะรับพระพร...
คือเขาต้อง "ล่า" และ "ทำ" อาหารมาก่อนที่จะได้รับพระพร
แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหลังจากที่มี "นางเรเบคาห์" เข้ามาเกี่ยวข้อง
คือทำให้คนที่ไม่มีโอกาสได้รับพระพรกลับได้เข้าไปในนามของ "เอซาว" แทนเอซาวตัวจริง....
หมายความว่า ก่อนหน้านี้มนุษย์ไม่มีทางที่จะได้รับพระพรจากพระเจ้า เงื่อนไขของเราคือ
"ต้องทำอาหารอร่อยอย่างที่พ่อชอบ" คุณลองคิดดูว่า "อาหารอร่อยอย่างที่พ่อชอบ" นั้น
ระหว่างแม่กับลูก ใครรู้ดีกว่ากันว่าพ่อชอบอะไร? ถ้าดูจากพระคำจะเห็นอย่างชัดเจนว่า
แม่รู้หมดแล้วว่าพ่อชอบอะไร แต่ปัญหาคือ เอซาวไม่เคยคิดถึงแม่เลย แต่กลับ "มั่นใจ" ว่าทำด้วยตัวเองได้
พูดง่าย ๆ ก็คือ จิตใจของพ่อก่อนตาย อยากเห็นลูกพึ่งพาแม่ จึง "สั่งในสิ่งที่ลูกทำไม่ได้"
เพื่อไปหาแม่ เช่นเดียวกัน พระเจ้าเคยสั่งให้มนุษย์รักษา "พระบัญญัติ" ซึ่งถ้าใครทำได้ก็รับการอวยพรได้
แต่มันไม่เคยมีใครทำได้เลย เพราะอะไร? ก็เพราะว่าจุดประสงค์ของพระเจ้า
คืออยากให้เราเข้าไปหา พระเยซู ผู้รู้ทุกอย่างว่าพระเจ้าชอบอะไร
แต่หลายครั้งเราก็มักชอบมองตัวเอง เช่นเดียวกับยาโคบที่ครั้งแรกที่แม่ให้เข้าไปแทนพี่ชาย เขากลัวมาก
แต่เมื่อมาถึงข้อที่ 13 ความมั่นใจของยาโคบก็เกิดขึ้นเมื่อแม่ของเขาพูดว่า "ขอให้การแช่งสาปตกอยู่กับแม่
เชื่อฟังแม่เท่านั้น" ... เช่นเดียวกับที่พระเยซูมา "รับความบาปชั่วของมนุษย์ทั้งหมด และสิ่งที่มนุษย์ต้องทำ
คือ "เชื้อคำของพระองค์" เท่านั้น แล้วความกล้าเข้าไปยืนหน้าพระเจ้า (พ่อ, อิสอัค) ก็เกิดขึ้นได้....
ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวเอง แต่เกิดจากพระเยซู
แต่เอซาวเป็นเงาของคนที่อยากได้รับพระพร แต่ไม่เคยมองเห็นจิตใจของพ่อ ไม่เคยเห็นจิตใจของพระเจ้า
ว่าทำไมถึงสั่งในสิ่งที่ทำยาก.... ใน 1 ทิโมธี บทที่ 1:8 เขียนไว้ว่า "ธรรมบัญญัตินั้นดี ถ้าผู้ใดใช้ให้ถูก"
คำสั่งของพ่อนั้นถ้าฟังดี ๆ ก็ใช้ถูกได้ คือไปหาแม่... ในกาลาเทีย บทที่ 5:4 "ท่านที่ปรารถนา
จะเป็นคนชอบธรรมโดยธรรมบัญญัติ ก็ขาดจากพระคริสต์และหล่นพ้นพระคุณไปเสียแล้ว" คนที่อยาก
จะได้รับพระพรผ่านทางคำสั่งของพ่อ (พระเจ้า) ด้วเอง ก็ขาดจากพระคุณ และทิ้งแม่ไปเสียแล้ว
มนุษย์ไม่เข้าใจว่าพระเจ้าให้บัญญัติมาเพื่ออะไร แล้วก็ตั้งน่าตั้งตาทำกัน แต่สุดท้ายก็กลายเป็นคนบาปเหมือนเดิม...
พวกเราครับ คนที่ทำอะไรไม่ได้เลย เขาได้รับในสิ่งที่แม่ (พระเยซู) ทำให้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น
อาหาร, หนังสัตว์ และเสื้อคลุม เป็นสิ่งที่แม่จัดเตรียมไม่เกี่ยวอะไรกับยาโคบเลย สิ่งที่ยาโคบต้องทำ
คือ "เชื่อแม่" ว่าฉันชื่อ "เอซาว"
เช่นเดียวกัน พระเยซูอยากเปลี่ยนชื่อพวกเราจาก "คนบาป" เป็นชื่อว่า "บริสุทธิ์" แต่มนุษย์อยากเป็นชื่อว่า
"บริสุทธิ์" ด้วยตัวเอง ก็จบที่กลับมาแล้วก็ไม่ได้พระพรเลย.... คนที่รู้จักพระเยซูหลายคน ไม่เข้าใจเรื่องพระคุณตรงนี้
อีกใจก็บอกว่าเชื่อ "พระคุณ" แต่สักพักก็วิ่งเข้าป่าไปทำตามบัญญัติ ตามคำสั่งของพ่อ โดยที่ไม่สนใจว่า
พ่อสั่งอย่างนั้นเพื่ออะไร.... ลองมองดูวันนี้ว่าเราเป็นคนที่เข้าใจบัญญัติแค่ไหน เป็นคนที่ยังวิ่งไปทำอยู่
หรือว่ายอมแพ้แล้ว ถ้าวันนี้คุณเข้าใจพระคำเรื่องนี้ คุณจะเข้าใจพระคุณ ที่ไม่เกี่ยวกับ พระบัญญัติ
และมีอัสระจากตัวเอง เหมือนที่ยาโคบอิสระ แม้ว่า "เสียงเขาไม่เปลี่ยน แต่เขาก็กล้าได้ เพราะอะไร?
เพราะเชื่อแม่ เช่นเดียวกัน ถ้าเราเชื่อพระเยซู ก็ไม่เชื่อตัวเองได้ ไม่มองตัวเองและก็กล่าวโทษตัวเองอีกต่อไป
และก็มั่นใจว่าเราเป็น "คนที่บริสุทธิ์" ผ่านทางพระเยซู (แม่) และยืนต่อหน้าพระเจ้าและบอกว่าเราคือ
"คนที่ไม่มีบาปอีกต่อไป" เพราะอะไร? ก็เพราะเราเชื่อคำพูดคำสุดท้ายของพระเยซูไงครับว่า
"สำเร็จแล้ว"
จากนั้นในปฐมกาลบทที่ 28 ก็เริ่มต้นใหม่คือ "อิสอัค เรียก ยาโคบ.." บทก่อนนี้เรียกเอซาว แต่ตอนนี้เปลี่ยนแล้ว
เช่นเดียวกัน ก่อนนี้คนที่ทำเก่งได้พระพร แต่ตอนนี้มีพระเยซูแล้วจึงเรียกคนที่อ่อนแอเข้ามารับได้แล้วเช่นกัน
ขอบคุณครับ
ใช่ครับคุณเจี๊ยบ อากาเป้ ...... ที่มนุษย์ตกจากมาตราฐานของพระเจ้าแล้ว
เพราะฉะนั้นเราจึงต้องรู้ให้ได้ว่ามาตราฐานของพระเจ้านั้นเป็นอย่างไง
เช่นเดียวกัน มาตราฐานของอิสอัคคือ "ทำอาหารอร่อยอย่างที่พ่อชอบ"
(คือเข้าหาแม่) แต่เอซาวยังมีมาตราฐานของตัวเองอยู่ นี่ก็เป็นสิ่งเดียวที่เขาขาดไป
มาตราฐานของพระเจ้าคือ "ทิ้งการกระทำของตัวเอง"
ขุนนางคนหนึ่งเจอพระเยซู คนนี้รักษาความดีมาตลอด แต่วันหนึ่งพระองค์ตรัสว่า
"ทิ้งสิ่งที่เจ้าสะสมมา แล้วตามเรา" ก็ทุกข์ใจแล้วจากพระองค์ไป
..คนที่มีมาตราฐานของตัวเอง ไม่ใช่มาตราฐานของพระคำ คนนี้เหนื่อยเปล่า
เพราะฉะนั้นเราจึงต้องรู้ให้ได้ว่ามาตราฐานของพระเจ้านั้นเป็นอย่างไง
เช่นเดียวกัน มาตราฐานของอิสอัคคือ "ทำอาหารอร่อยอย่างที่พ่อชอบ"
(คือเข้าหาแม่) แต่เอซาวยังมีมาตราฐานของตัวเองอยู่ นี่ก็เป็นสิ่งเดียวที่เขาขาดไป
มาตราฐานของพระเจ้าคือ "ทิ้งการกระทำของตัวเอง"
ขุนนางคนหนึ่งเจอพระเยซู คนนี้รักษาความดีมาตลอด แต่วันหนึ่งพระองค์ตรัสว่า
"ทิ้งสิ่งที่เจ้าสะสมมา แล้วตามเรา" ก็ทุกข์ใจแล้วจากพระองค์ไป
..คนที่มีมาตราฐานของตัวเอง ไม่ใช่มาตราฐานของพระคำ คนนี้เหนื่อยเปล่า
แก้ไขล่าสุดโดย Chay เมื่อ จันทร์ มี.ค. 12, 2007 11:33 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
การกลับใจคือการเปลี่ยนนิสัย? ไม่ใช่ครับ มนุษย์ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงจิตใจได้ พระคำเขียนไว้แล้ว
แต่ทำได้โดยการ "คลุม" เช่นเดียวกับในสมัยที่โมเสสทำ "พลับพลา" พระเจ้าไม่ได้สั่งให้โมเสสทำด้วย
ไม้สัก, ไม้เต็ง หรือไม้ที่แข็ง ๆ แต่พระเจ้าให้เอา "ไม้กระถินเทศ" ที่ไม่มีค่า เปราะบาง
แต่พระเจ้าตรัสต่อไปว่า ให้โมเสสคลุมมันด้วย "ทองคำ หรือ ทองสัมฤทธิ์" ไม่ได้เปลี่ยนตัวมัน แต่คลุม
เช่นเดียวกัน การที่เราจะเป็นที่พระเจ้าพอพระทัยนั้นไม่ใช่เปลี่ยนนิสัย แต่คลุมด้วยพระคำของพระองค์
การกลับใจของลูกคนเล็ก ไม่ใช่เปลี่ยนตัวเอง แต่ "กลับจากการขยันเลี้ยงหมูด้วยตัวเอง" ต่างหาก แล้วสิ่ง
ที่ลูกไม่มี พ่อมีทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น "เสื้อ แหวน หรือรองเท้า" กลับใจคือกลับจากที่เคยคิดว่าตัวเอง
หาด้วยตัวเองด้วย ทำดีด้วยตัวเองได้ แล้วรับ "พระคุณ" จากพระเยซูเท่านั้น จากตัวเองไม่มีอะไรเลย
สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับมนุษย์คือ "การทอดทิ้งตัวเอง การไม่พึ่งพาการประพฤติ (กาลาเทีย 3:10) "
แต่ทำได้โดยการ "คลุม" เช่นเดียวกับในสมัยที่โมเสสทำ "พลับพลา" พระเจ้าไม่ได้สั่งให้โมเสสทำด้วย
ไม้สัก, ไม้เต็ง หรือไม้ที่แข็ง ๆ แต่พระเจ้าให้เอา "ไม้กระถินเทศ" ที่ไม่มีค่า เปราะบาง
แต่พระเจ้าตรัสต่อไปว่า ให้โมเสสคลุมมันด้วย "ทองคำ หรือ ทองสัมฤทธิ์" ไม่ได้เปลี่ยนตัวมัน แต่คลุม
เช่นเดียวกัน การที่เราจะเป็นที่พระเจ้าพอพระทัยนั้นไม่ใช่เปลี่ยนนิสัย แต่คลุมด้วยพระคำของพระองค์
การกลับใจของลูกคนเล็ก ไม่ใช่เปลี่ยนตัวเอง แต่ "กลับจากการขยันเลี้ยงหมูด้วยตัวเอง" ต่างหาก แล้วสิ่ง
ที่ลูกไม่มี พ่อมีทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น "เสื้อ แหวน หรือรองเท้า" กลับใจคือกลับจากที่เคยคิดว่าตัวเอง
หาด้วยตัวเองด้วย ทำดีด้วยตัวเองได้ แล้วรับ "พระคุณ" จากพระเยซูเท่านั้น จากตัวเองไม่มีอะไรเลย
สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับมนุษย์คือ "การทอดทิ้งตัวเอง การไม่พึ่งพาการประพฤติ (กาลาเทีย 3:10) "
แก้ไขล่าสุดโดย Chay เมื่อ อังคาร มี.ค. 13, 2007 12:03 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ถ้าเราเชื่อฟังพระวรสาร ทำตามที่พระเจ้าบอก
สิ่งร้ายๆที่เราเคยทำ เราก็จะเลิกทำ
พอเราเลิกทำ นิสัยเราจะดีขึ้นไหม?
ดีสิ
สมมติเพื่อนคุณนิสัยไม่ดี เเล้วอยู่ๆเค้าปรับตัวเป็นคนดี เลิกทำอย่างที่เขาเคยทำ
คุณจะคิดว่า เค้านิสัยดีขึ้นไม๊ ?
สิ่งร้ายๆที่เราเคยทำ เราก็จะเลิกทำ
พอเราเลิกทำ นิสัยเราจะดีขึ้นไหม?
ดีสิ
สมมติเพื่อนคุณนิสัยไม่ดี เเล้วอยู่ๆเค้าปรับตัวเป็นคนดี เลิกทำอย่างที่เขาเคยทำ
คุณจะคิดว่า เค้านิสัยดีขึ้นไม๊ ?
แก้ไขล่าสุดโดย Ecclēsia เมื่อ อังคาร มี.ค. 13, 2007 12:30 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
ที่ว่ามาก็เข้าใจว่า สิ่งต่างๆที่ได้มาพระเจ้าประทานให้ ไม่ใช่เป็นเพราะเราทำเอง อ่าว เเล้วถ้าเกิดเราคิดว่า เราทำดีด้วยตนเองได้ เพื่อเป็นการช่วยพระองค์เเบกกางเขน? อันนี้จัดว่าเป็นสิ่งที่เกิดจากตัวเราหรือเปล่า?Chay เขียน:
กลับใจคือกลับจากที่เคยคิดว่าตัวเองหาด้วยตัวเองด้วย ทำดีด้วยตัวเองได้ แล้วรับ "พระคุณ" จากพระเยซูเท่านั้น จากตัวเองไม่มีอะไรเลย
แก้ไขล่าสุดโดย Ecclēsia เมื่อ อังคาร มี.ค. 13, 2007 12:26 am, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
เราว่านะ คนเราไม่สามารถที่จะดีได้ด้วยตัวเองหรอก..เมื่อก่อนเราก็เป็นคนที่นิสัยแย่มากๆๆเลยนะ
จนเราเข้ามาหาพระองค์เนี่ยแหละ จากที่เราเคยทำตัวไม่ดี เราก็เลิก เพราะเราเชื่อฟังพระคัมภีร์และนำหลักคำสอนมาปฏิบัติ
แหละเราก็เชื่อในองค์พระจิตเจ้าที่สถิตย์กับเราด้วย .....
เรามีทั้งความเชื่อและความรักที่มีต่อพระบิดา พระบุตร และพระจิต และมีความวางใจในพระเจ้า
เราศรัทธาภักดีในบรรดานักบุญทั้งหลายและแม่พระ ท่านทั้งหลายได้ให้ข้อคิดและการดำเนินชีวิตดีของท่าน
เราก็นำเอามาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
ขอยกตัวอย่าง นักบุญ อุปถัมเรา มีเรียม-ฟรังเชสกา
คือแม่พระและนักบุญฟรังซิส อัสซีซี
เราก็จะนำแนวทางการปฏิบัติของแม่พระคือการวางใจในพระเจ้า และพระบุตรของพระเจ้า การเป็นแบบอย่างความเชื่อ การทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า
การสรรเสริญพระเจ้า..จนสุดสิ้นชีวี..
การให้อย่างไม่หวังผลตอบแทน การช่วยเหลือผู้อื่นทุกคน เพราะพระเยซูเจ้าทรงประทับอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน
ถ้าเราทำดีกับใครเราก็เหมือนทำให้กับพระเยซูเจ้าด้วย และเมื่อเราทำไม่ดีต่อใคร เราก็เหมือนทำต่อพระองค์ด้วย
โดยเฉพาะบทภาวนาโดยขอให้เราเป็นเครื่องมีสื่อสันติของพระเจ้าที่นักบุญฟรังซิส อัสซีซี ได้ภาวนาเป็นประจำ
ชอบมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
นี่แหละ เพราะสิ่งนี้ที่ทำให้เราดีขึ้นมาได้ ถ้าลูกไม่มีพระองค์ ลูกก็ขอไม่มีชีวิตอยู่ต่อไปดีกว่า
เพราะดวงใจของลูกถวายแด่พระองค์จนหมดสิ้นแล้วววว
จนเราเข้ามาหาพระองค์เนี่ยแหละ จากที่เราเคยทำตัวไม่ดี เราก็เลิก เพราะเราเชื่อฟังพระคัมภีร์และนำหลักคำสอนมาปฏิบัติ
แหละเราก็เชื่อในองค์พระจิตเจ้าที่สถิตย์กับเราด้วย .....
เรามีทั้งความเชื่อและความรักที่มีต่อพระบิดา พระบุตร และพระจิต และมีความวางใจในพระเจ้า
เราศรัทธาภักดีในบรรดานักบุญทั้งหลายและแม่พระ ท่านทั้งหลายได้ให้ข้อคิดและการดำเนินชีวิตดีของท่าน
เราก็นำเอามาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
ขอยกตัวอย่าง นักบุญ อุปถัมเรา มีเรียม-ฟรังเชสกา
คือแม่พระและนักบุญฟรังซิส อัสซีซี
เราก็จะนำแนวทางการปฏิบัติของแม่พระคือการวางใจในพระเจ้า และพระบุตรของพระเจ้า การเป็นแบบอย่างความเชื่อ การทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า
การสรรเสริญพระเจ้า..จนสุดสิ้นชีวี..
การให้อย่างไม่หวังผลตอบแทน การช่วยเหลือผู้อื่นทุกคน เพราะพระเยซูเจ้าทรงประทับอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน
ถ้าเราทำดีกับใครเราก็เหมือนทำให้กับพระเยซูเจ้าด้วย และเมื่อเราทำไม่ดีต่อใคร เราก็เหมือนทำต่อพระองค์ด้วย
โดยเฉพาะบทภาวนาโดยขอให้เราเป็นเครื่องมีสื่อสันติของพระเจ้าที่นักบุญฟรังซิส อัสซีซี ได้ภาวนาเป็นประจำ
ชอบมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
นี่แหละ เพราะสิ่งนี้ที่ทำให้เราดีขึ้นมาได้ ถ้าลูกไม่มีพระองค์ ลูกก็ขอไม่มีชีวิตอยู่ต่อไปดีกว่า
เพราะดวงใจของลูกถวายแด่พระองค์จนหมดสิ้นแล้วววว
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
เหมือนจะทำให้เข้าใจ แต่ไม่เข้าใจ ไม่ทราบว่าทำไม คุณตีความพระคัมภีร์แบบนี้ นี่คืออันตรายของการตีความChay เขียน: การกลับใจคือการเปลี่ยนนิสัย? ไม่ใช่ครับ มนุษย์ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงจิตใจได้ พระคำเขียนไว้แล้ว
แต่ทำได้โดยการ "คลุม" เช่นเดียวกับในสมัยที่โมเสสทำ "พลับพลา" พระเจ้าไม่ได้สั่งให้โมเสสทำด้วย
ไม้สัก, ไม้เต็ง หรือไม้ที่แข็ง ๆ แต่พระเจ้าให้เอา "ไม้กระถินเทศ" ที่ไม่มีค่า เปราะบาง
แต่พระเจ้าตรัสต่อไปว่า ให้โมเสสคลุมมันด้วย "ทองคำ หรือ ทองสัมฤทธิ์" ไม่ได้เปลี่ยนตัวมัน แต่คลุม
เช่นเดียวกัน การที่เราจะเป็นที่พระเจ้าพอพระทัยนั้นไม่ใช่เปลี่ยนนิสัย แต่คลุมด้วยพระคำของพระองค์
การกลับใจของลูกคนเล็ก ไม่ใช่เปลี่ยนตัวเอง แต่ "กลับจากการขยันเลี้ยงหมูด้วยตัวเอง" ต่างหาก แล้วสิ่ง
ที่ลูกไม่มี พ่อมีทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น "เสื้อ แหวน หรือรองเท้า" กลับใจคือกลับจากที่เคยคิดว่าตัวเอง
หาด้วยตัวเองด้วย ทำดีด้วยตัวเองได้ แล้วรับ "พระคุณ" จากพระเยซูเท่านั้น จากตัวเองไม่มีอะไรเลย
สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับมนุษย์คือ "การทอดทิ้งตัวเอง การไม่พึ่งพาการประพฤติ (กาลาเทีย 3:10) "
เจี๊ยบไม่สนใจเรื่องการกลับใจแบบไหนๆ แต่การกลับใจ เป็นการเปลี่ยนนิสัยเป็นไปได้แน่นอน
การกลับใจใหม่ ( repent ) คือการหันหลังให้ความบาป/ความผิดและหันหน้าไปหาพระเจ้า
ตัวอย่างที่ กลับใจที่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เช่น อัครทูตเปาโล อ่านจากกิจการอัครทูต ก่อนที่ท่านจะมาเป็นผู้ประกาศ/แพร่ธรรมอย่างแข็งขัน
เขามีนิสัย ดุร้าย ต้องการเข่นฆ่าคริสตชน โดยเฉพาะเรื่องการเดินทางไปดามัสกัส เมื่อพระเยซูคริสต์ตรัสเรียกเขาระหว่างทาง และมีการอัศจรรย์เกิดขึ้น
พระเยซูเจ้าถามว่า เขาข่มเหง (เบียดเบียน ) พระองค์ทำไม เรื่องารเดินทางไปฆ่าคริสตชนที่ดามัสกัส เป็นจุดเปลี่ยนของ ท่านเปาโลอย่างสิ้นเชิง
ซึ่งประจักษ์พยานด้วย หนังสือพระคัมภีร์ จดหมายฝาก 12-13 เล่ม ของท่าน และเปาโลเองยืนยันในหนังสือโครินธ์ ว่า " ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ คือผู้ที่ถูกสร้งใหม่ แล้วสิ่งสารพัดเก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะ เป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น "
เรื่องบุตรน้อยหลงหาย ฉบับคาทอลิก เรียกลูกล้างผลาญ ลูกชาย ทำบาปตั้งแต่วินาทีที่เขาของแบ่งมรดกแล้ว
ดูขั้นตอนที่ลูกคนเล็กกลับมาหาพ่อของเขา คือ (1) เขาเห็นตัวเอง คือรู้จักตัวเองว่าขณะนี้ตัวเองจนตรอกแล้ว ต้องการความช่วยเหลือ จึงสำนึกผิดที่ทำกับพ่อ และพระเจ้า และไม่ควรวิ่งหนีอีกต่อไป (2) เมื่อเขาสำนึกแล้ว ก็รู้ว่าแหล่งแห่งความช่วยเหลือมาจากใคร มาจากบิดา เพราะลูกจ้างของบิดาที่บ้านยังอยู่ดีกินดีกว่าเขาขณะนี้ (3) การตัดสินใจ เขาได้ตัดสินใจกลับไปหาบิดาด้วยความถ่อมใจ สารภาพกับคุณพ่อว่าตัวเองผิด (4) เขารีบปฏิบัติตามที่ตัดสินใจทันทีคือมุ่งหน้ากลับบ้าน
.....ลูกชายคนเล็ก เมื่อเขาได้พบบิดา เขารู้ตัวว่าต่อไปนี้จะหยิ่งอย่างเดิมว่าเป็นลูกเศรษฐีไม่ได้ เขารู้สึกเสียใจต่อการกระทำของตัวเอง และแสดงการสำนึกผิด อย่างแท้จริง โดยบอกบิดาว่า (1) ลูกทำผิด(บาป) ต่อสวรรค์(พระเจ้า) และต่อบิดา (2) ลูกไม่สมควรจะเป็นลูกพ่ออีกต่อไป (3) ลูกจะขอเป็นลูกจ้างของพ่อคนหนึ่งเท่านั้น เขาพูดไม่ทันจบ ฝ่ายบิดาก็สั่งคนใช้ให้จัดงานเลี้ยงต้อนรับลูกชายที่กลับมา ภาพนี้เราได้เห็นว่า ผู้เป็นบิดาได้ให้อภัยบุตรชายคนเล็กนานแล้ว บิดาไม่ได้จดจำการทรยศ อกตัญญูของลูกเลย แต่บิดาได้สั่งให้เอาสิ่งที่ดีที่สุด เสื้อผ้า แก้วแหวน มาสวมใส่เขา จัดงานเพื่อชื่นชมยินดี ที่เขาได้ลูกชายกลับมาแล้ว เขาพูดว่า ลูกของเราได้ตายแล้ว แต่กลับเป็นขึ้นใหม่
**********************************************
เรื่องของ นักบุญออกัสติน ปิตาจารย์ ของคริสตจักร ก็กลับใจใหม่ คุณแม่มอนิก้า ได้อธิษฐานภาวนาให้ถึง 17 ปี เขาจึงกลับใจมาหาพระเจ้า และได้ใช้ทั้งชีวิต เพื่อพระองค์ หรือ คริสเตียนเอง ยกย่อง "จอห์น นิวตัน" ผู้ประพันธ์เพลงอมตะ "พระคุณพระเจ้า" เขากลับใจจากความบาป ที่ขายทาส และประพฤติชั่วช้ามากมาย ฯลฯ ฯลฯ .................................การกลับใจของคนเหล่านี้ ด้วยอัศจรรย์ ที่เขาได้วางใจในพระเยซูคริสต์ พระเยซูทรงอยู่ในเขา สิ่งเหล่านี้ (การกลับใจ ) จึงเกิดขึ้นเสมอ กับคนทุกยุค
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
อยากย้อนไปเรื่องภายในครอบครัวของอิสอัค บทเรียนของครอบครัวนี้ น่าสนใจยิ่ง
อิสอัคมีลูกแฝด คือเอซาว และยาโคบ เอซาวคลอดออกมาก่อน จึงได้สิทธิบุตรหัวปี
ในครอบครัวนี้พิลึกกึกกือเรื่องความรักที่ลำเอียง คือมีลูกพ่อ (เอซาว )และลูกแม่ (ยาโคบ ) ความลำเอียงจึงเกิดความไม่ยุติธรรม ก่อให้เกิดการกลั่นแกล้ง แย่งสิทธิบุตรหัวปี ยาโคบ เป็นคนโกง โดยคุณหญิงแม่จัดเตรียม ผลที่บิดามารดาก่อขึ้นทำให้ครอบครัวแตกแยก บุตรทั้งสองเป็นศัตรูกัน ไม่เพียงชั่วชีวิต แต่ชั่วฟ้าดินสลาย คร้าบ
ยาโคบต้องหนีระหกระเหิน เพราะเอซาวเจ็บใจวางแผนฆ่า แต่อดทนให้บิดาสิ้นชีวิตก่อน ขณะที่กำลังหนีพระเจ้าทรงสำแดงในความฝัน ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของอับราฮัม และทรงเน้นถึงพระสัญญาเรื่องแผ่นดินที่จะยกให้แก่เชื้อสาย และชนชาติใหญ่ และมนุษย์ทั่วโลกจะได้รับพระพรเพราะเชื้อสายของเขา และทรงสัญญาว่าจะนำยาโคบกลับไปยังคานาอันอีก เพราะพระเจ้าทรงรักษาพันธสัญญากับอับราฮัม
อย่าคิดนะว่าทำผิดหนี แล้วจะรอด มิเป็นเช่นนั้นขอรับ เพราะว่าพระเจ้าทรงยุติธรรม และรักมนุษย์ทุกคน (จริงๆ ถึงเราสงสัยว่าจริงรื้อ ) ยาโคบหนีไปฮารานบ้านญาติของบิดามารดา ไปอยู่กับลุงลาบัน ช่วยเลี้ยงวัวเลี้ยงควายให้ลุง เพื่อจะได้ลูกสาวคนสวยคือราเชล แต่โดนพ่อตาหลอก ให้นางเลอาห์ตาแฉะ เพื่อให้ได้สาวสวยที่ตนรัก ก็ต้องทำงานให้ลุงอีก ที่น่าสนใจ ยาโคบกับลุงลาบันนี่ แบบว่า
อิสอัคมีลูกแฝด คือเอซาว และยาโคบ เอซาวคลอดออกมาก่อน จึงได้สิทธิบุตรหัวปี
ในครอบครัวนี้พิลึกกึกกือเรื่องความรักที่ลำเอียง คือมีลูกพ่อ (เอซาว )และลูกแม่ (ยาโคบ ) ความลำเอียงจึงเกิดความไม่ยุติธรรม ก่อให้เกิดการกลั่นแกล้ง แย่งสิทธิบุตรหัวปี ยาโคบ เป็นคนโกง โดยคุณหญิงแม่จัดเตรียม ผลที่บิดามารดาก่อขึ้นทำให้ครอบครัวแตกแยก บุตรทั้งสองเป็นศัตรูกัน ไม่เพียงชั่วชีวิต แต่ชั่วฟ้าดินสลาย คร้าบ
ยาโคบต้องหนีระหกระเหิน เพราะเอซาวเจ็บใจวางแผนฆ่า แต่อดทนให้บิดาสิ้นชีวิตก่อน ขณะที่กำลังหนีพระเจ้าทรงสำแดงในความฝัน ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของอับราฮัม และทรงเน้นถึงพระสัญญาเรื่องแผ่นดินที่จะยกให้แก่เชื้อสาย และชนชาติใหญ่ และมนุษย์ทั่วโลกจะได้รับพระพรเพราะเชื้อสายของเขา และทรงสัญญาว่าจะนำยาโคบกลับไปยังคานาอันอีก เพราะพระเจ้าทรงรักษาพันธสัญญากับอับราฮัม
อย่าคิดนะว่าทำผิดหนี แล้วจะรอด มิเป็นเช่นนั้นขอรับ เพราะว่าพระเจ้าทรงยุติธรรม และรักมนุษย์ทุกคน (จริงๆ ถึงเราสงสัยว่าจริงรื้อ ) ยาโคบหนีไปฮารานบ้านญาติของบิดามารดา ไปอยู่กับลุงลาบัน ช่วยเลี้ยงวัวเลี้ยงควายให้ลุง เพื่อจะได้ลูกสาวคนสวยคือราเชล แต่โดนพ่อตาหลอก ให้นางเลอาห์ตาแฉะ เพื่อให้ได้สาวสวยที่ตนรัก ก็ต้องทำงานให้ลุงอีก ที่น่าสนใจ ยาโคบกับลุงลาบันนี่ แบบว่า
-
- ~@
- โพสต์: 8259
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:56 pm
- ที่อยู่: Bangkok
โปรเตสแตนต์ เข้าทาง พ่อ/พระเยซู อิอิHoly เขียน: มิน่าล่ะ คาทอลิคถึงชอบเข้าทางแม่
สรุป เราเลย ยังขัดแย้งกันนิรันดร์กาล
ผมมองว่าเหตุการณ์นี้ เป็นไปตามเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ คือ เพราะเอซาวขายสิทธิ์บุตรหัวปี ซึ่งเป็นการดูถูกสิทธิ์อันชอบธรรมที่พระเจ้าประทานให้ตนเองแลกกับอาหารมื้อเดียว ซึ่งสะท้อนว่า เอซาวนั้นเห็นความสำคัญของพระสัญญาของพระเจ้าน้อยกว่าอาหารชามเดียว นั่นจึงเป็นสิ่งที่มำให้พระยุติธรรมของพระองค์ถูกนำออกมาใช้ เหตุการณ์นี้จึงตามมา
ฮบ 12:14-16
อย่าให้ผู้ใดทำผิดประเวณีหรือดูหมิ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับเอซาว ซึ่งขายสิทธิการเป็นบุตรคนแรกของตนเพียงเพื่อแลกกับอาหารมื้อเดียว ท่านทั้งหลายรู้อยู่แล้วว่า เมื่อเอซาวต้องการได้รับพรจากบิดา เขาก็ถูกปฏิเสธ และไม่อาจเปลี่ยนใจบิดาได้ แม้จะร่ำไห้วอนขอแล้วก็ตาม
---จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์นี้ต่อเนื่องกันนะครับ การดูหมิ่นความศักดิ์สิทธิ์ของเอซาว มาจากการขายสิทธิ์ที่พระเจ้ามอบให้แลกอาหาร เหมือนที่ยูดาสขายพระเจ้าแลกเงิน30เหรียญ คือการดูถูกคุณค่าของพระเจ้าว่าต่ำกว่าของทางโลก นั่นจึงทำให้เหตุการณ์เสียสิทธิ์จริงๆ ถูกบันดาลให้เกิดขึ้น โดยมีแม่ร่วมแผนการณ์ และผลนี้อาจกล่าวได้ว่าเริ่มจากเหตุคือคำปฎิญาณขายสิทธิของเอซาวนั่นเอง
เข้าใจง่ายๆแบบนี้ก็ได้นะครับ ผมว่า
ฮบ 12:14-16
อย่าให้ผู้ใดทำผิดประเวณีหรือดูหมิ่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับเอซาว ซึ่งขายสิทธิการเป็นบุตรคนแรกของตนเพียงเพื่อแลกกับอาหารมื้อเดียว ท่านทั้งหลายรู้อยู่แล้วว่า เมื่อเอซาวต้องการได้รับพรจากบิดา เขาก็ถูกปฏิเสธ และไม่อาจเปลี่ยนใจบิดาได้ แม้จะร่ำไห้วอนขอแล้วก็ตาม
---จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์นี้ต่อเนื่องกันนะครับ การดูหมิ่นความศักดิ์สิทธิ์ของเอซาว มาจากการขายสิทธิ์ที่พระเจ้ามอบให้แลกอาหาร เหมือนที่ยูดาสขายพระเจ้าแลกเงิน30เหรียญ คือการดูถูกคุณค่าของพระเจ้าว่าต่ำกว่าของทางโลก นั่นจึงทำให้เหตุการณ์เสียสิทธิ์จริงๆ ถูกบันดาลให้เกิดขึ้น โดยมีแม่ร่วมแผนการณ์ และผลนี้อาจกล่าวได้ว่าเริ่มจากเหตุคือคำปฎิญาณขายสิทธิของเอซาวนั่นเอง
เข้าใจง่ายๆแบบนี้ก็ได้นะครับ ผมว่า
อิอิ กะลังจะมาบอกพอดีว่าคุณคนนี้ คนละสไลต์กะผม ผมชอบทำเรื่องยากๆให้เข้าใจง่าย แต่เจ้าของกระทู้เหมือนจะทำเรื่องง่ายๆให้เข้าใจยาก
อฟ 4:17-32 ชีวิตใหม่ในพระคริสตเจ้า
ข้าพเจ้าขอพูดและย้ำเตือนท่านทั้งหลายในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า อย่าดำเนินชีวิตโดยไร้ความคิดดังที่คนต่างศาสนากระทำกันอีกต่อไป เขาเหล่านั้นมีความคิดมืดมัว ความโง่เขลา และจิตใจแข็งกระด้างทำให้เขาอยู่ห่างจากวิถีชีวิตของพระเจ้า เขาไม่รู้สึกว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก จึงปล่อยตัวในความลามก กระทำการน่าบัดสีทุกอย่างโดยไม่รู้จักอิ่ม แต่ท่านมิได้มารู้จักพระคริสตเจ้าเช่นนั้น ท่านได้ฟังเรื่องราวและรู้จักองค์พระคริสตเจ้าตามความจริงที่ปรากฏอยู่ในพระเยซูเจ้าแล้ว ท่านจงถอดสภาพมนุษย์เก่า เลิกประพฤติเลวทรามตามราคตัณหาที่หลอกให้หลงไป จงมีจิตใจและความรู้สึกนึกคิดอย่างใหม่ จงสวมใส่สภาพมนุษย์ใหม่ซึ่งพระเจ้าทรงเนรมิตให้เหมือนพระองค์ มีความชอบธรรมและความศักดิ์สิทธิ์ที่มาจากความจริง ดังนั้น ท่านจงเลิกพูดเท็จ พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า
อฟ 4:17-32 ชีวิตใหม่ในพระคริสตเจ้า
ข้าพเจ้าขอพูดและย้ำเตือนท่านทั้งหลายในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า อย่าดำเนินชีวิตโดยไร้ความคิดดังที่คนต่างศาสนากระทำกันอีกต่อไป เขาเหล่านั้นมีความคิดมืดมัว ความโง่เขลา และจิตใจแข็งกระด้างทำให้เขาอยู่ห่างจากวิถีชีวิตของพระเจ้า เขาไม่รู้สึกว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก จึงปล่อยตัวในความลามก กระทำการน่าบัดสีทุกอย่างโดยไม่รู้จักอิ่ม แต่ท่านมิได้มารู้จักพระคริสตเจ้าเช่นนั้น ท่านได้ฟังเรื่องราวและรู้จักองค์พระคริสตเจ้าตามความจริงที่ปรากฏอยู่ในพระเยซูเจ้าแล้ว ท่านจงถอดสภาพมนุษย์เก่า เลิกประพฤติเลวทรามตามราคตัณหาที่หลอกให้หลงไป จงมีจิตใจและความรู้สึกนึกคิดอย่างใหม่ จงสวมใส่สภาพมนุษย์ใหม่ซึ่งพระเจ้าทรงเนรมิตให้เหมือนพระองค์ มีความชอบธรรมและความศักดิ์สิทธิ์ที่มาจากความจริง ดังนั้น ท่านจงเลิกพูดเท็จ พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า
โอ้ว เห็นด้วยกะพี่โฮลี่ค่า :shocked:Holy เขียน: การให้ความสำคัญกับพระธรรมเก่า และบทจดหมาย โดยลืมเอาพระวรสารทั้ง4เป็นหลัก จะทำให้หลงทางไปได้ง่าย
หลายคนยังเข้าใจผิดว่า ยาโคบขี้โกงที่รวมหัวกับแม่ แล้วทำให้เขาต้องหนีหัวซุกหัวซุน
พวกเราครับ ช่วยดูคำของพ่อดี ๆ อีกทีว่า "ทำอาหารอร่อยอย่างที่พ่อชอบ" นี่คือให้ไปหาแม่ไม่ใช่เหรอครับ
และแม่ก็รู้ด้วยว่า "อาหารที่พ่อชอบ" นั้นคืออะไร
เอซาวขายสิทธิ เพราะอะไร? สำคัญคือเพราะว่าเขา "มั่นใจ" แม้ว่าขายสิทธิ ก็สามารถที่จะเข้าไปหาพ่อได้
เหมือนกับพงศ์พันธ์ที่ยังมั่นใจว่า "ทำดีได้ด้วยตัวเอง พยายามประพฤติตัวดี ๆ ต่อหน้าพ่อ แต่นั่น มันไม่เกี่ยว
กับแม่เลย คนนี้ไม่ได้พระพรแม้ว่าทำมากมาย
ตรงกันข้าม ยาโคบ ไม่ทำอะไรเลย นอกจาก "เชื่อ" แม่ (พระเยซู) เท่านั้น
คนที่เข้าทางพระเยซูก็มีโอกาสได้พระพร
แต่คนที่เข้าทางการประพฤติ คนนั้นจบที่การแช่งสาป
พวกเราครับ ช่วยดูคำของพ่อดี ๆ อีกทีว่า "ทำอาหารอร่อยอย่างที่พ่อชอบ" นี่คือให้ไปหาแม่ไม่ใช่เหรอครับ
และแม่ก็รู้ด้วยว่า "อาหารที่พ่อชอบ" นั้นคืออะไร
เอซาวขายสิทธิ เพราะอะไร? สำคัญคือเพราะว่าเขา "มั่นใจ" แม้ว่าขายสิทธิ ก็สามารถที่จะเข้าไปหาพ่อได้
เหมือนกับพงศ์พันธ์ที่ยังมั่นใจว่า "ทำดีได้ด้วยตัวเอง พยายามประพฤติตัวดี ๆ ต่อหน้าพ่อ แต่นั่น มันไม่เกี่ยว
กับแม่เลย คนนี้ไม่ได้พระพรแม้ว่าทำมากมาย
ตรงกันข้าม ยาโคบ ไม่ทำอะไรเลย นอกจาก "เชื่อ" แม่ (พระเยซู) เท่านั้น
คนที่เข้าทางพระเยซูก็มีโอกาสได้พระพร
แต่คนที่เข้าทางการประพฤติ คนนั้นจบที่การแช่งสาป
มุ่งมั่นและจริงจังChay เขียน: "แม่" (นางเรเบคาห์) หมายถึง "พระเยซู" ครับ ไม่ใช่นางมารีย์ครับ
เพราะว่าการแช่งสาปตกอยู่กับพระเยซู นางมารีย์ไม่ได้เป็นคนที่รับบาปของมนุษย์
"พ่อ" (อิสอัค) หมายถึง "พระเจ้า" ซึ่งเป็นผู้ที่ให้พระพร
ดีจ้าดี
แต่พี่ขอติงนิดนะ อย่าลืมว่าคนไทยมีราชาศัพท์ ควรนำมาใช้ด้วยให้เต็มยศหน่อยนะ
เมื่อเรียกพระเยซู ก็น่าจะเรียกเป็นพระนางมารีย์
ถึงไม่นับถือ แต่ก็ให้ถูกหลักภาษาก็แล้วกัน
-
- Defender of lawS
- โพสต์: 3324
- ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ม.ค. 17, 2005 9:54 pm
- ที่อยู่: Bangkok
ขออภัย อยากทราบว่า คุณ Chay เป็นโปรเตสแตนต์ คณะอะไร ดิฉันเป็นโปรเตสแตนต์ คณะเพรสไบทีเรียน สังกัด สภาคริสตจักรค่ะChay เขียน: "แม่" (นางเรเบคาห์) หมายถึง "พระเยซู" ครับ ไม่ใช่นางมารีย์ครับ
เพราะว่าการแช่งสาปตกอยู่กับพระเยซู นางมารีย์ไม่ได้เป็นคนที่รับบาปของมนุษย์
"พ่อ" (อิสอัค) หมายถึง "พระเจ้า" ซึ่งเป็นผู้ที่ให้พระพร
เพราะสังเกตแนวทางในการตีความพระคัมภีร์ ค่อนข้างจะต่าง จาก คณะของดิฉันค่ะ
ศาสนาพุทธก็สอนว่า "อย่าคิดลามก" ศาสนาอิสลามก็สอนว่า "อย่า....." ศาสนาอื่น ๆ ก็สอนว่า "อย่า ๆ ๆ ๆ" .....
มนุษย์ยังไม่รู้จักว่า "บาป" คืออะไร และ "การสารภาพบาป" คืออะไร?
ถ้ามีคนถามผมว่า "คุณขับรถเป็นไหม?" แต่ผมอายที่จะตอบว่า "ไม่เป็น" จึงบอกไปว่า
"ก็ขับพอได้นะ ฉันหักพวงมาลัยเป็น เปิดไฟเป็น เติมน้ำเป็น แต่ ..แต่ ฉันใส่เกียร์ไม่เป็นนะครับ"
จริง ๆ ควรจะสารภาพว่าอะไร? "ขับไม่เป็น" ก็แค่นี้ก็จบ เพราะมันคือทั้งหมดแล้ว
กษัตริย์ดาวิดมีครั้งหนึ่งเขาล่วงประเวณีกับนางบัชเชบา แต่เขาสารภาพแบบไหน?
ในสดุดีบทที่ 51 "เพราะข้าพระองค์ บาปมาตั้งแต่ในครรภ์"... ในคือการสารภาพบาปที่ถูกต้อง
เช่นกัน แต่หลายคนไม่เข้าใจว่า"บาป" คืออะไร แต่สนใจเพียงแค่ "ผลของบาป"
ถ้าเราจะทำลายต้นมะม่วง แต่สนใจแค่ "เด็ดผลมันออก" มันก็ไม่มีทางที่จะตายได้ อีกไม่นานก็ออกมาอีก
ถ้าเราไม่ตัดที่ลากของความบาป ผลมันก็ต้องออกมาอีก ถ้าเป็นอย่างนี้ก็สารภาพบาปกันจนตาย
ลากของบาปคือ "อาดัม" และสิ่งที่พระเยซูสนใจคือความบาปของอาดัมนี้ แต่มนุษย์ไม่สนใจว่า
พระเยซูทำลายบาปของอาดัมอย่างไง เอาแต่สนใจบาปที่ตัวเองทำไปเรื่อย ๆ คนนี้เหนื่อยตาย
ถ้าอยากเข้าใจมากขึ้น ก็ติดต่อได้ที่ห้อง "ศาลาธรรม" ได้นะครับ ผมชื่อ chay ครับ
มนุษย์ยังไม่รู้จักว่า "บาป" คืออะไร และ "การสารภาพบาป" คืออะไร?
ถ้ามีคนถามผมว่า "คุณขับรถเป็นไหม?" แต่ผมอายที่จะตอบว่า "ไม่เป็น" จึงบอกไปว่า
"ก็ขับพอได้นะ ฉันหักพวงมาลัยเป็น เปิดไฟเป็น เติมน้ำเป็น แต่ ..แต่ ฉันใส่เกียร์ไม่เป็นนะครับ"
จริง ๆ ควรจะสารภาพว่าอะไร? "ขับไม่เป็น" ก็แค่นี้ก็จบ เพราะมันคือทั้งหมดแล้ว
กษัตริย์ดาวิดมีครั้งหนึ่งเขาล่วงประเวณีกับนางบัชเชบา แต่เขาสารภาพแบบไหน?
ในสดุดีบทที่ 51 "เพราะข้าพระองค์ บาปมาตั้งแต่ในครรภ์"... ในคือการสารภาพบาปที่ถูกต้อง
เช่นกัน แต่หลายคนไม่เข้าใจว่า"บาป" คืออะไร แต่สนใจเพียงแค่ "ผลของบาป"
ถ้าเราจะทำลายต้นมะม่วง แต่สนใจแค่ "เด็ดผลมันออก" มันก็ไม่มีทางที่จะตายได้ อีกไม่นานก็ออกมาอีก
ถ้าเราไม่ตัดที่ลากของความบาป ผลมันก็ต้องออกมาอีก ถ้าเป็นอย่างนี้ก็สารภาพบาปกันจนตาย
ลากของบาปคือ "อาดัม" และสิ่งที่พระเยซูสนใจคือความบาปของอาดัมนี้ แต่มนุษย์ไม่สนใจว่า
พระเยซูทำลายบาปของอาดัมอย่างไง เอาแต่สนใจบาปที่ตัวเองทำไปเรื่อย ๆ คนนี้เหนื่อยตาย
ถ้าอยากเข้าใจมากขึ้น ก็ติดต่อได้ที่ห้อง "ศาลาธรรม" ได้นะครับ ผมชื่อ chay ครับ
ผมต้องขอโทษจริง ๆ ครับ เพราะว่าในพระคัมภีร์ไม่ได้เขียนนำหน้านามว่า "พระ"
เพราะผมเข้าใจว่า พระนางเป็นเพียงมนุษย์ที่มีโอกาสใกล้ชิดพระเจ้ามากที่สุดเท่านั้น
แต่อย่างไงก็แล้วแต่ ในพระคัมภีร์ ได้ให้ความสำคัญกับพระเยซู เพราะว่าเป็นเพียงผู้เดียว
ที่ทำให้โลกนี้ กลับคืนไปหาพระเจ้า รวมทั้งพระนางมารีย์ด้วย ถ้าไม่มีพระเยซูเสด็จมา
พระนาง ก็คงต้องตกบึงไฟแน่นอน แต่ใจจริงของผมไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อลบหลู่นะครับ
เพราะผมเข้าใจว่า พระนางเป็นเพียงมนุษย์ที่มีโอกาสใกล้ชิดพระเจ้ามากที่สุดเท่านั้น
แต่อย่างไงก็แล้วแต่ ในพระคัมภีร์ ได้ให้ความสำคัญกับพระเยซู เพราะว่าเป็นเพียงผู้เดียว
ที่ทำให้โลกนี้ กลับคืนไปหาพระเจ้า รวมทั้งพระนางมารีย์ด้วย ถ้าไม่มีพระเยซูเสด็จมา
พระนาง ก็คงต้องตกบึงไฟแน่นอน แต่ใจจริงของผมไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อลบหลู่นะครับ
ขอบคุณ และ เข้าใจน้องจ้า :laugh:Chay เขียน: ผมต้องขอโทษจริง ๆ ครับ เพราะว่าในพระคัมภีร์ไม่ได้เขียนนำหน้านามว่า "พระ"
เพราะผมเข้าใจว่า พระนางเป็นเพียงมนุษย์ที่มีโอกาสใกล้ชิดพระเจ้ามากที่สุดเท่านั้น
แต่อย่างไงก็แล้วแต่ ในพระคัมภีร์ ได้ให้ความสำคัญกับพระเยซู เพราะว่าเป็นเพียงผู้เดียว
ที่ทำให้โลกนี้ กลับคืนไปหาพระเจ้า รวมทั้งพระนางมารีย์ด้วย ถ้าไม่มีพระเยซูเสด็จมา
พระนาง ก็คงต้องตกบึงไฟแน่นอน แต่ใจจริงของผมไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อลบหลู่นะครับ
พระเยซูเสด็จมาไถ่มนุษย์ทุกคนรวมทั้งแม่พระด้วย
แต่พระนางร่วมในกิจกรรมนี้ จึงได้รับสิทธิ์เป็นพิเศษจ้า
อ้อช่วยตอบท่านอาจารย์ PP ด้วยจ้า
ตกลงนางเรเบคากลายเป็นพระผู้ไถ่ไปซะละChay เขียน: "แม่" (นางเรเบคาห์) หมายถึง "พระเยซู" ครับ ไม่ใช่นางมารีย์ครับ
เพราะว่าการแช่งสาปตกอยู่กับพระเยซู นางมารีย์ไม่ได้เป็นคนที่รับบาปของมนุษย์
"พ่อ" (อิสอัค) หมายถึง "พระเจ้า" ซึ่งเป็นผู้ที่ให้พระพร
พระนางคือแผนการที่พระเจ้ากำหนดครับ ถ้าไม่มีพระเยซู พระนางไม่จำเป็นต้องเกิดมาในโลก คุณเองชอบอ่านพระธรรมเก่า ลองอ่านดีๆ ในการทำนายของบรรดาประกาศก คุณจะเข้าใจว่า พระมารดามารีย์เกิดมาเพื่อแผนการนี้ พระนางไม่ได้ถูกเลือกโดยบังเอิญครับ ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาที่พอดีมีโอกาส ใกล้ชิดพระเจ้า แต่ถูกสร้างให้เกิดมาเพื่อรับหน้าที่นี้ครับ ว่างๆค่อยคุยเรื่องแม่พระ แต่คงไม่ใช่กระทู้นี้Chay เขียน: ผมต้องขอโทษจริง ๆ ครับ เพราะว่าในพระคัมภีร์ไม่ได้เขียนนำหน้านามว่า "พระ"
เพราะผมเข้าใจว่า พระนางเป็นเพียงมนุษย์ที่มีโอกาสใกล้ชิดพระเจ้ามากที่สุดเท่านั้น
แต่อย่างไงก็แล้วแต่ ในพระคัมภีร์ ได้ให้ความสำคัญกับพระเยซู เพราะว่าเป็นเพียงผู้เดียว
ที่ทำให้โลกนี้ กลับคืนไปหาพระเจ้า รวมทั้งพระนางมารีย์ด้วย ถ้าไม่มีพระเยซูเสด็จมา
พระนาง ก็คงต้องตกบึงไฟแน่นอน แต่ใจจริงของผมไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อลบหลู่นะครับ
ทำไมรากของบาปเป็นอาดัมคนเดียว ทั้งที่เอวาเป็นคนโดนหลอก แล้วมาหลอกอาดัมต่ออีกทีChay เขียน: ศาสนาพุทธก็สอนว่า "อย่าคิดลามก" ศาสนาอิสลามก็สอนว่า "อย่า....." ศาสนาอื่น ๆ ก็สอนว่า "อย่า ๆ ๆ ๆ" .....
มนุษย์ยังไม่รู้จักว่า "บาป" คืออะไร และ "การสารภาพบาป" คืออะไร?
ถ้ามีคนถามผมว่า "คุณขับรถเป็นไหม?" แต่ผมอายที่จะตอบว่า "ไม่เป็น" จึงบอกไปว่า
"ก็ขับพอได้นะ ฉันหักพวงมาลัยเป็น เปิดไฟเป็น เติมน้ำเป็น แต่ ..แต่ ฉันใส่เกียร์ไม่เป็นนะครับ"
จริง ๆ ควรจะสารภาพว่าอะไร? "ขับไม่เป็น" ก็แค่นี้ก็จบ เพราะมันคือทั้งหมดแล้ว
กษัตริย์ดาวิดมีครั้งหนึ่งเขาล่วงประเวณีกับนางบัชเชบา แต่เขาสารภาพแบบไหน?
ในสดุดีบทที่ 51 "เพราะข้าพระองค์ บาปมาตั้งแต่ในครรภ์"... ในคือการสารภาพบาปที่ถูกต้อง
เช่นกัน แต่หลายคนไม่เข้าใจว่า"บาป" คืออะไร แต่สนใจเพียงแค่ "ผลของบาป"
ถ้าเราจะทำลายต้นมะม่วง แต่สนใจแค่ "เด็ดผลมันออก" มันก็ไม่มีทางที่จะตายได้ อีกไม่นานก็ออกมาอีก
ถ้าเราไม่ตัดที่ลากของความบาป ผลมันก็ต้องออกมาอีก ถ้าเป็นอย่างนี้ก็สารภาพบาปกันจนตาย
ลากของบาปคือ "อาดัม" และสิ่งที่พระเยซูสนใจคือความบาปของอาดัมนี้ แต่มนุษย์ไม่สนใจว่า
พระเยซูทำลายบาปของอาดัมอย่างไง เอาแต่สนใจบาปที่ตัวเองทำไปเรื่อย ๆ คนนี้เหนื่อยตาย
ถ้าอยากเข้าใจมากขึ้น ก็ติดต่อได้ที่ห้อง "ศาลาธรรม" ได้นะครับ ผมชื่อ chay ครับ